ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Masquerade in the darkness คฤหาสน์ต้องสาป

    ลำดับตอนที่ #3 : 1 :: Welcome to the darkness.

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 59


    O W E N TM.




    1

    Welcome to the darkness.

     

                ‘ The Vitae

    คือชื่อร้านซ่อมตุ๊กตาที่ถูกแนะนำว่าดีที่สุดของบาร์ธ อาคุมะคิดว่าอย่างนั้น... เด็กหนุ่มเดาจากการที่แม่ของเขาขีดเส้นใต้ถึงสามเส้นข้างล่างชื่อนี้ในสมุดบันทึก หากแต่ทว่านอกจากที่อยู่ที่แม่ของเขาจดเอาไว้แล้ว อาคุมะกลับไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านได้จากที่อื่นเลย

    และนั่นก็ทำให้เขาต้องมายืนขมวดคิ้วอยู่ที่นี่....

     ภาพของร้านซ่อมตุ๊กตาตรงหน้าแตกต่างไปจากความคิดของเขาโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มร่างสูง... ที่ตอนนี้จอดจักรยานอย่างงงๆอยู่หน้าประตูรั้วบานใหญ่มองไปรอบๆอย่างไม่แน่ใจ หากแต่เมื่อพิจารณาประตูตรงหน้าดีๆแล้ว อาคุมะก็ถอนหายใจ

    ไม่ผิดแน่... ที่กรอบของกลอนเขียนไว้ว่า ‘ The Vitae ’

    เด็กหนุ่มพยายามมองหากริ่งหรืออะไรบางอย่างที่จะทำให้เขาสามารถติดต่อกับคนข้างในได้ หากแต่กลับไม่พบอะไรทั้งสิ้น และเมื่อมองดูดีๆ เขาถึงได้เห็นว่ากลอนนั้นไม่ได้ล็อกเอาไว้ สายลมรอบตัวที่เริ่มพัดแรงขึ้นทำให้อาคุมะรีบตัดสินใจผลักประตูตรงหน้าออกแล้วปั่นจักรยานเข้าไป

                ทางเข้านั้นตอนแรกเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ 2 ข้างทาง แต่เมื่อปั่นเข้าไปเรื่อยๆ อาคุมะก็เจอกับอดีตสนามหญ้าที่น่าจะเคยงดงามไม่น้อย หากแต่ตอนนี้กลับมีแต่หญ้ารกชัฏรวมทั้งต้นไม้เล็กๆระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ อะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวแถวนั่นทำเอาเขาสะดุ้งไปเล็กน้อย

                แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นตัวบ้าน... ไม่สิ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า ที่ตั้งตระหง่านดึงดูดสายตาและคล้าย... กำลังข่มขวัญของผู้มาเยือน มันเป็นคฤหาสน์แบบโบราณที่อาคุมะเองก็ไม่แน่ใจว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่ทว่าความใหญ่และโอ่อ่าของมันก็ยังมีมากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มทึ่งได้พอๆกับความเก่าแก่และรกร้างของมัน

                นี่มันคฤหาสน์ร้าง...?

     อาคุมะโวยวายกับตัวเองในใจเมื่อจอดจักรยานที่หน้าบันไดหินอ่อนเก่าๆเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างเกาะเต็มไปหมดซึ่งทอดยาวขึ้นไปจนถึงประตูทางเข้าแล้ว

    หรือร้านจะเจ๊งไปแล้ว?

    ครืน

                ยังไม่ทันให้เด็กหนุ่มได้มีเวลาคิดอะไรต่อ เสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังขึ้นพร้อมกับสายลมที่พัดกระโชกอย่างน่ากลัว ตามมาด้วยสายฝนที่เริ่มกระหน่ำลงมา

                “ให้ตายสิ” อาคุมะสบถก่อนตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดไปหลบใต้ชายคาคฤหาสน์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มกอดตุ๊กตาในเป้เอาไว้แน่น พยายามให้มันโดนฝนที่กระเซ็นมาน้อยที่สุด

                เอาไงดี...

                ดวงตาสีเฮเซลมองไปยังประตูบานใหญ่อย่างลังเล ก่อนหันไปมองสายลมที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหอบเอาน้ำฝนมากระทบกับตัวเขาเป็นระยะ แล้วจึงตัดสินใจเคาะประตูบานใหญ่นี้ดู

    “มีใครอยู่รึเปล่าครับ?” เขาตะโกนถามแข่งกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก ก่อนตัดสินลองผลักประตูเบื้องหน้าดู หากแต่ประตูเจ้ากรรมดูจะไม่ขยับสักนิด

    อาคุมะถอนหายในเฮือกใหญ่ก่อนเอามือข้างที่ว่างทุบประตูอย่างหงุดหงิด

    โอ๊ย” เด็กหนุ่มร้องออกมาเสียงดังเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านเข้ามาในความรู้สึก

    โง่

    นอกจากคำนี้แล้ว เขาหาคำอื่นมาอธิบายสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เหมือนกัน และเมื่ออาศัยแสงเล็กน้อยจากสายฟ้าที่ผ่าลงมา ดวงตาสีเฮเซลจึงได้มองเห็นว่าในมือของตัวเองเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดและมีส่วนหนึ่งที่ติดกับประตูตรงหน้า

    ก็ไม่น่าแปลกอะไร... ในเมื่อเด็กหนุ่มมีแผลมาก่อนแล้วจากเศษกระจก พอทุบประตูแล้วคงไปถูกแผลเดิมเข้านั่นแหละ

    แต่ที่น่าแปลกคือ...

    อาคุมะเพิ่งเห็นว่าประตูบานใหญ่ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ

               

    ……………………………………………

     

    ความมืด... คือสิ่งแรกที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามายังคฤหาสน์

                ก่อนที่ความเย็นยะเยือกจะเข้ามาจับกับหัวใจของเขา มันไม่ใช่ความเย็นจากสายฝนที่ยังคงพัดกระหน่ำอยู่เบื้องนอกคฤหาสน์ แต่มาจากอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องมองไปรอบๆอย่างหวาดหวั่น และน่าแปลก... ที่ถึงแม้ข้างนอกจะมีพายุฝน หากแต่ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ยังคงเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงสายฝน มันเป็นความเงียบที่อึมครึมและทำให้อาคุมะรู้สึกเงียบเหงาอย่างประหลาด

                แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือในมือที่เขาเอาผ้าเช็ดหน้ามาพันห้ามเลือดไว้ลวกๆสาดไปตามทางข้างหน้า บอกให้รู้ว่าเขาอยู่บนพรมเก่าๆที่เหมือนจะปูตลอดตามทางเดิน อาคุมะหันกลับไปมองประตูหน้าที่ยังคงเปิดไว้อยู่ แล้วถอนหายใจเบาๆ นี่ถ้าประตูทำท่าจะปิดเองอีกเขาจะวิ่งกลับออกไปอย่างไม่ลังเลเลย

                หากแต่ประตูยังคงเปิดอยู่อย่างนั้น ทำให้เด็กหนุ่มกลับมาให้ความสนใจกับภายในคฤหาสน์แทน เบื้องหน้าเขา... เป็นบันไดโค้งสองฝั่งที่มาบรรจบกันตรงกลางที่ดูเหมือนจะชั้นสองของตัวคฤหาสน์ บ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่โถงทางเข้า

                จริงๆแล้วเด็กหนุ่มควรหยุดอยู่แค่นั้น แต่อะไรบางอย่างที่อาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่จู่ๆก็พุ่งมากขึ้นทำให้เขาเลือกที่จะขึ้นบันไดไป

                ในตอนแรก อาคุมะไม่แน่ใจนักว่าบันไดนี้ยังแข็งแรงพอที่รับน้ำหนักตัวเขาได้รึเปล่า แต่ทว่าบันไดยังคงมั่นคงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเดินขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้วก็ตาม และนั่นก็ทำให้เขาพอจะรู้สึกไว้วางใจได้มากขึ้น

                ฝุ่นมากมายที่จับอยู่บนพื้นพรมทำให้มันกลายเป็นรอยเท้าเมื่อเด็กหนุ่มก้าวผ่านและฟุ้งขึ้นมาจนเขาสำลักเป็นระยะ อาคุมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดเขาก็มาถึงชั้นสองจนได้

                ชั้นสองของคฤหาสน์ยังคงเต็มไปด้วยฝุ่นเช่นเคย แสงไฟจากมือถือที่ขับไล่ความมืดมิดออกไป ทำให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่าคฤหาสน์นี้น่าจะแบ่งออกเป็นสองฝั่งตามโถงทางเดินที่ทอดยาวออกไปทั้งทางซ้ายและขวา หากแต่เด็กหนุ่มกลับสะดุดตากับห้องที่อยู่ตรงกลางมากที่สุด

                อาคุมะเดินไปถึงห้องนั้นก่อนที่เขาจะรู้ตัวเสียอีก ถึงแม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มก็ค่อยๆเปิดประตูไม้ตรงหน้าอย่างช้าๆ มันฝืด... แต่ก็เปิดออกในที่สุด

                ฝุ่นมากมายที่พุ่งกระจายออกมาทำให้เขาสำลักอย่างช่วยไม่ได้ เด็กหนุ่มถอยหลังไปเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นปิดหน้า รอจนฝุ่นจางไปแล้ว จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องอย่างเบลอๆ

                มันเป็นห้องขนาดกลางๆ ลักษณะคล้ายห้องนั่งเล่น พื้นห้องปูด้วยพรมหนาเช่นเคยแต่เพราะความเก่าทำให้มันกร่อนและผุไปมาก โต๊ะน้ำชากลมเล็กวางที่มีแจกันดอกไม้วางอยู่ถูกจัดให้ตรงอยู่กลางห้องเยื้องหน้าเตาผิงมาเล็กน้อย ล้อมรอบด้วยเก้าอี้นวม 4 ตัว ที่มีสิ่งที่ให้ลมหายใจของอาคุมะสะดุดตั้งแต่แรกเห็น

                คน!

                ไม่ใช่สิ... ตุ๊กตา... หุ่นต่างหาก

                อาคุมะเร่งแสงไฟจากมือถือขึ้นอย่างไม่กลัวแบตหมด จากแสงไฟที่เพิ่มขึ้นทำให้เด็กหนุ่มได้เห็นว่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้ง 4 ตัวนั้นคือหุ่นของหญิงสาว 4 คน ดวงตาทุกคู่บนใบหน้างดงามเหล่านั้นว่างเปล่าสะท้อนแสงไฟในมือเขาราวกับไร้ชีวิต

                ก็ต้องไม่มีชีวิตอยู่แล้วสิ

                เด็กหนุ่มย้ำกับตัวเอง ประสาทสัมผัสที่ค่อนข้าง พิเศษของเขาบอกให้เขารีบกลับออกไปได้แล้ว หากแต่เด็กหนุ่มกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

                อาคุมะเดินเข้าไปราวกับตกอยู่ในภวังค์ ถึงแม้รอบตัวเขาจะมีแต่ฝุ่นมากมายแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าหุ่นทั้ง 4 ตัวตรงหน้าเขากลับไม่มีแม้รอยหยากไย่

                จากแสงไฟทำให้เขาเห็นว่าตรงหน้าหุ่นทุกตัวบนโต๊ะ มีหน้ากาก... แบบที่เด็กหนุ่มเคยเห็นตามงานเต้นรำในภาพยนต์ต่างๆ คิ้วเรียวเข้มของเด็กหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างแปลกใจ

                และก่อนที่อาคุมะจะรู้ตัว หน้ากากที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ในมือของเขาเสียแล้ว

                จากหางตา เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองเห็น... ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่กำลังวาววับขึ้นคล้ายกับไม่พอใจอยู่

                “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก” เร็วเท่าความคิด อาคุมะวิ่งออกมาจากห้องทันที เด็กหนุ่มวิ่งตาลีตาเหลือกลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว ก่อนชะงักงันเมื่อเห็นว่าประตูทางเข้าที่เคยเปิดนั้นกลับปิดอยู่

                “ใจเย็น อาคุมะ ใจเย็นไว้ ตั้งสติก่อน เมื่อกี้นายก็แค่ตาฝาดล่ะน่า....” อาคุมะบอกกับตัวเองเบาๆพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจพร้อมกับก้าวช้าๆไปยังประตู

                ขอให้เปิดได้ด้วยเถอะ

                เด็กหนุ่มภาวนาในใจ หากแต่ประตูเจ้ากรรมดูจะไม่รับรู้ด้วยอย่างนั้น เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน มันก็เปิดไม่ออก!

                “ให้ตายสิ” อาคุมะสบถ หัวใจของเขาเต้นแรงและเร็วจนคล้ายกับเป็นโรคหัวใจ รู้สึกเหมือนกับใกล้จะสติแตกเต็มที เด็กหนุ่มใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อ ก่อนต้องถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่เมื่อรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในมือ

                หน้ากากเมื่อกี้นี่...

                ถ้าจะให้เด็กหนุ่มเดา... มันคงติดมือมาตอนเขาสติหลุดนั่นแหละ

                เกร้ง!

                ยังไม่ทันให้อาคุมะได้คิดว่าจะทำยังไงต่อไป เสียงระฆังจากที่ไหนสักแห่งก็ดังกังวานขึ้น

                เกร้ง!

              เกร้ง!

                เด็กหนุ่มเผลอกำหน้ากากในมือแน่น ก่อนถอยหลังไปจนติดประตู

                เกร้ง!

              เกร้ง!

                 ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด เริ่มรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดต่อจากนี้ ดวงตาสีเฮเซลมองไปรอบๆที่มีแต่ความมืดอย่างหวาดระแวง

                7… 8… 9… 10…  เสียงระฆังที่ดังขึ้นเรื่อยๆเป็นจังหวะให้เขานับตาม

                 เกร้ง!

                12! 

                ดวงตาสีเฮเซลของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะทันทีที่เสียงระฆังครั้งที่ 12 จบลง แสงไฟสว่างเริ่มก็จับที่โคมไฟระย้า ก่อนที่แสงสว่างจะสาดกระจายไปทั่วคฤหาสน์พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ราวกับบรรดาผู้อาศัยทั้งหลายเพิ่งจะตื่นขึ้น

                นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย....!

     

    ……………………………………………


    Talk :: ก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปนานนะคะ เนื่องจากว่าตอนแรกเราลังเลว่าจะรีไรท์เรื่องนี้ใหม่ดีไหม เพราะว่าเนื้อหาตอนก่อนๆที่เขียนไปมันไม่เข้ากับธีมที่คิดไว้น่ะค่ะ ธีมของเรื่องนี้ที่คิดไว้จะเป็นแนวหลอนๆมืดๆหน่อย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเขียนออกมาได้แบ๊วนัก = =;;; เขียนแล้วลบไปประมาณ 3 รอบเห็นจะได้ค่ะ เลยมีความคิดว่ารีไรท์เถอะ! เพราะอย่างนั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×