คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 1 :: Welcome to the darkness.
1
Welcome to the darkness.
‘ The Vitae ’
คือชื่อร้านซ่อมตุ๊กตาที่ถูกแนะนำว่าดีที่สุดของบาร์ธ
อาคุมะคิดว่าอย่างนั้น... เด็กหนุ่มเดาจากการที่แม่ของเขาขีดเส้นใต้ถึงสามเส้นข้างล่างชื่อนี้ในสมุดบันทึก
หากแต่ทว่านอกจากที่อยู่ที่แม่ของเขาจดเอาไว้แล้ว
อาคุมะกลับไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านได้จากที่อื่นเลย
และนั่นก็ทำให้เขาต้องมายืนขมวดคิ้วอยู่ที่นี่....
ภาพของร้านซ่อมตุ๊กตาตรงหน้าแตกต่างไปจากความคิดของเขาโดยสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มร่างสูง... ที่ตอนนี้จอดจักรยานอย่างงงๆอยู่หน้าประตูรั้วบานใหญ่มองไปรอบๆอย่างไม่แน่ใจ
หากแต่เมื่อพิจารณาประตูตรงหน้าดีๆแล้ว อาคุมะก็ถอนหายใจ
ไม่ผิดแน่... ที่กรอบของกลอนเขียนไว้ว่า ‘ The Vitae ’
เด็กหนุ่มพยายามมองหากริ่งหรืออะไรบางอย่างที่จะทำให้เขาสามารถติดต่อกับคนข้างในได้
หากแต่กลับไม่พบอะไรทั้งสิ้น และเมื่อมองดูดีๆ
เขาถึงได้เห็นว่ากลอนนั้นไม่ได้ล็อกเอาไว้ สายลมรอบตัวที่เริ่มพัดแรงขึ้นทำให้อาคุมะรีบตัดสินใจผลักประตูตรงหน้าออกแล้วปั่นจักรยานเข้าไป
ทางเข้านั้นตอนแรกเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่
2 ข้างทาง
แต่เมื่อปั่นเข้าไปเรื่อยๆ อาคุมะก็เจอกับอดีตสนามหญ้าที่น่าจะเคยงดงามไม่น้อย
หากแต่ตอนนี้กลับมีแต่หญ้ารกชัฏรวมทั้งต้นไม้เล็กๆระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ อะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวแถวนั่นทำเอาเขาสะดุ้งไปเล็กน้อย
แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นตัวบ้าน...
ไม่สิ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า ที่ตั้งตระหง่านดึงดูดสายตาและคล้าย...
กำลังข่มขวัญของผู้มาเยือน
มันเป็นคฤหาสน์แบบโบราณที่อาคุมะเองก็ไม่แน่ใจว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่ทว่าความใหญ่และโอ่อ่าของมันก็ยังมีมากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มทึ่งได้พอๆกับความเก่าแก่และรกร้างของมัน
นี่มันคฤหาสน์ร้าง...?
อาคุมะโวยวายกับตัวเองในใจเมื่อจอดจักรยานที่หน้าบันไดหินอ่อนเก่าๆเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างเกาะเต็มไปหมดซึ่งทอดยาวขึ้นไปจนถึงประตูทางเข้าแล้ว
หรือร้านจะเจ๊งไปแล้ว?
ครืน
ยังไม่ทันให้เด็กหนุ่มได้มีเวลาคิดอะไรต่อ
เสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังขึ้นพร้อมกับสายลมที่พัดกระโชกอย่างน่ากลัว ตามมาด้วยสายฝนที่เริ่มกระหน่ำลงมา
“ให้ตายสิ”
อาคุมะสบถก่อนตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดไปหลบใต้ชายคาคฤหาสน์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มกอดตุ๊กตาในเป้เอาไว้แน่น พยายามให้มันโดนฝนที่กระเซ็นมาน้อยที่สุด
เอาไงดี...
ดวงตาสีเฮเซลมองไปยังประตูบานใหญ่อย่างลังเล
ก่อนหันไปมองสายลมที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหอบเอาน้ำฝนมากระทบกับตัวเขาเป็นระยะ
แล้วจึงตัดสินใจเคาะประตูบานใหญ่นี้ดู
“มีใครอยู่รึเปล่าครับ?” เขาตะโกนถามแข่งกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก
ก่อนตัดสินลองผลักประตูเบื้องหน้าดู หากแต่ประตูเจ้ากรรมดูจะไม่ขยับสักนิด
อาคุมะถอนหายในเฮือกใหญ่ก่อนเอามือข้างที่ว่างทุบประตูอย่างหงุดหงิด
“โอ๊ย” เด็กหนุ่มร้องออกมาเสียงดังเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านเข้ามาในความรู้สึก
‘ โง่ ’
นอกจากคำนี้แล้ว
เขาหาคำอื่นมาอธิบายสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เหมือนกัน และเมื่ออาศัยแสงเล็กน้อยจากสายฟ้าที่ผ่าลงมา
ดวงตาสีเฮเซลจึงได้มองเห็นว่าในมือของตัวเองเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดและมีส่วนหนึ่งที่ติดกับประตูตรงหน้า
ก็ไม่น่าแปลกอะไร... ในเมื่อเด็กหนุ่มมีแผลมาก่อนแล้วจากเศษกระจก
พอทุบประตูแล้วคงไปถูกแผลเดิมเข้านั่นแหละ
แต่ที่น่าแปลกคือ...
อาคุมะเพิ่งเห็นว่าประตูบานใหญ่ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ
……………………………………………
ความมืด...
คือสิ่งแรกที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามายังคฤหาสน์
ก่อนที่ความเย็นยะเยือกจะเข้ามาจับกับหัวใจของเขา
มันไม่ใช่ความเย็นจากสายฝนที่ยังคงพัดกระหน่ำอยู่เบื้องนอกคฤหาสน์ แต่มาจากอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องมองไปรอบๆอย่างหวาดหวั่น
และน่าแปลก... ที่ถึงแม้ข้างนอกจะมีพายุฝน หากแต่ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ยังคงเงียบงัน
ไม่มีแม้แต่เสียงสายฝน
มันเป็นความเงียบที่อึมครึมและทำให้อาคุมะรู้สึกเงียบเหงาอย่างประหลาด
แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือในมือที่เขาเอาผ้าเช็ดหน้ามาพันห้ามเลือดไว้ลวกๆสาดไปตามทางข้างหน้า
บอกให้รู้ว่าเขาอยู่บนพรมเก่าๆที่เหมือนจะปูตลอดตามทางเดิน
อาคุมะหันกลับไปมองประตูหน้าที่ยังคงเปิดไว้อยู่ แล้วถอนหายใจเบาๆ นี่ถ้าประตูทำท่าจะปิดเองอีกเขาจะวิ่งกลับออกไปอย่างไม่ลังเลเลย
หากแต่ประตูยังคงเปิดอยู่อย่างนั้น
ทำให้เด็กหนุ่มกลับมาให้ความสนใจกับภายในคฤหาสน์แทน เบื้องหน้าเขา...
เป็นบันไดโค้งสองฝั่งที่มาบรรจบกันตรงกลางที่ดูเหมือนจะชั้นสองของตัวคฤหาสน์ บ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่โถงทางเข้า
จริงๆแล้วเด็กหนุ่มควรหยุดอยู่แค่นั้น
แต่อะไรบางอย่างที่อาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่จู่ๆก็พุ่งมากขึ้นทำให้เขาเลือกที่จะขึ้นบันไดไป
ในตอนแรก
อาคุมะไม่แน่ใจนักว่าบันไดนี้ยังแข็งแรงพอที่รับน้ำหนักตัวเขาได้รึเปล่า
แต่ทว่าบันไดยังคงมั่นคงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเดินขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้วก็ตาม และนั่นก็ทำให้เขาพอจะรู้สึกไว้วางใจได้มากขึ้น
ฝุ่นมากมายที่จับอยู่บนพื้นพรมทำให้มันกลายเป็นรอยเท้าเมื่อเด็กหนุ่มก้าวผ่านและฟุ้งขึ้นมาจนเขาสำลักเป็นระยะ
อาคุมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดเขาก็มาถึงชั้นสองจนได้
ชั้นสองของคฤหาสน์ยังคงเต็มไปด้วยฝุ่นเช่นเคย
แสงไฟจากมือถือที่ขับไล่ความมืดมิดออกไป
ทำให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่าคฤหาสน์นี้น่าจะแบ่งออกเป็นสองฝั่งตามโถงทางเดินที่ทอดยาวออกไปทั้งทางซ้ายและขวา
หากแต่เด็กหนุ่มกลับสะดุดตากับห้องที่อยู่ตรงกลางมากที่สุด
อาคุมะเดินไปถึงห้องนั้นก่อนที่เขาจะรู้ตัวเสียอีก
ถึงแม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มก็ค่อยๆเปิดประตูไม้ตรงหน้าอย่างช้าๆ มันฝืด...
แต่ก็เปิดออกในที่สุด
ฝุ่นมากมายที่พุ่งกระจายออกมาทำให้เขาสำลักอย่างช่วยไม่ได้
เด็กหนุ่มถอยหลังไปเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นปิดหน้า รอจนฝุ่นจางไปแล้ว
จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องอย่างเบลอๆ
มันเป็นห้องขนาดกลางๆ
ลักษณะคล้ายห้องนั่งเล่น
พื้นห้องปูด้วยพรมหนาเช่นเคยแต่เพราะความเก่าทำให้มันกร่อนและผุไปมาก
โต๊ะน้ำชากลมเล็กวางที่มีแจกันดอกไม้วางอยู่ถูกจัดให้ตรงอยู่กลางห้องเยื้องหน้าเตาผิงมาเล็กน้อย
ล้อมรอบด้วยเก้าอี้นวม 4 ตัว ที่มีสิ่งที่ให้ลมหายใจของอาคุมะสะดุดตั้งแต่แรกเห็น
คน!
ไม่ใช่สิ... ตุ๊กตา...
หุ่นต่างหาก
อาคุมะเร่งแสงไฟจากมือถือขึ้นอย่างไม่กลัวแบตหมด
จากแสงไฟที่เพิ่มขึ้นทำให้เด็กหนุ่มได้เห็นว่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้ง 4 ตัวนั้นคือหุ่นของหญิงสาว
4 คน ดวงตาทุกคู่บนใบหน้างดงามเหล่านั้นว่างเปล่าสะท้อนแสงไฟในมือเขาราวกับไร้ชีวิต
ก็ต้องไม่มีชีวิตอยู่แล้วสิ
เด็กหนุ่มย้ำกับตัวเอง
ประสาทสัมผัสที่ค่อนข้าง ‘พิเศษ’ ของเขาบอกให้เขารีบกลับออกไปได้แล้ว
หากแต่เด็กหนุ่มกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
อาคุมะเดินเข้าไปราวกับตกอยู่ในภวังค์
ถึงแม้รอบตัวเขาจะมีแต่ฝุ่นมากมายแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าหุ่นทั้ง 4 ตัวตรงหน้าเขากลับไม่มีแม้รอยหยากไย่
จากแสงไฟทำให้เขาเห็นว่าตรงหน้าหุ่นทุกตัวบนโต๊ะ
มีหน้ากาก... แบบที่เด็กหนุ่มเคยเห็นตามงานเต้นรำในภาพยนต์ต่างๆ คิ้วเรียวเข้มของเด็กหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างแปลกใจ
และก่อนที่อาคุมะจะรู้ตัว
หน้ากากที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ในมือของเขาเสียแล้ว
จากหางตา
เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองเห็น...
ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่กำลังวาววับขึ้นคล้ายกับไม่พอใจอยู่
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เร็วเท่าความคิด อาคุมะวิ่งออกมาจากห้องทันที
เด็กหนุ่มวิ่งตาลีตาเหลือกลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว
ก่อนชะงักงันเมื่อเห็นว่าประตูทางเข้าที่เคยเปิดนั้นกลับปิดอยู่
“ใจเย็น อาคุมะ
ใจเย็นไว้ ตั้งสติก่อน เมื่อกี้นายก็แค่ตาฝาดล่ะน่า....”
อาคุมะบอกกับตัวเองเบาๆพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจพร้อมกับก้าวช้าๆไปยังประตู
ขอให้เปิดได้ด้วยเถอะ
เด็กหนุ่มภาวนาในใจ
หากแต่ประตูเจ้ากรรมดูจะไม่รับรู้ด้วยอย่างนั้น เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน
มันก็เปิดไม่ออก!
“ให้ตายสิ” อาคุมะสบถ
หัวใจของเขาเต้นแรงและเร็วจนคล้ายกับเป็นโรคหัวใจ รู้สึกเหมือนกับใกล้จะสติแตกเต็มที
เด็กหนุ่มใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อ
ก่อนต้องถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่เมื่อรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในมือ
หน้ากากเมื่อกี้นี่...
ถ้าจะให้เด็กหนุ่มเดา...
มันคงติดมือมาตอนเขาสติหลุดนั่นแหละ
เกร้ง!
ยังไม่ทันให้อาคุมะได้คิดว่าจะทำยังไงต่อไป
เสียงระฆังจากที่ไหนสักแห่งก็ดังกังวานขึ้น
เกร้ง!
เกร้ง!
เด็กหนุ่มเผลอกำหน้ากากในมือแน่น
ก่อนถอยหลังไปจนติดประตู
เกร้ง!
เกร้ง!
ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด
เริ่มรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดต่อจากนี้ ดวงตาสีเฮเซลมองไปรอบๆที่มีแต่ความมืดอย่างหวาดระแวง
7… 8… 9… 10… เสียงระฆังที่ดังขึ้นเรื่อยๆเป็นจังหวะให้เขานับตาม
เกร้ง!
12!
ดวงตาสีเฮเซลของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ
เพราะทันทีที่เสียงระฆังครั้งที่ 12 จบลง
แสงไฟสว่างเริ่มก็จับที่โคมไฟระย้า
ก่อนที่แสงสว่างจะสาดกระจายไปทั่วคฤหาสน์พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ราวกับบรรดาผู้อาศัยทั้งหลายเพิ่งจะตื่นขึ้น
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย....!
……………………………………………
Talk
:: ก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปนานนะคะ
เนื่องจากว่าตอนแรกเราลังเลว่าจะรีไรท์เรื่องนี้ใหม่ดีไหม
เพราะว่าเนื้อหาตอนก่อนๆที่เขียนไปมันไม่เข้ากับธีมที่คิดไว้น่ะค่ะ
ธีมของเรื่องนี้ที่คิดไว้จะเป็นแนวหลอนๆมืดๆหน่อย
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเขียนออกมาได้แบ๊วนัก = =;;; เขียนแล้วลบไปประมาณ
3 รอบเห็นจะได้ค่ะ เลยมีความคิดว่ารีไรท์เถอะ! เพราะอย่างนั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ
ความคิดเห็น