คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : scene 05 : อาจเป็นเพราะเราเกิดมาเพื่อแพ้ทางใครสักคน
05
น้ำหนักกดทับที่หน้าท้องแกร่ง ส่งผลให้เจ้าของกายสีน้ำผึ้งขมวดเรียวคิ้วหนา ก่อนจะขยับตัวเพื่อให้ร่างกายของตนเป็นอิสระ ทว่าแรงดึงรั้งจากท่อนแขนของใครบางคนกลับไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้น ออกแรงรั้งเอาไว้อย่างเอาแต่ใจไม่ให้หมอนข้างมีชีวิตขยับหนีหายไปจากอ้อมกอดของตนเอง
“...”
ค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะสบเข้ากับใบหน้าขาวจัด ผมหน้าม้าเต่อเลยคิ้ว ขนตายาวเป็นแพรที่เรียงตัวสวยอย่างดีราวกับผู้หญิง จมูกโด่งแสนดื้อรัน และริมฝีปากสีชมพูได้รูปปิดสนิท ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วดังก่อกวนใจ ในยามหมดฤทธิ์ก็พร้อมจะกลายเป็นลูกแมวไร้ทางสู้
“อื้อ พ่อ..”
เจตน์ภพทำท่าจะลุก แต่น้องกอดเอาไว้ไม่ปล่อยแล้วยังละเมอเรียกสรรพนามดังกล่าวแบบนั้นอีก เชื่อแล้วว่าทั้งชีวิตนี้ศิรภัทรรักคุณพ่อศรัณย์วรรษมากกว่าใคร เพราะท่านเป็นคนเดียวที่น้องเหลืออยู่หลังจากเสียแม่ไปตั้งแต่ออกมาลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงเสี้ยวนาที
“ฉันไม่ใช่พ่อนายสักหน่อย ยัยนมผง” ปากก็ว่า แต่มือคู่นี้มันกลับเลื่อนไปลูบกลุ่มผมสีเข้มอย่างเบามือ เผลออ่อนโยนผิดกับนิสัยแข็งกระด้างของตนอย่างไม่ได้ตั้งใจ .. ก็แล้วทำไมต้องระบายยิ้มออกมาแบบนี้ด้วย
น้องใส่ชุดนอนของเขา แล้วมันก็ตัวใหญ่พอที่จะปกป้องกายบอบบางจากแอร์เย็นๆ เมื่อคืนนี้กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีสอง ราวกับจะรอให้ท้องมันย่อยข้าวไข่เจียวกุ้งของเขาอย่างไรอย่างนั้น พูดจ้อไม่หยุดจนต้องดุว่าถ้ายังไม่เงียบจะพาไปส่งที่บ้านมันตอนนี้เลย แล้วคราวนี้ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองแทบจะทันที
“พ่อ~”
ขยับปากส่งเสียงออกมาอีกครั้งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดละเมอ ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้บ่อยหรือเปล่า แต่พอเห็นน้องในมุมเด๋อๆเอ๋อเป็นเด็กไร้ทางสู้ตอนนอนหลับสนิทแบบนี้มันก็อยากรังแก ริมฝีปากเล็กสีเชอร์รี่ก็ยังไม่หยุดละเมอส่งเสียงน่ารักออกมา คนกายสูงได้แต่ตามใจ ปล่อยให้น้องกอดเป็นเด็กเอาแต่ใจ แล้วไล่มองใบหน้าสวยได้รูปที่อยู่ในระยะใกล้ๆแบบนี้อย่างเผลอตัว
“...”
กระทั่งก้อนเนื้อในอกมันสั่งการให้เขาปิดกลีบเนื้อนุ่มนั่นซะ อย่าได้เผยอพูดออกมาให้ใจเต้นอีก แม้จะไม่ใช่ลุงวรรษแต่การละเมอเรียกแบบนี้ในเวลาที่เราอยู่กันเพียงแค่สองคนมันเป็นอันตรายมากขนาดไหน แน่นอนว่าศิรภัทรเองก็ไม่รู้ตัว .. ไม่มีการรุกล้ำ เขาเพียงแตะลงเบาๆให้น้องหยุด เสียงๆนั้นก็พร้อมจะกลืนหายลงคอไปเสียปลิดทิ้ง แอบกดย้ำเบาๆเพราะมันอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ พออีกฝ่ายเริ่มขยับตัว เจตน์ภพจำต้องถอดถอนจุมพิตที่แอบฉกชิมเด็กดื้อในยามเช้าออกไปทันที
“อือ ~”
ส่งเสียงงัวเงียออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาบังแสง ก่อนจะขยี้ต่างอย่างคนเพิ่งตื่นนอน ผ้าห่มถูกดึงมาบดบังความสว่างที่แยงตาแล้วโผล่ออกมาเพียงแค่หน้าผาก กระพริบตาปริบๆเป็นการปรับโฟกัสให้ชัดเจนขึ้น
สถานที่แปลกตาทำให้เจ้าตัวไม่คุ้นชิน ไล่มองไปรอบๆและเจอเข้ากับกรอบรูปกรอบใหญ่ติดอยู่ข้างผนัง ใครบางคนในภาพดังกล่าวคงจะตื่นก่อนเขาไปแล้ว รู้ตัวแบบนั้นเลยรีบลุกออกจากเตียง ตั้งสติตัวเองให้เดินตรงทิศทางไม่งัวเงียจนเดินเซล้ม ก่อนจะก้าวขาออกมาจากห้องนอน
“คุณกลางตื่นแล้วเหรอ..” เป็นเสียงของศิรภัทรที่ดังขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของเจ้าของสรรพนามดังกล่าว
“อืม” ตอบรับเบาๆในลำคอ เสียงช้อนกระทบแก้วไม่ต้องบอกก็รูปว่าคงจะตื่นมาชงกาแฟ เขาหันมามองใบหน้าของเด็กเพิ่งตื่นนอน ผมเผ้าชี้ฟูไม่เป็นทรงกำลังทำให้ต้องกลั้นขำเอาไว้ .. แล้วต้องซื่อบื้อขนาดไหนถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าตัวเองโดนจูบ?
“อาบน้ำเสร็จช้างคงจะมาถึงพอดี” เจตน์ภพพูด “แล้วก็ไม่ต้องห่วง นายจะได้กินมื้อเช้าฝีมือป้าไพร ฉันสั่งให้ช้างเอามาให้แล้ว”
“ว้า~ เรานึกว่าจะได้กินไข่เจียวกุ้งของคุณกลางซะอีก”
“ฝันไปเถอะ ยัยนมผง” ดูถ้าจะชอบมากจริงๆนั่นแหละ ไม่รู้ว่าหิวมากหรืออะไร ถึงได้ฟาดเรียบไม่เหลือร่องรอย ประหนึ่งว่าไม่ต้องล้างจานก็สะอาด
“กินข้าวเสร็จแล้วฉันจะไปส่งที่มหาลัย”
“อื้อ ครับ!” ศิรภัทรตอบรับ “แล้ว..วันนี้คุณกลางไปไหนไหม”
“ถามทำไม หื้ม?”
“เราแค่ถามดู เรากลัวว่าจะรบกวน” (. _ .) เอ่ยออกมาอย่างไม่มั่นใจ ทั้งมาค้างที่ห้อง ทั้งให้คนเป็นพี่ทำข้าวไข่เจียวให้กิน แค่นี้ก็เกรงใจพออยู่แล้ว แถมอีกฝ่ายยังจะพาเขาไปส่งถึงที่มหาลัยอีก
“ถ้ารบกวน..ก็คงไม่พามาถึงที่นี่หรอก” เจตน์ภพตอบอย่างไม่ยี่หระแล้วระบายยิ้มออกมาบางๆที่มุมปาก แล้วมันก็บางพอที่จะทำให้คนอย่างศิรภัทรไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้น
วันนี้เป็นวันที่พี่หมอนัดไปดูอาการที่ขา น้องอาการดีขึ้นมากแต่ก็ยังเดินได้ไม่คล่องเท่าที่ควร อาศัยนวดยาและกินยาตามที่พี่หมอบอกก็คงจะดีขึ้นกว่านี้ แน่นอนว่าเจตน์ภพรับหน้าที่พาน้องไปหาหมออีกเช่นเคย
“คุณกลาง” ทำท่าจะหมุนตัวเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว พลันให้สองขามันหยุดอยู่ที่เดิมและเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าหล่อคมอีกครั้ง
“ว่าไง?”
“...” ไม่ได้ตอบออกมาในทันที เพียงแต่เม้มปากแล้วยืนอยู่นิ่งๆที่เดิมอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกว่าตัวเองฝันแปลกๆ และมันเหมือนจริงเสียจนแยกไม่ออกว่านั่นเป็นเพียงความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่
“เราว่าเราฝันแปลกๆ..” ส่งเสียงเล่าออกมาเบาๆ พร้อมยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปาก รู้สึกถึงความอุ่นร้อนและสัมผัสแปลกๆที่ริมฝีปากของตนเมื่อก่อนที่จะตื่นขึ้นมา เรียวคิ้วสวยขมวดเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบรอน้องพูด .. กระทั่งประโยคถัดมาที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเล็ก แทบจะทำให้คนฟังอย่างเจตน์ภพเกือบสำลักกาแฟดำของตนอย่างไม่ทันตั้งตัว..
“เราฝันว่าเราโดนจูบ..”
“...”
“แต่เหมือนจริงมากๆเลย”
- - - - - - - - - -
รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้ารั้วมหาลัย ใช้เวลาราวๆครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย โดยมีใครบางคนนั่งอารมณ์ดีดูดนมกล่องอยู่ข้างๆคนขับ ป้าไพรคงจะรู้ดีว่าน้องชอบกินนมก่อนไปเรียนทุกเช้าเลยฝากนมกล่องมาให้คุณหนูตัวเล็กพร้อมข้าวเช้าหน้าตาน่ากินที่นายช้างเอามาให้เมื่อเช้านี้ เนื่องจากผู้ชายอย่างเจตน์ภพไม่มีความสามารถพอจะทำให้น้องกินไปมากกว่าไข่เจียวแบบเมื่อคืนแล้วจริงๆ จะให้ทำสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเกิดท้องเสียขึ้นมาคงไม่ดีแน่
“เลิกเรียนแล้วฉันจะมารับที่เดิม”
“อื้อ!”
“ต้องเดินไปส่งหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” ได้ยินแบบนั้นคนเป็นพี่เลยพยักหน้ารับ น้องปลดเข็มขัดแล้วถือกล่องนมลงไปด้วยเพื่อจะเดินไปทิ้งเอง หยิบกระเป๋าและสัมภาระลงจากรถ เปิดประตูออกไปแต่ไม่วายก็หันมาหาเขาอีกครั้งแล้วจ้องมองด้วยรอยยิ้มซื่อๆแบบที่ชอบทำ
“ขอบคุณนะครับ” เพราะยังไงตนก็อายุน้อยกว่า ถึงคนพี่จะบอกว่าเขาไม่ได้รบกวนอะไรแต่ก็รู้สึกเกรงใจอยู่ดี เป็นอีกครั้งที่น้องยิ้มจนตาหยี และมันพอที่จะทำให้คนถูกขอบคุณลืมคำที่ตัวเองจะพูดไปเสียหมด .. อยากจะพูดออกมาว่าน่ารักเหลือเกิน แต่ติดตรงที่ปากมันดันไม่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจก็เท่านั้น..
รอให้แน่ใจว่าน้องเดินเข้าไปในตึกคณะอย่างปลอดภัย จึงขับรถออกมาเพื่อเดินทางไปคุยงานกับผู้ใหญ่ที่พี่หาญโทรนัดให้เขาในช่วงสายที่จะถึง ชื่อเสียงของเจตน์ภพในตอนนี้โด่งดังพอที่จะมีงานเข้ามาจนแทบไม่มีวันหยุด ทั้งๆที่เมื่อวานก็เพิ่งถ่ายแบบเสร็จไปหมาดๆ เพราะฉะนั้นมันคงไม่แปลกที่ใครหลายคนจะจับตามองอยากได้เขามาร่วมงาน
ศิรภัทรยกมือขึ้นดูนาฬิกา ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงโต๊ะว่างๆใต้ตึกคณะรอเพื่อนอย่างครีมและเครป วันนี้คงจะพากันมาสายเพราะปกติจะเห็นสองแฝดนั่งกินขนมรอเขาอยู่ใต้ตึกแต่เช้า
“แก เมื่อกี๊ใช่รถพี่ไคหรือเปล่าอ่ะ”
“ใช่ๆ ฉันจำได้ สงสัยมาส่งเซฮุน”
เสียงซุบซิบของกลุ่มนักศึกษาดังขึ้นพอที่จะให้คนที่นั่งรอเพื่อนอย่างเจ้าของกายบอบบางเผลอได้ยินเข้าอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้หันไปมองที่มาของเสียง แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงจะเป็นกลุ่มผู้หญิงที่ชอบเมาท์ชอบนินทากันตามประสา
“น่าอิจฉาเนอะ เป็นญาติกันก็มารับมาส่งถึงที่”
“ญาติกันที่ไหนล่ะแก...”
“แว่วว่าเซฮุนเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยงหรอกย่ะ!”
กระทั่งประโยคดังกล่าวเล็ดลอดเข้ามาในหู หัวใจดวงนี้ก็พร้อมกระตุกวูบราวกับมีคนเอาอะไรมาทิ่มแทง เขาไม่สนว่าคนพวกนั้นจะเห็นว่าตนนั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ไม่สนว่าจะตั้งใจพูดหรือไม่ได้ตั้งใจ และเขาก็พร้อมจะนั่งอยู่ที่เดิมตรงนี้ไม่หนีไปไหนเพียงเพราะสิ่งที่พวกเขาพูด .. มันคือความจริงทั้งหมด
ศิรภัทร พัชรเดชโภคิน บุตรชายคนเดียวของคุณชายศรัณย์วรรษ และหญิงสาวชาวเกาหลีใต้อย่างโออึนแช ในตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากเด็กกำพร้าที่ตระกูลเทวบดินทร์รับเลี้ยงเขาเพียงเพราะเด็กตาดำๆคนนี้ดันโชคร้ายเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่วัยเยาว์ นั่นคือสิ่งที่เขารู้อยู่แก่ใจ และใครหลายคนก็คงรู้ดีว่าแม้แต่ความเกี่ยวพันธ์กันทางสายเลือดกับเทวดินทร์ .. ก็ไม่มีเลยสักนิด
“ว่างมาเหรอไง ถึงมาจับกลุ่มนินทาคนอื่นเขาแบบนี้” เป็นเสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้นแทรกกลางวงสนทนาของพวกผู้หญิงขี้เมาท์ พอที่จะทำให้เซฮุนหันไปมองและมันก็ทำให้คนพวกนั้นเห็นเขาเข้าพอดี
“งานเข้าแล้วแก! ทำไมไม่บอกฉันว่าน้องเขานั่งอยู่ตรงนี้!”
หญิงสาวคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน ก่อนพวกที่เหลือจะพร้อมใจกันกอบโกยกระเป๋าลุกหนีไปที่อื่นท่ามกลางชายหนุ่มที่ยืนกอดอกมองด้วยท่าทางเอือมๆ ผู้ชายที่ไหนก็คงไม่ชอบผู้หญิงขี้นินทา แล้วก็ยิ่งไม่ชอบมากๆถ้าคนที่เป็นหัวข้อนินทาดันเป็นคนที่ตนชอบ
“อย่าไปสนพวกนั้นเลยนะ”
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ” พีทนั่งลงฝั่งตรงข้าม พอเห็นว่าคนตัวผอมนั่งอยู่คนเดียวเลยหวังจะเดินเข้ามาทักทาย แต่ก็ไม่วายดันไปได้ยินกลุ่มนั้นพูดถึงอีกฝ่ายในทางเสียหาย เลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปตักเตือน
“เซฮุนมารอเพื่อนเหรอ”
“อื้ม สงสัยวันนี้ครีมกับเครปจะมาช้า” ศิรภัทรคนนี้ก็ยังเป็นศิรภัทรอยู่วันยันค่ำ พร้อมจะลืมเรื่องแย่ๆก่อนหน้านั้นแล้วหันมาส่งยิ้มให้คนฟังเช่นเดิม
“วันนี้..คนนั้นเขามาส่งสินะ” ถามออกมายิ้มๆ และเซฮุนก็พอจะรู้ว่าคนนั้นที่ว่าหมายถึงคนไหน ถึงได้พยักหน้าเป็นคำตอบให้คนถาม
แม้จะรู้สึกแปลกๆอยู่นิดหน่อยที่พักหลังมานี้นายดาราดังคนนั้นมาส่งเพื่อนร่วมห้องที่ตนแอบชอบอยู่บ่อยๆ แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าเซฮุนคงจะขาเจ็บ เลยไม่ได้ขี่จักรยานมาเองแบบเมื่อก่อน จะบอกว่าเขาไม่ชอบหน้าก็ไม่ใช่ แต่พอเห็นทีไร..มันก็พาลให้ไม่ชอบใจไปเสียทุกที
“พีท คือว่าวันนี้เราคงไปดูพีทร้องเพลงไม่ได้”
“อ่า..เหรอ”
“เราต้องไปโรงพยาบาลน่ะ พอดีวันนี้ครบกำหนดตรวจ” เซฮุนทำหน้ารู้สึกผิด “เราขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” เขายิ้ม “ความจริงเราก็ผิดเองที่ดันไปชวนทั้งที่รู้ว่าเซฮุนยังไม่หายดี ลืมคิดไปเลยว่ามันคงอันตรายแน่ๆถ้าปล่อยให้เซฮุนเข้าไปอยู่ในที่ที่คนเยอะๆแบบนั้น” ร่ายยาวไม่ให้อีกคนทำหน้ารู้สึกผิด ทว่าคนฟังกลับยิ่งทำหน้าแบบเดิมเข้าไปใหญ่เนี่ยสิ
“พีทใจดีจังเลยเนอะ” (. _ .)
“ก็พีทเป็นห่วงเซฮุน”
พูดออกมาทันทีอย่างไม่ต้องคิดนาน และศิรภัทรก็พร้อมจะเงียบเสียงลงทันทีเช่นกันเมื่อได้ยินแบบนั้น โดนส่งยิ้มอบอุ่นใส่จนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเพราะกลัวจะทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ภาวนาขอให้เพื่อนสนิทสองแฝดมาหาเขาโดยเร็วเสียทีเถอะ
“เซฮุน”
“ห..หื้ม” ตอบรับออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก คราวนี้ดันมาเรียกชื่อเขาแต่ไม่มีประโยคต่อท้ายจึงทำให้คนถูกเรียกหวั่นใจอยู่แปลกๆ หันกลับมามองหน้าเพื่อนร่วมห้องคนนี้อีกครั้งอย่างรอคำตอบ กระทั่งประโยคสุดท้ายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่เราไม่ได้ตั้งใจก่อให้มันเกิดขึ้น ศิรภัทรถึงรู้แล้วว่า..เขาไม่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกคนเดียวเลยจริงๆ..
“เซฮุน..มีคนที่ชอบแล้วหรือยัง ?”
- - - - - - - - - -
พริษฐ์ใช้เวลาราวๆร่วมชั่วโมงกับการก้มหน้าก้มตาเลือกชุดใส่ไปงานสำคัญของเพื่อนสนิทว่าที่เจ้าสาวโดยเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึง ใบหน้าเคร่งเครียดเพราะเลือกอย่างไรก็ไม่ถูกใจเสียที ทั้งที่ชุดผู้ชายก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเสื้อ กางเกง และสูทเท่ๆสักตัว ไม่เหมือนอย่างผู้หญิงที่ต้องมีเครื่องประดับ และดีไซน์ชุดพันแบบล้านแบบให้เลือกละลานตา
เจ้าของกายเล็กถอนหายใจ อาจเป็นเพราะเพื่อนคนนี้ของเขาอีกคนก็สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งยันจบ ที่หลังๆห่างออกไปก็เพราะว่ามันมีแฟนและกำลังจะสร้างครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝา เลยหาโอกาสนัดเจอพูดคุยกันบ่อยแบบแต่ก่อนได้ยาก ล่าสุดก็พาแฟนมันมานั่งกินบิงซูร้านเขาแล้วบอกข่าวดีว่าจะแต่งงานเนี่ยแหละ ซึ่งแน่นอนว่าเชนเองก็ถูกเชิญให้ไปร้องเพลงในงานแต่งด้วยกัน
"กินไอติมเย็นๆแก้เครียดไหมเฮีย เห็นทำหน้าแบบนี้มาจะครบชั่วโมงแล้ว ผมหัวร้อนแทนเลยว่ะ"
"ไม่เอาเว้ย" เบตอบทั้งที่สายตายังจ้องหน้าจอ "จ้อน"
"ครับเฮีย"
"มึงว่ากูใส่ชุดนี้แล้วจะเข้าป่ะ"
"อืม.." คนถูกถามทำหน้าคิด มองรูปของนายแบบสลับกับคนอายุมากกว่าอยู่สามสี่รอบจนพริษฐ์เริ่มขมวดคิ้วว่ามึงจะขยับลูกตาไปมาให้กูมองตามจนปวดอีกกี่รอบ!
"ชุดนี้เหมาะกับป๋ามากกว่าว่ะเฮีย"
"จริงหรอวะ..ทำไมไม่เหมาะกับกูอ่ะ กูก็ว่ากูหน้าตาพอเทียบนายแบบที่ใส่ได้อยู่นา.." พริษฐ์ยักไหล่แล้วเอาหน้าไปเทียบอย่างมั่นอกมั่นใจ
"แต่เฮียเตี้ย"
"..." (- _ -) ได้ยินเท่านั้นก็แทบจะคว่ำถ้วยไอศครีมที่มันตักมาให้ลงบนหัวมันนั่นแหละ เออ ไอ้พวกสูง ไอ้เชนก็สูง อย่ามายืนขนาบข้างกูนะมึ๊ง จะโกรธยันหลานเลย โทษฐานทำคนเตี้ยอย่างกูเป็นหลุม = _ =
ว่าแล้วก็ตัดสินใจไลน์ไปถามน้องเซฮุนเด็กแฟชั่นที่ดูท่าจะให้ความรู้และคำแนะนำกับเขาได้ดี ถึงตนเองจะเรียนจบศิลป์กรรมมาแต่ใช่ว่าศิลปะในการเลือกเสื้อผ้ามันจะมีอยู่ในตัวพริษฐ์คนนี้สักหน่อย นั่นเพราะเขาถนัดงานออกแบบกราฟฟิก สเก็ตช์ภาพเหมือนอะไรเทือกนั้นเสียมากกว่า ซึ่งมันคนละสายกับการออกแบบสิ่งทอโดยสิ้นเชิง ถึงคราวจะไปงานใหญ่ทั้งทีก็คงต้องไหว้วานน้องเขาให้ช่วยมาเป็นสไตลิสให้ที
"ความจริงชุดที่มึงเคยใส่ไปงานแต่งพี่สาวกู..น่ารักดี" เป็นเสียงทุ้มต่ำของเพื่อนสนิทใบหน้าหล่อปนหวาน ก่อนเจ้าตัวจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆหลังจากก่อนหน้านั้นเจ้าของร้านอย่างเชนรพีจัดการเคลียร์บัญชีที่ร้านจนเสร็จ เตรียมตัวจะกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนสนิทตัวเล็ก
“เหรอวะ..มันจะไม่ซ้ำซากหรอ”
“ไม่หรอก นั่นมันก็กี่ปีแล้ว” จะว่าไปก็ลืมนึกถึงตอนพี่สาวไอ้เชนแต่งงานสมัยตอนเรียนมหาลัยกับมัน ตอนนี้เจ๊แกย้ายไปอยู่กับสามีที่ออสเตรเลียแล้ว จะได้เจอทีก็ตอนที่เจ๊แกกลับมาไทยนั่นแหละ
“ว่าแต่มึงเถอะ เลือกชุดได้ยัง” หันไปถามคนข้างๆ เชนทำหน้ายิ้มแห้งๆ แล้วส่ายหัวเป็นคำตอบ นั่นเพราะเขาไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องแต่งตัวมากเสียเท่าไหร่ ถ้ามันเลือกยากนัก ก็ยืมสูทเก่าๆของพ่อมาใส่เลยแล้วกัน รายนั้นรับงานราชการอยู่กระทรวงต่างประเทศ ออกงานบ่อยใช่ย่อยเหอะ
“ป๋าหุ่นดี ใส่ชุดไหนก็ดูดีคร้าบ เชื่อมโพ้ม” จอห์นนี่เสริม
“จะย้ำว่ากูเตี้ยอีกรอบถูกมะ”
“ผมยังไม่ได้พูดน้าเฮีย” เบขยับปากด่าแบบไม่มีเสียง ท่าทางยักไหล่กวนประสาทแบบนั้นจะให้เขาคิดเป็นอย่างไรไปได้อีก
ท้องฟ้าเริ่มมีก้อนเมฆปกคลุมจนครึ้ม ไม่รู้ว่าฝนทำท่าจะตกอีก หรือเพราะวันนี้มืดเร็วกว่าปกติ เชนหยิบหมวกกันน็อคที่วางอยู่หลังเคาท์เตอร์ออกมาถือไว้ ปกติก็จะห้อยไว้กับปู่(เวสป้า)อย่างเดิมก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าคราวก่อนโน้นโดนคนมือดีขโมยไปทั้งของเขาและของเพื่อน ตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยต้องถือมาไว้ในร้านอย่างที่เห็น สมัยนี้เผลอได้ที่ไหน มันฟาดเรียบแม้กระทั่งหมวกกันน็อคครับ
“ฝากปิดร้านด้วย เดี๋ยวต้องพามันไปส่งที่บ้านทำงานต่อ”
จอห์นนี่พยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนเขาจะเดินออกมาหลังร้านที่มีคุณปู่หรือเวสป้ายานพาหนะคู่ใจของเชนรพี หมวกกันน็อคถูกสวมให้กับเพื่อนสนิทจนพริษฐ์หัวเซไปอีกทางเพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว มีการสบถด่าเขาเบาๆกระทั่งขายาวก้าวคร่อมคุณปู่ สตาร์ทเครื่องแล้วบิดใส่อย่างกวนประสาท พริษฐ์ถึงได้ยอมขึ้นไปนั่ง .. เสียงท่อไอเสียดังอย่างกับตดแมวแล้วยังจะมาทำโชว์ โว้ะ!
เป็นปกติที่เราจะกลับบ้านด้วยกันบ่อยๆ นั่นเพราะบ้านของเขากับเพื่อนสนิทตัวเล็กคนนี้ไม่ได้อยู่ไกลกันมากนะ เพราะฉะนั้นมันคงไม่แปลกที่บางครั้งจะมาค้างบ้านเจ้าของใบหน้าหล่อปนหวาน เพื่ออัดคลิปร้องเพลงด้วยกันบ่อยๆในสตูดิโอเล็กๆของเชนรพี
“เออ วันก่อนที่มึงบ่นปวดท้อง หมอว่าไงบ้าง ?” ถามขึ้นหลังจากนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนเพื่อนสนิทตัวสูงของเขาจู่ๆก็ปวดท้องรุนแรงจนไปดูร้านไม่ไหว เขาที่ติดคุยงานกับลูกค้าอยู่ก็เลยไปหามันถึงบ้านไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ได้ลากมันไปโรงพยาบาลให้รู้แล้วรู้รอด สุดท้ายก็ต้องขอบคุณป้าหรือแม่มันคนเดิมที่อย่างน้อยก็หว่านล้อมจนมันยอมออกไปคลินิกใกล้หมู่บ้าน
“ก็ไม่มีอะไร”
“อย่ามาโกหกกู” เขาสวน “กูจริงจังนะ” เพิ่มระดับเสียงให้ได้ยินยามรถจักรยานยนต์ขับโต้ลม เชนอมยิ้มขำ เขายังไม่ได้ตอบขำถามนั้นเพราะรอให้ถึงหน้าบ้านของเพื่อนเสียก่อน อันที่จริงระยะทางจากร้านมาถึงบ้านก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่ นั่งรถเมล์ไม่กี่ป้ายก็ถึง แต่ก็อย่างที่บอกว่าคนอย่างพริษฐ์ที่โตจนป่านนี้แล้วก็ยังชอบนั่งเลยป้าย จะปล่อยให้กลับมาคนเดียวก็ติดตรงเป็นห่วงมันนั่นแหละ
“หมอบอกว่ากูอยู่ได้ไม่นาน” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับล้อที่หยุดหมุนและเครื่องยนต์ที่หยุดทำงาน และมันก็คงจะพอๆกับหน้าอกที่กระตุกวูบไปชั่วขณะยามได้ยินประโยคดังกล่าวของอีกฝ่าย
“เชน..”
“คลินิกปิดสองทุ่ม แต่กูไปถึงก็ทุ่มครึ่งแล้วว่ะ เลยอยู่ได้ไม่นาน”
“.....”
“555555555555555555555555555555555”
“ไอ้ห่าพี่เชน! กูขอให้น้ำมันหมดกลางทาง แล้วกูก็จะปิดเครื่องให้มึงโทรหากูไม่ติด!”
“ใจร้ายได้แค่นี้เหรอ”
“เออ!”
ตะโกนใส่หน้าพร้อมถอดหมวกกันน็อคออกมาก่อนจะยื่นคืนใส่อีกคนแรงๆจนเชนรพีต้องยกมือมากุมท้อง ทั้งเจ็บและขำ ไม่คิดว่ามุกกะโหลกกะลาแบบนั้นจะสามารถหลอกล่อใครสักคนให้หลงเข้ามาในกับดัก เขาก็แค่เห็นในโซเชียลมันแชร์กันให้ว่อนเลยอยากลองเล่นกับเหยื่อ(?)สักคนดู แล้วพริษฐ์ก็แค่เป็นคนๆนั้น
“ไม่เคยได้ยินเหรอ ถ้าอยากเล่นมุกควายก็อย่าอายที่จะเล่น”
“หลอกควายอย่างกูได้สบาย กูก็เลยเป็นควายเลยว่างั้น”
“แต่ติดตรงที่มึงเป็นหมู..”
“เลิกกวนตีนสักครั้งจะเอาเท่าไหร่ว่ากันตรงนี้เลยเหอะว่ะ”
ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทำท่าถกแขนเสื้ออย่างเอาเรื่องแล้วจ้องเขาตาเขม็ง นี่มันถิ่นใคร เด็กข้างบ้านเป็นแก๊งดีดหนังยางนะโว้ย ผิวปากเรียกมันทีเดียวก็พร้อมจะมีลูกกระจ๊อก(เป็นเด็กประถม)กันทั้งซอยแล้ว .. แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน เชนรพียิ้มมุมปาก แล้วเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“งั้นถ้ากวนใจน้องเบ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกใช่ไหมคะ?”
และประโยคนั้นก็พอจะทำให้คนฟังลืมคำพูดคำด่าลงคอไปเสียทั้งหมด ใครใช้ให้ยิ้มแบบนั้น ใครใช้ให้ยื่นหน้ามาใกล้ๆแบบนั้น หากวันใดพริษฐ์คนนี้มันกลั้นไออาการที่เรียกว่า 'เขิน' ไม่ไหวขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทที่อุตส่าห์ประคับประคองกันมาตลอดหลายปี ?
“วันงาน..แต่งแบบเดิมนั่นแหละดีแล้ว น่ารัก” ต้องขอบคุณเชนรพีที่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
“มึงจะไม่ให้กูหล่อแซงมึงหน่อยเหรอ” พริษฐ์เบ้ปาก
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวสาวๆเข้าหาเยอะ”
“อือ มึงน้อยมากเลยเนอะ”
กรอกตามองบนเป็นการกลบเกลื่อนอาการที่ยังตกค้างอยู่ภายใน จู่ๆก็เริ่มไม่อยากมองหน้าเพื่อนสนิทขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่สายตาคู่นั้นมันส่งผลต่อการเต้นของหัวใจของเขา และก่อนที่พริษฐ์คนนี้จะพาตัวเองหนีเข้าไปในบ้าน แล้วไล่อีกฝ่ายกลับบ้านไปซะจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามันมาคอยรบกวนใจ เจ้าของรอยยิ้มดังกล่าว ก็ทิ้งประโยคสุดท้ายที่ย้ำว่าเขาคนนี้เป็นฝ่ายแพ้โดยสมบูรณ์..
“คำว่า ‘หวง’ เค้าพูดกันแบบนี้นะเบคอน” : )
- - - - - - - - - -
นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มเศษ เป็นเวลาที่คนในบ้านส่วนใหญ่จะเข้านอนเนื่องจากละครหลังข่าวที่คุณรัมภาและเหล่าแม่บ้านติดกันทั้งหลังจบแล้ว เว้นก็แต่พวกผู้ชายอย่างเจตน์ภพที่เลือกจะอยู่ในห้องแทน อย่าให้พูดถึงตอนที่ละครของเขาออกอากาศเลย ยกกันมาดูทั้งบ้านไม่เว้นแม้แต่นายช้างคนงานชาย
เมื่อตอนกลางวันเขามีโอกาสได้เข้าไปคุยงานใหญ่ที่คราวนี้เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับแนวหน้าท่านหนึ่ง ตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะตนจะได้รับบทเป็นตัวเอกของเรื่อง ไหนจะนักแสดงรุ่นใหญ่คนอื่นๆอีก และนั่นยิ่งย้ำเตือนให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่งานเล็กๆเลย
"อ้าวคุณกลาง ป้านึกว่านอนไปแล้วเสียอีก" เสียงของหัวหน้าแม่บ้านอย่างป้าไพรดังขึ้นทักเจ้าของกายสีน้ำผึ้งที่เดินเข้ามาในครัวหวังจะเข้าไปหาน้ำจิบให้หายกระหายแล้วจะเข้านอน
"ผมมาดื่มน้ำน่ะครับ ลืมไปว่าข้างบนไม่มีสักขวด"
"โถ่ คราวหลังเรียกเด็กๆให้ขึ้นเอาไปให้ก็ได้ค่ะ"
"แค่นี้เองครับป้า ไม่เป็นอะไรหรอก" เจตน์ภพยิ้ม เขาเองก็ไม่อยากรบกวนคนใช้ในเรื่องที่ตนเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร จะให้เอาแต่เป็นเจ้านายที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งนั่นมันไม่ใช่นิสัยของคนบ้านนี้เอาเสียเลย เพราะถึงจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์มีเกียรติแค่ไหน ทั้งคุณรัมภาและราวินทร์ก็ปลูกฝังให้ลูกหลานทุกคนช่วยเหลือตนเองเสมอ
"แล้วนี่..ของเจ้าเล็กเหรอครับ?" ยกน้ำขึ้นดื่มก่อนสายตาจะพลันไปเห็นขนมคล้ายจะเป็นซีเรียลแท่งกับนมที่ป้าไพรเพิ่งอุ่นเลยอดถามไม่ได้ เพราะเห็นว่าเจ้ามาคินชอบแอบมากินขนมตอนกลางคืนอยู่เรื่อย
"อ๋อ ของคุณหนูเล็กค่ะคุณกลาง" เธอพูดยิ้มๆ "คุณหนูบ่นหิว ป้าเห็นว่าต้องทำงานดึกเลยหยิบเจ้านี่ไปให้ด้วยค่ะ ไม่รู้เรียกว่าอะไรเหมือนกัน แต่ป้าเห็นคุณเล็กชอบทาน"
เธอร่ายยาวปนขำเพราะไม่รู้จักหน้าตาของขนมยุคสมัยใหม่ ก่อนหน้านั้นเข้าไปถามคุณหนูเซฮุนว่าจะรับนมก่อนนอนไหม เพราะบางวันเจ้าตัวดีก็จะหลับก่อนเวลา หรือผล็อยหลับไปคากองงานให้เธอดุอยู่เรื่อย คราวนี้ก็เลยไปเช็คความเรียบร้อย ได้เรื่องว่าคุณหนูเล็กของเธอกำลังทำตาปริบๆบ่นหิวด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง จึงลงมาอุ่นนมหาของกินรองท้องให้อย่างที่เห็น
"ป้าไปนอนเถอะครับ"
"คะ?"
"เดี๋ยวผมเอาไปให้เอง"
"อ่า..จะดีเหรอคะ ป้าไม่อยากรบ-"
"หน่าครับ~ ป้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยังไงผมก็ต้องเดินผ่านห้องน้อง" ออดอ้อนด้วยรอยยิ้มที่จะมีแต่คนในบ้านนี้เท่านั้นแหละที่ได้เห็น ไม่พอเท่านั้นยังมาแย่งแก้วนมกับขนมบนถาดไปชิงถือไว้ในมือไม่ให้เธอปฏิเสธสักคำ แล้วอย่างนี้จะให้คนอย่างป้าไพรที่รักคุณกลางไม่ต่างจากลูกจากหลานที่เลี้ยงมากับมือไปขัดอะไรลง
เดินออกมาจากครัวแล้วก้าวขาขึ้นบันไดไปพร้อมกับขนมในมือกับนมอุ่นๆหนึ่งแก้วของเจ้าของสรรพนาม 'เด็กนมผง' ที่เขาชอบเรียก น้องอยู่ห้องแรกที่ใกล้บันไดที่สุด ใช้เวลาไม่นานก็หยุดอยู่หน้าประตูที่มีแสงไฟส่องสว่างรอดออกมาบ่งบอกว่าคนในนั้นยังไม่เข้านอน
"ป้าไพร~ เซฮุนทำอีกนิดเดียวก็เสร็จแล้วครับ"
"..."
ส่งเสียงเล็กออกมาออดอ้อนอย่างน่ารักโดยที่ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาใหม่ใช่คนเดียวกับที่ตนพูดด้วยอยู่หรือเปล่า น้องนั่งหันหลังให้ ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยยังไม่หันมามอง เจตน์ภพเองก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกไปเพราะรอดูว่าน้องจะรู้ตัวเมื่อไหร่
"คลาวด์อย่าซนกับเซฮุนสิ"
"..."
"คลาวด์อย่าดิ้น อยู่เฉยๆ คลาวด์ ค..!" กระทั่งเจ้าตัวขนปุยสีขาวที่ดิ้นอยู่นานบนตัก กระโดดตุ้บลงสู่พื้นแล้ววิ่งหนีเจ้าของออกมา ศิรภัทรถึงได้หันมาเห็นเจ้าของกายสีน้ำผึ้งที่เข้ามาในห้องของตนแทนที่จะเป็นป้าไพร
"ค..คุณกลาง?"
"เห้ย อย่าเข้ามานะ!"
ท่าทางตกใจจนมือข้างที่ถือแก้วนมเกือบจะทำมันหกเพราะเจ้าคลาวด์ที่ว่ากำลังวิ่งหนีจากเจ้าของไปยังแขกที่มาใหม่อย่างรู้ดี ศิรภัทรเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปอุ้มไว้ไม่ให้มันวิ่งซนเข้าไปหาอีกฝ่ายจนกลัวว่าจะโดนเหยียบเข้าเสียก่อน
"คุณกลางกลัวเหรอ~"
"ป..เปล่า แค่ไม่ชอบ"
ตอบอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็แอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวปุยเมฆนั่นไม่ได้ลงมาเดินเพ่นพ่านบนพื้นแบบเมื่อสักครู่นี้อีก ไม่ชอบก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่จะบอกว่ากลัวก็คงไม่เชิง แค่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าคนอย่างตนนั้นกลัวสัตว์เลี้ยงตัวเล็กเท่าฝ่ามืออย่างกระต่ายแคระก็เท่านั้น
คงไม่มีใครรู้นอกจากคนเป็นแม่และป้าไพรว่าเมื่อสมัยเจตน์ภพยังเด็ก เขารักสัตว์ทุกชนิดและเป็นมิตรกับมันเสมอ จนจู่ๆลูกกระต่ายที่อยากจะลองเลี้ยงอยู่ในมือของตนได้ไม่นาน มันกลับดิ้นซนตกจากมือของเขาคอหักตายต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่ตอนนั้น เจตน์ภพก็แค่ไม่อยากเห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ากระต่ายอีก..
"เอามาให้เราเหรอครับ"
"อืม เห็นว่าดึกแล้ว ไม่อยากรบกวนป้าไพร" หรือที่จริงก็แค่อยากจะเดินมาดูเด็กที่นอนดึกแล้วบ่นหิวกันแน่
"ขอบคุณนะครับ"
เขาไม่ได้ตอบอะไร น้องรับแก้วไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะปล่อยให้เจ้าคลาวด์ไปอยู่ในกรงเช่นเดิม ซีเรียลบาร์ถูกแกะก่อนเจ้าตัวจะงับเข้าปากกินเลยทันที เชื่อแล้วจริงๆว่าคงหิว ก่อนหน้านั้นเขาพาน้องไปตรวจดูอาการที่ขาอีกรอบ จึงได้แวะพาเจ้าตัวแสบไปกินข้าวเพราะมันเลยเวลาร่วมโต๊ะตอนเย็นของที่บ้านเลยบอกให้แม่ไม่ต้องรอ เขากับน้องจะแวะกินข้าวข้างนอกก่อนกลับด้วยกัน แต่เพราะร้านนั้นที่ว่ามันดันไม่อร่อยถูกปากเจ้าตัวล่ะมั้งเลยกินนิดเดียวแล้วมาหิวเอาตอนนี้
"อ้วน"
"ซีเรียลไม่อ้วนสักหน่อย" : (
"แก้มป่องแล้ว"
"อื้อ ก็อร่อย~" เถียงเจื้อยแจ้วทั้งที่เคี้ยวแก้มตุ้ยแถมยังยิ้มตาหยีใส่เขาอีก ไม่วายเลยยื่นมาให้ต่อหน้าแล้วถามด้วยน้ำเสียงใส
"คุณกลางกินด้วยกันไหม"
"ไม่"
"อร่อยนะ"
"ขนมเด็กๆ ไม่สนหรอก"
"ฮึ่ย คนแก่ชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่-.. อื้อ!"
"!!"
ยังไม่ทันที่จะได้พูดจนจบประโยค ศิรภัทรกลับต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นให้หายลงไปในท้องเสียหมด เมื่อจู่ๆเจ้าของกายสูงโปร่งก็โน้มใบหน้าเข้ามาจนชิดพร้อมกับริมฝีปากที่งับเข้าปลายแท่งซีเรียลอีกฝั่ง จมูกโด่งที่ชนเข้ากับจมูกของเขาบ่งบอกว่าระยะห่างของเรามีเพียงเจ้าแท่งซีเรียลบาร์ขั้นกลางเอาไว้เท่านั้น
"ถ้ายังไม่หยุดเรียกว่าคนแก่.." เสียงอู้อี้พูดขึ้นทั้งที่คนพูดยังงับขนมแท่งเล็กเอาไว้ ถึงจะไม่ค่อยชัดแต่ก็คนฟังก็พอจะฟังออกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดว่าอะไร
"ฉันจะทำแบบเมื่อคืนนั้นที่ฉันเมา.." ซีเรียลถูกงับออกไปทีละนิด ขยับความชิดให้เข้ามาจนริมฝีปากเกือบจะแตะโดนกัน น้องหลับตาปี๋ หนีไปไหนไม่ได้เพราะสองมือหนาก็พร้อมใจกันจับตัวไว้ไม่ให้ขัดขืน ภาพเมื่อคืนนั้นลอยกลับมาอีกครั้งอย่างอัตโนมัติ และดูเหมือนว่าเจตน์ภพเองก็ไม่ได้ขาดสติพอถึงขั้นจะมานั่งนึกแล้วนึกไม่ออก .. ในเมื่อกลิ่นหอมๆที่เขาสูดเข้าไปเต็มปอดในคืนนั้น มันเป็นกลิ่นเดียวกับคนๆนี้
"อื้อ.."
ส่งเสียงร้องออกมา พยายามหันหน้าหนีสุดชีวิตก็ทำไม่ได้ สุดท้ายคนตัวสูงก็ยอมผละใบหน้าออกไป ทว่ากลิ่นลมหายใจอุ่นๆที่ยังคลอเคลียอยู่ใกล้ๆบ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้ออกไปไหนไกลเลย กระทั่งเสียงทุ้มต่ำที่มักจะมีผลต่อหัวใจดวงน้อยๆของศิรภัทรคนนี้ กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูที่ทำให้อุณหภูมิบนพวงแก้มทั้งสองข้างของเขาสูงขึ้นและมันอาจจะพอๆกับนมร้อนในแก้วตอนนี้เลยก็ได้
"และจะไม่หยุดอยู่แค่นั้นแน่..เซฮุน"
.
.
TBC
- - - - - - - - - -
ร้ายยยยยยยยยยยย ร้ายเหลือเกินค่ะคู๊ณณณณณ
แล้วจะร้ายกว่านี้ด้วยค่ะ *ยิ้มจิกจากยอดตึกใบหยก*
55555555555555555555555555555555555
#คลาสสิคซีน
ความคิดเห็น