คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : scene 02 : รำคาญ หรือ เป็นห่วง
02
ความปวดแผดลั่นไปทั่วศีรษะยามลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับแสงแดดที่สาดส่องผ่านผ้าม่านสีเปลือกไข่ สว่างพอจะทำให้ดวงตาของชายผู้หลับใหลไปนานกว่าหลายชั่วโมงหรี่ลงพร้อมขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมฝืนเปิดดวงตาของตนขึ้นมาอีกครั้งด้วยสภาพมึนงง หันซ้ายหันขวา ลืมแม้กระทั่งทิศทางก่อนจะหยิบนาฬิกาข้อมือที่ตั้งอยู่บนลิ้นชักข้างโต๊ะขึ้นมาดูเวลา จนกระทั่งเข้มสั้นที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดทำให้เขาต้องสบถออกมาเบาๆกับตัวเอง
12:30
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงครึ่งแบบพอดิบพอดี นั่นทำให้คนที่เคยตื่นเช้าเป็นประจำถึงกับหงุดหงิดที่ตนเผลอหลับยาวลืมฟ้าลืมตะวันเสียขนาดนี้ พยายามลุกขึ้นตั้งสติ หวังจะลุกไปอาบน้ำเพื่อว่าร่างกายจะสดชื่นกว่านี้แล้วไล่อาการปวดหัวให้ทุเลาลงบ้าง ทว่ายังไม่ทันที่จะลุกออกจากเตียงก็พลันให้สายตาคมสังเกตเสื้อผ้าที่ตนใส่ ถึงจะเป็นชุดของเขาเองแต่นั่นไม่ใช่ชุดที่เจ้าของกายสีน้ำผึ้งใส่กลับจากกองถ่ายอย่างแน่นอน เจตน์ภพขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดว่าตนไปเอาเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนไหนเพราะเขาเองก็เมามาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด ยามสายตาคู่คมใช้งานได้เป็นปกติ ไม่พล่ามัวเพราะแสงอย่างก่อนหน้านั้น สามารถมองเห็นสิ่งโดยรอบได้ทั้งหมด วินาทีนั้นแหละที่ทำให้คนอย่างเจตน์ภพแทบหยุดอยู่กับที่อีกครั้ง
ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา
"..."
หันไปมองตำแหน่งที่กระเป๋าสตางค์และนาฬิกาข้อมือของตนถูกวางไว้บริเวณนั้นอีกครั้ง กรอบรูปกรอบเล็กที่เขาไม่ทันสังเกตจึงปรากฏเข้าสู่กรอบสายตา ใครบางคนที่เป็นเจ้าของรูปรูปนั้นก็คงจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของห้อง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เขา.. ไหนจะเตียงที่นิ่มกว่าปกติ ผ้าห่มสีเหลืองอ่อน และเตียงสีขาวสะอาดตา แถมตุ๊กตาที่ชาตินี้คนอย่างเจตน์ภพไม่เคยคิดจะมีมันอยู่บนเตียง ล้วนแล้วแต่สิ่งที่ไม่ใช่ของตนอย่างสิ้นเชิง
"ศิรภัทร?"
ส่งเสียงเรียกชื่อออกมาเพียงเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าของห้องยังอยู่ในนี้หรือเปล่า แม้ในหัวจะมีแต่คำถาม เพราะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเมื่อคืนสภาพสุดท้ายของตนเป็นอย่างไร ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ เว้นแต่เสียงตะกุกตะกักที่ดังอยู่ข้างเตียง
"..."
ชะโงกหน้ามองไปตามเสียง แล้วก็พบเข้ากับกรงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ภายในมีเจ้าตัวขนปุยสีขาวกำลังเขย่งสองขากินน้ำที่เจ้าของติดไว้กับกรง เห็นแบบนั้นจึงทำหน้าเอือมใส่กระต่ายแคระที่เจ้าของห้องเลี้ยงไว้ และเขาก็ไม่แม้แต่จะยุ่งกับมัน วันนี้ถือเป็นวันแรกด้วยซ้ำที่ได้เข้าใกล้ขนาดนี้ .. นั่นเป็นเพราะเจตน์ภพไม่ชอบกระต่าย
ในเมื่อภายในห้องนี้มีเพียงแค่ตนกับเจ้ากระต่ายที่ไม่รู้เรื่องอยู่กันแค่สองชีวิต เขาจึงไม่มีความจำเป็นจะอยู่ในห้องนอนที่ไม่ใช่ของตนอีกต่อไป เจตน์ภพลุกขึ้นจากเตียง สาบานว่าถ้าไม่ใช่ธุระโกงการอะไรของเขา คนอย่างเจ้าของกายสีน้ำผึ้งก็คงไม่เข้ามาในห้องนี้หรอก.. เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นเสียหน่อย
"โอ๊ะ! ผมกำลังจะเข้าไปปลุกคุณกลางพอดีเลยครับ" เปิดประตูออกไปก็พบกับคนงานคนสนิททำท่าจะตรงดิ่งมาในนี้เช่นกัน นายช้างหลบแทบไม่ทันหลังจากเห็นสภาพเจ้านายที่เพิ่งตื่นเอาเกือบบ่าย
"แล้วทำไมไม่ปลุกฉันตั้งแต่เช้า?"
"เอ่อ..คุณหญิงบอกไม่ให้ปลุกครับ บอกว่าให้คุณกลางนอนไปให้พอ"
"แม่พูดแบบนั้นเหรอ?"
"ครับ ด้วยน้ำเสียงประชดปานกลางไปจนถึงมาก" พี่ช้างหัวเราะแห้งแล้วยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ส่วนคนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจทิ้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนเป็นแม่คงจะไม่พอใจไม่น้อยที่ตนทำตัวแบบนี้ทั้งที่อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกแล้ว ทำท่าจะเดินกลับไปห้องตัวเองเพื่อจัดการธุระส่วนตัวแล้วลงไปออดอ้อนคุณแม่ซะ ทว่าคำถามสำคัญก็ทำให้เขาต้องหยุดอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงมาอยู่ห้องนี้” เขากอดอกมองรอฟังคำตอบ และพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนไปด้วย จำได้ว่าพี่หาญ ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเป็นคนมาส่งถึงหน้าบ้าน เจอนายช้างมาคอยช่วยแต่ตนก็ปฏิเสธแล้วลากสังขารขึ้นไปนอนในห้องด้วยตนเอง
“คืองี้ครับคุณกลาง..”
“...??”
“คุณกลางเมามากใช่ไหมครับ” นายช้างอ้ำอึ้ง
“อืม รีบว่ามาสิ”
“แล้วคุณกลางก็เข้าผิดห้องครับ”
“ว่าไงนะ??”
แทบไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำอีกครั้งแล้วก็ได้คำตอบแบบเดิม ถึงเปอร์เซ็นที่จะเป็นอย่างอื่นมีน้อยมากแต่ก็ไม่คิดว่าคนอย่างตนจะไร้สติถึงขั้นเข้าผิดห้อง
“ผมได้ยินเสียงคุณหนูเซฮุนร้องเลยรีบขึ้นไปดู ปรากฏว่าเจอคุณกลางนอนอยู่บนเตียงคุณหนู ส่วนคุณหนูตัวชิดอยู่ขอบเตียง สภาพอย่างกับโดนปล้ำเชียวครับ..อุ่ย”
“...” (= _ =?)
“ประเด็นมันอยู่ตรงที่คุณกลางงัวเงียไม่ยอมลุกครับ ผมพยายามจะพาไปนอนห้องตัวเองแต่ทำยังไง๊ยังไงคุณกลางก็จะนอนที่นี่ท่าเดียว สุดท้ายคุณหนูเลยบอกว่าให้คุณกลางนอนต่อไป กลัวว่าถ้าปลุกเดี๋ยวจะตื่นขึ้นมาอาละวาด ผมก็เลยได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ครับ..”
“แล้วเขาไปนอนที่ไหน ?”
“ห้องผมเอง!”
ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้อ้าปากตอบ เสียงที่สามก็ดังขึ้นให้คำตอบเขาเสียแทน เป็นน้องชายเล็กที่เดินยักคิ้วมาแต่ไกลราวกับจะบอกว่าตนเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้ ท่าทางกวนประสาททำให้คนเพิ่งตื่นนอนอยากจะเตะก้นน้องชายตนเอง มันจะไม่อะไรเลยถ้าเจ้ามาคินไม่ใช่พวกขี้ล้อขี้แซวเขา ประหนึ่งว่ารู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“ที่แท้ก็ถูกพี่กลางแย่งห้องนี่เอง ดีนะมาร์คยังไม่หลับ ไม่งั้นพี่เซฮุนคงต้องนอนกับคนเมา”
“กวนแล้วนะเล็ก” คนเป็นพี่พูดเสียงแข็ง แต่คนเป็นน้องกลับลอยหน้าลอยตากวนประสาทใส่พี่ชายของตนแบบที่ชอบทำ ไล่สายตามองเจ้าเล็กที่แต่งหล่อออกมาจากห้อง แต่ก็ไม่ได้ถามว่าน้องจะออกไปไหน
“ช้างว่าช้างไปตัดหญ้าต่อดีกว่า ขอตัวนะครั-”
“เดี๋ยว”
“ค..คร้าบ ?”
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน ?”
เพราะเห็นว่าวันนี้เป็นวันหยุดจึงถามไถ่ด้วยความสงสัยไปตามประสา ไม่ได้มีความสนอกสนใจเป็นพิเศษหรอก อันที่จริงถ้าได้เจอตัวก็อยากจะไปขอโทษที่ตนเมาจนทำตัวไม่เหมาะสมแบบนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วไม่รู้ว่าเขาไร้สติถึงขั้นทำอะไรลงไปบ้าง แม้ศิรภัทรจะอายุน้อยกว่าอยู่หลายปี แต่ใช่ว่าคนเป็นพี่จะอยู่นิ่งๆเพราะเห็นอยู่ว่าเขาทำให้ศิรภัทรต้องเดือดร้อนถึงขั้นไปขอนอนที่ห้องน้องชายคนเล็ก
“คุณหนูออกไปข้างนอกแล้วครับ”
นายช้างตอบก่อนจะขอตัวไปทำงานของตน ส่วนเจ้าเล็กก็เดินลงบันไดไปข้างล่างด้วยสายตากวนๆเช่นเคย ได้ยินเสียงแม่เรียกเหมือนว่าจะออกไปข้างนอกกับแม่สองคน เขาส่ายหน้าหน่ายๆ ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับน้องชาย ไปอาบน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียยังดีกว่า ทว่าที่ทำให้เขาแทบอยากหันหลังไปเตะมันให้ไดสักรอบก็เพราะประโยคสุดท้ายที่ดังไล่หลังขึ้นมาเนี่ยแหละ
“เมาบ่อยๆนะพี่กลาง พี่เซฮุนจะได้มานอนกับผมอีก”
- - - - - - - - - -
ในขณะที่พริษฐ์เลือกที่จะรับออเดอร์อยู่หน้าแคชเชียร์ เชนรพีกลับหมกมุ่นอยู่กับหลังร้านไม่ต่างอะไรจากพนักงานคนอื่นๆ เพราะว่าเพื่อนสนิทตัวเล็กของตนเป็นคนช่างพูดช่างจา หน้าที่ต้อนรับลูกค้าก็เลยตกเป็นของเบไปอย่างไม่ต้องเดา
ความจริงเขาสองคนไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าร้านทุกวันแบบนี้ในเมื่อจ้างพนักงานไว้หลายคนอยู่แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะพริษฐ์ที่เหนื่อยหน่อย เพราะเจ้าตัวรับงานออกแบบฟรีแลนซ์เป็นรายได้เสริม แม้จะเปิดกิจการร้านของหวานกับเพื่อนสนิท แต่ใช่ว่าจะละทิ้งสิ่งที่ตนชอบ ไหนจะต้องมาช่วยเพื่อนตัวสูงดูร้านที่ร่วมสร้างมาด้วยกันอีก แล้วก็นั่นแหละ ยามหันไปมองทีไรก็ไม่เคยแม้แต่จะเห็นใบหน้าบูดบึ้งของพริษฐ์เวลาเจอลูกค้าเลยสักนิด
"รับอะไรดีครับ"
"คนขายค่ะ"
"โอ้โห ตรงเกินไปครับพี่ตั้งตัวไม่ทัน"
"เหรอคะ พอดีแม่หนูบอกว่าชอบใครให้พูดตรงๆ" เด็กหญิงม.ปลาย ยืนม้วนผมทำท่าบิดเกรียวจนตัวจะเป็นเลขแปด ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแทบจะไม่ได้สั่งเมนูของหวานเพราะมัวแต่หยอดเล็กหยอดน้อยกับเจ้าของร้านหน้าตาดีแถมยังรับมุกเธอไม่ให้เก้อ
"สเป็คเลยครับ พี่ชอบผู้หญิงใจๆ" พริษฐ์ก็เป็นเสียอย่างนี้ ใครหยอดมาก็หยอดกลับ สาบานว่าคนอย่างเชนที่ว่าแฟนคลับเยอะแล้ว ลองได้เจอคนคารมดีแถมพูดมากอย่างเบเข้าหน่อย รับรองมีเขวเหอะ
"เบมันไม่ชอบผู้หญิงหรอกครับ" ^^
ได้ยินแบบนั้นเจ้าของกายสูงจึงเข้าไปแกล้งแหย่แกล้งแซวใส่ลูกค้าคนสนิทที่แวะมาบ่อยจนจำหน้าหน้าจำตากันได้ อย่าให้พูดเชียว เห็นแบบนี้สาววายเต็มร้าน ยิ่งโดยเฉพาะเด็กๆที่เป็นติ่งเกาหลีก็ยิ่งกรี๊ดกร๊าดเขาสองคนเป็นพิเศษ จิ้นไปโน้นบ้างล่ะว่าคบกัน แต่ในเมื่อคิดกันอย่างนี้ก็จะจัดให้ จะเอาให้คนอย่างพริษฐ์ไปหยอดสาวๆไม่ขึ้นเลย
“ขอเชิญพี่เชนไปเสิร์ฟโต๊ะโน้นเลยไปครับ”
แม้ในใจอยากจะพูดออกไปว่า ‘มึงไปเล่นตรงนู้น’ แต่ติดก็ตรงที่ยังเกรงใจลูกค้าที่ยืนอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะเสียชื่อพี่เบคนปากหวานเอาเสียก่อน ทว่าคนถูกไล่กลับยืนอยู่ที่เดิม แถมยังใช้ตัวหนาๆกว่าแบบนั้นมาแกล้งดันเข้าให้หลบไปอยู่ข้างๆแล้วรับออเดอร์น้องเขาต่อแทน
“มองอะไร”
“มองคนกวนตีน” เบสวนกลับ “แค่นี้เขาก็คิดว่ากูเป็นเมียมึงกันทั้งร้านแล้ว”
“แล้วไม่ใช่เหรอคะ?” แกล้งหยอดมันโดยการพูดคะพูดขาใส่ สุดท้ายก็ต้องยกมือขึ้นป้องกันยามตนถูกตีด้วยแผ่นเมนูแข็งๆไปหนึ่งทีระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้าเดินมาสั่ง การกระทำเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในสายตาของจอห์นนี่
“แหม ระวังไปได้กันเข้าจริงๆนะครับเฮีย” นายจ้อนแซว ไม่วายคนตัวเล็กเลยหันไปมองด้วยสายตาพิฆาตไปอีกคน
“เบ..”
“อะไร”
“ความจริงวันนี้ไม่ต้องเข้าร้านก็ได้ เดี๋ยวดูเอง”
พูดพลางมองใบหน้าที่ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอแบบนั้นเขาก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้เพื่อนสนิทของตนไม่ได้นอน พริษฐ์เป็นคนหัวดื้อหัวรั้น เมื่อไหร่ที่มีงาน ก็จะนั่งทำอยู่อย่างนั้นโดยที่เสร็จเมื่อไหร่ถึงจะนอน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเกือบพระอาทิตย์ขึ้น สมัยมันเป็นเด็กศิลป์กรรมฯก็อย่างนี้ เดินหน้าเพลียมาเจอเขาแทบทุกวัน จนบางทีต้องซื้อข้าวซื้อน้ำไว้ให้เพราะมันไม่ชอบกินข้าวเช้า
“ไม่เอา ปล่อยมึงดูคนเดียวได้ไง” เบยักไหล่
“แล้วกินข้าวเช้าหรือยัง?” เชนไม่สนใจประโยคก่อนหน้านั้น เพียงแต่ถามกลับมาพลางหรี่ตามองรอคำตอบ
“กินแล้ว..ว..ว” ลากเสียงยาวๆแล้วหันหน้าไปทางอื่น
“สอนไม่จำเหรอ ว่าโกหกใครก็ได้แต่ไม่ใช่กับกู” เชนกอดอกมอง “หน้ามึงโหยหาเตียงนอนมาก รู้ตัวหรือเปล่า?” ก็มีเพียงเขานั่นแหละที่รู้ เพราะใครๆเขาก็คิดว่าพริษฐ์เป็นคนอารมณ์ดีสดใสพร้อมมอบรอยยิ้มให้ทุกคนตลอดเวลา ทว่าจะมีสักกี่คนกัน ที่รู้ว่าเขาเหนื่อย ที่รู้ว่าเขายังไม่ได้กินข้าวเช้า ที่รู้ว่าเขาโกหกได้เท่าเชนรพีคนนี้
“แต่ว่ากู..” ยกมือขึ้นชี้หน้าไม่ให้พูด ก่อนจะเลื่อนไปวางไว้บนหัวเพื่อนสนิทแล้วยีมันเบาๆ พร้อมดันให้เข้าไปพักหลังร้าน
“ถ้าไม่ดื้อจะพาไปเลี้ยงข้าว”
“นี่คิดว่าคนอย่างกูเอาของกินมาล่อแล้วจะเชื่อฟังมึงหรอ” เงยหน้าถามด้วยใบหน้ามั่นอกมั่นใจว่ายังไงตนก็ไม่มีวันพ่ายแพ้ให้กับเพื่อนสนิทหน้าหล่อปนหวานเป็นอันขาด จนกระทั่งคนตัวสูงกว่ายิ้มมุมปาก พร้อมดึงกระดาษแผ่นเล็กสองแผ่นขึ้นมาจากกระเป๋าสตางค์
“งั้นช่วยคิดหน่อย วอเชอร์บุฟเฟ่ซูชิสองที่ จะชวนใครไปอีกคนดี”
“เชน..” นี่แหละครับ เสียงของคนแพ้
“เบว่าเบหิว” พูดพร้อมกระพริบตาสองที “เย็นนี้เลยได้ป่ะ”
ดูมันเข้าเหอะ ไหนว่าของกินก็ล้มคนอย่างพริษฐ์ไม่ได้ แล้วเสียงออดอ้อนที่หาฟังได้ยากแบบนั้นมันมาจากไหน นี่ใช่น้องเบคนเดิมหรือเปล่า หรือเป็นเบคอนจอมเขมือบ(?)สวมร่างเข้ามา แล้วคนอย่างเชนรพีจะไปทำอะไรได้ กว่าจะรู้ตัวและดึงสติตัวเองให้กลับมาหลังจากเผลอไผลไปกับคนที่บังอาจมาทำตัวน่ารักเกาะแขนเขาเป็นเด็กๆแบบนี้ วอเชอร์ที่ว่านั่นก็ไปอยู่ในมือของพริษฐ์เรียบร้อยแล้ว
“นอกจากกู..ก็ห้ามเป็นคนอื่นนะรู้ยัง”
- - - - - - - - - -
ฝ่าเท้าเหยียบย่ำผืนหญ้าสีเขียวสด ยามแสงอาทิตย์ตกกระทบกับเจ้าของกายบอบบาง ศิรภัทรจึงระบายยิ้มออกมาอย่างช้าๆเมื่อเงาของตัวเองปรากฏขึ้น.. ตอนตนยังเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ประสา เขาวิ่งไล่เหยียบเงาตัวเองกับพ่อโดยที่ใครเหยียบของใครได้ก่อนคนนั้นจะเป็นฝ่ายชนะ เซฮุนตั้งหนึ่งคำถามในใจเสมอมา ว่าเมื่อใดที่เราอยากจะลองเหยียบเงาที่อยู่เหนือสุดหรือบริเวณศีรษะของเรานั้น เหตุใดถึงก้าวเข้าไปใกล้เท่าไหร่มันก็ขยับหนีเราออกไปทุกครั้ง..
จนได้รู้ว่าหากจะทำเช่นนั้นได้ มันต้องเป็นเวลาเที่ยง เขาเฝ้าสังเกตเป็นเวลาร่วมอาทิตย์จึงแน่ใจว่าเงาของคนเราจะหดสั้นลงเรื่อยๆเมื่อใกล้เวลาสิบสองนาฬิกาหรือเป็นตอนที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางศีรษะของเราพอดี เด็กชายศิรภัทรผู้ซึ่งมั่นใจว่าตนรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร วิ่งมาบอกคุณพ่อด้วยความเร็วประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องลับสุดยอดที่เด็กคนหนึ่งมี แม้ตนจะมารู้ทีหลังว่านั่นมันเป็นแค่หลักการวิทยาศาสตร์ที่ใครเขาก็รู้กันทั้งโลก แต่ก็นั่นแหละ คุณพ่อพูดกับเขาคำเดียวว่า ‘ลูกพ่อวรรษกับแม่อึนแชเก่งที่สุดเลย’ : )
“พ่อครับแม่ครับ เซฮุนมาเยี่ยม..” คุกเข่านั่งลงกับพื้นหญ้า จ้องมองหลุมศพที่มีชื่อท่านทั้งสองอยู่คู่กัน ก่อนดอกคาร์เนชั่นสีขาวมัดด้วยโบว์สีเหลืองอ่อนที่เขาเป็นคนเลือกด้วยตนเองจะถูกวางไว้หน้าหลุมศพแทนช่อเก่าเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว
“วันนี้อากาศดีจังครับ”
“...”
“คิดถึงตอนที่หนูวิ่งเล่นกับพ่อตอนเด็กๆ”
เป็นเวลากว่าสิบปีที่เขาจะมาที่นี่ทุกเดือน นำดอกไม้มาเปลี่ยนให้และนั่งเล่าเรื่องของตนให้พ่อกับแม่ฟังไปจนกว่าเขาจะไม่มีเรื่องให้พูด แม้จะมีแค่เสียงของตนฝ่ายเดียวดังสะท้อนกลับมา แต่เขาเชื่อว่าทั้งสองจะรับรู้ สรรพนามเรียกแทนตนเองว่า 'หนู' มีเพียงศรัณย์วรรษคนเดียวที่ได้ยิน เพราะอึนแชไม่สามารถอยู่ฟังคำแรกของลูกได้ เธอจากพวกเราไปเสียก่อน..
"ตอนนี้หนูพูดเกาหลีได้บ้างแล้วนะครับ ที่มหาลัยมีเพื่อนคนเกาหลีด้วย" เขายิ้ม และมองที่ชื่อของแม่ "นิทานที่แม่เขียนให้ตอนอุ้มท้อง หนูอ่านและแปลเองทุกคืนเลยครับ.."
เพราะอึนแชตื่นเต้นมากที่เขากำลังจะได้เจอเจ้าตัวเล็กที่เกิดมาจากความรักของเธอกับสามี และเพราะเคยเป็นนักเขียนมาก่อน เธอจึงตั้งใจเขียนนิทานเล่มเล็กไว้ให้ลูกชายผู้ซึ่งจะได้อ่านมันเพียงคนเดียว เธอตั้งใจจะสอนภาษาเกาหลีให้ลูกพูดได้ทั้งภาษาพ่อและภาษาแม่ แต่กลับไม่มีโอกาสนั้น.. ที่มาของชื่อ 'เซฮุน' เป็นความตั้งใจของอึนแชและเธอได้ตกลงกับศรัณย์วรรษเอาไว้ว่าขอให้ลูกมีชื่อเกาหลีด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชื่อเล่นของเซฮุนไม่ใช่ชื่อไทยเหมือนชื่อจริง
“หนูน้ำหนักขึ้นตั้งหนึ่งโล น้าภาชอบทำขนมมาขุนแก้มหนูให้กลม” เขาเบ้ปาก และหันไปมองทางชื่อของพ่อบ้าง “แต่พ่อชอบให้หนูกินเยอะๆใช่ไหมครับ..”
“พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ช่วงนี้กินอะไรก็อร่อยไปหมดเลย ถ้าหนูอ้วนพ่อห้ามไม่รักนะ..”
พูดติดตลกก่อนจะนึกย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นเด็ก พ่อเคยเล่าว่าตอนสามขวบเป็นวัยจับปูใส่กระด้ง เขาต้องไล่ป้อนข้าวเจ้าเด็กดื้อที่ห่วงแต่จะวิ่งเล่น หลอกล่อสารพัดอย่างกว่าจะยอมกินหมดจาน เซฮุนก็เลยผอมกว่าเด็กทั่วไปจนต้องพาไปตรวจสุขภาพอยู่บ่อยครั้ง โชคดีที่ได้ความสูงจากพ่อ และเซฮุนเองก็ชอบกินนม กระดูกเลยแข็งแรง ไม่ใช่โดนชนล้มแล้วหักไปครึ่งท่อนแบบที่ใครเขาแซวกัน
“เมื่อคืน..”
“อ่า..”
อ้ำอึ้งกับตนเองแล้วก็หยุดพูดอยู่เท่านั้นเพียงนึกถึง ‘เมื่อคืน’ จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงความร้อนบนพวงแก้มใสทั้งสองข้าง ไม่รู้ว่าไม่กล้าเล่าให้พ่อกับแม่ฟังหรือเพราะไม่อยากนึกถึงมันอีก ก็ในเมื่อเหตุผลของการเต้นของหัวใจที่ถี่รัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อคืนก็คือเรื่องของคนเมาคนนั้น
"หนูไม่ควรรู้สึกแบบนี้เลยครับ"
ศิรภัทรตัดสินใจให้เจตน์ภพนอนที่ห้องของตน เพราะดูท่าแล้วคนเมาไร้สติคงจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ เขาเลยต้องยกเตียงของตนให้อีกฝ่ายแล้วไปนอนกับน้องเล็กโดยให้เหตุผลว่าแอร์ห้องพี่มันเสีย แต่มีหรือว่าคนจับผิดเก่งอย่างเจ้าเล็กจะไม่รู้ สุดท้ายก็ต้องยอมเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น เว้นแต่เรื่องที่ตนเองโดนคนเมาเกือบทำร้าย(?)นั่นแหละ แน่นอนว่าศิรภัทรไม่ได้หลุดเล่าให้ใครฟังแม้แต่คำเดียว.. และมันจะดีมากถ้าคุณกลางก็ควรจะลืมมันไปเช่นกัน
"หนูต้องกลับแล้วครับ"
ก้มลงมองนาฬิกา พอเห็นว่าเริ่มเย็นจึงเตรียมตัวจะลุกขึ้นและบอกลาท่านทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย เหตุผลที่วันนี้มีเวลาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็เพราะว่าตอนเช้ามัวแต่ซ่อมโซ่จักรยานกับพี่ช้าง แล้วก็ไปเลือกซื้อดอกไม้กับครีมและเครป นั่งคุยกันอยู่นิดหน่อยจึงแวะมาที่นี่เป็นที่สุดท้าย แม้พี่ช้างจะอาสาขับรถไปรับไปส่ง แต่ศิรภัทรก็ยังยืนยันที่จะขี่จักรยานสีเหลืองคันโปรดของตนมาเอง
"รักนะครับ"
บอกรักเช่นทุกครั้งและเดินออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมช่อดอกไม้เก่าที่เหี่ยวแห้ง มุ่งไปยังจักรยานคันโปรดที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า ‘คุณโนรัน’ ซึ่งภาษาเกาหลีแปลว่าสีเหลือง พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่จู่ๆก็เริ่มครึ้ม ทั้งที่แอบดีใจว่าวันนี้จะไม่มีแดด แต่ฝนกลับมาไวเสียจนไม่ทันตั้งตัว เอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้เลยจริงๆ
และดูเหมือนว่าวันนี้คุณท้องฟ้าจะใจร้ายกับเขาเป็นพิเศษ นอกจากจะไม่รอให้ศิรภัทรถึงบ้านก่อนแล้ว หยาดเม็ดฝนเม็ดเล็กยังเริ่มร่วงหล่นลงมาจนกระทบกับผิวขาวๆ ใบหน้าเริ่มงอง้ำ คิดในใจว่าตนจะไปหลบที่ไหน โชคดีที่หยิบร่มติดมาด้วยไม่อย่างนั้นคงจะได้ตัวเปียกกลับบ้านให้น้าภาดุ
พยายามขี่หาที่หลบเพราะฝนเริ่มเม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะเอื้อมไปหยิบร่มออกมากางตอนนี้ก็คงจะไม่ทัน มือหนึ่งขับ มือหนึ่งกางร่มเดี๋ยวคงได้ล้มไม่เป็นท่า ทว่ายามจะหักเลี้ยวที่หัวมุมถนนเพื่อตัดไปยังอีกสาย ความกระหน่ำของฝนที่ตกลงมาราวกับเทน้ำเทท่าไม่ปราณีเด็กชายอีกต่อไป ที่แย่กว่านั้น ไม่มีที่หลบฝนระหว่างทางนี้ เขาทำได้เพียงพยายามเอื้อมมือไปหยิบร่มที่วางอยู่หน้าตะกร้าออกมาให้เร็วที่สุด แต่ฝนที่ตกลงมาอย่างแรงยิ่งทำให้เป็นอุปสรรคกับการมองเห็นและการทรงตัว.. วินาทีนั้นแหละ ที่เจ้าของกายบอบบางหลบรอยต่อของท่อไม่ทัน จึงทำให้ล้อเข้าไปติดอยู่ระหว่างนั้น และมันก็ประจวบเหมาะกับการที่โซ่เจ้าปัญหาที่เพิ่งซ่อมกับพี่ช้างมาตอนเช้ามันกลับมาดื้อกับเขาอีกแล้ว ผลก็คือ..
"โครม!"
- - - - - - - - - -
"คุณกลางคะคุณกลาง! คุณกลางเบาๆค่ะคุณหนูเจ็บขาอยู่"
เสียงของหัวหน้าคนใช้ทะลุผ่านหูราวกับเจ้าของสรรพนามดังกล่าวไม่สนใจจะฟังมัน เขากำข้อมือบางพลางออกแรงดึงให้เดินตามไปหน้าบ้าน ก่อนจะกดรีโมทปลดล็อครถรอไว้ทั้งที่ตัวยังเดินไม่ถึง คนข้างหลังทำได้เพียงแค่เดินตามไปด้วยสภาพที่กะเผลกเพราะความเจ็บแต่ก็ต้องฝืน ไม่กล้าแม้แต่จะขัดสายตาคู่คมอันแสนเรียบนิ่งของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
หลังจากรู้ว่าศิรภัทรจักรยานล้มและกลับบ้านมาด้วยสภาพที่เปียกไปทั้งตัว เจตน์ภพทำใจอยู่นานว่าจะไม่ยุ่งไม่สนใจเพราะนั่นไม่ใช่ธุระอะไรของตน แต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลเพียงเพราะดูสภาพแล้วจะไม่ใช่แค่แผลถลอกกับรอยช้ำอย่างที่เจ้าตัวบอก
"คุณกลางเบาๆ เราเจ็บแผล.."
"แล้วไหนว่าเก่ง บอกว่าไม่เป็นอะไรไง?” ก็นั่นแหละ แบบนี้จะให้เขาไม่โมโหได้อย่างไร ในเมื่อศิรภัทรเอาแต่ปฏิเสธและทำเก่งบอกว่าตนไม่เป็นอะไร เจ็บเพียงแค่นิดเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่เดินไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหาที่จับแล้ว
"ก็คุณกลางลากเรา"
ตอบออกมาเบาๆแล้วช้อนดวงหน้ามองด้วยความกลัว ก่อนแขนเล็กจะถูกปล่อยเป็นอิสระเมื่อเจตน์ภพเป็นฝ่ายเปิดประตูรถรอให้คนเจ็บเข้าไปในนั้น คนตัวสูงเดินอ้อมไปฝั่งคนขับไร้ซึ่งประโยคต่อล้อต่อเถียง และนั่นทำให้ศิรภัทรจำใจย้ายตัวเองเข้าไปในนั้น
"หยุดทำตัวมีปัญหาได้แล้ว"
เขาจะไม่ถามว่าอีกฝ่ายกลับมาด้วยสภาพไหน ถึงจะได้ยินอยู่ว่ามีคนใจดีพามาส่งถึงบ้านเพราะเห็นเด็กซุ่มซ่ามล้มอยู่ข้างถนน เรื่องนี้แม่ยังไม่รู้เพราะเธอแวะไปเยี่ยมญาติอีกบ้านหนึ่งกับชายเล็ก เจตน์ภพก็แค่ไม่อยากเห็นแม่ต้องทำหน้ากลุ้มใจหากกลับมาเห็นสภาพเด็กที่เดินกะเผลกแล้วมีรอยแผลเต็มตัวอย่างนี้
"แล้วคุณกลางจะมายุ่งกับเราทำไม"
เพิ่งรู้ว่าศิรภัทรเป็นคนซื่อๆที่ดื้อเงียบเอาก็ตอนนี้ เขาข่มใจไม่ให้พูดจาแย่ๆออกไปกว่านี้แล้วขับรถออกไปจากบ้านซะ ไร้ซึ่งคำตอบจากคนถูกถาม และคนเจ็บก็ทำได้แค่นั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น..ความเงียบเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ และจะไม่ชอบมากๆยิ่งตอนที่เราอยู่ในบรรยากาศแบบนี้
"ฉันจะพาไปเอ็กซเรย์กระดูก"
"..."
"เป็นอะไรขึ้นมาจะได้รีบรักษา"
"..."
"ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า"
ถามออกมาทั้งที่ไม่ได้หันไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหน ร้อยวันพันปีคุณกลางไม่เคยจะสนใจเขา มันคงเป็นอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงขั้นต้องเป็นฝ่ายพาไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง
"นิดหน่อยครับ"
ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดชังหรือไม่ชอบศิรภัทร เปล่าเลย.. เจตน์ภพยังคงจำได้ดีว่าตอนตนยังเด็กและน้องก็ยังเด็ก เราเคยเล่นและโตมาด้วยกันในบ้านหลังนี้ แต่พอถึงคราวที่เขาต้องไปเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนา นับตั้งแต่ตอนนั้นเราก็แค่ไม่สนิทกันเหมือนแต่ก่อน อาจเพราะเขาไม่ชอบเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา รู้ตัวอีกทีเราก็คุยกันแค่ไม่กี่คำแล้ว
"ทำไมถึงยังดื้อจะขี่ออกไปทั้งที่โซ่มันไม่ดี?" ก่อนหน้านั้นได้ยินพี่ช้างพูดว่าตอนเช้านั่งซ่อมโซ่ให้คุณหนู แม้ตนบอกว่าจะขับรถไปรับไปส่งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม
"เราขอโทษ เราจะไม่ทำตัวมีปัญหาแล้ว" แล้วดูใบหน้างอง้ำที่ก้มหน้าก้มตาจนคางแทบชิดอกตอนนี้เข้าสิ จะโกรธก็โกรธไม่ลงยามเห็นหน้าตาที่ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวถูกทอดทิ้ง แต่ถึงคราวที่คนดื้ออย่างศิรภัทรไม่เชื่อฟังก็ต้องดุไม่ใช่หรอกเหรอ อย่างน้อยเขาก็มีอำนาจดูแลคนในบ้านแทนพี่ชายคนโตอย่างจุนพัฒน์อยู่แล้ว
"ตรงนี้เป็นแผลทำไมไม่บอก?" จนกระทั่งสัญญาณไฟแดงปรากฏขึ้นจึงหันไปมองลอยแผลเหล่านั้นอีกครั้ง จึงเห็นว่าข้อมือที่ตนลากน้องมามีรอยแผลอยู่นิดหน่อย
"ก็.."
กำลังจะอ้าปากตอบไปว่า ‘ก็เพราะคุณกลางนั่นแหละที่ใจร้อนไม่ฟังใคร’ แต่พอมือหนาของอีกฝ่ายจับมือตนเข้าไปดูเท่านั้น ความเงียบก็เลยแทรกซึมเข้ามาทันที ไร้ซึ่งแรงบีบและถูกแทรกด้วยสัมผัสอ่อนโยนจนเขาลืมความเจ็บก่อนหน้านั้นไปเสียสนิท
“ขอโทษ..เจ็บมากหรือเปล่า”
ไม่มีคำขออนุญาตแต่กลับกลายเป็นเพียงคำขอโทษและคำถามที่คนฟังไม่ได้คาดคิดว่าตนจะได้รับ พอดีกับจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่ทำให้รถออกตัว หากแต่คนขับกลับไม่ปล่อยมือนั้นออกไปโดยที่เขาเองยังคงจับมือน้องไว้แล้วตนก็ขับรถมือเดียวแทน
“ถ้าเจ็บ..แล้วคุณกลางจะจับมือเราแรงๆแบบนั้นอีกไหม”
“ไม่แน่ ถ้านายไม่ทำตัวน่าโมโหอีก” ก็รู้สึกผิดอยู่หรอกที่อารมณ์ร้อน แต่มันแค่อดไม่ได้ที่เห็นเด็กคนนั้นเจ็บแล้วเอาแต่พูดว่าตนสบายดี
“คุณกลางโกรธเราเหรอ”
“เปล่า รำคาญเสียงนายร้องต่างหาก”
“นั่นเพราะคุณกลางเป็นห่วงเราสินะ..” (‘ - ‘)
“เพ้อเจ้อ”
“ฮึ..” ศิรภัทรหัวเราะ
“...”
“อื้ม แต่ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว..”
“...”
“จับมือเราไว้ก่อนนะ..”
.
.
TBC
- - - - - - - - - -
อะไรคือการทำร้ายน้องแล้วมาจับมือ แต่ก็ชอบเขานะคะ ผู้ชายปากคอเราะร้ายเนี่ย
วันนี้ไปเดินห้าง แวะร้านเสื้อผ้ากับเพื่อน ด้วยความเด๋อจึงเดินไปเตะขอบชั้นโชว์เครื่องประดับ
ตอนนั้นเจ็บนิดๆเลยไม่ได้สนใจอะไรค่ะ กลับมาถึงบ้านเท่านั้น เฮ้ยมันฉีกหายไปครึ่งเล็บ! . _ .
นั่นแหละค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ อยากแชร์ความเด๋อ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ช่วงนี้ฝนจะตกก็ตก จะหยุดก็หยุด ตอนนั่งพิมพ์อยู่นี่ก็ตกหนักเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ แล้วไปเชียร์ยูฟ่ากันค่ะ #เอ๊ะไม่น่าเกี่ยว
#คลาสสิคซีน
ความคิดเห็น