คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : scene 08 : คู่ซ้อมละครนอกบทของคุณพระเอก
08
กระเป๋าใบใหญ่ถูกแทนที่ด้วยเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของคุณหนูตัวขาวแห่งบ้านตระกูลเทวบดินทร์ ป้าไพรหัวหน้าแม่บ้านอาสาช่วยคุณหนูเล็กของเธอเก็บสัมภาระ โดยเลือกหยิบเอาแต่ของที่ศิรภัทรใช้ เสื้อผ้าส่วนใหญ่เป็นชุดนักศึกษาและชุดอื่นๆที่จำเป็นเพียงไม่กี่ตัว เนื่องจากพอสุดสัปดาห์เธอจะเป็นคนนำมาซักและรีดเตรียมไว้ให้ในสัปดาห์ถัดไป เป็นอย่างนี้ไปจนกระทั่งคุณหนูของเธอจะปิดเทอม..
“น้องจะมานอนคอนโดของผม จนกว่าน้องจะสอบเสร็จ”
เป็นเสียงทุ้มต่ำของเจ้าของกายสีน้ำผึ้ง ดังขึ้นตอบคำถามของผู้เป็นแม่หลังจากเธอเห็นลูกชายคนกลางรีบร้อนพาคนตัวขาวเก็บเสื้อผ้าราวกับจะไปไหนไกล เจตน์ภพอธิบายต่อว่าจะเป็นคนไปรับไปส่งน้องแทนนายช้างนับแต่นี้ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น ศิรภัทรก็คงรู้ตัวดีถึงได้ไม่คิดเถียงและยอมเก็บเสื้อผ้าของตนตามที่อีกฝ่ายบอก
“ดูแลน้องด้วยนะลูก ขาดเหลืออะไรก็ให้ช้างเอาไปให้”
“ครับแม่”
พอเห็นว่าลูกชายหันมาดูแลเอาใจใส่น้องก็ไม่คิดห้ามปราม ติดจะดีเสียอีกที่นายช้างจะได้ไม่ต้องเหนื่อยคูณสอง ไหนจะไปรับเจ้ามาคินกลับจากโรงเรียนอีก ครั้นจะจ้างคนงานขับรถเพิ่มคุณหญิงรัมภาก็ไม่ยอมเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาขโมยเล็กขโมยน้อยอย่างคนงานเก่าที่ไล่ออกไปอีก เธอบอกว่าคนสมัยนี้ไว้ใจยากนัก ไม่จำเป็นก็ไม่อยากรับใครเพิ่ม เพราะที่รับใช้ดูแลอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว
“ถ้าเจ้ามาคินกลับมาคงโวยวายบ้านแตก”
เธอพูดติดตลก ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมคนตัวผอมที่ยืนอยู่ข้างๆลูกชาย ก็จะอะไรเสียอีก ขนาดอยู่บ้านเดียวกันยังทั้งหวงและห่วงห้ามให้ใครมาแตะต้องพี่เซฮุนของมาร์คอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้ารู้ว่าพี่กลางพาคนดีคนน่ารักของเจ้าตัวไปจะโวยวายขนาดไหน
เซฮุนยิ้มน้อยๆ ถึงคราวที่ต้องบอกลาเลยก้มลงไปกอดคุณน้า หันซ้ายหันขวาให้เธอหอมแก้มแบบเป็นประจำ ก่อนจะเดินตามใครอีกคนไปหน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าที่พี่จอยถือให้
“ไม่เป็นไรครับพี่จอย เดี๋ยวเซฮุนถือเอง”
“ว้าย! ไม่ได้นะคะ ถ้าถือใบนี้รับรองแขนเล็กๆของคุณหนูหักแน่ค่ะ”
เธอพูดพร้อมเบี่ยงตัวหนีไม่ให้คุณหนูทำอย่างนั้น พี่จอยเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างตัวใหญ่ และป้าไพรมักจะบ่นว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิง เนื่องจากชอบทำงานที่ใช้แรงเยอะๆอย่างผู้ชายเขาทำกัน คราวก่อนคุณรัมภาอยากกินมะม่วงเปรี้ยวกับน้ำปลาหวาน ก็เลยไปสอยท้ายหมู่บ้านกับพี่ช้างสองคน ได้มาเป็นกอบเป็นกำจนทุกวันนี้ก็ยังกินไม่หมด
คนตัวขาวยิ้มขำพร้อมเดินไปพร้อมกับเธอ โดยมีป้าไพรเดินมาส่งอีกที คุณหนูคนดีของป้าจะไม่อยู่หลายวัน คนเฒ่าคนแก่ที่เลี้ยงมากับมือก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดา ส่วนเรื่องความเป็นห่วงเธอเองก็วางใจไม่ต่างอะไรกับคุณรัมภา ว่ายังไงแล้วคุณเจตน์ภพก็ต้องดูแลได้ดีไม่แพ้ตอนอยู่ที่บ้านใหญ่แน่นอน
“คุณกลางจับคุณหนูทานข้าวเยอะๆนะคะ!”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับป้า”
ใบหน้าหล่อคมยิ้มน้อยๆ ก่อนใครอีกคนจะย้ายตัวเองเข้ามาในรถหลังจากกระเป๋าสัมภาระถูกยกเก็บไว้ด้านท้าย โบกมือบ๊ายบายทั้งป้าไพรกับพี่จอยที่เดินมาส่ง แล้วหันกลับมาทางเดิมหลังจากล้อหมุนออกจากรั้วของบ้านหลังใหญ่ .. มีเพียงความเงียบที่ครอบงำโดยไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน อาจเป็นเพราะมันเร็วเกินไปจนทำให้คนอย่างศิรภัทรไม่ทันตั้งตัว ทว่าเหตุผลที่มีเพียงเขาและเจ้าของกายสีน้ำผึ้งที่รู้ก็คงไม่พ้นเรื่องคืนนั้น..
ศิรภัทรตื่นเช้ามาและพบว่าตนนอนอยู่บนเตียงคุ้นตาทว่าไม่ใช่ห้องของเขา คล้ายจะเป็นที่ที่เคยมาและค้นพบว่ามันคือห้องนอนของคุณกลาง ความปวดแผดลั่นไปทั่วทั้งร่างกายโดยเฉพาะช่วงเอว และตรงส่วนนั้นที่ทำให้แทบล้มทั้งยืนยามจะก้าวขาเดินเพียงก้าวเดียว แม้จะจำไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ใช่ว่าจะจำไม่ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น และคราวนี้เขาเองก็คงจะไม่ซื่อบื้อเกินกว่าจะไม่รู้ว่าตนมีอะไรกับคุณกลาง
คนตัวผอมแทบร้องไห้หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดว่าตนโดนวางยา ครีมกับเครปโทรมาด้วยความเป็นห่วง เอาแต่ขอโทษไม่หยุดว่าเป็นความผิดของทั้งคู่ที่ดูแลเพื่อนไม่ดีซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นเพราะตนต่างหากที่ไว้ใจคนอื่นมากเกินไป และเพราะเหตุนี้เจตน์ภพไม่อนุญาตให้เขาไปร่วมกิจกรรมกับชมรมอีกถึงขั้นให้ลาออกจากกลุ่มนั้นซะ เขาจะไม่ไปเอาเรื่อง ‘มัน’ ให้เป็นเรื่องใหญ่วุ่นวาย แต่แน่นอนว่าถ้าเจอหน้ามันอีกครั้งที่ไหน คนอย่างเจตน์ภพก็จะไม่เอาไว้เช่นกัน
“เย็นนี้อยากกินอะไร ฉันจะได้พาไปกินก่อนกลับคอนโด”
“เราไม่ค่อย..”
“ห้ามพูดว่าไม่หิว เพราะนายยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่กลางวัน” ยังไม่ทันจะพูดจนจบก็ถูกสวนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้เขาหยุดเถียง ดวงหน้าน่ารักงอง้ำเป็นเด็กๆก่อนจะคิดอะไรออกแล้วเงยหน้ามาพูดกับเขาด้วยท่าทางออดอ้อนว่า ‘เราอยากกินไข่เจียวกุ้งของคุณกลาง’ ซึ่งเจตน์ภพเองก็ไม่ทันปฏิเสธหรอก ดันเผลอไปหลุดยิ้มให้เจ้าตัวดีเสียก่อนนี่สิ คราวนี้ก็ภาวนาอย่าให้มันไหม้อีกแล้วกัน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
“..อื้อ นิดหน่อยครับ”
“เดี๋ยวคืนนี้จะทายาให้อีกรอบ”
“ระ..เราหายแล้ว ไม่ทายาแล้วได้ไหมครับ” : (
พอได้ยินแบบนั้นก็รีบส่ายหัวรัว หันมาหาเขาด้วยใบหน้าขอร้องสุดชีวิต ไม่ต้องพูดให้ยืดยาวศิรภัทรเองก็คงเข้าใจดีว่าคุณกลางกำลังหมายถึงส่วนไหนของร่างกายที่มันยังเจ็บอยู่ พูดถึงก็อดคิดถึงตอนที่คนเป็นพี่จับเขาทายาไม่ได้ พอมีสติดีจะไม่ให้เขินไม่อายยังไงไหว และเพราะมันเป็น 'ครั้งแรก' โชคดีเท่าไหร่ที่ผ้าปูที่นอนของเจตน์ภพเป็นสีเข้ม ไม่อย่างนั้นตอนขนไปให้ป้าไพรซัก คงโดนถามจนหาเหตุผลมาอ้างไม่ทัน
“อย่าดื้อ”
“แต่ว่า คุณกลาง..”
“ถ้าดื้อจะไม่ให้เอาไอ่ตัวแคระไปอยู่ด้วย”
แต่พอเอาเจ้าขนปุยสีขาวสุดรักสุดหวงของน้องมาล่อแล้วมีหรือว่าคนอย่างศิรภัทรจะไม่หยุดเถียง ก่อนหน้านั้นที่เกือบจะงอแงไม่ยอมไปก็เพราะว่าคนเป็นพี่ไม่ยอมให้เอาเจ้าคลาวด์อะไรนั่นมาด้วย .. เจตน์ภพยังทำใจยอมรับให้มันมาวิ่งเล่นดุ๊กดิ๊กในห้องนอนของตนไม่ได้นั่นแหละ แต่พอค้นพบว่าน้องทั้งรักทั้งเป็นห่วงเจ้าแคระที่เขาเรียกนั่นมากกว่าอะไร เลยต้องหลุดปากยื่นข้อเสนอแลกกับการที่ว่าไม่ดื้อก็จะยอมให้เอามา
“คุณกลาง..” นั่งนิ่งๆไม่ถกไม่เถียง แต่กลับปล่อยให้ความเงียบมาครอบคลุมต่อไปไม่ไหวจึงเรียกอีกฝ่ายออกมาอีกครั้งแล้วคนเป็นพี่ก็พร้อมจะขานรับทั้งที่สายตายังจดจ้องถนน
“ว่าไง” ศิรภัทรไม่ได้พูดออกมาในทันที อาจเป็นเพราะยังเรียบเรียงไม่ถูกและไม่กล้าที่จะถามออกมา ยิ่งคิดถึงมันเท่าไหร่ก็พาลให้ความร้อนมันจู่โจมเข้าสู่ใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
“ตรงนั้น..เราเป็นคนทำใช่ไหม”
จนในที่สุดก็ตัดสินใจถามออกมาเบาๆพร้อมจดจ้องไปที่ฝ่ามือของคนเป็นพี่ พบรอยข่วนและจิกจนเกิดแผลให้เห็นอยู่จางๆแต่ก็ไม่ลึกจนเจ็บเท่าไหร่นัก เป็นจังหวะเดียวกับที่สัญญาณไฟแดงสั่งให้ล้อหยุดหมุน พอดีกับที่ใบหน้าหล่อได้รูปละสายตาจากถนนและหันมามองเจ้าของคำถามนั้น
“อืม” เขายิ้ม “ยังมีที่หลังอีก เพราะเด็กแถวนี้ไม่ยอมตัดเล็บ ทั้งข่วนทั้ง..”
“ฮื่ออ!” (/////) ทว่ายังไม่ทันไรก็รีบเอื้อมมือมาปิดปากเขาไม่ยอมให้พูดต่อ เจตน์ภพแกะมือออก อาศัยจังหวะไฟแดงที่ติดนานกว่าปกติเลื่อนใบหน้าไปจ้องใกล้ๆอีกครั้ง
“อะไร..พอพูดก็เขินแล้วยังจะถามอีก” เรียวนิ้วชี้ยื่นไปจิ้มหน้าผาก พร้อมกับจับมือน้องข้างที่ยื่นมาปิดปากของตนเอาไว้
“ร..เราเปล่า!”
“เหรอ” เจตน์ภพยิ้มมุมปาก “ถ้าไม่ใช่เด็กแถวนี้ทำ แล้วจะเป็นใคร..”
น้องส่ายหัวรัว เอาแต่ก้มหน้าจนคางแทบชิด ครั้นจะดึงมือของตนกลับมาก็ถูกมือหนาของอีกฝ่ายกอบกุมเอาไว้ได้สำเร็จ จะย้อนเวลากลับไปให้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้ไร้สติถึงขั้นจำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพียงแต่ยิ่งเห็นว่ารอยแผลนั้นตนเป็นคนทำแล้วมันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เผลอไปจิกไปข่วนอีกคนจนเป็นแผล
แต่แล้วยังไง เจตน์ภพก็ยังคงเป็นเจตน์ภพอยู่วันยันค่ำ รอยยิ้มแบบนั้นยังคงกลั่นแกล้งทรมานหัวใจดวงนี้ของศิรภัทรได้อย่างสม่ำเสมอ คนใจร้าย คนไม่รู้จักพอ ทั้งที่ชาตินี้ไม่เคยคิดฝันว่าจะทำเรื่องนั้นกับใคร แต่ดันไปตกเป็นลูกแมวให้เสืออย่างคุณกลางขยุ้มได้สำเร็จเสียแล้ว..
“ตอนนี้จะมาอายอะไร หื้ม..”
“...”
“ทีคืนก่อนยังเรียกว่าพี่กลางไม่หยุดเลย”
: )
- - - - - - - - - -
“ไม่อ่านมันแล้ว!”
เสียงปิดหนังสือดังขึ้นพร้อมกับประโยคดังกล่าวของคณินธรหลังจากตั้งใจอ่านอยู่นานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้กับบทที่ยากที่สุดโดยเจ้าตัวบอกว่าจะกลับไปอ่านเองที่บ้านแทน ขืนฝืนอ่านต่อรอปิดร้านพร้อมพี่เชนพี่เบคงได้กลิ้งกลับบ้านกันทั้งสามคนมันนี่แหละ
เพราะเห็นว่าเป็นช่วงหยุดอ่านหนังสือสอบ เมื่อวานนี้แฝดขนมเลยโทรมาชวนเพื่อนสนิทตัวขาวให้ออกมาอ่านด้วยกัน ถึงจะอยู่คนละคณะ แต่บางวิชาก็ลงเรียนตรงกันบ้างอย่างวิชาบังคับของมหาลัยที่ทุกคนต้องลงเหมือนกันหมด สุดท้ายเลยเลือกร้านของรุ่นพี่คนสนิท โดยหลังจากอ่านเสร็จก็นัดกันว่าจะไปเดินเล่นก่อนกลับกันตามประสา
“เทมันไปเลยครับ!” ไม่วายรุ่นพี่ตัวเล็กก็ตามมาสมทบ พอเห็นน้องๆกำลังเกาะกลุ่มอ่านหนังสือแบบนี้ก็อดคิดถึงสมัยเรียนของตนกับเพื่อนสนิทตัวสูงอย่างเชนรพีไม่ได้ แม้จะอยู่คนละคณะ เรียนคนละสายกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มาอ่านด้วยกันทุกครั้ง
“ช่วงนี้น้องเซฮุนไม่ค่อยมาที่ร้านเลย โดนผู้ปกครองดุเอาเหรอครับ” เอ่ยถามรุ่นน้องตัวขาวเนื่องจากพักหลังมานี้เด็กลูกครึ่งเกาหลีของเขาไม่ค่อยได้มานั่งเล่นที่ร้านบ่อยๆเหมือนครีมกับเครป ได้ยินแบบนั้นศิรภัทรจึงพยักหน้าพร้อมยิ้มแห้งๆ เป็นที่รู้กันดีว่า ‘ผู้ปกครอง’ ที่ว่านั่นหมายถึงใคร
“แล้วไปยุ่งอะไรกับน้องเขา”
“โอ๊ย มึง..!”
พอโดนฝ่ามือของเพื่อนสนิทตัวสูงที่เดินมาผลักหัวจากทางด้านหลัง จึงหันไปมองอย่างเอาเรื่องและเกือบจะหลุดคำหยาบออกมาแต่ก็ต้องห้ามเอาไว้เพราะมีน้องๆนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เดี๋ยวจะหมดศรัทธาพี่เบขวัญใจสาว(วาย)กันพอดี แล้วคนเป็นพี่ทั้งสองก็ขยันสร้างโมเมนท์กันเสียเหลือเกิน ทำเอาสาวๆโต๊ะอื่นหันมาสลับกันมองไม่หยุด ก็นอกจากจะมานั่งกินของหวานเย็นดับร้อนแล้ว ก็มีพ่อค้าแซ่บเนี่ยแหละที่เรียกลูกค้าได้เยอะยิ่งกว่าโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง
“พี่เชนพี่เบไปด้วยกันไหมครับ” เครปถาม
“อย่าให้มันไปเลยครับ เดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้านเอา”
แต่ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบคำถามนั้นของน้อง ก็ถูกแทรกด้วยเสียงของคุณเพื่อนสนิทตัวดีที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะรู้ว่าคนอย่างพริษฐ์ถ้าได้เดินช็อปเมื่อไหร่ต้องมีเวลาว่างอย่างน้อยครึ่งวัน แล้วคนที่ต้องยืนรออยู่หน้าร้านไม่ใช่ใครที่ไหนเลยถ้าไม่ใช่เชนรพีคนเดิม เพิ่มเติมคือกูเมื่อยมากแต่บ่นนางไม่ได้
ทอดกายผอมเดินตามเพื่อนทั้งสองคนออกจากร้านหลังจากบอกลารุ่นพี่เจ้าของร้านขนมหวาน ครีมบอกว่าจะแวะร้านรองเท้า ส่วนเครปจะแวะร้านเครื่องเขียนซึ่งคนเดินตามอย่างศิรภัทรเองก็ไม่นึกขัด ถือโอกาสเดินเล่นเปิดหูเปิดตาไหนๆก็อุตส่าห์ขอคุณกลางกลับเย็นกว่าปกติ เผื่อว่าเห็นอะไรถูกใจแล้วอยากจะซื้อกับเขาขึ้นมาบ้างก็คงไม่เสียหาย
“พี่เครป น้องอยากเข้าร้านนี้ก่อน”
กระตุกมือคนเป็นพี่หลังจากเห็นร้านกิฟช็อปที่ขายแทบจะทุกอย่างแถมส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เจ้าครีมนักสะสมของแปลกจึงลากทั้งเพื่อนทั้งพี่เครปเข้าไปในร้านทันทีโดยไม่ฟังใครทั้งนั้น คนกายผอมเลือกจะเดินรออยู่โซนหน้าร้านเพียงเพราะเห็นเจ้าตุ๊กตาหน้าตาตลกเรียกความสนใจให้รอยยิ้มน่ารักปรากฏบนใบหน้าสวย แล้วปล่อยให้เพื่อนทั้งสองไปเดินเลือกกันอยู่ด้านในแทน
อันที่จริงศิรภัทรไม่ใช่นักช็อปนักเดินเสียเท่าไหร่ อาศัยติดสอยห้อยตามไปกับแฝดขนมพาเขาเปิดหูเปิดตาไปโน่นไปนี่ แพลนเที่ยวหลังสอบเสร็จก็เลยตกลงกันว่าจะพาเจ้าลูกครึ่งไทย-เกาหลีคนนี้ไปไหว้พระให้ครบทุกวัดตามที่ปรากฏอยู่บนเหรียญกษาปณ์ไทยเลยเป็นไง
“เซฮุน!”
เพลิดเพลินกับการมองของแปลกตาอยู่สักระยะ เสียงของใครบางคนก็หยุดความสนใจจากตุ๊กตาหน้าตาประหลาด ส่งผลให้ดวงหน้าน่ารักหันไปตามที่มาของเสียง ก่อนจะพบเข้ากับใครบางคนที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้
“อ่า..พีทนี่เอง” ศิรภัทรยิ้ม เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมวิชาเดียวกันกับเขา
“มาเดินเล่นเหรอ” ชายหนุ่มถาม พลางหันไปพยักพเยิดหน้าใส่เพื่อนที่มาด้วยว่าให้เดินไปก่อนไม่ต้องรอตน
“อื้ม เรามาอ่านหนังสือกับแฝดขนม ก็เลยแวะเดินเล่นก่อนกลับ” พูดพร้อมชี้ไปทางเพื่อนทั้งสองที่กำลังเพลิดเพลินกับการช็อปอยู่ด้านใน
“เซฮุนไม่เข้าไปช่วยเพื่อนเลือกเหรอ?” ชายหนุ่มถามปนขำ
“เรารอตรงนี้ดีกว่า” ศิรภัทรส่ายหน้ายิ้มๆ “แล้วพีท..ไม่ตามเพื่อนไปเหรอ?”
“เพื่อนเจอเมื่อไหร่ก็ได้..แต่นานๆจะได้บังเอิญเจอเซฮุน” พูดจบก็ระบายยิ้มออกมาบางๆ ทว่ามันกลับทำให้คนฟังอย่างเขาตอบอะไรออกมาไม่ถูกแม้กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนควรจะทำสีหน้าแบบไหน สุดท้ายเลยยิ้มออกมาแห้งๆ แล้วหยิบตุ๊กตาหน้าตาประหลาดใกล้ๆมือขึ้นมาดูเล่นแก้เก้อเสียอย่างนั้น
“ยัยหมวย เราไปร้านข้างๆนะ!”
ได้ยินเสียงเพื่อนดังมาจากอีกทางเหมือนช่วยชีวิตให้คนอย่างศิรภัทรไม่ประหม่าไปมากกว่านี้ เขาเงยหน้ามองเพื่อนคนดังกล่าวและอีกฝ่ายก็พอจะรู้ว่ามันถึงเวลาที่ต้องบอกลากัน ทว่าก็อดถามคำถามที่ตั้งใจจะถามออกมาไม่ได้
“เรื่องนั้น..โอเคใช่ไหม” ชายหนุ่มตัดสินใจพูดมันออกมาเพียงเพราะเป็นห่วง และเป็นอย่างที่เดาเมื่อคนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิมทันทีแม้จะไม่มากนักก็ตาม .. ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องไหน ศิรภัทรรู้ดีว่ามีคนในมหาลัยรู้เรื่องนี้ไม่น้อย จากการเอาไปพูดกันปากต่อปาก ถึงจะผ่านมาได้สักระยะ แต่เมื่อไหร่ที่พูดถึงมันก็พาลให้ตัวเขาเองรู้สึกไม่ดีอยู่ทุกครั้ง
“เราไม่เป็นอะไรแล้ว”
ระบายยิ้มบางๆแล้วพยักหน้าสองสามทีเป็นการย้ำว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่แล้วยังไง ในเมื่อคนที่เป็นห่วงก็คือคนที่เป็นห่วงอยู่วันยันค่ำ ชายหนุ่มจ้องมองสายตาคู่นั้นโดยไม่พูดอะไร เขารู้ดีว่าใครเป็นคนไปช่วยศิรภัทรในวันนั้น จึงได้แต่โกรธตัวเองที่รู้ช้ากว่าคนอื่นไม่พอ แถมยังช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
“พีท..เราต้องไปแล้ว”
เอ่ยสุ้มเสียงน่ารักที่มันมักจะมีผลกระทบต่อหัวใจของชายคนนี้เสมอ ใครบางคนที่เข้ามาครอบครองหัวใจของเขาตั้งแต่วันที่ได้พบหน้า แม้กระทั่งประโยคเพียงไม่กี่ประโยคในบทสนทนาอันสั้นของเรา .. มีคนบอกว่าความชอบนั้นคืออารมณ์ แต่ความรักนั้นคือความรู้สึก เขากลายเป็นคนที่แยกแยะระหว่างความชอบกับความรักไม่ออก เพียงเพราะคนๆนี้ได้มันทั้งสองอย่างไปพร้อมกันแล้ว
“พีท..”
หากแต่บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถรู้สึกแบบที่อยากจะรู้สึกได้ ทั้งที่อยากจะให้เป็นตนเองที่ถูกมองว่าใช่ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับพร่ำบอกว่า เราควรยืนอยู่ในที่ที่เรายืนอยู่ และควรอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน ราวกับมีทางเลือกสองทาง ว่าจะให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นมิตรภาพอันงดงามแบบนี้ต่อไป หรือจะเป็นความสัมพันธ์ที่เราทั้งคู่อาจจะแค่รู้จักกันแต่กลับไม่มองหน้ากันอีกเลย .. ผู้ชายคนนี้เองก็มีคำตอบอยู่ในใจ และยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิมเมื่อได้เห็นแววตาคู่นั้นที่กำลังมองมาที่เขาในตอนนี้
“ขอโทษนะ”
“...”
“..เรามีคนที่ชอบแล้ว”
- - - - - - - - - -
นาฬิกาบ่งบอกเวลาใกล้จะล่วงเลยเข้าเช้าวันใหม่ ทว่าใครบางคนเพิ่งจะได้พาร่างของตนมาถึงคอนโดหลังจากใช้พลังงานไปกับการทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ยันพระจันทร์ขึ้นมาแทนที่ดวงอาทิตย์อีกครั้ง แต่ร่างกายที่คุ้นชินกับการทำงานเช่นนั้นจึงทำให้คนอย่างเจตน์ภพไม่ได้ถึงขั้นกลายร่างเป็นซอมบี้ไปเสียก่อน
ศิรภัทรกลับถึงห้องก่อนเขาตามที่บอกไว้ว่าจะขออนุญาตไปอ่านหนังสือกับเพื่อน ตั้งแต่พาน้องมาอยู่ที่นี่เลยให้พกคีย์การ์ดไว้เผื่อว่าวันไหนเขากลับช้ากว่าจะได้ไม่ต้องรอจนดึกจนดื่น เปิดประตูเข้ามาก็พบว่าเจ้าเด็กนมผงกำลังนั่งกินขนมพร้อมอ่านหนังสือในชุดนอน ก็อยากจะถามออกไปอยู่หรอกว่าถ้าวันไหนเขาแกล้งห้ามไม่ให้กินของพวกนั้นขึ้นมา จะงอแงดิ้นพรวดพราดเหมือนเด็กสามขวบเอาแต่ใจไหม
“คุณกลาง พรุ่งนี้เราว่าจะไปหาพ่อกับแม่..”
เจตน์ภพทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาหน้าทีวี เขาไม่ได้หันไปมองคนที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน เป็นเพราะกำลังอ่านบทสำหรับฉากในวันพรุ่งนี้อยู่ ตามด้วยการลากเสียงทุ้มเบาๆในลำคอเป็นการตอบรับ เห็นแบบนั้นคนกายผอมจึงหันไปสนใจตัวหนังสือของตนเองต่อ ท่าทางเฉยชาไร้ซึ่งรอยยิ้มของคุณพระเอกที่ตัวจริงผิดกับในจอ เป็นสิ่งที่เขาคุ้นชิ้นกับมันมาเสมอ แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันที่เด็กคนนี้ถึงต้องคอยลอบมองใบหน้าหล่อคมของคนที่กำลังตั้งใจอ่านกระดาษหนาๆเหล่านั้นอยู่ด้วย
“คุณ..”
“มานี่”
“หือ..” เมื่อตั้งใจจะชวนคุยถามไถ่ตามประสาเด็กช่างพูดว่าวันนี้คุณพระเอกเหนื่อยหรือเปล่า ทว่าเสียงทุ้มต่ำกลับดังสวนกลับมาพร้อมสายตาที่ยากจะคาดเดา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“บอกว่าให้มาก็มาสิ” เอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะคิดว่าตนอาจจะได้ยินผิดไป ทว่าคราวนี้เจตน์ภพละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ หันมาจ้องมองคนอายุน้อยกว่าราวกับจะย้ำคำพูดเดิมของตน สั่งให้เจ้าของกายผอมลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความมึนงง เพื่อทำตามคำสั่งของคนที่เขาไม่นึกอยากจะขัดเลยสักครั้ง เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนเป็นพี่โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ อาการประหม่าทำให้เขาเลียริมฝีปากเล็กของตนอย่างช่วยไม่ได้เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก
“ซ้อมบทให้หน่อย”
ทันทีที่พูดจบก็ยื่นกระดาษที่เย็บรวมกันเป็นปึกหนาให้คนเป็นน้องราวกับจะไม่ให้เขาได้มีเวลาปฏิเสธ ศิรภัทรรับมาถือไว้และเปิดอ่านมันไปมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพียงเพราะไม่เคยเห็นบทละครที่เขาใช้ถ่ายทำกันจริงๆมาก่อน
“บทไหนเหรอครับ? แล้วคุณกลางจะให้เราเป็น-”
“นางเอก”
ถามออกไปเพียงแค่นั้นก็ได้รับคำตอบกลับมาอย่างไม่ทันให้คนฟังตั้งตัว ส่งผลให้เจ้าของใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มขึ้นอย่างได้ใจ ก่อนคุณพระเอกจะเปิดหน้าที่คั่นเอาไว้ให้ เป็นบทสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้พระเอกนางเอก
“พร้อมหรือยัง”
เป็นฉากสั้นๆที่นักแสดงมืออาชีพก็คงเล่นได้อย่างสบายๆ แต่กลับอดประหม่าไม่ได้เมื่อกวาดสายตามองเพียงไม่กี่ประโยค ความร้อนก็เล่นงานพวงแก้มนุ่มนิ่มเข้าเสียแล้ว เขาสูดหายใจเตรียมความพร้อม พยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ .. เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับงานของคนเป็นพี่ แม้ตนจะไม่มีความรู้เรื่องการแสดงเลย แต่ในเมื่อขอให้เป็นเพียงแค่คู่ซ้อม ไม่ได้ไปเล่นให้จริงๆก็คงจะไม่ได้ยากอะไรเท่าไหร่หรอกมั้ง
นางเอก: “ค..คุณออกไปเถอะ ฉ..ฉันไม่พร้อมจะคุยกับคุณตอนนี้” (พูดเสียงแข็ง หันไปมองทางอื่น)
พระเอก: “ผมทำผิดมากเลยเหรอ..” (มองหน้านางเอกด้วยแววตาเศร้าหมอง)
เพียงแค่ประโยคแรก แต่ศิรภัทรกลับต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการควบคุมเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ เขาต้องทำเหมือนว่าตนเองนั้นโกรธอีกฝ่าย ทั้งที่แท้จริงแล้วมันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง..
นายเอก: “ถ้าคุณไม่รักฉัน..อย่างน้อยก็ควรจะรักตัวเองไม่ใช่เหรอ หากเป็นอะไรขึ้นมา..” (น้ำตาคลอ)
พระเอก: “นั่นเป็นเพราะผมรักคุณมากกว่าชีวิตของผมทั้งหมด” (มองอย่างจริงจัง จับมือนางเอก)
เรื่องราวระหว่างคู่รักที่ชายคนหนึ่งมีพลังวิเศษคอยช่วยเหลือมนุษย์ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย และหญิงสาวคนธรรมดาที่รักเขาหมดหัวใจ หลายครั้งที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผู้คน และมันก็เกือบจะทำให้เธอไม่ได้เห็นหน้าคนรักของเธออีก หญิงสาวขอร้องอ้อนวอนเพราะไม่อยากเสี่ยงกับการสูญเสียคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะรู้ดีว่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกเป็นความดีที่ยากจะตอบแทน แต่การจะเอาชีวิตของคนที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังวิเศษไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย ใครหน้าไหนจะยอมให้คนรักของตนเองทำเช่นนั้น..
นางเอก: “แล้วทำไมถึงยังเสี่ยงชีวิตไปช่วยคนอื่นอีก..”
พระเอก: “คุณเชื่อใจผมหรือเปล่า”
นางเอก: (มองหน้า)
พระเอก: “ตรงนี้น่ะ..มันเต้นเพื่อคุณอยู่ ไม่รู้เหรอครับ?” (จับมือนางเอกมาทาบที่อก)
ศิรภัทรรู้สึกได้ถึงแววตาของคนเป็นพี่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่สายตาเย็นชาที่เคยมองเขา แต่กลับจริงจังเหมือนว่ากำลังรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ .. มองมือตัวเองที่ถูกกอบกุมขึ้นไปวาง ณ ตำแหน่งด้านซ้ายอย่างอ่อนโยนราวกับอยากรักษาและทะนุถนอมคนๆนี้เอาไว้ตราบชั่วชีวิต และมันก็พอจะทำให้ใครบางคนเผลอคล้อยตามไปกับสัมผัสเหล่านั้นได้ไม่ยาก
พระเอก: “แล้วทำไมถึงยังคิดว่าผมไม่รักคุณ หื้ม”
จนแล้วจนเล่าหญิงสาวก็พร้อมจะใจอ่อนเพราะคำพูดของชายหนุ่มที่เธอรัก และยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่อยากจะเสียอีกฝ่ายไปมากเท่านั้น .. และในเวลานี้เอง ที่ผู้ช่วยซ้อมบทละครอย่างศิรภัทรกำลังประหม่าอย่างหนัก เมื่อสายตามันดันไปเห็นประโยคด้านล่างที่จวนใกล้จะถึงฉากนั้นอยู่รอมร่อ
พระเอก: “หรือว่าคุณไม่รัก..”
นางเอก: “อ..อย่าพูดคำนั้น..ออกมานะ”
ไม่มีคำบรรยายกล่าวไว้ว่านางเอกต้องเสียงสั่น เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่นักแสดงจะต้องแสดงออกมายังไงก็ได้ให้ดูเหมือนว่านางเอกกำลังใจอ่อน พ่ายแพ้ต่อคนรักที่กำลังจ้องมองกันอยู่ในเวลานี้ .. ไม่มีบทพูดในไดอะล็อกหลังจากนั้น เหลือแต่การแสดงด้วยท่าทางหรือที่เรียกกันว่าภาษาทางกาย ซึ่งพระเอกจะต้องถ่ายทอดความรู้สึกให้นางเอกรับรู้ว่าเขานั้นรักเธอมากแค่ไหน เช่นเดียวกับความรักของนางเอกที่มีมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“แล้วหัวใจของคุณ เต้นเพื่อผมอยู่หรือเปล่า..”
จนกระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นทำลายความเงียบอีกครั้ง ศิรภัทรรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ประโยคที่อยู่ในบท ในเมื่อเขาอ่านมันทุกบรรทัดอย่างไม่มีตกหล่น แล้วมีหรือว่าพระเอกที่ท่องบทได้ครบถ้วนอย่างเจตน์ภพจะไม่รู้ว่าฉากต่อไปคืออะไร เพียงแต่ในตอนนี้เขาแค่กำลังแสดงนอกเหนือจากที่กล่าวเอาไว้เท่านั้นเอง
(พระเอกจูบนางเอกด้วยความรัก)
ยามริมฝีปากแตะโดนกัน นางเอกชั่วคราวที่เป็นเพียงคู่ซ้อมก็พร้อมจะหลับตาลงในวินาทีนั้น ร่างกายอ่อนยวบเผลอไปกับสัมผัสอ่อนโยนที่คนเป็นพี่มอบให้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการจูบเพื่อแสดงความรักมันเป็นอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งการจูบแบบธรรมดาที่ใครๆเขาก็ทำกัน เผลอแสดงอาการไม่ประสีประสาอย่างน่ารักน่าชังให้อีกฝ่ายต้องทรมานอดกลั้นความรู้สึกอยากฟัดอยากทำให้ตัวช้ำมันเสียตอนนี้
“...”
เจตน์ภพก้มลงจูบซ้ำๆ ผละออกมามองหน้าและฉกชิมไม่รู้จักหยุดหย่อน ไล่งับและดูดดุนราวกับเป็นขนมหวานนุ่มลิ้น มือหนาคอยประครองแก้มใส พร้อมจับคางให้น้องเงยขึ้นรับจุมพิตของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเอาแต่ใจ กระทั่งร่างกายของคนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำอ่อนยวบอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่เหลือซึ่งสติจนเผลอมือไม้อ่อนปล่อยบทดังกล่าวลงบนพื้น
“ค..คุณกลาง ดะ..เดี๋ยวก่อน..”
ไม่มีใครสนใจจะเก็บมันและเพราะคุณพระเอกยังคงเพลิดเพลินกับบทจูบนั้นอยู่ ส่งผลให้เขาเผลอเอาแต่ใจรุกล้ำอย่างดูดดื่มจนน้องขาดอาการหายใจ จำต้องผละออกมาร้องประท้วง คนไม่รู้จักพอก็ได้แต่ยิ้ม แล้วเริ่มฉกชิมความนุ่มหยุ่นสีชมพูอ่อนเบื้องหนาของตนอีกครั้ง อีกครั้ง และ..
“ฮ..อือ” สอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวบาง ลูบไล้เอวคอดสวยตั้งแต่หน้าท้องไปยันกระดูกสันหลัง ความนุ่มลื่นมือทำให้ความเป็นชายฉกรรจ์ลุกโชน อยากจะทำมากกว่านี้ ยิ่งกว่านี้ แต่ก็ได้แต่สั่งห้ามตัวเองไว้ไม่ให้เคยตัว
พอรู้ว่าน้องยืนต่อไปไม่ไหวเลยค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา โดยให้คนตัวเล็กนั่งลงบนตักทั้งที่เรายังมอบจูบให้กันอยู่ จับใบหน้าให้หันมาหา มือข้างที่หลุดหายเข้าไปในเสื้อก็ยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสม่ำเสมอ รู้สึกได้ถึงอาการหดเกร็ง ขนลุกขนชันเพราะน้องคงจะทั้งกลัวทั้งเขิน ไม่รู้ว่านั่นคือการแสดงความรักที่พระเอกมีต่อนางเอก หรือเป็นเพราะเจ้าของกายสีน้ำผึ้งคนนี้กำลังเลยเถิดไปไกล ลามมาถึงในชีวิตจริงที่เขาอยากจะทำกับน้องเอง..
“อื้อ..ฉากนี้..จ..จบหรือยังครับ”
“...”
“ถ้าจบแล้ว..เราจะ..อ”
“ยัง”
“...”
“ซ้อมบทนี้ไปจนกว่าฉันจะพอใจ”
: )
.
.
TBC
- - - - - - - - - -
ขึ้นชื่อว่า ‘จูบ’ มักจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น...
แต่! คุณกลางคงต้องไปจัดการตัวเองนะคะ เพราะฉากนี้ไม่มี CUT ค่า
สองตอนติดก็เกินไปล้าว 55555555555555555555555555
ฮือ ทำไมเราสงสารคุณพีทอ่ะ เหมือนทุกคนจะคิดว่าพีทไม่ดี จะมาแย่งน้อง
สรุปว่าพ่อพระมาก ปล่อยน้องไปอย่างหล่อๆ คนแอบชอบก็ได้แต่แอบชอบอ่ะเนาะ . _ .
โดนปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ทันได้สารภาพรักเลย *ตบบ่าพีทปุๆ* U-U;;
ยัยเด็กเนื้อหอม ยัยเด็กน่ารัก ยัยเด็กคึกคัก @น้องเซฮุน
#คลาสสิคซีน
ความคิดเห็น