ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) BAKE A WISH - KAIHUN ft. EXO

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue : "Hello, nice to meet you"

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 59









    Intro

     

     

     

     

                มีคนบอกผมว่าการเป็นปาติซิเย่หรือเชฟทำขนม คุณจะต้องมีความละเอียด อ่อนหวาน และนุ่มนวล ทุกส่วนผสมที่รวมกันเป็นเนื้อเดียว มันจะบ่งบอกความเป็นตัวเราหลังจากที่ขนมเหล่านั้นถูกเสิร์ฟต่อหน้าใครสักคน และรสชาติหลังจากที่พวกเขาได้ลิ้มลองมัน ก็จะตัดสินว่าตัวคนทำ ใส่ใจและให้ความสำคัญกับมันมากแค่ไหน .. จริงไหมครับ ?

                มีคนบอกผมอีกว่า ความรักที่เหมือนกับขนมเค้ก มันยิ่งใหญ่และมากมายพอๆกับการที่เด็กสักคนหลงรักเค้กก้อนโตสักชิ้น ..

     

                และวันนั้นที่ผมเจอคุณ .. คุณคือเค้กทั้งชิ้นของผม

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

                "พ่อมึงบอกว่าวันนี้จะมีสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่"

     

                "อืม" เสียงทุ้มนุ่มตอบรับสั้นๆก่อนจะตั้งใจนวดแป้งสำหรับทำพายไก่จำนวนหนึ่งร้อยชิ้นให้คุณนายบ้านหนึ่ง ที่ลูกสาวเขากำลังจะฉลองครบเก้าขวบในงานปาร์ตี้คืนนี้

     

                "มาค่ำๆมั้ง เดี๋ยวพ่อคงจะไปรับ"

                จงอินเงยหน้าขึ้นมาตอบรับคนอายุมากกว่าที่นั่งเท้าคางมองเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม ปกติแล้วบยอนแบคฮยอนจะมีหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าร้านกับพ่อ แต่ที่มาก่อกวนชวนเขาคุยเนี่ย เป็นงานอดิเรก เชฟหลายคนต้องการสมาธิในการทำขนม ทว่าสำหรับคิมจงอินแล้ว การมีพี่ชายตัวเล็กนั่งคุยด้วยแบบนี้มันก็ไม่เลวเท่าไหร่หรอก

     

                "สู้นะไอน้องชาย แค่ร้อยชิ้น" แบคฮยอนว่าพลางยักคิ้ว

     

                "แน่นอนอยู่แล้ว" จงอินยักไหล่ "เพราะงานที่ใหญ่กว่านั้นมันยังมาไม่ถึง"

     

                "งานอะไรวะ?"

     

                "เค้กงานแต่งพี่ไง"

     

                "โว้ะ ชาตินี้คงจะมี" พูดจบก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน แผ่นหลังหันกลับไปเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบสำหรับทำไส้พายไก่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายอย่างคิมจงอินเป็นถึงปาติซิเย่หรือเชฟทำขนมฝีมือดีคนหนึ่งในถนนเส้นนี้ เพราะไม่ว่าจะเทศกาลไหน จะมีคนหรือไม่มีคน ขนมของเขาก็หมดทุกรอบจนทำแทบไม่ทัน ก็เลยถึงขั้นต้องเขียนป้ายเอาไว้ว่าวันนี้มีมากพอสำหรับลูกค้ากี่ชิ้น

     

                'กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง'

     

                เสียงกระดิ่งดังขึ้นหลังจากลูกค้าคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในร้าน แบคฮยอนชะโงกหน้ามอง ก่อนชายวัยกลางคนจะเอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ไม่แปลกที่จะทำใครหลายคนตกหลุมรักตั้งแต่หน้าประตู .. ต้องขอบคุณสถาปนิกฝีมือดีคนรู้จักของพ่อ ได้ออกแบบร้านนี้ให้เป็นสไตล์ยุโรปโบราณ หากแต่ภายในถูกออกแบบให้เป็นไสตล์ยุโรปแบบร่วมสมัย ดูแปลกตาและน่าค้นหา บวกกับของเล่นโบราณและดอกคาร์เนชั่นสีชมพูประจำอยู่ตามโต๊ะสร้างความอบอุ่นอ่อนหวานยิ่งไปกว่าเดิม

                ความหอมจากทาร์ตไข่ที่เพิ่งอบเสร็จก่อนหน้านั้น ตลบอบอวลตีกลับกลิ่นไวน์ของร้านที่วางโชว์อยู่ที่ชั้น มันอาจจะฟังดูแปลกถ้าจะบอกว่าที่นี่คือร้านเบเกอรี่ที่เปิดเป็นร้านไวน์ไปในตัว แทนที่จะเป็นชากาแฟเหมือนร้านอื่นๆเขาทำกัน แต่ก็นั่นแหละ..คือสิ่งที่แปลกแต่มีอยู่จริง

     

                "ฝีมือดีแบบนี้ ไม่มีใครมาติดบ้างเลยเหรอไง" แบคฮยอนเอ่ยแซวคนอายุน้อยกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชายอย่างคิมจงอินนึกเคอะเขินอะไรหรอก นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้คิดจะสนใจกับเรื่องอะไรแบบนี้

     

                "อย่างเจ๊คนก่อนนี่ไม่เอานะ มีลูกแล้วอ่ะ" จงอินหัวเราะ "ว่าแต่พี่เถอะ แก่แล้วนะ"

     

                "พูดดีๆนะเว้ย นี่แค่ยี่สิบห้าเอง"

     

                "งั้นผมก็แค่ยี่สิบสามไง ไม่รีบ" จงอินยักไหล่อย่างกวนๆ ทำเอาคนมองเบ้หน้าใส่ไปทีก่อนจะมองออกไปทางหน้าร้านอีกครั้ง ใครบางคนกำลังคุยกับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม 'พ่อ' หรือคิมเจสันชาวลูกครึ่งอเมริกัน-เกาหลี เจ้าของร้านแห่งนี้ และเป็นคนที่ให้เขามาทำงานพิเศษสำหรับเด็กนอกที่มาเรียนต่อโทอย่างบยอนแบคฮยอน ส่วนคิมจงอินเป็นลูกชายแท้ๆ เด็กกว่าเขาสองปี สนิทกันอย่างกับเป็นพี่น้องแท้ๆอะไรเทือกนั้น

     

                ร้าน 'HOME SWEET HOME' เป็นชื่อร้านที่คุณนายคิมจีมินหรือแม่ของจงอินเป็นคนตั้งชื่อเอาไว้ว่าจะเปิดร้านนี้ที่ซานฟรานซิสโก บ้านเกิดของพ่อ ทุกอย่างเป็นไปได้สวย จนกระทั่งความฝันพังทลายลงเมื่อถึงคราวที่คนบนฟ้าใจร้ายเกินกว่าที่จะให้ปาติซิเย่ฝีมือดีอย่างเธออยู่ต่อไปบนโลกนี้ และแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกก็ทำให้แม่จากไป ทั้งที่คิมจงอินเองเพิ่งอายุได้แค่สองขวบ .. พ่อเล่าว่าตอนนั้นไม่คิดอยากจะทำอะไรต่ออีก ร้านเสียหายค่อนข้างมาก กว่าจะฟื้นฟูได้ก็หมดกำลังใจจะทำต่อ ปล่อยทิ้งมันไว้และตัดสินใจกลับเกาหลี

                ส่วนคิมจงอินเป็นลูกเสี้ยวอเมริกัน-เกาหลีที่หน้าจะเหมือนไปทางแม่จนถ้าบอกกับใครต่อใครว่ามีสองสัญชาติ เขาก็คงจะไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าโรงเรียน คิมเจสันตัดสินใจให้จงอินเรียนที่เกาหลี และใครจะรู้ว่าลูกชายแท้ๆเพียงคนเดียวของตนจะได้เชื้อแม่แรงเสียขนาดที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่าจะเรียนต่อทางด้านเชฟขนม เมื่อถึงคราวที่จงอินพร้อมที่จะสานฝันคนเป็นแม่ต่อ บวกกับไร่องุ่นของคุณตาที่ยกให้ลูกชายอย่างคิมเจสันได้เปิดธุรกิจไวน์ จนกระทั่งสุดท้ายเราก็กลับมาที่ซานฟรานอีกครั้ง ฟื้นฟูและดูแลร้านของแม่ .. จนเป็นของพวกเราในทุกวันนี้

     

                เพราะฉะนั้นคงจะไม่แปลกว่าดอกคาร์เนชั่นสีชมพูที่อยู่ในแจกันบนโต๊ะเหล่านั้น พวกเราระลึกถึงใคร เพราะความหมายของมัน .. หมายถึงความรักของแม่ : )

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

                รถบนถนนไม่ได้ติดจนน่าหงุดหงิด เพลงสไตล์คันทรี่ที่พ่อเปิดกรอกหูให้ฟังตั้งแต่เด็ก ดังคลอเบาๆให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อจนเกินไป .. เบรคถูกเหยียบค้างไว้พร้อมๆกับล้อทั้งสี่เคลื่อนตัวช้าลง เส้นทางคดเคี้ยวของถนนลอมบาร์ดสตรีท สร้างความท้าทายให้กับพวกมือใหม่หัดขับ ชนิดที่ว่าไม่เจ๋งพอก็อาจจะมึนหัวไม่ก็เฉี่ยวชนโน่นทีนี่ทีไปก่อนจะถึงทางปกติ ทว่านั่นมันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างคิมจงอิน

                กว่าจะถึงที่หมายก็ปาเข้าไปเกือบสามสิบนาที แต่ก็ยังไม่เลยเวลาที่เขานัดกับลูกค้าเอาไว้ ขายาวก้าวลงจากรถ หยิบเศษกระดาษในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งที่จดที่อยู่ไว้ก่อนหน้านี้ออกมาพลางมองสลับกับบ้านเลขที่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า โอเค..อย่างน้อยลูกค้าคนนี้ก็ไม่ได้เขียนบ้านเลขที่ผิดเหมือนคุณมาดามเมื่อวันก่อน ทำเขาหน้าแตกไม่พอ ยังจะเรียกร้องค่าเสียหายหาว่าไปส่งช้า สุดท้ายพอเอาที่อยู่ที่เป็นลายมือของป้าเองยื่นให้ดู เป็นไงล่ะ เงียบเป็นลำโพงพัง หลังๆมานี้ก็เลยต้องย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าเขียนบ้านเลขที่ผิดอีก จะปรับเงินเพิ่มจริงๆด้วย = _ =

     

                "Thank you and have a nice day" (ขอบคุณนะครับ ขอให้มีความสุดตลอดทั้งวัน)

     

                "You too!" (คุณก็ด้วยนะคะ)

                หญิงสาววัยกลางคนฉีกยิ้มอย่างเป็นกันเองหลังจากที่เธอรับพายที่สั่งไว้จนครบ ก่อนจะลากันอย่างเป็นทางการ จงอินถือโอกาสฝากอวยพรคุณลูกสาววัยหกขวบที่คงจะสนุกอยู่ในบ้านว่าให้แกมีความสุขมากๆ แล้วก็พาตัวเองเข้ามาในรถอีกครั้ง

     

                "..."

                เห็นแบบนั้นเลยพาลให้นึกไปถึงตัวเองในวัยเด็ก ไม่รู้เหมือนกันว่าเลิกจัดงานวันเกิดไปตอนไหน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลืมวันเกิดตัวเองไปแล้วด้วยซ้ำ มานึกเอาอีกที ก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองอายุยี่สิบสามไปได้เมื่อต้นปีแล้ว

                ไม่แปลกหรอกที่แบคฮยอนพี่ชายคนสนิทจะแซวทุกวี่ทุกวันว่าทำไมถึงยังไม่มีแฟนหรือสาวที่ไหนมาติดเสียบ้าง แล้วจะให้คิมจงอินทำอย่างไร วันๆก็เอาแต่อยู่หลังร้านทำขนม ไม่มีเวลาได้ออกไปเจอหน้าเจอตาใครเขาหรอก เว้นก็แต่ตอนไปส่งขนมบ้างเป็นครั้งคราว

     

                'ครืด ครืด'

     

                โทรศัพท์เครื่องเล็กสั่นแจ้งเตือนว่ากำลังมีคนโทรเข้า ด้วยความที่ติดไฟแดงอยู่ จงอินเลยหยิบมันมาดูจนได้รู้ว่าเป็นแบคฮยอนที่กำลังโทรมา พนันได้เลย ว่าคงต้องฝากซื้อของกินที่ไชน่าทาวน์ ตลาดเมืองจีนในซานฟรานที่เขาขับผ่านเป็นประจำแน่นอน

     

                ( เลยไชน่าทาวน์มาหรือยังวะมึง! ) เดาผิดซะที่ไหนล่ะ..

     

                "ยัง" จงอินตอบขำๆ "จะเอาอะไรก็ลิสมาเลย"

     

                ( เยอะแน่ เพราะไม่ใช่แค่กูที่กินคนเดียวว่ะไอน้อง )

                ทำหน้าแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง จะว่าพ่ออยากกินอาหารจีนก็ไม่ใช่ ของแบบนั้นไม่ค่อยถูกปากคุณคิมเขานักหรอก และคิมจงอินคงจะลืมไปเสียสนิท ว่าที่ตัวเองต้องออกมาส่งขนมแบบนี้ก็เพราะว่าพ่อไม่อยู่บ้าน และเหตุผลของการที่พ่อไม่อยู่บ้าน ก็คือขับรถไปสนามบินเพื่อรับใครบางคนที่เป็นสมาชิกใหม่ของบ้านหลังนี้ วินาทีนั้นแหละ ที่เสียงไม่คุ้นหูของบุคคลที่สามดังรอดมาในสาย แน่นอนว่าเสียงน่ารักแบบนั้น ไม่ใช่พ่อของเขาล้านเปอร์เซ็น..

     

                ( อยากกินอะไรล่ะ เซฮุน ? )

     

                ( อะไรก็ได้ครับ ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ทานมาบนเครื่องบ้างแล้ว .. )

     

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

                ไม่คิดไม่ฝันว่าบ้านของเราจะได้เป็นโฮสท์(อย่างไม่เป็นทางการ)ให้กับนักเรียนที่จะมาศึกษาต่อที่นี่ .. พ่อเป็นคนใจดี ชอบดูแลคนอื่น ความคิดที่ว่าอยากจะเป็นโฮสท์หรือครอบครัวอุปถัมภ์มีมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเรียนมัธยม = _ =

                ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเพื่อนเมื่อสมัยเรียน แต่ไอ่เขามันก็ไม่ได้ไปถามรายละเอียดมามากนักว่าเป็นใคร แค่ได้ยินพูดถึงอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตามาก่อน รู้แค่ว่า แม่เขาทั้งหวงและห่วงมาก ครั้นจะช่วยให้หาที่พักเพื่อให้ลูกชายคนเล็กของตระกูล 'โอ' มาศึกษาต่อไกลถึงซานฟราน ที่ๆเวลาเดินช้ากว่าเกาหลีเป็นสิบๆชั่วโมง ก็เป็นห่วงจนไม่กล้าปล่อยมาถึงที่นี่ สุดท้าย..ก็เลยได้เพื่อนสมัยเรียนที่เคยช่วยเหลือกันมาอย่างคิมเจสันดูแลจัดการให้ ด้วยความที่บ้านของเรามีห้องพักเหลืออยู่ และบอกว่าจะให้ลูกชายเธอมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านด้วยกันเสียเลย โดยค่าใช้จ่ายก็ตกเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว

                พ่อก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบช่วยเหลือคน จิตใจดีไม่ต่างกับแม่ แล้วจะให้คนอย่างคิมจงอินใจร้ายใจดำไม่ต้อนรับคนที่พ่อโม้นักโม้หนาว่าน่ารักมากอย่างนั้นเหรอ .. เพราะฉะนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรสำหรับบ้านหลังเล็กๆของเราที่จะมีเด็กน่ารักมาอยู่ด้วยทั้งคน..ใช่ไหมนะ

     

                "เขาไม่ลงมากินข้าวเหรอไง"

     

                "เก็บของอยู่มั้ง ก่อนมึงจะกลับมา เห็นว่าลุงแกพาน้องไปดูห้องข้างบน" สรรพนามกล่าวถึงบุคคลที่สามอย่าง 'เขา' คงจะไม่ได้หมายถึงใครอื่นนอกจากสมาชิกใหม่ของบ้าน ตั้งแต่กลับมา ก็ยังไม่ได้เห็นหน้าเด็กที่จะต้องอยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกันเลย

     

                "อย่าบอกนะว่านอนชั้นสาม" จนอินพึมพำกับตัวเอง

     

                "ก็มีว่างอยู่ห้องเดียว ห้องข้างแกนั่นแหละ" และเป็นเสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนที่พูดแทรกขึ้นมาราวกับได้ยินที่เขาพูดก่อนหน้านั้น แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อย พอหันไปมองจึงได้รู้ว่าเป็นใคร

     

                "ทำไม? กลัวน้องจะไปรบกวนอะไรรึไง" เจสันพูดขำๆ

     

                "เปล่าพ่อ..ก็แค่นอนชั้นนั้นคนเดียวมาจนชิน" จงอินยักไหล่ "พอห้องข้างๆที่มันเคยว่างมีคนมาอยู่..ก็เลยไม่ชินมั้ง" ดูเป็นข้ออ้าง แต่ยั่นก็คือเหตุผลของคิมจงอินจริงๆนั่นแหละ เป็นใครก็คงไม่ชิน ในเมื่ออยู่คนเดียวที่ชั้นนั้นมาตั้งนานนี่หน่า

     

                "ดูแลน้องให้ดีล่ะรู้ไหม" คนเป็นพ่อพูดพลางหรี่ตามอง "You're older!" (แกโตกว่านะ)

     

                "ครับเซอร์" จงอินตอบรับยิ้มๆ ก่อนพ่อจะเดินออกไปคิดบัญชีอีกครั้งหลังจากที่เข้ามาเช็คของในครัว(ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้?)ว่าควรจะซื้ออะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า

     

                "ท่าทางจะจริงจังนะเนี่ย แลดูซีเรียสลี่" แบคฮยอนพูดแซวคนเป็นเจ้านายที่เขานับถือเหมือนพ่อคนหนึ่งที่ชอบพูดเกาหลีคำอังกฤษคำบ้าง

     

                "แต่เอาจริงๆ..ไม่เคยเห็นเด็กมาเรียนนอกที่ไหนดูเรียบร้อยแบบนี้เลยว่ะ" แบคฮยอนพูดขึ้นอีกครั้ง

     

                "ขนาดนั้นเลยเหรอไง?"

     

                "เออ..ปกติก็เจอแบบไอ้ลู่หาน มาเรียนต่อของมันคือมากิน มาเที่ยว มาเล่น สงสารหม่าม๊ามันชิบหาย ใช้เงินอย่างกับฝาโค้ก" (= _ =)

                แบคฮยอนร่ายยาวพาดพิงถึงบุคคลที่สาม หรือรุ่นน้องที่มหาลัย เด็กบริหารเหมือนกันกับเขา (แต่เสือกอยากจะเป็นนักดนตรีไปด้วย) มันถูกส่งมาเรียนต่อที่นี่ตั้งแต่จบไฮสคูลที่เกาหลี เพราะอยู่ที่จีนก็ติดเพื่อน อยู่ที่เกาหลีก็ดูท่าจะไม่รอด จนหม่าม๊ามันตัดสินใจส่งมาไกลถึงซานฟรานถึงได้เจอกันนี่แหละ หารู้ไม่ว่ายิ่งไกลบ้านไกลช่องเท่าไหร่ เด็กมันจะยิ่งซ่า นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงยังเรียนไม่จบทั้งๆที่อายุก็เท่าจงอิน = _ =

     

                "ได้ข่าวว่าแม่เขาหวง ฝากพ่อดูแลไว้แบบนี้คงไม่กล้าซ่า" จงอินพูด และนั่นก็ทำให้คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย

     

                "แต่ก็ไม่แน่" ทว่ากลับจบด้วยประโยคทิ้งท้ายกวนๆเอาไว้ แบคฮยอนล้างมือด้วยน้ำเปล่าหลังจากที่เป็นฝ่ายออกแรงขัดสารพัดถ้วยชามที่เปื้อนคราบครีมก่อนหน้านั้นจนเสร็จ แล้วก็บ่นตลอดเวลาว่าเมื่อย แต่ก็ยังจะช่วย

     

                "ยังไงซะ.."

     

                "..."

     

                "อยู่ห้องข้างกันก็ดูแลน้องเซฮุนด้วยนะเว้ย!"

                ไม่พูดเปล่า ยังจะเอามือที่เปียกน้ำมาตบไหล่เขาจนเป็นรอยนิ้วทั้งห้าเพื่อเป็นการทวนในสิ่งที่พ่อพูด จงอินส่ายหัวให้กับท่าทางกวนประสาทแบบนั้น แล้วมองตามคนอายุมากกว่าที่เดินไปช่วยพ่อคิดบัญชี เพราะเจ้าตัวเรียนมาด้านนี้

                เหตุผลที่พ่อฝากฝังเขาไว้เสียขนาดนั้น ก็เพราะว่าคิมจงอิน จะเป็นฝ่ายดูแลเด็กที่ชื่อโอเซฮุนแทนเขาได้ในตอนที่เขาไม่อยู่ คิมเจสันจะมาที่ร้านทุกเช้า และกลับไปนอนที่ไร่ หรือบ้านหลังแรกของเขาทุกคืน ก่อนหน้านั้นเลยกำชับให้จงอินดูแลสมาชิกใหม่ไประหว่างที่พ่อไม่อยู่แล้วเรียบร้อย

     

                "..."

                ผ้ากันเปื้อนถูกถอดออก แล้วโยนลงตระกร้าข้างบันได ขายาวเดินผ่านชั้นสอง เพื่อขึ้นไปชั้นสามห้องของตัวเองที่อยู่ริมหน้าต่าง แน่นอนว่ามันต้องผ่านห้องใกล้บันไดที่มันเคยว่างมาตั้งแต่แรก หากแต่แสงไฟที่รอดผ่านออกมาคงจะย้ำเตือนได้ดีว่า ..

     

                มีใครบางคน .. อยู่ในนั้น

     

                ในหัวของจงอินกำลังคิดว่าควรจะเดินผ่านเข้าห้องของตัวเอง ทำธุระส่วนตัวตามปกติของเขาต่อซะ แต่ประโยคล่าสุดของทั้งพ่อและแบคฮยอนมันกลับดังย้ำเขาอยู่นั่นแหละ คิมจงอินถึงได้หยุดอยู่หน้าประตูบานนั้นแบบนี้ .. บอกว่าให้ดูแลเด็กที่ชื่อเซฮุน แต่หน้ายังไม่ได้เจอกัน และเขาเองก็คงจะไม่เปิดประตูเข้าไปทำความรู้จักในตอนนี้หรอก ก็แค่ถุงอาหารที่ถูกสั่งว่าให้ซื้อมาเผื่อใครบางคนมันลอยเข้ามาในหัว และนี่มันก็ดึกแล้ว จะปล่อยให้เย็นไปแบบนั้นน่ะ.. เสียดายของแย่

     

                "จะไปรบกวนไหมวะเนี่ย"

                พูดกับตัวเองเบาๆอยู่หน้าประตูทั้งที่มือก็ยกขึ้นมาเตรียมจะเคาะ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเกาหัวอย่างคนมึน แอบคิดอยู่ในใจว่าเด็กคนนั้นคงจะเหนื่อยเดินทางแล้วหลับไป ตอนเขาบินไปกลับเกาหลีบ่อยๆอยู่ช่วงนึงก็ต้องพักกันเป็นวัน .. คิดแบบนั้นเจ้าของกายสีน้ำผึ้งเลยจะหมุนตัวกลับไปห้องตัวเอง ยังไงพรุ่งนี้เช้าก็ได้เจอกันอยู่แล้ว ทว่าเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นข้างหลังยามจะเดินกลับนั่นแหละ มันเลยทำให้ขาทั้งสองข้างถูกตรึงอยู่กับพื้นทันที

     

                "ไม่รบกวนหรอกครับ.."

     

                วินาทีนั้นแหละ ที่แทบจะก้มมองหาเศษหน้าตัวเอง = _ =

     

                "..."

     

                "ผมเพิ่งเก็บของแล้วก็อาบน้ำเสร็จ กำลังจะลงไปพอดีเลย"

     

                "..."

     

                "คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ" ก็ไม่มี .. อยากจะตอบออกไปแบบนั้นอยู่หรอก และคงไม่ต้องบอกว่าตอนที่เขาพูดกับตัวเองก่อนหน้านั้น เด็กที่ว่ามันคงได้ยินไปเสียหมดแล้ว

                แผ่นหลังค่อยๆหันกลับมาทางเดิม สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความหอมของอะไรสักอย่างที่ลอยเข้ามาแตะจมูก จงอินไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที กลับกลายเป็นความเงียบเมื่อใครบางคนปรากฏสู่กรอบสายตาของคนมอง ..

                เส้นผมสีน้ำตาลเข้มตัดกับผิวขาวๆ ริมฝีปากสีเชอร์รี่ และจมูกโด่งรั้นเข้ากับโครงหน้าเรียว ส่วนสูงเหรอ คงจะพอๆกับเขา ไหล่กว้างแต่ตัวผอม แถมหน้าตาจิ้มลิ้มเสียจนนึกว่าเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็ทอมที่หน้าหวานๆ จนอยากจะถามพ่ออีกทีว่าเด็กคนนี้เพศไหนกันแน่

     

                และดวงตาที่จ้องมองเขาแบบนั้นน่ะ .. เกิดมาจากโรงงานผลิตตุ๊กตาหรือเปล่าวะ ?

     

                "คือ.." จงอินอ้ำอึ้ง

     

                แต่ที่น่าแปลกกว่าอะไรทั้งหมด ..

     

                พอได้มองหน้าเขา .. ก็ลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร

     

                "คุณคงคือ..คุณไคสินะครับ" พอเห็นว่าความเงียบเริ่มก่อตัว เลยตัดสินใจเริ่มพูดอีกครั้ง "คุณไคที่คุณอาเจสันบอกว่าเป็นลูกชาย..ใช่ไหมครับ?"

     

                "อ่า..ใช่"

     

                "เซฮุนนะครับ โอเซฮุน.." โค้งหัวน้อยๆเป็นการทักทาย ถือโอกาสแนะนำตัวเองไปซะเลย "ยินดีที่ได้รู้จักครับ" แต่คนถูกทักทายก่อน กลับได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ จนสร้างความไม่แน่ใจให้ใครอีกและเป็นมือบางๆที่ยื่นมาตรงหน้าเขาแทน

     

                "คิดว่าคุณอยากจะทักทายแบบตะวันตกน่ะครับ" เซฮุนอมยิ้ม แต่มือที่ยื่นมาหวังจะจับเป็นการทักทายกลับถูกปฏิเสธเป็นความเงียบของจงอินจนต้องชักมือกลับมาข้างลำตัวเสียดื้อๆ

     

                เย็นชา พูดน้อย อย่างที่คุณอาบอกจริงๆด้วยแฮะ . _ .

     

                "ก็ไม่ได้หัวยุโรปขนาดนั้นหรอก"

                ไวเท่าความคิด เจ้าของเสียงทุ้มต่ำก็พูดขึ้นมาทันทีราวกับได้ยินที่เขาบ่นในหัวตัวเอง .. ใบหน้าหล่อได้รูปอมยิ้มบางๆ ขอโทษที่ความรู้สึกช้าไปหน่อยแล้วกัน แต่ใครจะไปรู้ ว่าเด็กของพ่อกับแบคฮยอนที่โม้ไว้นักหนาว่าพูดน้อยแถมเรียบร้อย จะทำให้เขากลายเป็นพวกหัวช้าไปเองเสียแทน ก็เล่นพูดเองเออเองเสร็จสรรพแบบนั้นไง

     

                "แล้วสรุปว่า..มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าคุณอาเรียกผม"

     

                "พ่อกลับไปแล้ว"

     

                "อ่า..ลืมไปเลยครับ ว่าคุณอาต้องไปนอนที่ไร่" เซฮุนพึมพำกับตัวเอง ก่อนจงอินจะนึกขึ้นได้พอดีว่าก่อนหน้านั้นเขามาหยุดอยู่ตรงนี้ทำไม

     

                "ข้าวอยู่บนโต๊ะ..ถ้าอยากกินอะไรเพิ่มก็หยิบในตู้เย็นได้ตามสบาย"

                ประโยคหลังนั่นพ่อไม่ได้สั่งอะไรหรอก แต่มันก็คงจะถูกใจเด็กที่ดูท่าทางจะห่างขนมไม่ได้เหมือนเด็กที่ยังไม่หย่านมแม่ อย่างโอเซฮุนไม่ใช่เหรอ .. ดูหน้าก็พอรู้แล้วมั้ง

     

                "เสร็จแล้วก็รีบมานอนล่ะ"

                นั่นอาจจะเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาจะพูดด้วยในค่ำคืนนี้ .. ได้ยินเสียงขอบคุณดังขึ้นเบาๆ และกลายเป็นความเงียบอีกครั้งจนเซฮุนทำท่าจะเดินออกไป ยามฝ่าเท้าก้าวแตะพื้นบันได คงจะพอดีกับที่เจ้าของเสียงทุ้มตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างไล่หลังออกมา เขาไม่ได้หันไปมองหรอก ว่าคุณไคคนนั้นกำลังทำหน้าแบบไหน แต่ก็คงจะไม่ได้พูดส่งๆให้เขาหรอกใช่ไหมนะ..

     

     

                "ยินดีที่ได้รู้จัก.."

     

                "..."

     

                "..."

     

                และคุณไคเขาก็..ยิ้มด้วยแหละ : )

     

                "คุณไคครับ.."

     

                "...??"

     

                "รู้จักกันกันแล้ว ก็บอกฝันดีได้แล้วใช่ไหมครับ" ฟังดูน่าขำ แต่มันก็เป็นคำถามที่น่าเอ็นดูดีเหมือนกัน คุณว่างั้นไหม

     

                "ได้สิ"

     

                "..."

     

                "..."

     

                "งั้นก็..ฝันดีนะครับ"

     

                : )



                TBC




     

    - - - - - - - - - -



    สวัสดีค่ะ เปิดเรื่องใหม่จนได้ เรื่องนี้ออกแนวโรแมนติค และคอมเมดี้โดยเหล่าตัวปลากรอบเช่นเคย เพราะเราไม่ค่อยถนัดสายดราม่าค่ะ ฮ่าา แล้วก็..ฟิคเรื่องนี้เปิดเรื่องมาก็ที่ซานฟรานแล้ว เพราะฉะนั้นจะดำเนินเรื่องที่นี่ทั้งหมดเลยนะคะ ฝากฟิคฟีลกู้ดเรื่องนี้ไว้ด้วยค่ะ เยิ้บ ♥

    ฝากสกรีมติดแท็ค #ฟิคเบคอะวิช

    กาละมังใจสำคัญมาก ! . _ .

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×