คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : 18 : I CAKE YOU ♥ (end part)
CHAPTER 18
“ If you're going to San Francisco,
Be sure to wear some flowers in your hair
If you're going to San Francisco,
You're gonna meet some gentle people there ♪ ”
อีกหนึ่งเพลงโปรดที่คิมเจสันมักจะฟังทุกครั้งเวลาขับรถกลับไร่ บรรยากาศทุ่งกว้างสองข้างทางไม่มีเพลงไหนเหมาะสมไปกว่าเพลงดังของคุณสก็อตแมคเคนซี่อย่างเพลงซานฟรานซิสโกที่พ่อเปิดวนสลับกับเพลงอื่นๆมาหลายครั้ง แต่น่าแปลกที่คนฟังอย่างจงอินไม่ได้รู้สึกเบื่อเลยสักนิด พ่อเล่าว่าเพลงนี้ดังตั้งแต่พ่อเด็กๆจนโตเป็นหนุ่มก็ยังเล่นกีตาร์เพลงนี้โชว์สาวๆได้ ราวกับว่ากลายเป็นเพลงชาติประจำเมืองไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เรากำลังเดินทางไปที่ไร่องุ่นของพ่อ ห่างจากตัวเมืองประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่สำหรับคนที่ขับไป-กลับบ่อยๆจนชินอย่างเจสันก็ไวเหมือนขับออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน ผิดกับเจ้าของกายผิวสีน้ำนมที่หลับคาอกคนเป็นพี่ไปตั้งแต่ขึ้นรถมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าเป็นความผิดของจงอินที่ลืมหยิบยาแก้เมารถเมาเรือมาด้วย หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าน้องคงจะเมาแค่เรืออย่างเดียว พอขับมาได้สักพักเท่านั้นแหละอาการก็เริ่มออกจนต้องกล่อมให้น้องหลับจะได้ไม่มึนหัว ไหนจะทางเข้าที่คดเคี้ยวเพราะต้องขึ้นเนินเขามาเล็กน้อย โอเซฮุนก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
“ตื่นมาจะงอแงไหมเนี่ย”
“ไม่หรอกครับ คิดว่าเห็นไร่พ่อก็คงหายแล้ว” จงอินตอบขำๆ เลื่อนมือหนาไปจับเรือนผมที่ปรกหน้าออกให้แล้วกระชับกอดให้อีกคนนอนดีๆกลัวว่าถ้านอนท่านั้นเด็กดื้อตื่นมาคงได้งอแงอย่างที่พ่อบอกเพราะปวดคอแน่นอน เมื่อคืนก่อนเคาท์ดาวน์ด้วยกันที่บ้าน หลังจากรู้ว่าเซฮุนกลัวเสียงพลุก็เลยไม่กล้าชวนน้องออกไปที่ไหน อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆเสียเท่าไหร่ ยอมให้เจ้าตัวเล็กฉีดสายรุ้งเต็มบ้านสนุกสนานกับคนแก่อารมณ์ดีอย่างพ่อแล้วค่อยตามเก็บทีหลัง
จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าถ้าเซฮุนกลับเกาหลีไปแล้วจริงๆเขาจะทำอะไรอยู่ .. มันอาจจะกลายเป็นเทศกาลปีใหม่ที่ธรรมดาแต่ไม่ถึงขั้นน่าเบื่อ เหงาหน่อยก็ตรงที่ไอ้ลู่หานมันไปจีน ส่วนพี่แบคฮยอนก็อยู่กับคุณชายอะไรนั่น แอบสงสารตัวเองล่วงหน้านิดหน่อยแต่มันก็ตลกดีเมื่อจู่ๆพี่ชายแท้ๆอย่างโอเซโฮออกปากฝากฝังให้เขาดูแลเจ้าตัวเล็กให้ดีที่สุด เพราะที่มาเซอร์ไพรส์ถึงที่ ก็เพราะว่าอยากให้น้องอยู่กับเขาต่อที่นี่นั่นแหละ : )
“ไฟเขียวทั้งพ่อแม่พี่ชายเขาเลยสิทีนี้” แต่คนนี้น่ะสิ ไม่วายก็แซวอยู่เรื่อย จงอินยักไหล่แล้วยิ้มกวนๆ
“ต้องขอบคุณฉันแล้วล่ะ”
“เรื่องอะไรครับ?”
“ชินฮเยน่ะหวงน้องยิ่งกว่าทุกคนในบ้าน”
“พ่อกำลังจะบอกว่าเพราะพ่อสนิทกับคุณน้า?” จงอินหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าผมดูแลน้องดีหรอกเหรอไงครับ?”
“เออ! YOR ARE THE BEST FOR HIM OK?” (แกมันคือไอ้ที่หนึ่งของน้อง โอเคไหมห้ะ?)
“Yep, sure.” : D (ครับ ก็แน่นอนแหละ)
รู้สึกหมั่นไส้ไอ้ลูกชายจนต้องผละมือที่จับพวงมาลัยออกมาผลักหัวมันก็คราวนี้ เออ เขาไม่เถียงหรอก ว่าคิมจงอินที่เลี้ยงมากับมืออย่างดีจะเติบโตเป็นผู้ชายที่พร้อมจะดูแลคนอื่นได้ดีสมกับที่เขาเลี้ยงมาเหมือนกัน ถ้าตัดความเป็นพ่อลูกกันไป หรือถ้าให้เขาอยู่ในมุมผู้เป็นพ่อของเซฮุนแทน ก็คงไม่มีทางที่จะไม่ใจอ่อนให้เด็กคนนี้ .. ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆลูกชายคนเดียวของเขา มันจะสนใจอย่างอื่นได้มากกว่าการทำขนมแล้ว : )
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดวงหน้าหวานจนจงอินต้องเอามือบังแสงไว้ให้น้อง ด้วยความที่อากาศข้างนอกเย็นอยู่แล้ว พ่อเลยเปิดกระจกให้ได้รับแอร์ธรรมชาติเป็นลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาแทน แบบนั้นก็ยิ่งทำให้เจ้าลูกเจี๊ยบในอ้อมกอดนอนหลับสบายลืมเรื่องเมารถไปเสียสนิท .. ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงไร่องุ่นของพ่อ ถ้าถามว่าใหญ่แค่ไหน ก็คงจะพอๆกับแคมป์ที่ให้เหล่าลูกเสือมาเข้าค่ายเดินป่าได้อะไรเทือกนั้น ทั้งที่บางส่วนก็ยังไม่ได้ทำอะไร แต่คิมเจสันกลับให้เหตุผลว่าชอบซื้อที่เก็บไว้ ก็ตามนั้นแหละ อะไรที่พ่อชอบ คนเป็นลูกก็ขัดไม่ได้หรอก
“ตื่นแล้วเหรอครับลูกเจี๊ยบ มึนหัวอยู่หรือเปล่า”
“อือ..ไม่ครับ!” ทำหน้านึกแล้วตอบออกมาทั้งที่ผมเผ้ายังชี้ฟูสมกับคนเพิ่งตื่นนอน จงอินลูบหัวเบาๆ พยักพเยิดหน้าให้เดินไปรอข้างใน แต่น้องดื้อจะช่วยยกของจนสุดท้ายก็ส่งกระเป๋าใบเล็กให้ถือแทนถึงจะยอม
สัมภาระถูกขนออกจากหลังรถ ส่วนหลานรักก็เดินตามคุณอาไปติดๆ พร้อมจะอารมณ์ดีและตื่นเต้นกับสถานที่แปลกใหม่ที่คุณอาเคยโม้ให้ฟังและบอกว่าจะพามานานแล้ว คนงานบางคนกลับบ้านต่างรัฐต่างเมือง หลงเหลืออยู่ไม่มากที่คอยดูแลไร่ให้พ่อตอนเจ้าตัวไม่อยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาจงอินด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าคิมเจสันไม่รับใครเข้าทำงานที่ไร่ง่ายๆอีกหลังจากไฟไหม้โรงไวน์เมื่อไม่กี่ปีก่อนมานี้ โชคดีที่ดับทัน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลับมานอนที่ไร่ให้อุ่นใจตัวเองทุกคืน
“ชอบที่นี่ไหมครับ เซฮุน”
“ชอบมากเลยครับคุณอา~ เซฮุนไม่น่าหลับเลย ไม่งั้นคงเห็นตั้งแต่ตรงนู้น~”
“น่ะ! ไหนเราตกลงกันว่าอะไรครับ ต้องเรียกว่ายังไงนะ หื้ม” เจสันมองยิ้มๆ
“’ง่า~ คุณพ่อ” (‘ - ‘)
ไม่คิดปฏิเสธว่ายามได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของโอเซฮุนตอนคุยกับคนเป็นพ่อของตนมันเรียกรอยยิ้มได้ดีขนาดไหน แล้วที่น้องเรียกว่า ‘คุณพ่อ’ นั่นก็เพราะว่าคิมเจสันไปขออนุญาตคุณโอจงโฮเขามาเสร็จสรรพว่าอีกไม่นานก็คงต้องเรียกแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ(?) ไม่รู้ว่าเซฮุนคงจะยังไม่ชิน หรือเป็นเพราะเรียกทีไรแก้มกลมๆก็อดอมยิ้มไม่อยู่แบบตอนนี้กัน
“งั้นถ้าชอบก็มานอนที่นี่กับแด๊ดดี้เลยดีไหมครับ ปล่อยไอ้ไคมันนอนเฝ้าร้านไป ตอนเช้าก็ขับรถไปส่งเราเหมือนเดิม เนอะ!”
“คงจะไม่ได้หรอกครับคุณเจสัน”
เย้าแหย่อย่างเคยชิน แต่ก็แกล้งได้ไม่นานเพราะบุคคลที่อยู่ในบทสนทนาดังกล่าวเขามาดึงเจ้าตัวนุ่มนิ่มไปอยู่ข้างกายแล้วเรียบร้อย สร้างความหมั่นอกหมั่นไส้ให้คนมองอย่างบิดาผู้บังเกิดเกล้าเป็นอย่างมาก แต่คราวนี้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะจู่ๆมันก็ส่งตัวน้องให้เขาหลังจากจับเซฮุนไปจุ้บหน้าผากต่อหน้าต่อตาเมื่อสักครู่นี้
“อยู่กับคุณพ่อตรงนี้ก่อน พี่ไปเก็บของที่ห้อง แล้วเดี๋ยวจะพาไปเดินเล่นนะครับคุณหนู” : D
- - - - - - - - - -
วิทยาศาสตร์บอกผมว่าสิ่งที่เร็วที่สุดในเอกภพนี้คือแสง
แต่สิ่งที่เร็วที่สุดสำหรับชีวิตของผมคือ .. เวลา
ทุกการสิ้นสุด มักมีการเริ่มต้นใหม่เกิดขึ้นเสมอ ปู่ผมมักจะพูดทุกครั้งจนดูเหมือนว่าประโยคดังกล่าวมันจะกลายเป็นคติประจำตัวไปเสียแล้ว เช่นเดียวกับในตอนนี้ที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่อีกปี เรากำลังเริ่มเปิดหนังสือเล่มใหม่ โดยที่ไม่รู้ว่าแต่ละหน้าของมันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง และผมเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่พลิกอ่านท้ายบทซะด้วยสิ ถึงจะทำ แน่นอนว่าชีวิตจริง เราอ่านตอนจบของมันไม่ได้หรอก จริงไหม?
พอมาคิดๆดูแล้วเวลามันช่างผ่านไปไวยิ่งกว่าความเร็วแสง นั่นแหละครับที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยกล่าวเอาไว้ เพราะความจริงแล้วสิ่งที่กำหนดว่ามันไวขนาดนั้น ก็คือความรู้สึกของเราต่างหาก : )
“Good morning and Happy new year Mr.Billey” (อรุณสวัสดิ์แล้วก็สวัสดีปีใหม่นะครับคุณบิลลี่)
ช่วงสามร้อยหกสิบห้าวันที่ผ่านมา คงไม่ได้มีแค่คนๆเดียวที่คุณพบเจอ เช่นเดียวกับผมที่ได้เพื่อนใหม่เข้ามาให้รู้จักอยู่เสมอ และการที่เรายังรักษามิตรภาพนั้นไว้โดยการจูงมือเขาข้ามผ่านปีใหม่ถือเป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่าการได้ของขวัญชิ้นใหญ่เสียอีก
“Happy new year! little Baek!” (สวัสดีปีใหม่นะเจ้าลิตเทิลแบค!)
คุณบิลลี่ ชาวอเมริกันผิวสีที่ชอบออกมานั่งเล่นแซกโซโฟนหน้าบ้านแกทุกวัน บ้านของเขาอยู่ใกล้กับหอพักผม วันไหนใครอารมณ์ไม่ดี ได้ฟังลุงแกเล่นและร้องไปด้วยก็ต้องยิ้มออกมาบ้างแหละ อาจเป็นเพราะทำนองเพราะๆที่หาฟังไม่ได้จากที่ไหนง่ายๆ สุดท้ายก็พาให้คนอัธยาศัยดีอย่างผมไปทักเขาแล้วยืนฟังอยู่นาน เราก็เลยรู้จักกันมาถึงตอนนี้ อ้อ แล้วที่เขาเรียกผมว่าลิตเทิลแบคก็เพราะว่าลุงแกสูงสองเมตร เป็นนักบาสเก่ามาก่อน ไม่อยากจะยืนเทียบ แค่เขานั่งอยู่ก็เหมือนว่าผมเตี้ยกว่าแล้วอะ ส่วนเหตุผลอีกข้อนึงน่ะเหรอ..เป็นที่รู้กันดีว่าคนที่นี่จะออกเสียงภาษาเกาหลีอย่างชื่อพวกเราไม่ค่อยถนัดปากเท่าไหร่ ย่อๆแบบนั้นแหละครับดีแล้ว = w =b
แบคฮยอนไม่ได้พูดคุยอะไรต่อมานัก เหมือนว่าวันนี้แฟนๆของคุณบิลลี่จะเยอะเป็นพิเศษ เลยมานั่งฟังลุงแกร้องเพลงกันใหญ่ (ส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กๆแถวนั้น) สองขาก้าวไปตามทางเท้า อุณหภูมิวันนี้ยังคงเหมือนเดิม แต่ก็อุ่นได้เพราะมีแดดช่วงสายของวันนี่แหละ ที่ยังปราณีคนที่ลืมหยิบเสื้อโค้ชตัวหนาออกจากบ้านกันอยู่บ้าง
ก้มลงมองถุงกระดาษสีน้ำตาลบรรจุกล่องข้าวขนาดพกพาไว้ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง สาบานว่าบยอนแบคฮยอนไม่เคยตั้งใจทำอาหารขนาดนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะมันไม่ใช่เราที่กินเอง จะชุ่ยๆสักแต่ว่าเดี๋ยวเอาเข้าลงท้องแบบที่ทำประจำแบบนั้นก็ไม่ได้ ในเมื่อมีผู้ชายที่กำลังทำงานหนักทั้งที่เป็นวันหยุดรอชิมฝีมือของเขาอยู่ทั้งคน
“Excuse me, Could I see Mr.Park for a minute?” (ขอโทษนะครับ ผมขอพบคุณปาร์คสักครู่นึงได้หรือเปล่า)
“Sure! Oh..wait” (ได้ค่ะ โอ้ะ เดี๋ยวนะ..)
“Y..Yes?” (ค..ครับ?)
“ใช่คุณแบคฮยอนหรือเปล่าคะ?” เป็นเวลากว่าสามวิที่แบคฮยอนเหมือนจะลืมชื่อตัวเองไปชั่วขณะ แต่ก็รีบพยักหน้ารับทันทีที่เจ้าของรอยยิ้มสวยคนนั้นมองเขาราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน เออ นั่นสิ แล้วเธอรู้จักชื่อผมได้ยังไงวะ! (; A ;)
“พอดีคุณชานยอลเขาฝากฉันไว้น่ะค่ะ ว่าถ้าคนที่ตัวเล็กๆตาตี่ๆมาหา ให้พาขึ้นไปพบที่ห้องได้เลย” ก็แล้วทำไมต้องตัวเล็กตาตี่ด้วยวะพี่ชานยอล ได้แต่คิดในใจแล้วยิ้มแห้งๆให้คนที่เดินนำไปก่อนแล้ว แบคฮยอนมองตามไปยังห้องต่างๆ คงไม่มีใครที่เข้ามาในสถานกงสุลแห่งนี้ได้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้านักหรอก และแน่นอนว่าสายตาของเจ้าหน้าที่ที่มองมายังเขา คงบ่งบอกได้ดีว่าตอนนี้คนตัวเล็กกำลังถูกตราหน้าว่าเป็นคนแปลกหน้า
ที่มาถึงที่นี่ก็เพราะว่าผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลออดอ้อนว่าอยากจะเจอหน้าเขา คนที่ไม่มีเรียนแถมไม่มีงานทำที่ร้านในวันนี้จะไปทำอะไรได้ ใครจะไปงานหนักเท่าคุณปาร์คที่แม้แต่ปีใหม่ก็ได้หยุดแค่แปปเดียว เพราะฉะนั้น การตื่นแต่เช้าออกมาเตรียมข้าวกล่องที่คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ทำให้ใครไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรมากนัก และผมคงไม่ปฏิเสธว่าจริงๆก็คิดอยากจะทำมื้อเที่ยงมาให้พี่เขาอยู่เหมือนกัน..แค่หาโอกาสไม่ได้เท่านั้นเอง
"ใช่คุณตัวเล็กตาตี่ที่คุณรอพบหรือเปล่าคะชานยอล" ประตูถูกเปิดออกหลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับสุ้มเสียงทุ้มคุ้นหูที่เอ่ยอนุญาตให้เข้าไปได้ ผู้ชายคนเดิมกับชุดทางการที่เคยเห็นนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานกับกองเอกสารจำนวนไม่มากนักและกาแฟอีกหนึ่งแก้ว จู่ๆก็หลุดยิ้มออกมาแบบที่ไม่มีเอ่ยทักทายอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งใบหน้าหล่อคมได้รูปเงยขึ้นมายิ้มมุมปาก
"พาใครเข้ามาครับ ไม่เห็นรู้จักเลย" : ) .. อยู่ๆก็รู้สึกหมั่นไส้ผู้ชายคนนี้จัง
"อ้าว ไม่ใช่หรอคะ ก็คุณชานยอลบอกฉันว่า.."
"งั้นผมคงมารบกวนแล้วล่ะครับ" ความจริงแล้วนอกจากจะพูดเก่งเหมือนกินแล้ว(?)แบคฮยอนยังมีนิสัยที่ซ่อนไว้อีกหนึ่งข้อก็คือ ตัดพ้อเก่ง (= _ =) ประโยคดังกล่าวกับหน้าตากวนๆราวกับจะบอกว่าไม่รู้สิแบบนั้นมันทำให้คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานต้องลุกขึ้นแล้ววางปากกาในมือซะ ดูเหมือนว่าคนที่กำลังไม่เข้าใจสถานการณ์นี้ที่สุดคงจะเป็นหญิงสาวที่มองใบหน้าของรุ่นพี่ร่วมงานสลับกับแขกที่มาใหม่อยู่หลายครั้ง
"เล่นอะไรกันคะเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว"
"ฮ่าๆ คนนี้แหละ ขอบคุณที่พามาส่งถึงที่นะครับ" แกล้งเน้นคำว่า 'ถึงที่' ก่อนจะยื่นมือไปจับแขนคนที่ทำท่าจะหมุนตัวออกไปในห้องนี้ไว้เสียก่อน
"ฉันซูจองนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณแบคฮยอน" หญิงสาวยื่นมือมาหาเป็นการทักทายแบบตะวันตก ทำเอาคนที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังถูกผู้หญิงเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อนรีบยื่นมือมาเช็คแฮนด์ทันทีเพื่อไม่ให้เธอรอเก้อจนเกินไป
"ค..ครับครับ! ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะครับคุณซูจอง"
"เรียกฉันว่าซูจองเฉยๆก็ได้ค่ะ คุณชานยอลบอกว่าฉันอายุเท่าคุณ" เธอยิ้ม “งั้น..ฉันคงต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะค่ะ”
สายตาคู่สวยเหลือบมองฝ่ามือที่โอบเอวผู้ชายตัวเล็กกว่าที่เธอเป็นฝ่ายพาขึ้นมา เห็นแบบนั้นก็เลยรู้ว่าตนคงไม่สมควรจะอยู่ตรงนี้อีก ชานยอลไม่ได้ขัดอะไร พยักหน้ายิ้มๆให้รุ่นน้องร่วมงานที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันก่อน เธอเดินออกไปโดยทิ้งท้ายไว้ว่าถ้ามีอะไรให้ช่วย สามารถเรียกได้ทันที .. ‘จองซูจอง’ เป็นคนเก่งตั้งแต่อายุยังน้อย แถมมารยาทยังดีคอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ ล่าสุดก็ตอนที่ไหว้วานฝากดูแขกคนสำคัญให้ตอนติดงาน ว่าถ้าเขาคนนั้นมาเมื่อไหร่ให้พาขึ้นมาบนห้องได้เลย
“เธอเพิ่งมาทำงานที่นี่เหรอครับ ไม่เห็นพี่เคยพูดให้ฟัง” แบคฮยอนถามออกมาเพราะปกติชานยอลจะคอยเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำงานของคนตัวสูง
“ครับ ก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน เพิ่งมาสนิทกันช่วงหลังๆ”
“อ้อ..”
“ถามแบบนี้แสดงว่า..”
“เปล่า! ก็แค่..ดูสนิทกันดี” แบคฮยอนก็เป็นเสียอย่างนี้ ปากบอกปฏิเสธแต่ก็รีบตีตนไปก่อนไข้ คนมองก็ได้แต่ยิ้มขำ ก็เพราะรู้นั่นแหละว่าที่น้องเขาถามเป็นเชิงแบบนั้นคงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ สองแขนแกล้งรั้งเอวบางเข้ามาชิดกันกว่าเดิม จนได้กลิ่นหอมๆของตัวอีกฝ่าย ชานยอลบอกว่าเขาชอบใช้กลิ่น Silver Mountain จากแบรนด์ดังยี่ห้อ Creed และก็ไม่คิดเถียงว่ามันเข้ากับเจ้าของกายสูงคนนี้มากขนาดไหน .. มีเสน่ห์ ดึงดูด หลงใหล คงเป็นสามคำที่บรรยายถึงผู้ชายคนนี้ได้ดี
“เธอมีแฟนแล้วครับ” ชานยอลพูดยิ้มๆ
“แล้วไงครับ..” ก็จะไม่บอกหรอกนะว่าแอบโล่งใจไปนิดนึง “พี่หิวก็รีบกินได้แล้วครับ ผมจะได้..ก..”
"ใครอนุญาตครับ?" แกล้งพูดใกล้ๆหูแล้วผละออกมามองคนที่กัดริมฝีปากตัวเองอย่างเป็นนิสัยจนต้องใช้หัวแม่มือไปคลึงเบาๆ ก่อนจะจับคางเล็กให้เชยขึ้นมามองหน้ากัน ใช่..หัวสมองของปาร์คชานยอลตอนนี้น่ะเหรอ มีแต่คำว่าปากสีชมพูอวบอิ่มตรงหน้านี้มันน่ากินกว่าข้าวกล่องที่แบคฮยอนทำมาเสียอีก
หลังจากคนเป็นพี่พูดสั้นๆว่า ‘มาหาถึงที่ ก็ต้องป้อนถึงปาก’ คนอย่างแบคฮยอนก็คงทำอะไรไม่ได้ ไหนๆก็ตั้งใจตื่นแต่เช้าทำอาหารจนมาเสิร์ฟถึงที่ทำงานขนาดนี้แล้ว ไม่อยู่รอดูผลคงเสียดายแย่ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ารสชาติฝีมือเด็กหอที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตั้งแต่เรียนป.ตรี มันจะถูกปากคนอื่นบ้างหรือเปล่า ไม่รู้แหละ อย่างน้อยก็ไม่เคยพินาศถึงขั้นต้องเทลงถังขยะ มากสุดก็แอบเทให้เจ้าเครฟ หมาของเพื่อนข้างห้องตอนสมัยลองฝึกทำแรกๆ แล้วมันก็กินหมดด้วยล่ะคุณ (แต่แค่ตอนนั้นผมรับที่ตัวเองทำไม่ได้จริงๆ)
“ทำให้พี่กินบ่อยๆเลยได้หรือเปล่า?” คงไม่ต้องถามว่าข้าวกล่องแสนธรรมดากล่องนี้อร่อยไหม เค็มไปหรือเปล่า หรือว่าจืดไป เพราะคำตอบมันอยู่ในประโยคดังกล่าวที่ว่านั้นทั้งหมดแล้ว
“ถ้าพี่ไม่เบื่อซะก่อน ก็ไม่มีปัญหาหรอก”
แบคฮยอนไม่รู้มาก่อนว่าการได้ทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกับคนที่เรารัก มันมีความสุขมากแค่ไหน การได้มองหน้าเขาและยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวคงไม่ได้เกิดขึ้นกับใครง่ายๆ จากที่คิดว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เปล่าเลย เพราะคุณท้องฟ้าตั้งใจให้เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก .. ส่งเขามาให้รักตั้งแต่แรกแล้ว
พอมาคิดๆดูแล้วเวลาก็ผ่านไปไวอย่างไม่น่ายอมรับจริงๆนั่นแหละ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตนกำลังจะจบป.โทในปีหน้า และถึงตอนนั้นก็ควรจริงจังกับการทำงานและใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่แบบที่ควรจะเป็นเสียที แม้จะกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อีกหนึ่งปีข้างหน้านี้ผมและเขากำลังจะทำอะไรอยู่ แต่แล้วยังไง ไอ่ผมมันไม่ชอบเปิดอ่านหนังสือหน้าสุดท้าย เพราะฉะนั้นค่อยๆให้มันเป็นไปแบบที่ควรจะเป็นตามเรื่องราวของชีวิตและโชคชะตาที่คุณใจดีบนฟ้าขีดเขียนไว้คงน่าตื่นเต้นเสียกว่า
“จะไปเบื่อได้ยังไง ถ้าแบคฮยอนไม่ทำให้พี่จะกินอะไรล่ะครับ” ชานยอลพูดยิ้มๆ ผมแกล้งศอกใส่เขาไปทีอย่างหมั่นไส้ ปกติก็ไม่เคยจะออดอ้อนขนาดนี้หรอก แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลเป็นคนที่ทำให้หัวใจของผมมันเต้นผิดจังหวะอยู่เรื่อย โดยเฉพาะประโยคแบบนี้..
“คนเราถ้าไม่กินข้าวก็จะตาย..”
“เหมือนที่พี่ไม่มีแบคฮยอน..พี่ก็จะตาย” : )
- - - - - - - - - -
นอกจาก ‘s จะแสดงความเป็นเจ้าของ
ใส่ my ไว้หน้าชื่อคุณก็ได้เหมือนกัน : )
ฝ่ามือเรียวเล็กทั้งสองข้างจับท่อนแขนแกร่งเอาไว้ไม่ปล่อย พลางส่งสายตาลอบมองเจ้าสี่ขาตัวใหญ่ที่กำลังยืนกินหญ้าอยู่ในรั้วกั้นเหล็ก เซฮุนกำลังไม่แน่ใจว่าตนจะปลอดภัยไหมถ้าตัดสินใจยื่นมือออกไปลูบหัวของมันแบบที่เจ้าของกายสีน้ำผึ้งกำลังทำอยู่ แค่นี้ก็ยังยืนหลบหลังแถมเกาะแขนคนเป็นพี่ไม่ปล่อยอยู่แล้ว
“พี่ไคครับ คุณแมคกี้ใจดีหรือเปล่า?” (. _ .)
ด้วยนิสัยซื่อๆบื้อๆของโอเซฮุน เจ้าตัวก็เลยถามออกไปแบบที่อยากรู้ แล้วก็ได้เสียงหัวเราะกลับมาเป็นคำตอบ เห็นแบบนั้นเด็กตัวผอมเลยยิ่งเบะปากกว่าเดิม จงอินจับให้น้องมายืนข้างหน้าโดยยืนซ้อนหลังเอาไว้ ตอนแรกน้องขัดขืนเพราะไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่เพราะถูกคนเป็นพี่กอดและจับมือตัวเองไว้อยู่แบบนี้ ความกลัวก็เลยลดลงมาหน่อย
“ถ้าดุ พี่ไม่ให้เซฮุนเข้าใกล้แบบนี้หรอก”
ค่อยๆจับมือบางให้ยื่นไปลูบหัวเจ้าแมคกี้หรือม้าตัวสนิทที่พ่อเลี้ยงไว้ เซฮุนมือสั่นอาจเพราะไม่เคยเข้าใกล้สัตว์ใหญ่พวกนี้ แต่ก็ยอมลูบมันจนกระทั่งเจ้าแมคกี้โน้มหัวลงให้เหมือนว่ามันอยากจะออดอ้อนเจ้าของมือนุ่มๆอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นแบบนั้นเจ้าของกายผิวสีน้ำนมก็หลุดยิ้มออกมาราวกับลืมความกลัวไปเสียสนิท จงอินก็ปล่อยให้น้องได้ลูบได้เล่น หยิบหญ้าบางส่วนขึ้นมาให้น้องป้อน เจ้าแมคกี้นี่ก็กินไม่รู้จักอิ่มหรือเพราะรู้ว่ามีเพื่อนใหม่เข้ามาทักทายมันเลยแสดงนิสัยเจ้าเล่ห์ของมันออกมาแบบนี้
“มากไปแล้วมั้งไอ้แมคกี้”
สุดท้ายก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ที่จู่ๆมันก็อารมณ์ดีผิดปกติตอนมีคนน่ารักเข้าใกล้ ถ้าเปรียบเทียบเจ้าม้าสีน้ำตาลอ่อนแซมขาวอย่างเจ้าแมคกี้เป็นคนเหมือนกับเรา ก็ไม่ต่างกับชายหนุ่มที่รูปงามร่างดีคนหนึ่ง แล้วจะปล่อยให้โอเซฮุนที่ทั้งตัวหอมบอบบางปานนี้อยู่ใกล้ๆไอ้ชายฉกรรจ์(?)อย่างปลอดภัยได้อย่างไรกัน
“คุณแมคกี้ไม่ดุจริงๆด้วย~”
“แบบนี้ก็ไปขี่ม้าเล่นกับพี่ได้แล้วใช่ไหม”
“ได้เหรอครับ!” พอเห็นว่าเจ้าแมคกี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ตัวเองคิดไว้ แถมดูท่ามันจะชอบเขาเป็นพิเศษ เจ้าตัวก็ทำหน้าตาตื่นเต้นเป็นเด็กๆ จงอินพยักหน้ายิ้มๆ บอกให้น้องรออยู่ตรงนี้แล้วเดินไปทำอะไรบางอย่างที่คอกเหล็กขนาดใหญ่ มือหนาจับเชือกที่เชื่อมกับขลุมจูงม้า ก่อนจะกระตุกดึงเบาๆเป็นสัญญาณบอกให้ลูกรักของพ่อออกมาเดินเล่นข้างนอก
เซฮุนดูตื่นเต้นก็จริงแต่น้องไม่มั่นใจกับการขึ้นไปบนหลังม้าที่สูงไม่น้อย แถมเจ้าแมคกี้ก็ตัวใหญ่สมบูรณ์สมกับเป็นชายฉกรรจ์อย่างที่เปรียบเทียบ และเพราะจงอินรู้ว่าน้องกลัวการขึ้นจักรยานเพราะเคยประสบอุบัติเหตุสมัยยังเด็กๆ ก็เลยพาลให้กลัวการขี่ม้าแบบที่เรากำลังจะทำกันอยู่ตอนนี้ไปด้วย เพราะฉะนั้นสองแขนแข็งแรงจึงทำหน้าที่ของตนโดยการพยุงน้องขึ้นไปอย่างช้าๆ คอยกระซิบบอกวิธีการขึ้นม้าอยู่ข้างๆจนในที่สุดก็ขึ้นไปนั่งบนอานได้อย่างเรียบร้อย ถึงจะทุลักทุเลไปหน่อยแต่ก็เพราะว่าตัวเบาอย่างนี้ การส่งเจ้าตัวเล็กขึ้นไปนั่งก่อนไม่ใช่เรื่องยาก และแน่นอนว่าม้าที่พ่อฝึกมาดีอย่างเจ้าแมคกี้ ก็ยืนนิ่งรอให้ขึ้นโดยไม่ขยับไปไหนอย่างรู้งาน
“พร้อมไหมครับองค์หญิง” จงอินกระซิบข้างหูแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้ายิ้มๆ ที่เรียกแบบนั้นก็เพราะตอนที่พากันไปเดินเล่นบริเวณทุ่งดอกไม้หลังไร่มาก่อนหน้านี้ คุณป้าแทมมี่คนงานดูแลสวนดอกไม้แกคงอดใจกับความน่ารักของเด็กอัธยาศัยดีคนนี้ไม่ไหว เลยทำมงกุฎดอกไม้สวมใส่ให้เจ้าชายน้อยของคุณป้าที่เขามองว่านี่มันองค์หญิงชัดๆ จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ยังใส่อยู่บนหัว พาลให้มองทีไรก้อนเนื้อข้างซ้ายก็เต้นไปกับความน่ารักของน้องอยู่เรื่อย
“พ..พี่ไคถนัดเหรอครับ”
“ครับ” จงอินยิ้ม “กำลังพอดีเลย”
และเด็กซื่อบื้ออย่างโอเซฮุนคงไม่รู้หรอกว่าตำแหน่งที่กำลังพอดีแบบนี้คือการที่เขาได้กอดน้องไปพร้อมกับเอาคางเกยไหล่เล็กๆนั้นไปด้วย เจ้าของกายผิวน้ำนมก็พร้อมจะนั่งนิ่งเชื่อฟัง ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นที่ได้ขึ้นบนหลังม้าเป็นครั้งแรกหรืออะไร ถึงได้อมยิ้มจนแก้มกลมอยู่อย่างนี้
มาคิดดูแล้วก็นานเหมือนกันที่เขาไม่ได้ออกมาเดินเล่นที่ไร่ของพ่อแบบนี้ อาจเพราะตั้งแต่กลับมาเปิดร้านของเราก็เลยต้องอยู่ดูแลที่นั่นตลอด บางพื้นที่พ่อจัดระเบียบใหม่เล็กน้อย แต่ที่เขาจำได้แม่นและมั่นใจว่าพ่อจะไม่เปลี่ยน ย้าย หรือทำลายมันไปไหนคงจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างที่ตอนนี้แมคกี้กำลังนำทางพาทั้งเขาและน้องไปด้วยกัน
“ตอนเด็กๆพี่เคยหกล้มตรงนี้ด้วยนะ” เรียวนิ้วยาวชี้ไปยังทางชันด้านขวามือ เขาจำได้แม่นว่าเมื่อก่อนตอนที่พ่อยังไม่ได้ทำทางตรงนี้ให้สะดวกแบบปัจจุบัน ด้วยความที่อยู่บนเนินเขา ความชันของมันเลยทำให้เด็กผู้ชายที่ซนตามวัยได้แผลทั้งสองหัวเข่าไปครอง
“พี่ไคร้องไห้แน่ๆ” (‘ - ‘)
“พี่ไม่ใช่เซฮุนสักหน่อย”
“ซ..เซฮุนก็ไม่ร้องไห้หรอก!”
“เหรอครับ?” จงอินหัวเราะ “เชื่อสิ ถ้าตอนนี้เราหกล้มจนเป็นแผล พี่ต้องได้ยินเด็กร้องไห้”
“ : ( ”
คงเถียงอะไรไม่ได้นอกจากทำหน้าบึ้งใส่พี่เขาแบบนั้น โอเซฮุนเด็กขี้แงที่ล้มจนได้แผลมาสมัยเด็กๆ ทั้งคุณปะป๊าหม่าม๊าต้องปลอบประโลมหลอกล่อด้วยขนมไม่รู้กี่ชิ้นกว่าจะหยุดร้องไห้ คนพี่ก็แกล้งไม่เลิก ยิ่งเห็นใบหน้างอง้ำแบบนั้นก็ยิ่งหมั่นเขี้ยว พาลให้จมูกโด่งสูดดมความหอมจากพวงแก้มไปทีแรงๆ เด็กซื่อบื้อที่โกรธใครไม่เป็นงอนคนไม่นานอย่างโอเซฮุนก็กลายเป็นอมยิ้มทั้งที่หน้ายังบูดบึ้งอยู่แบบนั้นนั่นแหละ
จู่ๆมือทั้งสองก็ดึงสายบังคับม้าให้เจ้าแมคกี้หยุดเดิน ดูเหมือนว่าคนข้างหน้าจะแปลกใจอยู่นิดหน่อย เซฮุนทำได้แค่อยู่นิ่งๆรอให้คนเป็นพี่ลงจากหลังม้า ก่อนมือหนาจะยื่นมาให้เขาจับ รอให้คนตัวผอมก้าวขาลงตามโดยมีอีกฝ่ายคอยประครองอยู่ข้างๆ
“อยู่ตรงนี้ก่อนนะ จะพาน้องไปเดินเล่น เข้าใจหรือเปล่า?”
“...”
“อย่าเพิ่งหนีกลับก่อน โอเคไหม?”
“...”
“มันไกล ไม่อยากให้น้องเดินจนเมื่อยขา”
เสียงทุ้มดังขึ้นสื่อสารกับสัตว์สี่ขาที่ดูจะเข้าใจรู้เรื่องรู้ภาษาไปเสียหมด พาลให้รอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าน่ารัก ไม่ได้คิดถามออกไปว่าคุณแมคกี้เข้าใจภาษาคนอย่างเราได้อย่างไร ถึงได้โน้มหัวราวกับจะส่งสัญญาณตอบรับเจ้าของกายสีน้ำผึ้งคนนั้นอยู่แบบนี้ เพราะสิ่งที่โอเซฮุนกำลังสนใจคงเป็นการเฝ้ามองใครคนหนึ่งที่คุยกับสัตว์ได้น่ารักที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“ถ้าหนาวบอกพี่นะครับ จะพากลับที่พัก”
“ไม่เอาครับ เซฮุนอยากอยู่ที่นี่กับพี่ไค”
ปฏิเสธทันทีที่ได้ยินว่าจะพากลับไปที่พัก (ป่านนี้พ่อคงจะจิบไวน์คุยเพลินอยู่กับคนงานคนสนิท) ก็ไม่อยากจะขัดใจเด็กดื้อหรอก ถ้าไม่ติดว่าห่วงเรื่องสุขภาพของน้องอีกนั่นแหละ เอาลูกเขามากอดเอาน้องเขามาฟัด .. ก็ต้องดูแลให้ดีอย่างที่พูดเอาไว้
“ทำไมถึงดื้อแบบนี้ หื้อ”
“ไม่ดื้อ ไม่ดื้อ~” จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมรับหรอกว่าตัวเองน่ะดื้อที่หนึ่ง ส่งเสียงงุ้งงิ้งพูดซ้ำๆคำเดิมจนอยากจะหันไปจัดการริมฝีปากนุ่มนิ่มช่างเจื้อยแจ้วนั้นเสียให้เข็ด ถ้าไม่ติดว่าน้องเขาสอดมือเข้ามากอดแขนควงแขนออดอ้อนเสียขนาดนี้ จะไม่เว้นจังหวะให้หายใจคล่องกันบ้างเลยหรืออย่างไร
“ตรงนี้สวยจังครับ” ทอดสายตามองทุ่งกว้างที่อยู่บนเนินเขาสูงกว่าที่อื่นๆ มองเห็นวิวทิวทัศน์จนต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ส่วนคนฟังก็ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ น้องติดยิ้มอย่างไรก็ยิ้มอย่างนั้น เปิดกล้องถ่ายรูปตัวเองส่งไปให้ครอบครัวดู ยิ่งมองเท่าไหร่ก็ได้แต่คิดในใจ ไม่เท่าเลย..ไม่มีอะไรสวยเท่าดวงตาทอประกายของโอเซฮุนเลยสักนิด
“คุณตาพี่ก็ชอบพาคุณยายมาที่นี่” ก่อนหน้านั้นคิมเจสันก็เคยคิดอยากจะทำอะไรกับพื้นที่ตรงนี้เหมือนกัน แต่เพราะรู้ว่ามันคือความทรงจำของคุณตาและคุณยาย เราเลยเก็บมันเอาไว้เพื่อให้มาเมื่อไหร่ก็จะคิดถึงอยู่เสมอ
“คุณตากับคุณยายของพี่ไคต้องใจดีมากแน่ๆเลยอ่า..”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นครับ” จงอินถามยิ้มๆ
“ก็เพราะว่าคุณอ..คุณพ่อ!กับพี่ไคก็ใจดีเหมือนกัน~” (‘ - ‘)
ดวงตาเรียวเล็กหยีลงจนเป็นรูปสระอิ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆออกมาราวกับจะกลบเกลื่อนที่ตัวเองเผลอหลุดเรียกคุณพ่อว่าคุณอาอีกแล้ว จงอินยื่นมือไปยีผมอย่างเอ็นดู เขาไม่คิดปฏิเสธคำคาดเดาของน้องเพราะท่านทั้งสองที่คงกลายเป็นดาวดวงไหนสักดวงบนท้องฟ้าในตอนนี้ ก็เป็นคนใจดีที่สุดสำหรับคิมจงอินจริงๆนั่นแหละ
“ขอบคุณที่เข้ามาอยู่ในบ้านของเรานะครับ” : )
ฝ่ามือกระชับจับมือนุ่มให้แน่นขึ้น อาจเป็นเพราะประโยคของคุณตาที่ว่า ‘จงรักษาสิ่งที่อยู่ในมือของเราเอาไว้ให้ดีที่สุด’ เขาก็เลยไม่คิดจะปล่อยให้เซฮุนหายไปไหนอีก มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาแนบใบหน้าขาว เกลี่ยก้านนิ้วไปตามผิวนุ่มพร้อมจดจ้องและมองให้นานที่สุด ดวงตาสีน้ำตาลของโอเซฮุนยังคงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวตั้งแต่วันที่เด็กคนนี้เปิดประตูออกมาเจอกันในคืนนั้น..วันที่เราพบกันครั้งแรก
เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด .. นั่นเป็นสิ่งที่เขาเคยคิด และแน่นอนว่าในตอนนี้ คิมจงอินยังคงเป็นผู้ชายที่รักการทำขนม โอเซฮุนก็ยังคงเป็นเด็กที่รักศิลปะ คนพี่ยังคงวาดรูปคนเป็นก้างปลา และคนน้องก็ยังคงทำอาหารไม่ได้เรื่อง แต่แล้วใครสน เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป..คือการที่เราเติบโตไปพร้อมๆกับความรัก
“เซฮุน..อื้อ!”
โน้มใบหน้าหล่อคมลงไปปิดกลีบปากบางสีชมพู เขารู้ว่าน้องตกใจที่จู่ๆก็ดึงเข้าไปจูบทั้งอย่างนั้น จงอินกดย้ำแล้วจูบคลึงเบาๆให้รู้สึกว่ากำลังมอบจูบๆนี้ให้คนๆนี้ และเพราะรู้ว่าน้องจะหลับตาก็เลยถือโอกาสเตรียมอะไรบางอย่างภายในเวลาอันสั้นก่อนที่สุ้มเสียงหวานจะร้องประท้วงกอบโกยอากาศเข้าปอดอีกครั้ง .. เขายิ้ม มองริมฝีปากอวบอิ่มที่ถูกฉกชิมอย่างไร้คำขออนุญาตกับใบหน้าที่เริ่มซับสีเลือดและลามไปถึงใบหูเล็ก
จงอินจับมือเซฮุนข้างเดียวกับที่เขาใส่กำไลหนังเส้นสีดำของน้องขึ้นมาตรงหน้า เด็กดีก็พร้อมจะเชื่อฟังและทำได้แค่ยืนอยู่นิ่งๆมองอะไรบางอย่างในมือของคนเป็นพี่ที่ไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็คงไม่ได้ถามออกไปในตอนนี้ จนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า ‘แหวน’ ถูกสวมอยู่บนนิ้วของเขาแล้วเรียบร้อย
“พ..พี่ไคครับ..”
สุ้มเสียงใสเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของใบหน้าหล่อคม จงอินยิ้มพอใจให้กับขนาดแหวนที่พอดีกับนิ้วเล็กๆของน้องเพราะแอบไปวัดขนาดมาตอนน้องหลับบ้าง ขอจับมือบ่อยๆบ้าง จนกระทั่งมั่นใจถึงได้ไปสั่งทำพิเศษให้เหมาะสมและพอดีกับคนๆนี้มากที่สุด ส่วนตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัวที่ถูกสลักไว้ภายในวงแหวนวงนี้ ไม่ใช่อักษรย่อชื่อน้องหรือใครที่ไหน .. ก็ในเมื่อโอเซฮุนเอา ‘s มาต่อท้ายชื่อเขา คิมจงอินก็จะเอา my ไปวางไว้หน้าชื่อของน้องเหมือนกัน : )
“..ขอหมั้นไว้แล้ว จะไปเป็นของใครไม่ได้แล้วนะครับ”
เพราะก่อนหน้านั้นมัวแต่คิดว่ามันอาจจะเร็วไป และไม่ได้คิดถึงเรื่องสถานะของเราสองคนจนปล่อยให้เวลามันร่วงเลยจนมาถึงตอนนี้ ไหนๆก็ไหนๆเขาคงไม่ขอแค่คบเป็นแฟน และเหตุผลที่คิมเจสันไปขออนุญาตคุณพ่อน้องให้เรียกเขาว่าพ่อเหมือนกัน ก็เพราะว่าต่อจากนี้โอเซฮุนไม่ใช่เพียงผู้พักอาศัยชั่วคราว แต่น้องกลายเป็นสมาชิกครอบครัวของเราอีกคนแล้ว.. แรงโผเข้ากอดคงเป็นคำตอบได้ดีสำหรับคำถาม แอบเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆอยู่ในอ้อมอกคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีก ก่อนหน้านั้นก็เถียงเขาว่าตนไม่ใช่เด็กขี้แง แต่ความชื้นที่เสื้อนั่นมันอะไรกันนะ
“ซ..เซฮุนรักพี่ไค..ย..ยิ่งกว่าช็อกโกแลตอีกครับ”
โอเซฮุนก็ยังเป็นเด็กที่ซื่อบื้อ ช่างพูดช่างจา และน่ารักจนอยากจะร้องไห้กับคุณท้องฟ้า อยากตะโกนดังๆออกมาเหลือเกินว่าทำไมท่านถึงส่งคนน่ารักแบบนี้มาให้ผมช้านัก แม้แต่ประโยคเปรียบเทียบดังกล่าวก็คงไม่มีใครพูดได้น่าเอ็นดูเท่าคนๆนี้แล้ว
“นี่..” จงอินยิ้ม “จะเป็นน้องดื้อที่ดื้อกว่านี้..พี่ก็รัก รู้หรือเปล่า”
สำหรับคิมจงอิน อาจไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทำขนมที่ตนรัก ชีวิตประจำวันของเขาคือการใช้เวลาอยู่แต่ในครัวเพื่อทำมันด้วยความตั้งใจให้เท่ากับพรสวรรค์หรือสิ่งที่เขาคิดว่าอาจจะเป็นของขวัญจากแม่ที่อยู่เบื้องบนได้ส่งมาให้ แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปรู้ว่าเซฮุนจะทำให้เขาวางมือจากขนมมากอดน้อง ละสายตาจากขนมมามองหน้าน้อง และพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างที่ได้พูดกับพี่ชายของคนตัวเล็กว่า โอเซฮุนเป็นยิ่งกว่าขนมที่เขาชอบทำและทุกๆอย่างในชีวิตที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีแล้ว
และหากจะเทียบว่าเตาอบอุ่นแค่ไหน คงไม่เท่าความรักของเราที่อบอุ่น นุ่มนวล และทิ้งความรู้สึกหอมหวานอยู่ที่ปลายลิ้นตลอดเวลา .. จนถึงตอนนี้ผมก็คงไม่นับจำนวนใบหญ้าในทุ่งกว้างของพ่อ และก็คงไม่นับจำนวนเกล็ดน้ำตาลดั่งความรักของผมที่ใส่ลงไปในเค้กอย่างคุณ...
“เป็นขนมเค้กของพี่ตลอดไปเลยนะครับเซฮุนนา..” : )
ถ้าถามว่าความรักที่เหมือนกับขนมเค้กนั้นเป็นอย่างไร
ผมคงตอบเหมือนเดิมว่ามันยิ่งใหญ่..
พอๆกับการที่เด็กสักคนหลงรักเค้กก้อนโตสักชิ้น
และตอนนี้..โอเซฮุนเป็นเค้กของคิมจงอินโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
ผมจะรักคุณให้เหมือนว่าไม่มีวันพรุ่งนี้เลย : )
BECAUSE I CAKE YOU.
- - - - - - - - - -
“Every ending is a new beginning.”
เป็นวลีที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์จริงๆ เช่นเดียวกับฟิคเบคอะวิชของเราและของทุกคน : ) เพราะต่อจากนี้ ถึงเราจะไม่ได้เขียนต่อ ไม่ได้หมายความว่ามันจบลงแล้ว.. แต่อยากให้ทุกคนคิดว่ามันคือการเริ่มต้นของตัวละคร และเรื่องราวของพวกเขาก็จะยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน
พี่ไค น้องดื้อ คุณชานยอล น้องแบ้ก น้องมินซอก พี่ลู่ คุณอาเจสัน คุณหม่าม๊าชินฮเย คุณปะป๊าจงโฮ พี่ชายหมอเซโฮ ยูตะ จูเนียล และนักแสดงรับเชิญ(?) ขาดพวกคุณไปฟิคเรื่องนี้คงไม่สมบูรณ์แบบ ขอให้ทุกคนจดจำเอาไว้ วันใดที่คิดถึง ก็กลับมาเจอพวกเขาได้เสมอ ร้านโฮมสวีทโฮม ณ ซานฟรานซิสโก ยินดีต้อนรับให้ทุกคนกลับมาตักตวงความอบอุ่นและความหอมหวานเหมือนขนมพี่ไคตลอดเวลาเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ บางคนอาจจะข้ามทอล์คไป แต่เราอยากให้คุณอ่านจริงๆนะ เพราะเราจะบอกว่าเรารักคุณ ทุกคนเป็นเค้กของเรา และเราขอมอบฟิคเรื่องนี้ให้ทุกคนค่ะ หากมีข้อผิดพลาดอะไรไปบ้าง เราจะนำไปปรับปรุงแก้ไขงานเขียนของเราให้ดีต่อไป ขอบคุณคำแนะนำ คอมเมนท์ และในแทค #ฟิคเบคอะวิช ขอบคุณมากๆเลย แล้วก็..รักนะคะ : )
#ฟิคเบคอะวิช
** สำหรับคนที่อยากได้ฟิคเรื่องนี้ไปเก็บเป็นรูปเล่ม เรายังเปิดให้จองและโอนเงินได้ถึง 31 ม.ค. 59 นี้นะคะ ! ( จิ้มลิงค์โลด
ความคิดเห็น