ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) BAKE A WISH - KAIHUN ft. EXO

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 : คุณที่อยู่แต่ในครัว ผมที่ได้แต่แอบมอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.64K
      37
      15 ก.ย. 58







     

    CHAPTER 1

     

     

     

     

     

    คุณ .. ที่อยู่แต่ในครัว

    ผม .. ที่ได้แต่แอบมอง

     

     

     

     

                แสงแดดอ่อนๆต้อนรับเช้าวันใหม่ และดูท่าจะร้อนขึ้นกว่าเดิมในช่วงบ่าย แต่ด้วยความที่เมืองนี้มีทะเลล้อมรอบ ก็เลยทำให้มีลมพัดผ่านตลอดทั้งวันแม้จะอยู่ในช่วงหน้าร้อน ต่อให้อากาศร้อนแค่ไหนก็เย็นสบาย ชวนให้ออกไปเดินกินลมชมวิวได้ไม่ยาก

                และเช้าวันนี้ โอเซฮุนคงจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมของขนมที่ถูกอบอยู่ในเตา ทำเอาคนตัวผอมลุกขึ้นมาเสียแต่เช้าทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ปาเข้าไปตีหนึ่งเห็นจะได้ อาการมึนเมาเพราะยังปรับเปลี่ยนเวลาไม่ทันหรือที่เรียกว่าเจ็ทแล็กมันคงเล่นงานคนตัวเล็กเข้า ทว่าเทียบกับคนอื่นแล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามาก

     

                "..."

                อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมองตัวเองอยู่หน้ากระจก ก่อนจะเปิดหน้าต่างต้อนรับบรรยากาศด้านนอก นกตัวน้อยๆบินผ่านไปมาเรียกรอยยิ้มจากเขาเป็นอย่างดี ที่นี่ต่างจากเกาหลี และมันคงย้ำเตือนว่าโอเซฮุน กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่มีเสียงพ่อแม่คอยดุ และพี่ชายที่คอยดูแลเหมือนตอนอยู่บ้าน .. คิดได้แบบนั้น ก็เลยรีบพาตัวเองลงมาชั้นล่าง หวังจะมาช่วยคุณอาดูหน้าร้าน จนกระทั่งเดินผ่านห้องของใครบางคนที่ประตูปิดสนิท เลยพาลให้นึกไปถึงใบหน้าของ 'เขา' เมื่อคืนนี้

                ยามก้าวขาลงมาแตะพื้นชั้นล่าง สายตาก็พลันสะดุดเข้ากับเขาคนเดิมที่เพิ่งนึกถึง เจ้าของกายสีน้ำผึ้งกำลังตั้งใจทำขนมอยู่ในครัว และนั่นอาจจะเป็นที่มาของกลิ่นขนมหอมๆที่ลอยมาปลุกเขาแต่เช้า .. ท่าทางอบอุ่น อ่อนโยน และความตั้งใจที่กำลังทำขนมอยู่แบบนั้น คงจะไม่ค่อยมีใครเห็นได้บ่อยนัก

                โอเซฮุนกำลังจ้องมองอยู่ริมกำแพงข้างบันได จะให้ถือวิสาสะเดินเข้าไปในที่ที่อาจจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของใครคนนั้น คงไม่เสี่ยงโดนดุออกมาแน่ๆ

     

                "เข้ามาสิ.."

                แต่ก็เพราะเสียงทุ้มต่ำกับประโยคสั้นๆที่สามารถสาปให้ตัวเขาแข็งทื่อได้ง่ายๆดังขึ้นมานั่นแหละ ทีนี้จะก้าวไปไหน กลับก้าวไม่ออกเสียดื้อๆ

     

                จับได้แล้วสินะ .. ว่ามีคนแอบมองอยู่

     

                "จะไม่รบกวนคุณใช่ไหมครับ"

                คนถูกถามไม่ได้ตอบในทันที สองมือกำลังตั้งใจตกแต่งหน้าตาขนมอะไรบางอย่างที่เขาเองก็เรียกไม่ถูก รู้แค่ว่ามีเมล็ดธัญพืชโรยอยู่บนหน้าด้วย หน้าตาน่ากินจนเกือบจะเผลอกลืนน้ำลายตัวเองเสียแล้ว .. เซฮุนได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ จะเข้าไปใกล้กว่านี้ ก็เกรงว่าจะไปขัดการทำขนมของคุณไคเขา

     

                "ถ้ารบกวน..ก็ไม่บอกให้เข้ามาหรอกนะ" เป็นอีกครั้งที่จงอินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขา เช่นเดียวกับครั้งแรกที่บอกว่าให้เข้ามาได้ คุณไคมีตาวิเศษเหรอไงกัน ถึงได้รู้ว่าเราทำอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ (. _ .)

     

                "ตื่นเช้าแบบนี้ ไม่เมาเวลาเหรอ"

     

                "กลิ่นขนมคุณมันลอยขึ้นไปปลุกผมแต่เช้าเลยครับ แฮ่ะ.."

     

                "จะโทษกันงั้นสิ?"

     

                "เปล่านะครับ!" รีบปฏิเสธทันทีอย่างกับเด็กกลัวผู้ใหญ่ดุ ทำเอาคนฟังแอบยิ้ม .. เซฮุนกำลังจ้องมองการกระทำของอีกฝ่ายราวกับตื่นเต้นเพราะไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ากว่าจะเกิดเป็นขนมหน้าตาน่าทานได้ชิ้นหนึ่ง มันยุ่งยากขนาดนี้เชียวหรือ

     

                "คุณไคเก่งจังเลยนะครับ" พูดพร้อมมองตามจงอินที่นำถาดขนมปังไปใส่เตาอบ ก่อนอีกฝ่ายจะหันกลับมา เซฮุนถูกตอบกลับด้วยใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ ก็ว่าจะทักตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละ ที่มาเรียกเขาเสียอย่างเป็นทางการว่า 'คุณไค' ดูซิ..ว่าจะหลุดตอนไหน

     

                "ทำเป็นหรือเปล่า"

     

                "ขนมเหรอครับ"

     

                "อื้ม"

     

                "อ่า.." เซฮุนอ้ำอึ้ง "ไม่ได้เรื่องถึงขั้นหม่าม๊าสั่งห้ามเข้าครัวเลยครับ" จงอินแค่นหัวเราะ ถ้าถึงขั้นนั้นก็คงเรียกว่าจับอะไรไม่ได้ กินได้อย่างเดียว โอเซฮุนคงจะเหมาะกับการนั่งอยู่เฉยๆรออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะอะไรเทือกนั้นสินะ

     

                "คุณไค.."

     

                "ว่าไง"

     

                "ชื่อนี้มาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ" ถือวิสาสะถามเรื่องส่วนตัว นึกสารพัดคำถามที่อยากจะชวนอีกฝ่ายคุยไม่ให้เกิดความเงียบ จนกระทั่งรวบรวมความกล้าถามออกไปในที่สุด

     

                "..." จงอินกำลังจะอ้าปากตอบว่า 'เปล่า' หากแต่อะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวจนรอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าหล่อได้รูป และใครอีกคนคงจะไม่ได้สังเกตหรือนึกสงสัยกับรอยยิ้มแบบนั้นเสียเท่าไหร่หรอก คำตอบแรกที่จะตอบออกไปว่าจริงแล้วชื่อ 'คิม จงอิน' น่ะ .. เลยถูกกลืนลงคอแล้วพูดอีกอย่างออกไปแทน

     

                "ใช่ .." เงยหน้าขึ้นมายิ้ม "ชื่อคิมไค"

                ตั้งชื่อให้ตัวเองโดยการเอานามสกุลมารวมกับชื่อเล่นมันซะเลย และดูเหมือนว่านั่นจะทำให้เด็กอย่างโอเซฮุนเชื่อไปเสียสนิท .. แต่ก็นะ ความสนุกของคนแกล้ง คงอยู่ได้ไม่นาน

     

                "ไอ้จงอิน ถาดที่สองได้ยัง"

     

                ก็แล้วจะปล่อยให้หลอกเด็กมันบ้างเลยไม่ได้หรือไงกัน = _ =

     

                เพราะเสียงเรียกของแบคฮยอนทำให้ทั้งสองคนหันไปมองหน้าประตูห้องครัว จงอินทำหน้าเอือม ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทางแก้ตัว แล้วตอบส่งๆคนเป็นพี่ออกไปว่ากำลังอบอยู่

     

                "ไง..ทีนี้รู้แล้วนะ"

     

                "ฮึๆ..ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่ครับ" แล้วก็คงจะไม่มีอะไรน่าหมั่นไส้ไปกว่าเสียงหัวเราะน้อยๆแบบนั้นอีกแล้วล่ะ

     

                "งั้นก็ไปกินข้าวซะ พ่อคงจะเตรียมไว้ให้แล้ว"

     

                "คุณไล่ผมใช่ไหมครับ" แหน่ะ มีย้อน

                จงอินทำหน้านิ่ง เงยหน้าขึ้นมาโดยที่ไม่พูดอะไรก่อนจะแกล้งยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ และเป็นไปตามคาดเมื่อเซฮุนทำหน้างอน้อยๆ ยอมเดินออกไปตามคำสั่ง มองดูท่าทางแบบนั้นก็เผลอหลุดยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น .. ดูเรียบร้อยอย่างที่พ่อกับแบคฮยอนว่านั่นแหละ แต่เรื่องพูดน้อยคงจะขอเก็บเอาไว้พิจาณาก่อน เพราะดูเหมือนจะไม่ใช่(?) .. ไล่มองแผ่นหลังบางจนกระทั่งอีกฝ่ายเกือบจะเดินพ้นประตูห้องครัว..

     

                "เดี๋ยว.."

     

                "ครับ?" แล้วเด็กคนนั้นก็พร้อมจะหันหลังมาหาเขาทันที

     

                "อายุเท่าไหร่แล้ว" ถามออกไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็ต้องเด็กกว่า

     

                "สิบเก้าครับ"

     

                "งั้นเรียกว่าพี่ก็ได้.."

                และคำถามก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นที่มาของประโยคดังกล่าวที่เขาพูดกับน้องออกไปราวกับจะหาเรื่องเปิดประเด็นที่คนกลัวเสียฟอร์ม(?)อย่างคิมจงอินไม่กล้าพูดตรงๆว่าให้เรียกว่าพี่ซะ

                แต่สำหรับโอเซฮุนแล้วน่ะเหรอ นั่นอาจเป็นประโยคที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาที่เป็นผู้อยู่อาศัยกับเจ้าของบ้านขยับเข้ามาอีกหนึ่งขั้น .. ไม่ต้องเรียกว่า 'คุณ' ให้ดูห่างเหินจากในตอนแรกที่เกรงว่ายังไม่สนิทและรู้จักกันดี

     

                เซฮุนยิ้ม..

     

                และมันหวานยิ่งกว่าน้ำตาลทั้งถุง ..

     

                "ครับ .. พี่ไค"

     

                : )

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

                จำนวนผู้คนในช่วงเที่ยงที่มากขึ้น ทำให้ขนมในตู้ลดลงตามไปด้วย แบคฮยอนรับออเดอร์อยู่หน้าร้าน และเป็นเซฮุนที่ขออาสาช่วยหลังจากที่ดูการทำงานของพี่ชายตัวเล็กมาได้สักพัก เพราะจะให้เขานั่งไร้ประโยชน์อยู่แบบนี้เจ้าตัวก็ไม่ยอม ถึงแม้คุณอาเจสันจะบอกว่าให้ไปพักผ่อน บวกกับหาสารพัดขนมให้นั่งกินอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลยก็เถอะ

     

                "นั่นเหรอ เด็กที่ว่าจะมาอยู่กับมึง"

                และวันนี้หิมะที่ไม่ได้ตกมานานในรอบเกือบสี่สิบปีในนครซานฟรานฯ คงจะโปรยลงมาทั่วทั้งเมือง เพราะคนอย่าง 'ลู่หาน' ที่หายหน้าหายตาไปนาน มันโผล่หน้ามาเยือนถึงที่ร้าน ก่อนหน้านั้นเห็นว่าหนีไปเที่ยวต่างรัฐอยู่นิวยอร์คเป็นอาทิตย์ จะเรียกว่าไป 'เดท' ก็คงไม่แปลก เพราะมันไม่ได้ไปคนเดียว .. จงอินไม่ได้ตอบอะไร เพราะประโยคดังกล่าวไม่ได้ทำให้เจ้าของกายสีน้ำผึ้งหันไปสนใจที่จะตอบคำถามนั้นเลยสักนิด

     

                "น่ารักซะด้วย"

     

                "..."

     

                "กูจีบได้ไหม"

     

                "ก็ถ้าเด็กของมึงเขาไม่ว่าก็ตามลำบากเลย" และมันก็ทำให้คิมจงอินละสายตาจากขนมตรงหน้าไปได้ชั่วครู่หนึ่ง

     

                "แหนะ..ปากบอกกลัวแฟนกูว่า แต่มีการมองแรงกูด้วยนะครับ" คนเป็นเพื่อนยิ้มแซว "สเป็คมึงไม่ใช่เหรอไง แบบนี้อ่ะ"

     

                "..." จงอินไม่ตอบ

     

                "เหมือนเด็กมึงคนก่อน"

     

                "จะให้ต้องบอกกี่รอบว่ากูไม่สนใจอะไรใครทั้งนั้นแหละ แล้วถ้ามึงไม่มีอะไรทำ ก็ออกไปช่วยดูร้านทีนะ เดี๋ยวให้ไวน์แดกฟรีสองขวด" จงอินร่ายยาว บอกปัดเพื่อนสนิทที่นอกจากจะมาก่อกวนเขาถึงในครัวแถมยังพูดจาน่าหมั่นไส้ไม่เลิกไม่รา แล้วไอ่ความหมายคำว่า 'เด็ก' ของมัน จะไปพ้นอะไรได้

     

                "ก็แค่ถาม เผื่อวันหน้าจะเป็นอย่างที่กูคิด"

                ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วหยิบเศษแป้งที่วางทิ้งไว้ไม่ได้ใช้มาปั้นเล่น จงอินเลยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆแทนการถอนหายใจแรงๆใส่หน้ามัน เพราะถ้าเลือกได้อยากจะทำมากกว่านั้น จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ อายุเท่ากันแถมความอัธยาศัยดีที่มีมาก(จนเกินเหตุ)ของคนอย่างไอ้เจ๊กปักกิ่ง คงไม่ต้องรอให้เป็นเดือนเป็นปีเหมือนคนอื่นที่จะสนิทสนมกันถึงขั้นพูดคำหยาบได้

     

                "อะไรทำให้มึงโผล่หน้ามาถึงที่นี่ วันนี้ ?" ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมาพูดกับเพื่อนอีกทีหลังจากที่ปักสตรอเบอร์รี่สด ตามด้วยโรยผงโกโก้จนเสร็จเป็นถาดที่สองในรอบบ่าย

     

                "รู้ว่าเพื่อนจะคิดถึงไงครับ" ตามด้วยขนมถาดที่เพิ่งอบเสร็จจะถูกส่งไปวางไว้ที่ช่องรับ รอให้แบคฮยอนเอาไปเรียงใส่ตู้

     

                "หลังมึงเป็นไงบ้าง" ลู่หานถามขึ้นอีกครั้ง

     

                "ก็ดีขึ้น.."

     

                "อาการไม่กำเริบ?"

     

                "อืม ไม่ได้หนักแบบเมื่อก่อนมาสักพักแล้ว"

     

                "ไม่รักษาให้หายขาดไปเลยวะ ถ้ามันกลับมาอีกมึงจะทำไง" ลู่หานขมวดคิ้วถาม

     

                "ถ้าต้องหยุดงานที่ร้านไปเป็นเดือน แบบนั้นกูก็ไม่เอา"

                เป็นคนฟังที่ส่ายหน้าหน่ายๆให้เพื่อนสนิทกับความดื้อรั้นเดิมๆ ทุกครั้งที่หยิบเรื่องนี้มาพูด จงอินก็ทำเหมือนว่ามันไม่เป็นอะไรทั้งๆที่จริงแล้วมันเป็นหนักมาก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าถ้าอาการกำเริบขึ้นมาอีก ผู้ชายที่ดูเหมือนแข็งแรงอย่างคิมจงอิน ก็ทรุดลงไปกับพื้นได้ไม่ยากหรอก

     

                "กูเบื่อจะพูดกับมึงแล้ว ไปยุพ่อมึงให้พามึงไปดีกว่า จะได้จบๆ"

     

                "แล้วคิดว่ากูไม่เบื่อเหรอไงที่เป็นแบบนี้.." จงอินสวนกลับ "เลิกพูดเรื่องนี้กับพ่อซะ ถ้ามึงไม่อยากให้ผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบเครียดไปกว่านี้"

                จงอินพูดพลางเช็ดคราบแป้งที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะนั่งพักแล้วมองออกไปทางด้านนอก ใครบางคนที่พูดถึงกำลังทำงานหนักอยู่ตรงนั้นไม่ต่างจากเขา พ่อแก่ลงทุกวัน ถึงจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันแต่ก็มีโรคประจำตัว เวลาที่พ่อหน้ามืด ใจของเขาก็วูบลงตามไปด้วย .. ส่วนอาการของผู้ป่วยเส้นประสาทกดทับที่หลังอย่างจงอิน ถึงพอจะเจ็บอยู่บ้างเป็นระยะแต่ก็เป็นปกติของคนที่ต้องยืนทำงาน หรือเดินไปเดินมาทั้งวัน โชคดีที่อาการไม่หนักเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากก่อนหน้านั้นเจ้าตัวยอมทำตามคำสั่งของหมอ หยุดทำขนมอาชีพที่ตัวเองรักไปเกือบเดือน แล้วหันมากายภาพบำบัดตัวเอง เพื่อยอมแลกมาด้วยอาการที่ดีขึ้นในระยะยาว .. เพราะฉะนั้นถ้าจะให้หยุดไปอีก หรือต้องถึงขั้นผ่าตัดให้หายขาด คิมจงอินก็คงไม่ยอม ในเมื่อมันไม่ได้หนักหนาสาหัสสำหรับผู้ชายอย่างเขา ความอดทนไม่ใช่เรื่องยากอะไรอยู่แล้ว

     

                "ตามใจมึงแล้วกัน.." ลู่หานพูดหน่ายๆ "เดี๋ยวกูจะออกไปช่วยพ่อมึงก็ได้ ท่าทางวันนี้คนจะเยอะ คนแคระของกูมันรับออเดอร์จนหัวฟูละ" ไม่วายพาดพิงถึงแบคฮยอนที่โผล่หน้ามารับถาดแล้วรีบเดินออกไป

     

                "เออ"

     

                "ถือโอกาสไปทำความรู้จักกับเด็กมึงด้วยเลยไง"

     

                "ห่า.."

                ยังจะมีหน้ามาทิ้งท้ายประโยคกวนอารมณ์ แซวเขาไม่เลิกราวกับว่าคนอย่างคิมจงอินเป็นพวกเจ้าชู้ เห็นใครน่ารักก็เก็บเข้าฮาเร็มเป็นเด็กตัวเองไปหมดอย่างมันงั้นแหละ พอเห็นหน้ากวนประสาทแบบนั้นก็ไม่คิดจะอ้าปากด่า ไม่อยากจะเสียน้ำลายให้กับคนอย่างเสี่ยวลู่หาน งานหลักคือเที่ยว งานรองคือกวนส้นตีน ไม่รู้ว่าเด็กนักเรียนดนตรีคนนั้นที่ชื่อ 'คิมมินซอก' มันไปได้มาอิท่าไหน น้องเขาถึงได้ตกลงปลงใจคบเป็นแฟนด้วย

     

                "..."

     

                ส่วนโอเซฮุนน่ะเหรอ .. ที่จะเป็นเด็กในสเป็คเขา

     

                ตอนนี้คนอย่างคิมจงอินมันจะไปสนใจอะไร นอกจากขนมที่แต่งงานได้ ก็คงแต่งด้วยไปนานแล้ว (ยักไหล่แล้วหันไปนวดแป้งต่อ)

               

     

    - - - - - - - - - -

     

     

    อุปกรณ์ของผม .. มีเพียงดินสอสองแท่ง ยางลบหนึ่งก้อน และกระดาษหนึ่งใบ

    ส่วนอุปกรณ์ของคุณ .. คือแทบจะทุกอย่างที่อยู่ในครัวนั้นจนผมนับไม่ไหวเลย : )

     

     

                ในช่วงเย็นของวัน โอเซฮุนเลือกที่จะนั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน ใช้เวลาสื่อสารกับเจ้ากระดาษที่ก่อนหน้านี้มันว่างเปล่า กลับถูกแต่งเติมด้วยรอยดินสอ ลากเป็นเส้นผ่านบาง จนขึ้นเป็นรูปร่าง สายตาจ้องมองอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางมือข้างขวาที่ถนัดก็ลากเส้นตามรูปทรงของมันไปด้วย

                แจกันเซรามิคสีขาว มีดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอยู่ในนั้น .. เซฮุนเลือกที่จะวาดมันลงไป ไม่ใช่เพราะฆ่าเวลาเพราะไม่มีอะไรทำ หากแต่เป็นสิ่งแรกที่เขาอยากจะวาดมันขึ้นมาและมอบให้กับคนในบ้านหลังนี้ มันอาจจะดูธรรมดา เพราะแค่วาดดอกไม้ในแจกัน คงไม่ใช่งานยากอะไรสำหรับเด็กสถาปัตย์อย่างเขา

                โอเซฮุนส่อแววที่จะเป็นเด็กหัวศิลป์มาตั้งแต่เริ่มจับดินสอ พ่อเล่าให้ฟังว่าแม่เครียดมาก ลูกเขียนหนังสือได้ช้ากว่าคนอื่น เพราะเอาแต่วาดรูป ขีดๆเขียนๆไม่เป็นรูปเป็นร่างตามประสาเด็ก หากแต่คนเป็นพ่อกลับสนับสนุน มองว่านั่นอาจเป็นจินตนาการบางอย่างของลูกชายตัวเล็ก ถึงจะเขียนหนังสือได้ช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่ถ้าแลกกับพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด ก็ยินดีจะให้ลูกเรียนในสิ่งที่ชอบ ผิดกับพี่ชายที่หัวไปด้านวิชาการ เรียนจบบรรจุเป็นทันตแพทย์ไปแล้วเรียบร้อย

     

                "อากวนหรือเปล่าครับ" เสียงทุ้มดังขึ้น จนมือข้างที่กำลังวาดอยู่หยุดไปแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงพร้อมส่ายหน้ารัว

     

                "ไม่เลยครับคุณอา"

     

                "เราวาดอะไรอยู่เอ่ย ขออาดูได้ไหม"

     

                "แจกันใบนี้แหละครับ แต่ว่ายังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่เลย" เซฮุนทำหน้างอ พลางส่งกระดานที่เพิ่งจะขึ้นโครงแจกันให้คนอายุมากกว่าดู

     

                "โอ้ะ..วาดดอกคาร์เนชั่นเหรอ"

     

                "ครับ!"

     

                "รู้ไหมว่าคุณแม่พี่ไคเขาชอบดอกนี้มาก.." เจสันยิ้มบางๆ และโอเซฮุนก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เนื่องจากคนเป็นแม่เคยเล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากมายนัก

     

                "แต่อาว่าดูแค่นี้ก็รู้แล้ว..ว่าเราจะต้องวาดสวย" ชายวัยกลางคนผู้ขึ้นอีกครั้งพลางเอ่ยชมยิ้มๆ "งั้นไว้เราวาดเสร็จแล้วอาจะมาดูอีกรอบดีไหม"

     

                "ได้ครับ!" ยิ้มตาหยีจนตาเป็นรูปครึ่งเสี้ยวพระจันทร์ รับกระดานที่ส่งให้คุณอากลับมาวางบนตักตัวเอง ก่อนจะถูกฝ่ามือหนาลูบหัวลูกชายคนเล็กของเพื่อนสนิทราวกับเป็นลูกของตัวเองอย่างเอ็นดู

                เซฮุนก้มลงจับดินสออีกครั้ง มองกระดาษสลับกับแจกันดอกไม้ที่ตั้งใจจะวาด ได้รับคำชมทั้งที่ยังวาดไม่เสร็จแบบนี้ก็ยิ่งมีกำลังใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามประสาคนใจเย็น อารมณ์ดีอย่างโอเซฮุน..

     

                จนไม่รู้อะไรเลย ว่ามีคนเขาแอบมอง : )

     

                ไม่รู้หรอกว่าใครบางคนที่อยู่แต่ในครัวตั้งแต่เช้า เขาออกมาข้างนอก ยืนมองท่าทางตั้งอกตั้งใจแบบนั้นอยู่นาน แต่ก็ไม่คิดจะเข้าไปขัดไปกวนเด็กอารมณ์ศิลป์ คงจะเหมือนเขาที่ไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งในครัวมากนักเวลากำลังทำขนม

     

                ใช้เวลาไม่นาน ทั้งแจกันและดอกไม้ก็ถูกร่างออกมาด้วยดินสอไม้อ่อนๆจนเป็นรูปทรง ตามด้วยดินสอชนิดเข้มพิเศษหรือเบอร์ EE ที่ไว้สำหรับแรเงา .. กระดาษทิชชู่ถูกหยิบมารองหลังมือไม่ให้เปื้อน ประสบการณ์การเรียนวาดรูปพัฒนามาตามกาลเวลา จากแต่ก่อนที่พอวาดเสร็จ ภาพสวยก็จริงแต่เปื้อนคราบดำไปทั้งแผ่น ต่อให้มองยังไงก็ยังสวยไม่ร้อยเปอร์เซ็น

                แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาผ่านกระจกที่เขานั่งอยู่ ทำให้เกิดเงาและการสะท้อน นั่นคือสิ่งที่โอเซฮุนแต่งเติมเข้าไปในกระดาษแผ่นสีขาวธรรมดาแผ่นนี้จนเหมือนกับว่า มันเป็นภาพถ่ายขาวดำที่ดูเหมือนจริงอย่างบอกไม่ถูก

                เมื่อก่อนกว่าจะวาดภาพๆนึงได้ใช้เวลาเกือบทั้งวัน ทว่าตอนนี้กลับใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง .. และรอยยิ้มที่ปรากฏหลังจากสถาปนิกตัวน้อยได้สร้างสรรค์ขึ้น มันก็คงจะสวยพอๆกับรูปที่เขาวาดเสร็จแหละมั้ง : )

     

                "เห้ย! วาดรูปสวยจังเลยอ่ะ!" (T - T) เป็นแบคฮยอนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หลังจากที่เดินเข้ามาแอบดูคนเป็นน้องว่าทำอะไร รู้อยู่หรอกว่าเป็นเด็กถาปัด แต่ใครจะไปรู้ว่าจะวาดสวยอย่างกับภาพถ่ายภายในไม่กี่นาทีนี้กัน..

     

                "สอนพี่บ้างดิ ยี่สิบห้าแล้วยังวาดสวยสุดแค่ก้าง" พูดแล้วก็เซ็งตัวเอง เก่งแต่ตัวเลขเลยต้องมาเป็นเด็กบัญชี เรื่องศิลปะนี่ให้สู้กับเด็กอนุบาลยังกลัวเลยเหอะ!

     

                "ไม่หรอกครับ แต่ถ้าพี่จะให้สอน คงต้องอู้งานมานั่งวาดทั้งวันเลยนะ" เซฮุนพูดปนขำ ก่อนจะส่งกระดานที่อีกฝ่ายทำท่าจะยื่นมาขอดูให้ดูได้สะดวกขึ้น

     

                "ขนาดนั้นเลย? งั้นไม่เอาแล้วว่ะ พี่เป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้" ทำหน้าเอือมให้กับนิสัยไฮเปอร์อย่างตัวเอง เหมาะแล้วที่จะทำงานพาร์ทไทม์กับลุงเจสัน ได้เดินไปเดินมาขยับตัวทั้งวัน แถมปากก็ขยับพูดกับลูกค้า..แบบนี้แหละชอบ - v -b

     

                "แต่ถ้าอยากสอนพวกนิ่งๆนะ.." พยักพเยิดหน้าเข้าไปหาคนที่ทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัวที่ไม่ใช่การทำขนม "ต้องเจอคนแบบไอ้ไค"

                เซฮุนมองตาม ก่อนจะเห็นแผ่นหลังของใครคนนั้น พลางนึกถึงใบหน้าที่ไม่ค่อยยิ้ม แถมไม่ค่อยพูด พอจะเดาออกได้ไม่ยากว่าเป็นคนแบบไหน คงจะนิ่งแบบที่พี่แบคฮยอนว่าเสียนั่นแหละ

     

                "พี่เขาคงไม่ชอบการจับดินสอเท่ากับการจับอุปกรณ์ทำขนมหรอกครับ"

                คนอายุน้อยกว่าพูดยิ้มๆ เอ่ยแซวเชฟคนเก่งเพราะดูท่าทางจะไม่สนใจอะไรนอกจากการทำขนมแล้ว และเขาเองก็ยังติดใจในรสชาติขนมของ 'พี่ไค' จนแทบอยากจะร้องไห้ ผิดกับตัวเองที่แค่เข้าครัวก็เหมือนว่ามันจะพังไปเสียทุกอย่าง แม้แต่ทอดไข่ง่ายๆน้ำมันก็กระเด็นเลอะเทอะไปทั่วทุกทิศแล้ว โน่น..ไข่ดาวกับคนยืนทอดเหรอ ห่างกันเป็นสิบเมตร

                พูดคุยกับพี่ชายตัวเล็กไปเรื่อยเปื่อยอยู่สักพัก เพราะใกล้เวลาร้านปิด ไม่มีลูกค้าเข้าเยอะแบบก่อนหน้านี้ แบคฮยอนเลยเดินไปช่วยคุณอาเก็บร้าน เตรียมคิดบัญชีรายวัน ส่วนคิมเจสันกำลังยื่นถุงไวน์ให้ลูกค้า เป็นคุณลุงวัยหกสิบ ที่ดูท่าจะสนิทกันพอควร เลยพูดคุยตามประสาคนมีอายุ ไอ่เขาก็ฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง ว่าแปลว่าอะไร สุดท้ายเลยเดินไปหวังจะล้างมือที่เลอะรอยดินสออยู่เล็กน้อย

     

                "..."

                เดินผ่านห้องครัว ก็แอบมอง เดินกลับมาอีกครั้งก็หยุดมอง .. ไม่รู้ว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี แต่เห็นอีกฝ่ายกำลังล้างอุปกรณ์ที่ทำขนมเสร็จอยู่แบบนั้นในครัวอยู่ลำพัง เลยคิดว่าควรจะเข้าไปช่วยอะไรสักอย่าง ดีกว่าเดินผ่านไปเฉยๆแบบนี้

     

                "ช่วยไหมครับ"

                สุ้มเสียงเล็กหลุดออกมาหลังจากที่เม้มปากครุ่นคิดอยู่อึดใจ จงอินหันมาเพียงเสี้ยวหน้า ไม่ได้ตอบในทันทีแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาอย่างที่คิด หรือเพราะว่าความเงียบมันคือการไม่ตอบรับของพี่เขากัน .. แต่แล้วยังไง โอเซฮุนจะไม่ยอมโดนปฏิเสธน้ำใจหรอกน่า คิดได้แบบนั้นเลยถือโอกาสเดินเข้าไปใกล้อีกนิด

     

                "ล้างเป็นเหรอ หื้อ ?" และเป็นเสียงทุ้มต่ำนั้นถามเขากลับมาแทน

     

                "ทำอาหารไม่เป็น ไม่ได้แปลว่าต้องล้างจานไม่เป็นนี่ครับ" เซฮุนยู่หน้า

     

                "ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพ่อจะหาว่าใช้เด็ก" จงอินพูดปนขำ

     

                "ผมอยากทำเองนี่ครับ" เซฮุนยังไม่ยอมล้มเลิกความคิด "คุณ..อ่า พี่จะปฏิเสธน้ำใจผมเหรอครับ" พูดตะกุกตะกัก เพราะติดเรียกว่า 'คุณ' นำหน้าออกไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายอนุญาตให้เรียกว่า 'พี่' ได้ จงอินที่ได้ยินแบบนั้น เลยหมดหนทางจะเถียง นี่เหรอเด็กเรียบร้อยพูดน้อยของพ่อ ตัดพ้อได้ตาใสแบบนี้ คงไม่ใช่แล้วมั้ง

     

                "มีแต่พวกพลาสติกกับแสตนเลส ไม่ทำลื่นหล่นแตกแน่นอนครับ!" ไม่วายยังย้ำว่าตัวเองจะทำ จนสุดท้ายก็ต้องเขยิบมาหนึ่งก้าว เว้นที่ให้อีกคนมาทำหน้าที่แทนแบคฮยอน พูดขนาดนี้ จะปฏิเสธไม่รับน้ำใจเดี๋ยวจะโดนเด็กเขาย้อนอีกไง

     

                "พี่ไค.."

     

                "ว่าไง"

     

                "ชอบทำขนมมากเลยเหรอครับ" ถามออกมาท่ามกลางความเงียบ แทรกเสียงน้ำที่ไหลลงซิงค์ กับเสียงกระทบกันของภาชนะ พลางขัดๆถูๆเจนฟองเปื้อนมาถึงแขน

     

                "..."

     

                "คงจะพอๆกับที่เซฮุนชอบวาดรูป"

                รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าหล่อได้รูป หันมาตอบคำถามคนตัวเล็กข้างๆ และมันก็เป็นคำตอบที่พอจะอธิบายความชอบเหล่านั้นว่ามันมากแค่ไหน เหมือนกับที่เขาชอบจับดินสอวาดรูปนั่นแหละ

     

                "เมื่อกี๊เซฮุนวาดรูปแจกันกับดอกไม้ด้วยครับ.."

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเรียกชื่อเขาขึ้นมาครั้งแรกแบบนั้นหรือเปล่า ถึงได้กล้าใช้สรรพนามโดยการใช้ชื่อเรียกแทนตัวเองเข้ามาแทนที่คำว่า 'ผม'

     

                "เห็นแล้ว.."

     

                "..."

     

                "สวยดี" : )

     

                "ช..ชอบเหรอครับ"

                สุ้มเสียงน่ารักเผลอพูดอย่างตะกุกตะกัก พี่ไคคนนิ่งกำลัง 'ยิ้มให้เขา' เป็นรอยยิ้มแรกที่เพิ่งจะได้เห็นใกล้ๆแบบนี้ และคงจะไม่ใช่การยิ้มตามมารยาทเพียงเพราะแค่ทำความรู้จักกันไปผ่านๆ

                จงอินไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากแต่สายตากำลังมองใครอีกคนที่ทั้งขัดทั้งถูไม้พายพลาสติกเพียงอันเดียวอยู่นานแล้ว และดูท่าจะไม่ยอมส่งมาให้เขาที่กำลังรอล้างน้ำเปล่าอยู่

     

                "ถูจนจะลอกแล้ว.."

     

                "..."

     

                "มือจะลอกแล้วครับ"

                ไม่ใช่เพียงเจ้าไม้พายพลาสติกที่ถูกดึงออกไปจากมือเขา หากแต่เป็นฝ่ามือบางที่ถูกจับเบาๆให้ไปล้างด้วยน้ำเปล่าจนฟองออกไปหมด นี่น่ะเหรอ เด็กที่บอกว่าล้างจานเป็น ทำไมถึงได้เลอะไปจนถึงแขนเสียขนาดนั้น

     

                "เดี๋ยวพี่ล้างเอง"

                มือบางๆแบบนี้คงจะไม่เหมาะกับการทำงานหนักอย่างเช่นล้างจานที่คนตัวเล็กถูเสียจนมือแดง ไม่ยักจะรู้ว่าเพียงแค่คราบครีมที่ติดอยู่บนไม้พายพลาสติกจะต้องออกแรงราวกับว่ามันไปผ่านสมรภูมิรบมาที่ไหน แต่ก็ยังไม่วายคนดื้อที่อยากจะช่วยเขาทำต่อ เลยขอเป็นฝ่ายใช้ผ้าเช็ดภาชนะที่ถูกล้างให้แห้งเอง

     

                "พี่ไคครับ.."

     

                "ว่าไง"

     

                "ถ้าชอบรูปนั้น..เซฮุนจะให้"

                เป็นเพราะตั้งใจว่าจะวาดให้กับคนในบ้านหลังนี้ตั้งแต่ตอนแรก เพื่อเป็นสิ่งแรกที่ให้กันในวันที่เขามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เหมือนกับพี่พี่ไคทำขนมให้กิน ถึงแม้จะเป็นขนมที่ไว้สำหรับขายให้ลูกค้าทั่วไป ไม่ได้เจาะจงถึงเขาก็ตาม

     

                "แลกกับขนมที่พี่ไคทำให้กิน"

     

                "อะไรกัน..พี่ทำไว้ขายหรอกนะ" จงอินแกล้งพูด

     

                "ก็..ก็ถือว่าเซฮุนกินขนมของพี่ไปแล้วฟรีๆ"

                หยิบสารพัดเหตุผลของตัวเองขึ้นมาอ้าง ไม่ว่ายังไงก็จะให้ภาพวาดแผ่นนั้นของตัวเองให้ได้ แล้วคนอย่างคิมจงอินจะไปทำอะไรได้ ยิ่งเป็นดอกคาร์เนชั่นที่แม่ชอบ ดอกไม้ที่มีความหมายกับเขาและพ่อขนาดนี้ แถมโอเซฮุนก็เก่งพอที่จะวาดได้เหมือนจริง ถึงจะไม่เห็นใกล้ๆตอนที่น้องวาด .. แต่ก็เพราะแบบนี้แหละ เลยอยากจะเก็บเอาไว้ดูด้วยตาของตัวเองเสียเลย

     

                "ถ้าขนมหนึ่งชิ้น แลกกับรูปหนึ่งใบ.."

     

                "..."

     

                "คราวหน้า..พี่ก็จะทำให้เรากิน" : )

               

                นั่นจะเรียกว่าเป็นข้อเสนอ สนธิสัญญา หรืออะไรสักอย่างที่เวลาเขาจะกินขนมหนึ่งชิ้น ก็ต้องแลกด้วยรูปหนึ่งรูปอย่างนั้นเหรอ .. โอเซฮุนในวัยสิบเก้าคงไม่เข้าใจ และอ่านรอยยิ้มที่เดาได้ยากแบบนั้นของพี่ชายวัยยี่สิบสามคนนี้ไม่ออก หากแต่คงจะไม่ต้องเดาว่าคำตอบของเขาจะเป็นแบบไหน นอกจากยอมรับข้อเสนอดังกล่าวด้วยรอยยิ้มที่หยีจนตาแทบปิด และใบหน้าที่พยักรัวจนหัวสั่นเป็นเด็กๆ

                และทุกอย่างในตอนนั้น .. ก็จบลงด้วยเสียงของบยอนแบคฮยอน ผู้ซึ่งเดินเข้ามาหวังจะช่วยน้องชายล้างอุปกรณ์ทำขนมแบบทุกวัน

     

                "ขอโทษที่ขัดจังหวะว่ะ..แต่กูแค่อยากรู้ว่าต่อไปนี้จะมีคนทำหน้าที่แทนกูแล้วใช่ป่าววะ" (. _ .)

     



     

                TBC

     

     
     

    - - - - - - - - - -

     

     

     เนื้อเรื่องเอื่อยๆตามประสาคนเปื่อยๆ (เป็นหวัดหนักมาก โฮรววว T O T)
    ช่วงแรกๆจะเป็นการเล่าถึงที่มา แบคกราวน์ของแต่ละคน รวมถึงนิสัย+คาแรคเตอร์
    อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ 'ค่อยๆรักกันเบาๆ' ♥

    #ฟิคเบคอะวิช

    ปล.ฝากทีเซอร์ฟิคสั้นๆด้วยฮะ ' - '

    https://youtu.be/v_RWEGDQM5A by @erotichoii ♥ )

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×