คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 : จงน่ารักไปจนกว่าผมจะพอใจ
CHAPTER 3
เป็นอีกครั้งที่กลิ่นหอมอ่อนๆจากครัว ลอยขึ้นมาแตะจมูกเกือบจะทุกเช้า แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด คุณอาเจสันบอกว่าวันนี้เป็นวันหยุดของร้าน ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ แน่นอนว่าคิมจงอินไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าครัวเพื่อทำขนมแบบทุกวัน .. ไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นค้างคาอยู่ต่อไป ปลายเท้าเหยียบพื้นบันไดเย็นเฉียบ เนื่องจากเมื่อคืนฝนตก และก็เพิ่งหยุดไปเมื่อเช้ามืดนี้ เซฮุนอยู่ในชุดอยู่บ้านสบายๆ ถึงจะเย็นแต่ก็ไม่ได้หนาวจัดจนต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆให้อึดอัด
กลิ่นหอมของอะไรสักอย่างในวันนี้ดูแปลกไป ไม่ใช่กลิ่นนมกลิ่นเนยแบบทุกวัน แต่มันคุ้นซะจนท้องน้อยๆเริ่มส่งเสียงร้องประท้วงขอข้าวกินอย่างน่าสงสาร ตรงกับเวลาอาหารเช้าพอดิบพอดี
“พี่ไคครับ เซฮุน-”
“มาชิมนี่ให้หน่อยเร็ว” ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่าให้เซฮุนช่วยไหม คนอายุมากกว่าก็หันมาพร้อมกับช้อนคันเล็ก ตักอะไรบางอย่างจากหม้อออกมาเป่าให้พอที่จะไม่ลวกริมฝีปากบางสีชมพูนั้นของน้องไปเสียก่อน
‘ซุปเค้กข้าว’ คือคำตอบของคำถามว่าคิมจงอินตื่นลงมาแต่เช้าเพื่อทำมัน พ่อไม่ได้แวะมาหาในวันนี้ เพราะติดว่าไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลพอดี เป็นเรื่องปกติของคนแก่ ที่อายุมากขึ้น โรคชราก็ตามมาด้วย สุดท้ายคนเป็นพ่อเลยย้ำนักย้ำหนาว่าให้ดูแลน้องให้ดี กำชับราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆเสียอย่างนั้นทั้งที่ก็ปาเข้าไปตั้งยี่สิบสามแล้ว อาหารก็ทำเป็น มีเหรอที่จะปล่อยให้น้องอดข้าวอดน้ำได้
“นึกว่าพี่ไคจะกินแต่อาหารอิตาเลียน จนลืมอาหารเกาหลีไปแล้ว” เซฮุนพูดปนขำ
“อร่อยไหม”
“ตอบว่าไม่อร่อย ก็อดกินสิครับ”
“งั้นแสดงว่าอร่อย เราถึงอยากกิน” ยักไหล่ทำหน้ากวน
“ถูกต้องครับ..เพราะฉะนั้นหม้อนี้ก็ของเซฮุน”
ยิ้มใส่เขาจนตาหยี แล้วทำเป็นเดินแทรกเข้าไปเป็นฝ่ายถือทัพพีเอาไว้เอง พ่อไม่อยู่แล้วก็ช่างพูด พูดมากไม่หยุด เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็มาป่วนเขาในครัว ไม่ให้ช่วยล้างจานเพราะกลัวว่าน้ำยาจะทำมือบางๆน่าทะนุถนอมของน้องเป็นรอย ของก็ไม่ใช่น้อยๆกว่าจะล้างหมดมือก็เปื่อยกันพอดี สุดท้ายก็ต้องหาถุงมือมาใส่ให้ อยู่ช่วยเขาจนเสร็จนั่นแหละ ถึงจะยอมขึ้นห้องไปพร้อมกัน
“วันนี้มีอะไรต้องทำหรือเปล่า”
“อืม..ไม่มีครับ” เงยหน้าจากถ้วยซุปแล้วคีบกิมจิมาใส่ปาก พี่ไคบอกว่าซื้อมาจากตลาดอาหารนำเข้าแถบเอเชีย อย่างน้อยก็พอจะทำให้หายคิดถึงอาหารบ้านเกิดตัวเองได้บ้าง
“ถึงมีพี่ก็ไม่ให้ทำหรอก” ยักไหล่ยิ้มๆแล้วมองเด็กที่กำลังทำหน้าสงสัย โอเซฮุนคงจะไม่ทันสังเกตว่าคนอยู่บ้านประสาอะไร จะใส่กางเกงยีนส์มาทำอาหาร แต่เป็นเพราะเขาเตรียมตัวเอาไว้แล้วต่างหาก
“กินข้าวเสร็จแล้ว ไปแต่งตัวน่ารักๆนะ”
“...”
“เดี๋ยวจะพาไปเที่ยว” : )
- - - - - - - - - -
เมื่อพูดถึงซานฟรานซิสโก แน่นอนว่าสิ่งแรกที่จะต้องนึกถึงคือ ‘สะพานโกลเดนเกต’ หรือสะพานแขวนสีแดงใหญ่ยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาไปแล้ว นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาที่นี่เพื่อเก็บภาพบรรยากาศและสัมผัสกับความสวยงามกับตาตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่คนซานฟราน ที่ถึงแม้จะเกิดมาก็เจอมันแล้ว ยังแวะเวียนมาที่นี่อยู่เสมอ .. เพราะฉะนั้นมันคงไม่แปลก ว่าทำไมคิมจงอินเลือกจะพาโอเซฮุนมาที่นี่เป็นที่แรก
“หม่าม๊าครับ ดูข้างหลังผมเร็ว”
สนามหญ้าโล่งกว้าง ภายหลังเป็นสะพานโกลเด้นเกต มีลมแรงกว่าปกติเพราะพัดผ่านมาจากทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ .. ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วพูดกับโทรศัพท์ตัวเอง ก็ไม่แปลกใจว่าโอเซฮุนคงจะกำลังวีดีโอคอลอยู่กับครอบครัว คนมองอยู่ห่างๆได้แต่ยิ้มกับความน่ารักแบบนั้น แล้วสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างที่ชอบทำ
“มากับพี่ไคครับ”
“พี่ไคพามา วันนี้ร้านปิด”
“ไม่ดื้อหรอกครับหม่าม๊า เพราะถ้าดื้อพี่ไคจะ..ดุ”
กรอกเสียงคำสุดท้ายลงไปเบาๆพลางมองไปทางเจ้าของกายสีน้ำผึ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ และคนถูกพูดถึงคงจะหูดีเกินไปเสียหน่อย ถึงได้หันมามองทันทีที่รู้ว่าในบทสนทนานั้นมีชื่อตัวเองอยู่ด้วย
“พี่ไคครับ หม่าม๊าอยากเห็นหน้า” นั่นไง..
สุดท้ายก็ไม่พ้นที่จะต้องโผล่หน้าเข้าไปในกล้องด้วย ถึงจะไม่ชอบถ่ายรูปหรือเข้าเฟรม แต่ในเมื่อผู้ใหญ่อยากจะคุยด้วยก็ต้องทำตาม โดยการเดินเข้ามายืนข้างๆน้อง ก้มหัวโค้งให้เป็นพิธีแล้วเอ่ยทักทายคนเป็นน้า หรือเพื่อนสนิทพ่อตัวเองอย่างเคารพ
“สวัสดีครับคุณน้า”
( ไค เซฮุนดื้อหรือเปล่าครับ ) ประโยคแรกของโอชินฮเยทำเอาคนฟังหลุดขำ อยู่ไกลหูไกลตาคนเป็นแม่แบบนี้ก็คงอยากจะรู้วีรกรรมลูกชายเป็นเรื่องธรรมดา
“หม่าม๊า เซฮุนไม่ดื้อ”
( คนเล็ก .. ไม่พูดแทรกสิครับ )
สรรพนามที่เรียกกันระหว่างครอบครัวดังให้ได้ยินเป็นครั้งแรก จงอินหลุดยิ้มกับความน่ารักของแม่ลูก ไม่แปลกใจว่าหน้าตาน้องถอดมาจากใคร คุณน้าสวยขนาดนี้ เซฮุนก็เลยเกิดมาน่ารักขนาดนี้เหมือนกัน
“ครับ เซฮุนไม่ดื้อหรอก” พูดออกไปยิ้มๆพลางมองคนข้างๆ ถึงในใจจะอยากฟ้องไปอยู่เหมือนกันว่ามีบ้างที่บางครั้งก็ดื้อ ดื้อจะช่วยเขาอยางโน้นอย่างนี้ ดื้อไม่ยอมนอนเพราะจะนอนพร้อมเขาอย่างเมื่อวานนั่นแหละ
( ถ้าดื้อก็จัดการเลยนะไค อยู่ที่โน่นน้าดุไม่ได้ )
“ได้ครับคุณน้า” อมยิ้มอย่างรู้ทัน กลายเป็นเด็กตัวผอมที่ยู่ปากใส่ทั้งคนในสายและเจ้าของกายสีน้ำผึ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ถูกรุมสอง-หนึ่งแบบนี้จะไปสู้อะไรได้เล่า
( ต่อไปนี้หม่าม๊ามีตัวแทนคอยดุเราแล้วนะครับคนเล็ก )
“หม่าม๊าอ่า! ถ้าไม่มีอะไรผมจะไปเที่ยวต่อแล้ว” (. _ .) พอไม่มีพวกก็โวยวายใหญ่ เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ โอชินฮเยทำได้เพียงแค่ใช้นิ้วชี้ของเธอชี้มาราวกับจะจิ้มเหม่งอย่างเคยชินเวลาหมั่นเขี้ยวลูกชายคนเล็ก
( ดูแลตัวเองดีๆนะคนเล็ก ทุกคนคิดถึงและเป็นห่วงเราเสมอนะคะ )
สุดท้ายก็ยิ้มอย่างอดเอ็นดูไม่ได้ เธอคิดถึงและเป็นห่วงมากเหมือนที่พูดเสมอ ไม่มีวันไหนที่หยุดความรู้สึกนั้นได้เลย เซฮุนยังไม่ยี่สิบ ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ กลัวว่าลูกที่เลี้ยงมากับมือตลอดสิบเก้าปีจะเป็นอันตราย กลัวคนแปลกหน้าจะมาทำร้ายลูกที่เธอปกป้องไม่ให้มีรอยขีดข่วนแม้กระทั่งปลายเล็บ ทำใจอยู่เกือบเดือนก่อนวันจะบิน กอดลูกอยู่นานอยู่หน้าเกท และก็อดจะหลั่งน้ำตาไม่ไหว แต่ก็ต้องกลั้นใจหันไปทางอื่นเพราะมันคงดูไม่ดีถ้าลูกเห็นว่าเธอทำเหมือนไม่อยากให้ไปจนร้องไห้ออกมาแบบนั้น .. ยินดีที่ลูกจะเรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่ แต่หัวอกคนเป็นแม่ ไม่มีวันไหนที่จะไม่รัก ไม่คิดถึง ไม่เป็นห่วงแบบนี้
และโอเซฮุนก็ยังคงความน่ารักของตัวเองเอาไว้เสมอ เลื่อนตัวเข้าไปใกล้โทรศัพท์เครื่องนั้น ก่อนจะใช้ริมฝีปากตัวเองจุ้บที่กล้องหน้าอย่างน่ารักราวกับได้จุ้บแก้มเธอแบบที่ชอบทำจริงๆ สุ้มเสียงใสพร่ำบอกรักเธอ แล้วกดวางเพราะไม่อยากกวนเวลานอนของทางโน้นไปมากกว่านี้ .. แน่นอนว่ายามฟ้าสว่างที่นี่ ที่นั่นก็คงพระอาทิตย์ตกไปนานแล้วเหมือนกัน
“...” (‘ – ‘)
หันมายิ้มแห้งๆ เปลี่ยนจากเด็กดื้อยามอยู่กับคนเป็นแม่ มาเป็นเด็กที่เหมือนจะไม่ดื้อ(?)ยามอยู่กับเขา จงอินเหลือบมองผมของอีกฝ่ายที่ชี้ฟูเพราะโดนลมแรงๆพัดไม่เป็นทรงแล้วก็หลุดขำ .. ถ้าถามว่าน้องดื้อตรงไหน ก็ตรงนี้ไง
“บอกว่าให้เอาหมวกมา .. ก็ลืม”
เดินเข้าไปหา ถอดหมวกสแนปแบคที่ใส่อยู่ของตัวเองออกมาแล้วสวมกลับหลังให้คนเป็นน้อง คนถูกดุจะไปทำอะไรได้เพราะก็ลืมจริงๆ นึกได้ก็ตอนที่ออกกันมาได้ตั้งครึ่งทางแล้ว คิดว่าคงไม่สำคัญ เพราะวันที่ฟ้าไม่มีแดดแบบนี้คงไม่ต้องใช้บังอะไร แต่ลืมไปหรือเปล่า ว่าหมวกมันไม่ได้ใช้แค่บังแดดกับใส่ให้เท่ .. ผมหน้าม้าที่ยาวทิ่มตาของเด็กดื้อยามลมพัดแรงๆ จนตาน้อยๆกระพริบปริบๆแบบนั้นไง หมวกมันเลยดูมีค่าขึ้นมาตอนนี้ไง ซื่อบื้อ : )
“ไปตรงนั้นกันครับพี่จงอิน”
หลุดเรียกชื่อจริงออกมา แล้วถือโอกาสดึงแขนคนเป็นพี่ไปตรงโน้นทีตรงนี้ที ใช้เขาเป็นช่างภาพให้ทั้งๆที่ทักษะการถ่ายรูปของจงอินมันไม่ค่อยได้เรื่องเอาเสียเลย
ลำพังคนตามถ่ายอย่างเขาก็ไม่ได้นึกเหนื่อยอะไรเท่าไหร่ มองคนตัวเล็กที่คงจะสนุกและตื่นเต้นกับสถานที่สำคัญที่คนทั้งโลกอยากจะมาเห็นกับตาสักครั้งอย่างโกเดนเกตก็อดจะตามใจน้องไม่ได้ จงอินเลือกที่จะนั่งลงบนพื้นหญ้า ไม่ใช่ว่าเขาอยากหยุดถ่าย แต่จู่ๆโมเดลที่ยืนให้เขาถ่ายกลับวิ่งไปไกล เพียงเพราะมีเพื่อนใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่ทางโน้น เดาๆแล้วน่าจะห่างกันไม่น้อยเลย .. ทั้งขนาดตัว ทั้งอายุ
“วอทยัวร์เนม”
“I’m Harry!” เด็กชายตอบทันทีที่ถูกถาม
“I’m Sehun. How old are you? Oh wait wait.. let me guess.” (เซฮุนนะ อายุเท่าไหร่เหรอ เอ้ย เดี๋ยวๆ ให้พี่เดาก่อนดีกว่า)
“Yep!” ‘ – ‘ (อื้อ!)
“Six ?”
“No!” (‘ – ‘)
“How about five?”
“No..”
“Umm..If I lose this time, I’ll give you a candy. OK?” (ถ้าพี่แพ้ครั้งนี้ พี่จะให้ลูกอมเราเคป่ะ)
“...” (‘ – ‘) เด็กชายพยักหน้า
“One..”
ไม่มีทางที่คำตอบจะเป็นอย่างที่เขาพูดไปเมื่อสักครู่นี้ .. เซฮุนรู้อยู่แล้วว่าเด็กตัวแค่นี้คงไม่มีทางเกินสี่ขวบ และก็เป็นไปไม่ได้ที่เด็กขวบเดียวจะวิ่งปร๋อไล่จับเขาได้แบบก่อนหน้านี้เช่นกัน ลูกอมสีสวยกลิ่นกล้วยของเกาหลีที่เขาซื้อติดไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินทางมา ยังเหลืออยู่หลายแพคเพราะกลัวว่าจะหูอื้อตอนขึ้นเครื่อง หม่าม๊ายิ่งเลยซื้อให้เยอะกว่าเดิม เซฮุนหยิบมันออกมา แล้วยื่นให้เด็กชายแฮรี่ในวัยสามขวบทั้งหมดที่มี ถูกตามที่เขาคิดเอาไว้เป๊ะหลังจากที่เจ้าตัวเล็กเฉลยให้ฟังว่าตัวเองกี่ขวบ พอเห็นสิ่งล่อตาล่อใจตรงหน้าก็หยิบแคนดี้ในมือแล้ววิ่งไป ไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือบ๊ายบาย คนมองก็เลยยิ้มตอบกลับอย่างเอ็นดู .. แผนหลอกให้ขนมเด็ก(?)สำเร็จไปหนึ่ง และทุกอย่างมันก็ตกอยู่ในสายตาของคนมองอย่างคิมจงอินมาสักพักแล้ว
“...” กว่าเซฮุนจะยอมนั่งลงข้างๆกัน ก็คงจะพอๆกับที่เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเรียวได้รูป จนน้องต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีเหลืองผืนเดิมขึ้นมาซับ
“พี่ว่าพี่ถ่ายไม่สวย เซฮุนดูหน่อยว่าโอเคไหม” ส่งมือถือคืนให้เจ้าของ หวังจะให้น้องเลือกรูปว่าไม่ชอบรูปไหนบ้าง ถ้าอยากจะถ่ายใหม่ เขาก็ยินดีจะถ่ายให้.. และการที่โอเซฮุนเขยิบมาใกล้เขาไม่พอ ยังจะมาขโมยตักของเขาแทนหมอนใบนิ่ม คงจะไม่รู้สินะ ว่ากระดูกหน้าขาคนที่ยืนทำงานอย่างเชฟคิมคนนี้น่ะ มันแข็งจะตายไป
“ชอบหมดเลยครับ..”
“ทุกรูปเลย?” เซฮุนพยักหน้า เงยขึ้นมามองคนที่ยืมตักมาหนุนแล้วอมยิ้ม เก็บมือถือของตัวเองใส่กระเป๋า ไม่คิดจะสนใจว่าถ่ายไปกี่รูป มีภาพไหนที่เบลอหรือใช้ไม่ได้บ้าง ในเมื่อสำหรับโอเซฮุนแล้ว..ที่เขาอยากจะเก็บไว้ทุกรูปแบบนี้
“เพราะทุกรูป..เซฮุนยิ้มให้คนถ่ายครับ”
นั่นแหละ คือที่มาของ 'ภาพถ่ายที่สวยที่สุด ก็ตอนที่คนถูกถ่ายยิ้มให้คนกดชัตเตอร์' : )
- - - - - - - - - -
“รอนานหรือเปล่าครับ”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเป็นเอกลักษณ์ ก่อนเจ้าของใบหน้าหล่อปนหวานจะปรากฏสู่กรอบสายตายามเงยขึ้นไปมอง แบคฮยอนเผลอกำเสื้อตัวเอง ตามด้วยส่ายหน้าเป็นคำตอบสำหรับคำถามของคนตัวสูง
ถุงกระดาษสีน้ำตาล ข้างในบรรจุขนมบางอย่างที่ตั้งใจว่าจะเอาจากที่ร้านมาเผื่อ ยอมโดนหักค่าแรงไปห้าเหรียญ เพราะจะขอมาฟรีๆก็เกรงใจ ถึงลุงเจสันจะบอกว่าให้เอาไปกินกี่ชิ้นก็ได้ถ้าอยาก .. แต่ก็เป็นเพราะไม่ใช่เขาที่กินไง เลยไม่อยากจะเอามาฟรีๆ แลดูเสียมารยาทอ่ะคุณ
“คุณกินข้าวหรือยัง”
“เพิ่งจะกินกับเพื่อนมานิดหน่อยครับ แบคฮยอนหิวเหรอ”
“เปล่าครับ..ผมแค่เอามาฝาก” แบคฮยอนอ้ำอึ้ง “เก็บไว้หนึ่งคืน คงไม่เป็นไรนะคุณ เอามาตั้งแต่วันก่อน เพราะวันนี้ร้านปิด” ยื่นถุงขนมตรงหน้าให้ใครอีกคนอย่างเก้ๆกังๆ ชานยอลไม่ได้รับไปทันที และนั่นทำให้แบคฮยอนเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างคนเสียหน้า แถมคงไม่เห็นรอยยิ้มของคนตัวสูงคนนั้นด้วย .. ก็เขาบอกว่ากินข้าวมาแล้ว ยังจะเอาไปให้อีกหรือไงวะเอ๊อะ! (. _ .)
“ขอบคุณนะครับ”
แต่ก็เป็นเพราะเสียงๆนั้นดังขึ้นอีก พร้อมๆกับที่มือหนารับถุงขนมในมืออีกฝ่ายไป แบคฮยอนเลยยอมเงยหน้าขึ้นไปมอง และผมว่าผู้ชายตรงหน้าเขากำลังยิ้ม
การเจอกันในครั้งนี้ จะเรียกว่าเป็นการ ‘นัด’ ก็ไม่เชิง เพราะหลังจากที่เจอกันบ่อยขึ้นช่วงพักหลังมานี้ แถมรู้ว่าบ้านพักของเจ้าหน้าที่กงสุลอย่างปาร์คชานยอล อยู่ห่างกับหอพักของเขาเพียงไม่กี่เมตร เด็กป.โทอย่างบยอนแบคฮยอนเลยรวบรวมความกล้า เอ่ยปากชวนออกไปว่า ‘กลับบ้านด้วยกันไหมครับ ?’ ความด้านได้อายอดนี้ จะให้แม่รู้ไม่ได้เด็ดขาด แต่มันจะไม่อะไรหรอกคุณ ถ้าผู้ชายตัวสูงคนนั้นไม่ถามกลับมาว่า ‘งั้นขอเบอร์แบคฮยอนไว้เวลาติดต่อกันด้วยดีไหม ?’ ยังไงล่ะ ก็ให้สิครับ ไม่ต้องเล่นตัวมันอะไรทั้งนั้นอ่ะ = _ =
ส่วนวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน แค่แวะไปซื้อหนังสือเช่นเคย จะเปิดเทอมแล้ว นอนดูซีรีย์อย่างเดียวคงได้แต่บันเทิง วิชาการไม่มี เลยหาอะไรมาอ่านไม่ให้ลืมความรู้ในหัวก็ยังดีกว่าติดพระเอกแวมไพร์ว่ะคุณ สุดท้ายเลยนัดกับเขานั่นแหละ เลยได้มาเจอกันที่หน้าร้านหนังสือ ร้านเดียวกับที่เราเจอกันครั้งแรก
“คุณตัวเล็กจัง”
“หื้ม..” หันหน้าไปหาคนที่เดินอยู่ข้างๆ แต่ชานยอลกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มปนเสียงขำ สายตาของผู้ชายคนนั้น มองมาที่หัวเขา จนแบคฮยอนเริ่มไม่มั่นใจว่ามีอะไรติดอยู่หรือเปล่า
เออรู้ละ .. จะสื่อว่าหัวผมอยู่แค่ไหล่เขาไง แม่ง . _ .
“โถ่คุณ ก็เกิดมาก็เป็นแบบนี้นี่หน่า ความจริงผมอาจจะสูงตามมาตรฐานก็ได้ แต่คุณน่ะ..สูงเกินไปแล้ว คุณชานยอล”
ร่ายยาวพลางเบ้หน้าใส่คนข้างๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเขาที่ผิดเสียอย่างนั้นสินะ และปาร์คชานยอลคงจะไม่ไปหาข้อมูลว่ามาตรฐานผู้ชายเกาหลีสูงกันเท่าไหร่ ในเมื่อคนตัวเล็กอย่างบยอนแบคฮยอน เหมาะจะตัวเท่านั้น สูงเท่าไหล่เขาน่ะถูกต้องแล้ว
“อย่างน้อยก็ช่วยคนตัวเล็กอย่างคุณหยิบหนังสือบนที่สูงๆได้นะ” : )
ประมวลผลกับคำพูดไปกี่วินาทีแบคฮยอนเองก็คงไม่ได้นับ รู้แค่ว่า ภาพวันเก่าที่เราเจอกันครั้งนั้นมันย้อนเข้ามาในหัวอย่างอัตโนมัติ อย่ามายิ้มแบบนั้นได้ไหมล่ะ .. แต่เออ ถึงจะยิ้มมากกว่านี้ผมก็คงไม่ไล่คุณกลับบ้านไปหรอก
“เอาซะผมไปไม่ถูกเลยนะ..” ยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ
“คุณเขิน?” แหนะ พี่เขาหยอดว่ะเฮ้ย T v T
“อย่าพูดมั่วๆนะคุณ ผมเสียหายนะ” (. _ .)
“ก็แค่บอกว่าไม่..ก็จะไม่พูดอีกครับ”
“อืม..มะ..ไม่..อ่ะ” ไม่เล้ย = _ =
“โอเค”
จะหยุดยิ้มได้ยังล่ะ คำว่าโอเคนี่โคตรไม่โอเคสำหรับผมเลยคุณ อยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่มือนี่จิกเสื้อตัวเองจนแทบขาดแล้ว อยู่นี่ต้องประหยัดนะเว้ย ไม่อยากเสียเงินซื้อเสื้อใหม่ แล้วปาร์คชานยอลนี่เป็นเตาอบเหรอ ทำไมเจอกันทีไรต้องเหงื่อแตกเป็นโอ่งขนาดนี้
เป็นเรื่องดีที่รถรางไม่ได้มีคนขึ้นเยอะจนต้องเบียดแบบวันก่อนๆ ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็หยุดอยู่ที่เดิมที่จะลงทุกครั้ง ฟ้ามืดเร็วกว่าเดิม เพราะดูเหมือนว่าฝนหลงฤดูจะตกอีกทีในคืนนี้ แต่ตกตอนกลางคืน ก็ยังได้นอนหลับสบายๆ ดีกว่าตอนออกไปทำงานที่มันแฉะจนน่าหงุดหงิด
“ไม่ต้องเดินไปส่งผมก็ได้คุณ มันค่อนข้างลึกน่ะ” แบคฮยอนยิ้มแห้งๆ
“ก็เพราะว่าลึกไงครับ เลยต้องเดินไปกับคุณ” ตอบกลับมาอย่างไม่ต้องคิด ทำเอาคนฟังหยิบหาเหตุผลมาอ้างต่อไม่ถูก
“แต่ครั้งก่อนผมยังเดินไปคนเดียวได้เลยนะ”
“เลยรู้ว่าครั้งนี้จะปล่อยให้คุณเดินไปคนเดียวแบบนั้นไม่ได้อีก”
โอเค .. ยอมพี่เขาแล้ว ไม่เถียงแล้วก็ได้ไง ถ้าจะเล่นไม้ตายด้วยประโยคแบบนี้ ยอมตั้งแต่จะอ้าปากพูดแล้วเว้ยคุณ แต่ก็แค่เกรงใจ แถมเกร็งแก้ม เวลามันมีคนอย่างคุณมาเดินด้วยข้างๆเนี่ยแหละ
“ถ้าฝนตกขึ้นมาแล้วไม่ได้กลับบ้าน ผมไม่รู้ด้วยนะคุณ” แบคฮยอนเบ้ปากกลบเกลื่อน
“นึกว่าคุณจะบอกว่าให้ผมอยู่ต่อก่อนซะอีก” : )
“...” จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม
“...”
“แบบนั้นคงต้องค้างที่ห้องผมแล้วล่ะ”
เจอพี่เขาเล่นมา จะมัวอายอะไรล่ะครับ (หน้าแดงเพราะแพ้อากาศเฉยๆ)
- - - - - - - - - -
เพราะความแตกต่าง คือช่องโหว่เพื่อรอให้คุณมาเติมเต็ม : )
ถนนเส้นเล็กถูกใช้เป็นทางลัดเดินกลับบ้านหลังจากที่ลงจากรถบัส จงอินเลือกจะใช้เส้นทางนี้เพราะมันไม่ได้มืดและเปลี่ยวจนเกินไป ยังพอมีบ้านคนที่พอจะรู้จักเห็นหน้าค่าตาอยู่บ้างตามประสาคนในละแวกเดียวกัน .. ที่ไม่ได้เอารถไปเพราะน้องบอกอยากจะนั่งรถรางตั้งนานแล้ว เขาเองก็ไม่คิดขัด ตอนไปก็ตื่นเต้นอยู่หรอก พอตอนขากลับมีเสียงบ่นว่าเมื่อยได้ยังไงก็ไม่รู้แหนะ
"พี่ไค.."
"หื้ม?"
"เซฮุนเหมือนลูกเจี๊ยบเหรอครับ"
รอฟังว่าน้องจะพูดอะไรจนกระทั่งได้ยินประโยคคำถามดังกล่าวเลยหลุดขำ เงยหน้าขึ้นมามองคนข้างๆโดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็ถูกแซวว่าเป็นเพื่อนตระกูลเดียวกันกับหงส์ ตอนแวะไปเที่ยวที่ Palace of Fine Arts ก่อนฟ้าจะมืด แกล้งแหย่แกล้งแซวว่าเซฮุนคุยกับหงส์ได้เพราะลูกเจี๊ยบกับลูกหงส์ที่ลอยตามแม่อยู่ข้างหลังมันเป็นเพื่อนเราใช่ไหม นั่นแหละ โดนทำหน้างอใส่ไปทีก่อนจะกลับ
"ไม่เห็นมีใครบอกว่าเหมือนเลย.." เซฮุนพูดต่อ
"ไม่ดีเหรอ?" เขายิ้ม
"..."
"ให้พี่เรียกแค่คนเดียว ไม่ใช่ใครก็เรียกได้" : )
และเด็กช่างพูดเงียบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ทำได้เพียงแค่เม้มปากตัวเองอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าไม่อยากให้ใครเรียกเขาว่า ‘ลูกเจี๊ยบ’ เพิ่มอีกแล้ว หรือเป็นเพราะอยากให้พี่ไคเรียกชื่อนั้นได้คนเดียว
เราเดินกันมาเกือบจะถึงบ้าน แต่ก็ยังไม่ถึงเสียที ฟ้ามืดลงพร้อมกับอุณหภูมิที่ต่ำลงด้วยเช่นกัน มือข้างหนึ่งของเจ้าของกายสีน้ำผึ้งล้วงกระเป๋ากางเกงแบบที่ชอบทำ คิดเถียงอยู่ในใจว่าจะทำยังไงดีให้เซฮุนหายเมื่อย ระหว่างนั่งพัก กับเดินจับมือกันอีกสักหน่อยก็จะถึงบ้าน
“จับมือพี่ไหม ?” และนั่นคือสิ่งที่จงอินเลือก “จะได้หายเมื่อย”
โอเซฮุนไม่คิดถามว่าจับมือกับหายเมื่อยมันเกี่ยวอะไรกันด้วย น้องไม่ปล่อยให้รอนาน ยื่นมือข้างที่อยู่ใกล้กันมาจับมือของเขาที่ยื่นรอไว้อยู่แล้ว .. มือเซฮุนยังนิ่มเหมือนเดิม นิ่มเหมือนวันนั้นในตู้โทรศัพท์ แล้วความรู้สึกในครั้งแรกมันก็เริ่มกลับเข้ามาเล่นงานในอกอีกครั้ง ก้อนเนื้อไม่รักดี เต้นดังขนาดนี้คนข้างๆได้ยิน ใครจะรับผิดชอบ .. ไม่อยากปล่อย ไม่อยากให้ถึงบ้าน อยากเดินจับมือกันไปแบบนี้เรื่อยๆ จะให้น้องบ่นว่าเมื่อยเป็นล้านคำก็ได้
“...” จากที่จับมือกันปกติ อะไรสักอย่างก็สะกิดต่อมความกล้าให้ฝ่ามือหนาเปลี่ยนเป็นสอดประสานกับมือบางนุ่มนั้นอย่างช้าๆ และน้องก็ไม่ได้ขัด ติดจะออกแรงกุมกันมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
“คุณอาชอบกินขนมอะไรครับ” เด็กช่างเจื้อยแจ้วไม่ปล่อยให้ความเงียบเข้าเกาะกุม เอ่ยถามสารพัด และคราวนี้เป็นหัวข้อของคุณอาเจสัน เพราะก่อนหน้านั้นจงอินบอกกับเขาว่าอีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันเกิดพ่อแล้ว
“ไม่เห็นว่าจะชอบอะไรเป็นพิเศษ เพราะพ่อกินเก่งทุกอย่าง” จงอินหัวเราะ
“แล้วพี่ไคล่ะครับ ชอบอะไร”
“พี่เหรอ” เหลือบตามองคนเป็นน้องที่เงยหน้าถามเขา ถ้าจะบอกว่าเชฟอย่างคิมจงอินยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบขนมอะไรเป็นพิเศษคงจะแปลกอยู่เอาการ ทว่าคนทำที่เอียนกับกลิ่นและส่วนผสมที่ต้องเจอก่อนจะได้เป็นขนมหนึ่งชิ้นทุกๆวันแบบนี้คงจะเลือกยากน่าดู
“คาราเมล?” ตอบอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่พอนึกถึงเจ้าน้ำตาลที่ถูกละลายเป็นน้ำเชื่อมสีข้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทั้งหอมและหวาน น่าลิ้มลองตั้งแต่ได้ยินชื่อน่ารักๆแบบนั้นแล้ว ทว่าโอเซฮุนกลับเบ้ปาก ยามนึกถึงเจ้าคาราเมลที่ว่า ก็อยากจะแหวะตั้งแต่ได้ยินชื่อ เขาจะตักมันออกทุกครั้งถ้าขนมชิ้นนั้นมีส่วนผสมของมัน เลือกได้ก็จะไม่สั่ง แต่ถ้ามีช็อคโกแลตอยู่มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นก็ไม่แน่
“เซฮุนไม่เห็นชอบเลย ช็อคโกแลตอร่อยกว่าอีก” ถามเขา แต่พอเขาตอบก็บอกว่าช็อคโกแลตอร่อยกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ เชื่อแล้วว่าน้องชอบช็อคโกแลต เห็นอยากกินอะไรก็สั่งที่มีแต่ช็อคโกแลต
“แบบนั้นพี่จะได้ไม่แย่งเซฮุนกินไง”
ผมชอบคาราเมล ส่วนคุณชอบช็อคโกแลต
ถ้ามีเค้กช็อคโกแลตคาราเมลหนึ่งชิ้น
เค้กชิ้นนั้นของผมจะไม่เหลือช็อคโกแลต
เค้กชิ้นนั้นของคุณก็จะไม่เหลือคาราเมล
ผมเรียกมันว่าความแตกต่าง .. ที่เติมเต็ม : )
- - - - - - - - - -
หากย้อนกลับไปเมื่อตอนกลางวันระหว่างวีดีโอคอลกับคุณน้าชินฮเยได้ สาบานว่าคิมจงอินจะขอถอนคำพูดที่ว่า น้องไม่ดื้อ ให้กลายเป็นคนที่ดื้อมากๆมันเดี๋ยวนี้เลย .. คิดอยู่แล้วเชียว ว่าที่เดินขากะเผลกคงไม่ใช่แค่เมื่อย น้องมีท่าทางแปลกไป ยิ่งพอถึงบ้าน ก็แทบจะหาที่นั่งทรุดลงมันตรงนั้น พร้อมยิ้มแห้งๆให้เขา เห็นแบบนั้นเลยถามว่าน้องเจ็บอะไรตรงไหนหรือเปล่า คนตัวผอมเอาแต่ส่ายหน้า แต่แล้วยังไง เด็กมีพิรุธมีหรือจะรอดพ้นคนจับผิดเก่งอย่างเขา แล้วทุกอย่างก็เฉลยเมื่อตอนที่น้องอาบน้ำเสร็จแล้วเดินงอแงมาหาเขาถึงห้อง เพราะคงจะแสบไม่ไหวตอนที่อาบน้ำ มันจะไม่อะไรเลยถ้าเด็กดื้อปล่อยให้ตัวเองโดนรองเท้ากัด .. จนเลือดออก
"ยื่นเท้ามาให้พี่เดี๋ยวนี้"
"พี่ไค เซฮุนติดพาสเตอร์ก็หายแล้ว" ยังจะดึงดันที่จะนั่งอยู่เฉยๆไม่ยอมให้เขาทำแผลให้ จงอินนั่งยองๆลงข้างหน้า เงยมองเด็กตัวผอมที่นั่งหน้างออยู่ปลายเตียง
"น้องดื้อ"
"เซฮุนแสบครับ.."
"น้องดื้อ .. ถ้าปล่อยไว้แบบนี้จะยิ่งแสบ รู้หรือเปล่า"
"..." ไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น มองเขาตาแป๋วราวกับจะขอให้อีกฝ่ายนึกสงสาร ราวกับรู้ว่าคิมจงอินแพ้สายตาแบบนี้
"ขอพี่ดูหน่อย" เงยหน้ามองคนตัวผอม ไม่อยากจะดุไปมากกว่านี้เลยได้แต่พูดปลอบเบาๆ หวังแค่ให้น้องยื่นเท้ามาให้ดูว่าหนังทีโดนรองเท้าสีจนเลือดออกแบบนั้นมันใหญ่หรือเล็กแค่ไหน สุดท้ายก็ยอมให้จับข้อเท้ามาวางไว้บนตักของตัวเอง
"วันหลังเซฮุนต้องบอกพี่ เข้าใจไหม"
"..." รีบพยักหน้าทันที ทำทุกอย่างที่พอจะไม่ให้อีกฝ่ายจับเขาทายาแสบๆแบบนั้น แต่ก็หนีไม่พ้น จงอินจับมือน้องไว้ กระซิบเบาๆว่ามันไม่แสบ ถึงจะโกหกแต่น้องก็เชื่อเสียสนิท เขาไม่ได้ใช้เวลานาน หวังเพียงแค่จะใส่ยาค่าเชื้อโรคให้ก็เท่านั้น แถมยังเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นแบบนี้ก็อดสงสารไม่ไหว อยากจะจับเด็กดื้อมากอดเสียให้จมอก และก็จบด้วยการติดพาสเตอร์ลายน่ารักให้ที่ข้อเท้า ถึงจะหยุดงอแง
ก่อนหน้านั้นพ่อโทรมาหา ถามว่าวันนี้เป็นยังไงกันบ้าง เลยเล่าไปคร่าวๆ ยังไม่ลืมที่จะย้ำว่าให้ดูแลเซฮุนให้ดี หาข้าวหาปลาให้กินทุกมื้อ แต่ถ้ารู้ว่าเขาปล่อยให้น้องมีแผลแบบนี้ คงจะโดนบ่นไม่น้อยเลย
กว่าจะพากันไปนอน หรือจะพูดให้ถูกก็คือพาน้องกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง ก็ปาเข้าไปจนดึกจนมืด .. ห้องเซฮุนเรียบร้อย สะอาด ไม่ต่างอะไรกับคนอยู่ กลิ่นหอมที่คงจะเป็นกลิ่นประจำตัวของกายผอม ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เหยียบย่ำเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมเล็กห้องนั้น นึกไม่ออกแล้วว่าก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงห้องว่างเปล่าๆที่คงจะไม่น่าอยู่ และไม่มีใครเคยอยู่จนเกือบจะใช้เป็นห้องเก็บของเสียด้วยซ้ำ
“พี่ไคครับเดี๋ยวก่อน..”
“ว่าไง”
“เซฮุนให้”
ทำท่าจะเดินออกจากห้องแต่กลับถูกเรียกด้วยเสียงๆเดิม หันไปเจอลูกเจี๊ยบยืนยิ้มให้เขาด้วยดวงตาหยีๆ กับกระดาษหนึ่งแผ่นที่ส่งมาให้ตรงหน้า และก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่ามันคือภาพวาดของเด็กสถาปัตย์คนนี้
ภาพสเก็ตของมาการองที่เจ้าตัวเพิ่งกินไปเมื่อวานถูกวาดขึ้นมาด้วยดินสอไม้ เซฮุนเก็บรายละเอียดแม้กระทั่งรอยกัดที่ถูกงับไปครึ่งนึงของชิ้นที่วางทับอยู่ทางด้านขวา สวยไม่ต่างกับภาพแรกที่ให้เขาเลยสักนิด ยืนมองภาพนั้นยิ้มๆสลับกับมองหน้าเจ้าของผลงาน ประหม่าจนไม่กล้าจะพูดแม้กระทั่งคำว่าขอบคุณออกไปในตอนนี้ เหลือบตามองลายเซ็นของคนวาด และคนรับซึ่งเป็นเขาที่ถือมันอยู่ ‘โอเซฮุน ถึง คิมจงอิน’
“นี่..”
“ค..ครับ”
“จะน่ารักทำไมเยอะแยะ” หลุดพูดออกมา ทั้งที่มันควรจะเป็นคำว่าขอบคุณ
“จะน่ารักจนกว่าพี่ไคจะบอกให้หยุดครับ”
แต่คนซื่อบื้อก็ตอบกลับทันที โดยที่ไม่รู้ตัวเสียเลยว่านั่นมันไม่ใช่ประโยคคำถาม หากแต่เป็นเพียงประโยคบอกเล่าหลอกชมคนน่ารักของคนฟอร์มจัดก็เท่านั้นแหละ
ไม่พูดเปล่ายังจะขยับเข้ามาหาเขาหนึ่งก้าว ระยะห่างของเรามันเลยลดลงพอๆกับการที่ไม่มีที่ว่างให้ใครได้แทรกตรงกลาง น้องยิ้มจนตาหยีแข่งกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า คงจะไม่รู้ว่ายิ่งเข้าใกล้มาแบบนี้ก็ยิ่งอันตรายต่ออัตราการเต้นของก้อนเนื้อในช่องอกด้านซ้ายของเขานัก สุดท้ายมือข้างหนึ่งเลยเลือกที่จะยกขึ้นมาจิ้มหน้าผากคนเป็นน้องเบาๆ ย้ำให้รู้ว่าที่ทำอยู่เนี่ย .. จะน่ารักเรี่ยราดเกินไปแล้ว
“งั้นก็ไม่ต้องหยุดเลยแล้วกัน..”
“...”
“น่ารักไปจนกว่าพี่จะชอบ”
เพราะอีกนิด .. พี่จะชอบแล้ว : )
- - - - - - - - - -
ฝ่าเท้าเล็กก้าวเดินตามเส้นทางฟุตบาท เอวคอดทิ้งน้ำหนักลงไปยังปลายเท้าอย่างสม่ำเสมอ พลางหัวใจดวงน้อยก็เต้นตึกตักกับบรรยากาศแปลกใหม่ชวนให้ตื่นเต้นกับวันแรกของการเปิดภาคเรียนที่มหาลัยชื่อดังในนครซานฟราน .. สายตากวาดมองผู้คนโดยรอบ มันช่างแตกต่างกับตอนที่เขาอยู่เกาหลีอย่างสิ้นเชิง เสียงพูดคุยดังปะปนกันเป็นหลากหลายภาษาจนเขาฟังแทบไม่ทัน เพราะไม่ใช่คนเชื้อสายอเมริกันที่ใช้ภาษาโลกอย่างอังกฤษเพียงอย่างเดียวที่เข้ามาศึกษาต่อที่นี่ ยังมีคนอีกหลายสัญชาติ รวมถึงโอเซฮุนไปด้วยอีกหนึ่งคน
กระเป๋าใบไม่เล็กไม่ใหญ่บรรจุหนังสือเรียนสำหรับการเปิดเทอมวันแรก พร้อมกระดานเขียนแบบและกระเป๋าสำหรับใส่เครื่องเขียนเฉพาะสำหรับคนเรียนสถาปัตยกรรมเอาไว้จนมือสองข้างแทบจะไม่ว่างให้ทำอย่างอื่น วันแรกก็แบบนี้ ใครๆก็ตื่นเต้นไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเตรียมอะไรมาบ้าง เลยเอามันมาเกือบจะหมดเสียทุกอย่าง
'ปัก!'
หากแต่โชคไม่เข้าข้าง กลั่นแกล้งเด็กที่หอบข้าวของด้วยความยากลำบากได้อย่างน่าสงสาร โดยการส่งใครบางคนที่ดูท่าจะรีบร้อนแถมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ชนเขาเข้าอย่างจังจนกระดานเขียนแบบมันหล่นลงกับพื้น
"S..Sorry!" เซฮุนตกใจ และพูดขอโทษออกมาทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกชน และเป็นใครอีกคนที่รีบก้มลงช่วยเขาเก็บของเหล่านั้นแทบจะทันที
"เฮ้ย No no! I have to say that ดิ" สุ้มเสียงเล็กพูดขึ้น ทว่าไม่ทันที่จะพูดออกไปว่าซอรี่ หรืออะไรสักอย่างที่จะสามารถไถ่โทษที่ตัวเองรีบจนเดินไม่ดูเลยชนคนอื่นเขาแบบนี้ เด็กชายดังกล่าวเงยหน้าเงยหน้าขึ้นมามองคนตัวผอม และจากมองก็กลายเป็นจ้องใกล้ๆอยู่ราวๆห้าวินาที โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา อาจเป็นเพราะไม่แน่ใจกับเค้าโครงใบหน้าที่เปลี่ยนไปของคนที่คิดว่าอาจจะเป็น 'เพื่อน' ในวัยเด็ก จนกระทั่ง..
"นี่มัน..น้องฮุนผ้าเช็ดหน้า"
"..." (•___•)
โอเซฮุนเด็กหัวช้า ได้แต่กระพริบตาปริบๆ อ้าปากค้างมองคนที่เรียกเขาด้วยสรรพนามแปลกหูแบบนั้น รู้สึกเหมือนมีกล่องควันลอยขึ้นอยู่บนหัว ฉายภาพวันเก่าเหมือนในการ์ตูน หากแต่มันกลับได้ผล เมื่อนิ้วชี้ยกขึ้นชี้หน้าคนที่เพิ่งจะชนเขาล้มลงกับพื้น และ..
"นาย.."
"..."
"คิมมินซอก!"
"อืม" (- _ -)
โอเซฮุน อนุบาลสองห้องกล้วยหอม และ คิมมินซอกห้องแอปเปิ้ล สวัสดีฮะ
.
.
TBC
- - - - - - - - - -
กลับมาล้าว ขอโทษที่หายไปนานข่า ฮรึก T v T
อาทิตย์ที่ผ่านมา ค่อนข้างมรสุม ถึงเราจะเริงระบำในทวิต แต่จริงๆแล้วงานท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ฮ่า
พยายามปั่นอยู่ทุกวันค่ะ แต่มีบางพาร์ทไม่โอก็เลยเขียนใหม่ หายไปตั้งสิบเอ็ดวันไม่ขาดไม่เกิน
จะพยายามอัพบ่อยๆนะคะ ไม่ทิ้ง 'น้องดื้อ' ของพี่ไคไว้เฉยๆแน่นอน จงน่ารักกับพี่เขาต่อไปย่ะ โอเซฮุน
กำลังใจสำคัญมาก ! แฮ่ะ.. (. _ .)
#ฟิคเบคอะวิช
ความคิดเห็น