ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) BAKE A WISH - KAIHUN ft. EXO

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 : หรือความน่ารักของคุณมาพร้อมกับฝน

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.ย. 58








     

    CHAPTER 2

     

     

     

     

    โลกใบนี้มันกว้างเกินกว่าที่จะเหวี่ยงเราสองคนมาเจอกันบ่อยๆ

    เพราะฉะนั้นมันคงไม่แปลกที่ผมจะชอบคุณไปตั้งแต่แรก : )

     

     

     

                เวลาหมุนผ่านไปตามการโคจรของโลก เปลี่ยนกลางวันให้เป็นกลางคืน ดวงจันทร์ขึ้นแทนดวงอาทิตย์ ส่องสว่างพอให้เห็นความสวยงามบนท้องฟ้าที่มืดสนิท หากแต่บรรยากาศรอบข้างกลับไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิด แสงไฟจากตึกต่างๆส่องให้เห็นความสวยงามรอบเมือง ผู้คนสัญจรไปมาตามปกติราวกับว่าเมืองนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับกลางวัน โดยเฉพาะตามจุดท่องเที่ยวหรือตลาดกลางคืนที่เปิดจนเกือบจะเช้า

     

                "..."

                แบคฮยอนเอามือล้วงกระเป๋า หยิบกล่องหมากฝรั่งรสมินท์ที่พกไว้ติดตัวเทออกมาหนึ่งเม็ดแล้วโยนเข้าปากอย่างเคยชิน ตั้งแต่จำความได้ ก็ติดหมากฝรั่งมาตั้งแต่สมัยม.ต้น ไม่รู้ว่าเป็นพวกพูดเก่งตลอดเวลาหรือเปล่า พอไม่มีใครให้พูดแบบนี้ก็เลยต้องหาอะไรทำให้ปากขยับเสียหน่อย

                ป้ายรถโดยสารมีผู้คนรออยู่จำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่มากจนแออัด เขากำลังรอรถลาง เพื่อขึ้นกลับไปยังที่พัก ให้เดินทางเท้าไปก็เมื่อยเอาการ แต่ถ้านั่งรถ ก็แค่แปปเดียวเท่านั้น.. วินาทีที่เจ้ารถลางมาถึง แทนที่ขาเล็กควรจะก้าวขึ้นไปอย่างที่เป็น กลับถูกตรึงอยู่กับพื้นร่วมหลายวิ เมื่อสายตาพลันสะดุดเข้ากับใครบางคนที่กำลังเดินมาหวังจะขึ้นเช่นกัน

     

                "Excuse me"

                ได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นขอทางจากข้างหลัง โลกที่หยุดหมุนของแบคฮยอนก่อนหน้านั้นเลยกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ผู้คนที่รีบร้อนต่างเริ่มเบียดแทรกเข้ามาจนทำเอาคนเอเชียที่ตัวเล็กอยู่เป็นทุนเดิม แถมความสูงที่ก็ไม่ได้มากอย่างเขา หลุดหายเข้าไปจนแทบจะมองไม่เห็น

     

                แล้วก็โดนเบียดให้ขึ้นมายืนอยู่ข้าง 'เขา' จนได้ ..

     

                "..." ได้แต่เม้มปากไม่กล้าเงยหน้า แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะทักออกไปว่า 'อ้าว เจอกันอีกแล้วนะคุณ' และคำถามอีกมากมายที่อยากจะชวนคุยให้สนิทกว่านี้แต่กลับไม่กล้าอ้าปากพูดมันสักประโยค

     

                "เจอกันอีกแล้วนะครับ"

     

                "..."

     

                ก็แล้วทำไม 'ปาร์คชานยอล' ต้องทำตัวเหมือนได้ยินเสียงในหัวเขาขนาดนั้น - _ -

     

                "ค..ครับ บังเอิญมาก"

                ตอบออกไปอย่างสิ้นคิดที่สุดเท่าที่แบคฮยอนคนนึงจะทำได้ .. รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่เริ่มซึมอยู่ข้างขมับ หรือเป็นเพราะคนบนรถลางวันนี้มันเยอะเกินไป เลยเบียดกันจนไม่มีอากาศผ่านขนาดนี้ .. หลังจากเสียงทุ้มต่ำของใครคนนั้นเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาก่อน แบคฮยอนแทบกลืนหมากฝรั่งลงคอมันเสียตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด เพราะอาจจะดูเสียมารยาท ถ้าให้เคี้ยวไปด้วยพูดไปด้วย

     

                "คุณอยู่แถวไหนเหรอครับ" ชานยอลถาม

     

                "อพาร์ทเม้นท์นักศึกษาข้างหน้านี้แหละครับ อีกไม่เกินสองนาที" ตอบออกไปตามความจริงว่าอีกไม่กี่นาทีก็ลงแล้ว เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับเลยคิดว่าคงจะจบบทสนทนากันแค่นั้น ทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับใช้โอกาสนี้ถามกลับบ้าง

     

                "วันนี้งานเยอะเหรอครับ ปกติคุณกลับช่วงเย็น" เป็นเพราะก่อนหน้านั้น เราเจอกันในเวลาที่ฟ้ายังไม่มืด เขาเลยถามออกไปตามความสงสัย

     

                "ครับ..วันนี้มีคนเกาหลีมาติดต่อเรื่องวีซ่ากันเยอะกว่าปกติ"

                ชานยอลยิ้ม .. ผู้ชายตัวสูง รูปร่างดีดูมีชาติตระกูลแบบนั้น สมแล้วกับการที่ได้ทำงานเป็น 'เจ้าหน้าที่กงสุล' ถึงจะเคยคิดว่าอยากเป็นนักการทูตไม่ก็ทำงานในสถานกงสุลเล็กๆตามเมืองที่ใฝ่ฝันเอาไว้คงจะดีไม่น้อย แต่ไอ่เขามันก็แค่เด็กบัญชีป.โท ที่คิดเรื่องตัวเลขอย่างเดียวก็ปวดหัวจะแย่

     

                "อ่า.." เม้มปากครุ่นคิดพลางส่งเสียงออกมาในลำคอ เวลาอีกไม่ถึงสองนาทีที่จะต้องกลับไปคนละทิศละทาง และมันคงไม่ง่ายที่จะบังเอิญเจอคนที่เลิกงานไม่ตรงเวลาแบบนี้หรอก

     

                "สู้ๆนะครับคุณ" แล้วก็ได้แต่พูดออกไปเพียงเท่านั้น บ้าเอ๊ย..พูดได้ดีแค่นี้จริงๆใช่ไหมวะกูเนี่ย : (

     

                "แบคฮยอนก็จะเปิดเทอมแล้วนี่ครับ..เด็กป.โทอย่างคุณคงเหนื่อยแย่"

     

                "ม..ไม่หรอกครับ" คนตัวเล็กยิ้มแห้งๆ "คุณต่างหาก ที่ต้องทำงานหนัก ดูแลคนเกาหลีในเมืองนี้ตั้งเยอะ"

     

                "ฮ่าๆ..งั้นคุณก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ผมต้องดูแลด้วยไงครับ"

     

                "..." มึงหยุดเหงื่อออกเดี๋ยวนี้นะกูขอร้อง (* _)

     

                "..." เงียบ

     

                "..." และเงียบ

     

                "ผ..ผมต้องลงแล้วล่ะครับ ไว้เจอกันนะ"

                สูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเหมือนจะตายกับประโยคก่อนหน้านั้น และเป็นความโชคดีที่รถลางเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ที่หมายทางเดิมที่เขาต้องลงประจำ แบคฮยอนถือโอกาสนี้บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย บางทีพอไม่ได้เห็นหน้าเขา ก็อาจจะช่วยให้อาการเหงื่อแตกมันหายไปก็ได้ไหมวะ

     

                แต่ก็ไม่อยากจะให้มันถึงเร็วแบบนี้หรอก ..

     

                "..."

                ไม่ได้หันกลับไปมองว่าผู้ชายคนนั้นจะยิ้มลาเขาแบบครั้งแรกที่เจอกันในร้านหนังสือหรือเปล่า ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนั่นตอบรับว่า 'ครับ' เพียงสั้นๆ แล้วไอ่เขาเองก็ไม่ใช่คนพูดน้อยแบบนั้นเสียหน่อย .. ครั้งนี้เป็นเพราะเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ หรือเป็นเพราะเจอเขาเล่นประโยคไม้ตายแบบนั้นใส่กันแน่ ถึงได้กลายเป็นไอ้งั่งพูดน้อยยืนเหงื่อแตกแบบนั้นอ่ะ (. _ .)

                รู้แค่ว่า..คุณชานยอลก็ยังคงทำให้ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายเขาเต้นแรงได้เสมอต้นเสมอปลาย เหมือนตอนที่เจ้าของใบหน้าหล่อปนหวานคนนั้นช่วยหยิบหนังสือบนชั้นสูงๆให้ และก็มีโอกาสได้พูดคุยตามประสาคนบ้านเกิดเดียวกัน

                วันนั้นผมบังเอิญเจอเขา .. และก็ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งในวันนี้

     

                ไล่ความคิดวุ่นวายออกจากหัว เวลาแบบนี้ควรจะกลับที่พักไปนอนกินป๊อปคอร์นดูซีรีย์แวมไพร์ที่เมื่อคืนดูค้างไว้ให้จบซะ .. แบคฮยอนเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า เดินย่ำไปตามฟุตบาททางกลับไปอพาร์ทเม้นท์นักศึกษาที่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ก่อนจะเดินผ่านร้านคุณลุงที่ขายโดนัททอดโรยเกล็ดน้ำตาลก็อยากจะอุดหนุนอยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าจุกกับขนมไอ้จงอินมาทั้งวันแล้ว

     

                "..!!"

                แต่คุณรู้ไหม .. ว่าทำไมขาทั้งสองข้างมันถึงไม่เดินต่อ

     

                ก็เพราะผู้ชายคนที่เพิ่งจะจากกันไม่ถึงห้านาทีคนนั้นน่ะ .. เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

     

                "ค..คุณ .. ยังไม่ถึงไม่ใช่เหรอครับ"

                พยายามรวบรวมน้ำเสียงไม่ให้ดูตกใจหรือประหม่ามากพอที่อาจจะทำให้อีกคนหัวเราะกับท่าทางเก้ๆกังๆของตัวเองในตอนนี้ คนถูกถามไม่ได้ตอบในทันที มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ชแบบที่ชอบทำ ส่วนอีกข้างถือกระเป๋าหนังสีดำเข้มเข้ากับชุด

     

                "ตอนแรกก็ว่าจะนั่งต่อไปอีกนิด.." เขายิ้ม

     

                "..."

     

                "แต่พอเห็นคุณเดินคนเดียวก็เลยเปลี่ยนใจมาเดินด้วยกัน..ดีไหมครับ ?" และเขาก็ยิ้ม

     

                : )

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

                รถกระบะคันเก่งของคิมเจสัน เคลื่อนตัวออกจากรั้วมหาลัยชื่อดังในนครซานฟราน ที่มีคนเอเชียศึกษาเป็นจำนวนกว่าสามสิบเปอร์เซ็นของที่นี่ และแน่นอนว่าโอเซฮุนเป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับเพื่อนสนิทของคนเป็นแม่อย่างคุณอาเจสันที่มาเรียนต่อโททางด้านธุรกิจจากที่นี่เหมือนกัน

                การตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อซ้อมพูดกับตัวเองหน้ากระจกเพื่อผ่อนคลายความประหม่าตอนพบอาจารย์คณะไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยโอเซฮุนก็ไม่ได้ตะกุกตะกัก งุ่มง่ามอย่างที่คิดเอาไว้ และดูเหมือนว่าจะทำได้ดี เมื่อกลายเป็นว่า เจ้าตัวเข้ากับอาจารย์ที่ปรึกษาได้อย่างง่ายดาย

                อีกไม่กี่วันก็จะเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการ อย่างน้อยได้พบแอดไวเซอร์เพื่อแนะนำระบบการเรียนการสอนของที่นี่ ก็ดีกว่าเข้าไปนั่งเรียนทั้งที่ไม่รู้กฏระเบียบอะไรเลย โดยเฉพาะกับคนที่ค่อนข้างจะหัวช้าอย่างโอเซฮุนน่ะนะ

     

                "เซฮุนหิวไหมครับลูก"

     

                "ไม่เลยครับ" คนถูกถามส่ายหน้า "ผมยังอิ่มมื้อเที่ยงที่คุณอาเตรียมไว้ให้อยู่เลย"

                เด็กชายยิ้มตาหยี พลางลูบท้องตัวเองประกอบท่าทางน่ารักๆ ก่อนหน้านั้นคิมเจสันเป็นฝ่ายพาเขามาที่มหาลัย จัดหาข้าวปลาให้กินอย่างกับพาเด็กประถมมามอบตัวเข้าเรียนอย่างไรอย่างนั้น แต่ถ้าจะปล่อยให้โอเซฮุนไปเพียงลำพังทั้งที่ไม่คุ้นชินกับเส้นทางคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ถ้าไม่ติดว่าจงอินต้องทำขนม ก็คงจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกชายที่ต้องพาน้องมา

     

                "เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจะเก็บองุ่นจากไร่มาให้เราชิม เพราะดูท่าแล้วจะให้กินองุ่นที่แปรรูปเป็นไวน์น่ะ คงไม่ไหว" ชายวัยกลางคนพูดปนขำ

     

                "แต่ผมกินไวน์เป็นนะครับคุณอา" (' - ')

     

                "หื้ม คนอย่างชินฮเยอนุญาตให้เรากินอะไรแบบนี้ด้วยเหรอครับลูก" ไม่วายเลยพาดพิงถึงบุคคลที่สามหรือคนเป็นแม่อย่างโอชินฮเย ผู้ซึ่งทนุถนอมตามดูแลลูกชายเยี่ยงไข่ในหิน โดยเฉพาะกับคนเล็กอย่างโอเซฮุน ว่าไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายแบบนั้น

     

                "แต่พี่เซโฮบอกเซฮุนว่าไวน์ก็ดีต่อร่างกายนะครับ" เซฮุนกระพริบตาปริบๆ "ถ้ากินไม่เยอะ"

     

                "เรานี่นะ.." เจสันยิ้ม พลางเลื่อนมือไปลูบผมอย่างเอ็นดู ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไปหลังจากที่สัญญาณไฟสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว "ทำไมไอ้ไคมันไม่เลี้ยงง่ายแบบเราบ้าง"

     

                "พี่ไคดื้อเหรอครับคุณอา" หันไปถามอย่างนึกสงสัย เห็นเงียบๆพูดน้อยแบบนั้นไม่ยักรู้ว่าจะมีมุมดื้อกับเขาด้วย

     

                "ไอ้นั่นน่ะมันดื้อเงียบ"

     

                "แต่ว่า..พี่ไคใจดีนะครับ"

     

                "ลองใจร้ายกับเซฮุนสิครับ อาจะจัดการมันเลย"

                พูดปนขำแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายทางสี่แยกข้างหน้า เซฮุนหัวเราะ พลางมองตามบรรยากาศรอบๆเมือง อันที่จริงก็อยากจะพาเซฮุนไปเที่ยวถ้ามีเวลาเหลือหลังจากจัดการเรื่องที่มหาลัยจนเสร็จ แต่เพราะกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบหมดวัน เรื่องนั้นเลยตกเป็นหน้าที่ของลูกชายอย่างจงอิน ว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ ก็ให้พาน้องไปเที่ยวรอบเมืองมันเสียเลย

                ล้อหยุดหมุนอยู่หน้าร้านขนมที่ขายไวน์อย่าง HOME SWEET HOME เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็น คนอายุหลายสิบอย่างคุณอาเจสันที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองเขาตั้งแต่เช้า คงจะเหนื่อยน่าดู

     

                "ขอบคุณนะครับคุณอา"

                เอ่ยขอบคุณสั้นๆที่อีกฝ่ายเป็นธุระจัดการให้เสร็จสรรพ พาเขาไปที่มหาลัยตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยอดรู้สึกเกรงใจไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะเพื่อนสนิทของแม่เต็มใจที่จะได้ช่วยเหลือตั้งแต่แรก คิมเจสันเลยยิ้มกว้างที่ได้ยินแบบนั้น ในเมื่อโอชินฮเยเธอฝากฝังลูกชายคนเล็กคนนี้เอาไว้เสียดิบดี จะไม่ดูแลทิ้งๆขว้างๆ ปล่อยให้เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยธรรมดาๆคนหนึ่งไปได้อย่างไร เพราะสำหรับเขาแล้ว โอเซฮุนก็เป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง .. ทำยังไงได้ ความฝันที่เคยอยากได้ลูกสาวมันมีมาตั้งแต่ภรรยาอุ้มท้อง ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายก็ได้ลูกชายและเป็นคิมจงอินที่เติบโตในทุกวันนี้ แต่พอมาเจอเด็กน่ารักอย่างเซฮุนเข้า มันก็อดมองว่าเป็นลูกอีกคนหนึ่งไปไม่ได้ .. เด็กผู้ชายที่น่ารักอ่อนหวานราวกับเด็กผู้หญิงแบบนั้น ใครจะไม่รักไม่หลงกัน

     

                "พ่อจะกลับไร่หรือยัง"

                พูดถึง..ลูกชายแท้ๆของตัวเองก็เดินออกมาจากครัว คงจะได้กลิ่นความเห่อโอเซฮุนมากอย่างพ่อ จนคิมจงอินรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเหมือนหมาหัวเน่า มันเลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปแทรกบทสนทนาด้วยเสียเลย

     

                "ใกล้แล้วล่ะ วันนี้ว่าจะแวะไปหาหลาน"

     

                "บอกลุงพาน้องมาเที่ยวร้านบ้างสิพ่อ"

     

                "น้องเพิ่งจะเกิด จะให้ออกจากบ้านมาตากลมตากฝนหรือยังไง ว่างๆแกก็ไปเยี่ยมบ้านโน้นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อยู่ในครัว" ร่ายยาว พลางเช็คไวน์ที่ขายได้ในวันนี้ และดูเหมือนจะมากกว่าปกติจนต้องหันไปถามแบคฮยอนว่าวันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า สุดท้ายเลยรู้ว่ามีคุณชายท่านหนึ่งเขาเหมาไปงานเลี้ยงที่บ้าน

     

                "ก็ถ้าผมไม่ทำขนมแล้วใครจะทำ" จงอินส่ายหน้าขำๆให้กับคำพูดของพ่อก่อนหน้านี้

     

                "ไม่รู้ล่ะ เดี๋ยววันร้านปิดพาน้องออกไปเที่ยวบ้าง" สาบานว่าที่พูดนี่เกี่ยวกับเรื่องจะไปหาหลานมากเลย .. ว่าแล้วก็หันไปมอง 'น้อง' ที่ว่านั่น กำลังนั่งจ้องเขาสลับกับคนเป็นพ่อตาปริบๆ จะว่าลูกแมวก็ไม่ใช่ ลูกเจี๊ยบก็ไม่เชิง

     

                "แก่แล้ว บ่นน้อยๆหน่อยสิพ่อ"

     

                "ก็เพิ่งจะห้าสิบสามโว้ย"

     

                "ห่างกับผมตั้งสามสิบปีแหนะ"

     

                "Go away" (ไปไหนก็ไปไป)

     

                "Yep, i will" (อ่าห้ะ จะไปอยู่แล้ว)

                ความลับก็คือ คิมเจสันไม่ชอบให้ล้อเรื่องอายุ ลุงแกยังคิดเสมอว่าตัวเองยังหล่อเหลาเหมือนสมัยวัยรุ่น (แต่ตอนวัยรุ่นพ่อก็หล่อจริงนั่นแหละ) เซฮุนได้แต่หัวเราะ มองตามสองบุคคลที่กำลังเถียงกันไปมา แล้วจบลงด้วยประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ เริ่มจากคิมเจสันที่เป็นฝ่ายพูดก่อน ส่วนแบคฮยอนคงจะชินเลยส่ายหน้าให้กับคนแก่หนึ่งคนและลูกชายของเขา ที่คุณอาบอกว่าพี่ไคดื้อเงียบก่อนหน้านี้คงจะเป็นเรื่องจริง ไม่เคยเห็นมุมพ่อลูกที่ไม่มีใครยอมใครแบบนี้เหมือนกัน และดูเหมือนว่า อะไรบางอย่างที่จงอินหยิบติดมือมาด้วย คงจะเป็นคำตอบได้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปไหน

     

                "อ่ะนี่..กูทวนที่อยู่แล้วเรียบร้อย ไม่มีผิดหลัง"

                แบคฮยอนยื่นเศษกระดาษจดที่อยู่ลูกค้าที่สั่งขนมไว้ ขนมอะไรสักอย่างที่โอเซฮุนก็ไม่ได้ชะโงกหน้าไปมองให้เสียมารยาทหรือถามออกไปตามที่ใจอยากรู้ เพราะสิ่งที่อยากกว่านั้น ไม่ใช่การรู้ว่าขนมในกล่องใหญ่ที่พี่ไคถือมันคืออะไร

     

                "รีบกลับนะเว้ย กูจะรอปิดร้าน"

     

                "จะรีบไปหาใครหรือเปล่า"

     

                "ม..มึงรีบๆไปเลยนะ!"

     

                "ก็แค่ถามดู"

                ยักไหล่แล้วยิ้มมุมปากราวกับรู้ความลับ แต่จะเรียกว่าความลับไปเลยก็คงไม่ใช่ ในเมื่อแบคฮยอนเป็นฝ่ายเอ่ยปากเล่าให้เขาฟังเมื่อตอนกลางวันเพราะหนีสายตาจับผิดอย่างจงอินไม่รอด ก็แหมคุณ.. เดินเข้าเดินออก พูดจาแปลกๆ แถมมาถามเขาในครัวว่าขนมชิ้นไหนที่ผู้ชายวัยทำงานส่วนใหญ่จะชอบซื้อไปกิน ไม่ค่อยจะรู้หรอก ว่าที่ถามมาเนี่ย แอบเอาไปฝากใคร

                จบบทสนทนาแค่นั้นแล้วพับกระดาษจดที่อยู่ใส่กระเป๋าเสื้อ ที่ต้องออกไปส่งเองวันนี้เพราะใกล้เวลาที่พ่อต้องกลับไร่แล้ว ลำพังระยะทางจากร้านกับบ้านไร่มันก็ไม่ใช่น้อยๆ เป็นตอนกลางวันน่ะว่าไปอย่าง อันที่จริงก็เป็นหน้าที่ของเขา ว่าถ้ามีลูกค้าสั่งทำขนมพิเศษแล้วให้จัดส่งช่วงเย็นหรือค่ำ ก็จะเป็นจงอินหรือแบคฮยอนที่เป็นฝ่ายออกไปส่งแทน .. ร้านเราไม่ใช่ร้านใหญ่เว่อวังอะไรนัก เป็นเพียงร้านขนมที่เป็นเหมือนบ้าน ทุกครั้งที่ลูกค้าเดินเข้ามา ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมือนแวะมาชิมขนมที่บ้านใครสักคนที่มีแต่รอยยิ้มและความอบอุ่นภายในนี้ ขนมทุกชิ้นทุกจำนวนก็ทำตามใจเชฟ แต่เพราะความไม่เหมือนใครแบบนั้นแหละ ลูกค้าเลยแห่กันมาเกือบทุกวัน รวมถึงคิวสั่งขนมที่ก็ต้องจองคิวกันข้ามอาทิตย์

     

                "พี่ไคครับ.."

                หวังจะเดินออกไปที่รถจักรยาน เพราะบ้านของลูกค้าที่สั่งไว้ไม่ได้ไกลจนต้องใช้รถให้เปลืองน้ำมัน ทว่าสุ้มเสียงน่ารัก และสรรพนามที่มีแต่คนๆเดียวเท่านั้นที่เรียกเขา กลับหยุดขาทั้งสองข้างเอาไว้เสียก่อน

     

                "เซฮุนอยากไปส่งขนมกับพี่ไค"

                ได้ยินแบบนั้นก็พอรู้แล้วว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงเดินตามเขามา และยิ่งพอเห็นแววตาที่ดูท่าทางอยากจะออกไปท่องโลกแบบนั้นก็ยิ่งไม่คิดถึงเรื่องที่จะปฏิเสธเลย

                มองชะโงกเข้าไปในร้าน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน เลยเสริมมาอีกว่า 'คุณอาอนุญาตให้ไปกับพี่ไคได้' ไอเขามันก็ไม่ได้คิดจะถามกลับหรอกว่าไปขออนุญาตกันมาตอนไหน ได้ยินแบบนั้นก็หลุดยิ้ม กลัวเหลือเกินว่าจะถูกเขาปฏิเสธ กลัวว่าจะไม่ยอมให้ไปด้วย เลยอ้างเหตุผลเอาไวเสียก่อน แล้วคนอย่างคิมจงอินจะไปทำอะไรได้

     

                "งั้นช่วยพี่ถือขนมได้ไหม" พยักหน้ารัวทันทีอย่างไม่ต้องรอช้า ก่อนเจ้าของกายสีน้ำผึ้งจะเดินไปไขกุญเจจักรยานที่ล็อคล้อเอาไว้ออกมา ขนมถูกส่งให้คนอายุน้อยกว่า เจ้าตัวถึงได้รู้ว่าในนั้นมันคือทาร์ตช็อคโกแลต หน้าตาน่ากินจนเผลอทำตาวาว

                ย้ายตัวขึ้นมานั่งซ้อนท้ายจักรยานของคนเป็นพี่ แอบเม้มปากเล็กน้อยเพราะความกลัวที่ฝังใจแต่เด็กทำให้ไม่กล้านั่งซ้อนท้ายจักรยานใครอีก มันคงจะไม่แปลก ถ้าเด็กในวัยสี่ขวบจะตกจักรยานจนแขนหัก เป็นใคร..ก็ไม่อยากจะนั่งมันอีก

     

                "พี่ไคจะขับเร็วไหมครับ"

     

                "ไม่เร็วหรอก" หันไปตอบยิ้มๆ "กลัวเหรอ"

     

                "ป..เปล่าครับ ถ้าเป็นพี่ไคขับ..ก็ไม่กลัว"

                ยิ้มให้จนตาหยียามอีกฝ่ายหันมาถาม ถึงจะเป็นการโกหกอยู่ลึกๆเพราะใจจริงก็ยังไม่หายกลัว มือข้างหนึ่งกำถุงไว้แน่น แล้ววางกล่องขนมไว้บนตักไม่ให้โครงเครงจนเละไม่เป็นท่าก่อนถึงมือคุณลูกค้า

                ไม่รู้หรอก ว่าเซฮุนจะกลัวหรือไม่กลัว ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมา แต่สีหน้าที่แสดงความไม่มั่นใจแบบนั้น ก็คงจะเดาได้ไม่ยาก และเขาเองคงจะไม่เปลี่ยนไปขับรถเพราะบ้านลูกค้าที่ว่าอยู่ถัดไปไม่กี่แยก และบางที..มันอาจจะเปลี่ยนคนที่กลัวการซ้อนท้ายจักรยาน ให้กลายเป็นชอบขึ้นมาก็ได้ คุณว่างั้นไหม

     

                "จับพี่ไว้เร็วเซฮุน"

     

                "ค..ครับ?"

     

                "ถ้ากลัวก็จับพี่ไว้แน่นๆ.."

     

                "..."

     

                "ไม่ต้องปล่อยจนกว่าจะถึงเลยก็ได้"

     

                : )

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

    เป็นเพราะคุณน่ารักอยู่แล้ว ..

    หรือความน่ารักของคุณ มาพร้อมกับฝน

     

     

                ใครจะไปรู้ ว่าท้องฟ้าจะเล่นตลกเมื่อจู่ๆก็ดันมาครึ้มฝนเอาเสียดื้อๆ เวลาเกือบจะเข้าหัวค่ำที่ใกล้จะมืดอยู่แล้ว ดันมามืดกว่าเดิมเพราะเมฆเริ่มเกาะกลุ่มกันเป็นสีเทา หลังจากส่งทาร์ตช็อคโกแลตของคุณป้าบ้านหนึ่งเสร็จ ก็ไม่รีรอที่จะพากันกลับบ้าน ลำพังเขาเองที่ตัวเปียกฝนได้สบายๆแถมป่วยยากก็ไม่นึกห่วงหรอก แต่คนที่มาด้วยเนี่ยสิ เกิดมาป่วยช่วงใกล้เปิดเทอมเพราะเขาขึ้นมา คงไม่ดีแน่

     

                "พี่ไค..ตกแล้ว" : (

                ยื่นมือออกไปรับหยาดน้ำใสๆที่ร่วงลงมาจากฟ้า หลังจากลุ้นอยู่นานว่าจะกลับถึงบ้านไหม แต่แล้วก็ไม่ถึง และยังไม่พ้นแยกแรกด้วยซ้ำ .. สายฝนเส้นเล็กเริ่มโปรยลงมา และเริ่มกลายเป็นเม็ดใหญ่ เมื่อเสียงร้องของคุณท้องฟ้าดังกระหน่ำกว่าเดิม

                จงอินมองหาตึกเก่าๆ หรือบ้านคนใจดีสักคนที่พอจะให้เขากับน้องเข้าไปหลบฝน นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้พกร่ม หรือหาอะไรเตรียมตัวป้องกันเอาไว้ เพียงเพราะชินกับการทำอะไรรวดเร็ว เพราะถ้าเป็นเขา ต่อให้ตกหนักกว่านี้ แต่ใกล้ถึงบ้านก็คงไม่หาที่หลบฝนให้เสียเวลา .. แต่ก็เพราะว่าเป็นห่วงน้อง ก็เลยไม่คิดจะทำแบบนั้น

     

                'ซ่าาาาา'

     

                และแล้วก็ตกหนักลงมาอย่างกับเทน้ำเทท่า แต่ก็ถือว่าโชคดีพอที่คิมจงอินสามารถหาที่หลบฝนได้อย่างพอดิบพอดี ..

     

                "หลบตรงนี้กันก่อนนะ"

                'ตู้โทรศัพท์' คงจะเป็นสิ่งเดียวที่โอเคที่สุดในตอนนี้แล้ว คิมจงอินคงจะไม่วิ่งไปหลบอยู่หน้าบ้านคนแปลกหน้าแล้วเสี่ยงโดนไล่ออกมาเพราะหาว่าเป็นพวกโฮมเลสไร้ที่นอน

     

                "พี่ไคเปียกหมดเลยครับ"

     

                "เราก็ด้วยนั่นแหละ..รู้อย่างนี้ไม่ให้มาด้วยตั้งแต่แรกแล้ว"

     

                "ง่ะ..แต่ว่าเซฮุนจะมาเองนะครับ"

                ส่งเสียงเถียงออกมาเจื้อยแจ้ว ตัวก็เปียกอย่างกับลูกเจี๊ยบ จนอยากจะหาผ้าเช็ดหน้าดีๆซักผืนออกมาตอนนี้ แต่ผู้ชายอย่างเขามันไม่ได้พกของพวกนั้น

     

                "พี่ไค ~" เงยหน้าขึ้นมาอีกที อะไรบางอย่างก็ถูกยื่นมาตรงหน้าราวกับอีกฝ่ายรู้ทันความคิดในหัวเขาอย่างไรอย่างนั้น ผ้าเช็ดหน้าผืนสีเหลืองอ่อน ดูเข้ากับเด็กผู้ชายทันทีที่มันอยู่ในมือของคนอย่างโอเซฮุน ..

     

                "ของเรานี่ เก็บไว้เช็ดสิครับ"

     

                "แต่พี่ไคเปียก.."

                ไม่ยอมลดละความพยายาม หรือจะเรียกว่าหวังดีต่อคนเป็นพี่ก็ได้ จงอินอมยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าขำๆให้กับเด็กที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน แต่เรียกพี่ไคอย่างโน้น พี่ไคอย่างนี้จนเหมือนเป็นน้องที่สนิทกันมาเป็นปี ความน่ารักและอัธยาศัยดีของโอเซฮุน มันกำลังทำให้คนอย่างเขาพ่ายได้ไม่ยากนักหรอก

     

                โดยเฉพาะเวลาที่น้องมองมาแบบนี้ ..

     

                "ดื้อเนอะ"

                พูดเบาๆก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมา คนน้องก็ยิ้มอย่างได้ใจ เพราะเห็นว่าพี่ไคยอมรับน้ำใจ หากแต่การกระทำของเจ้าของกายสีน้ำผึ้งในเวลาต่อมา กำลังทำให้เขาเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ภายในตู้โทรศัพท์เล็กๆขึ้นมาเสียดื้อๆ

     

                "..."

                ฝ่ามือหนาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกันกับที่เขาให้ ยื่นมาซับหยาดน้ำใสๆที่ข้างแก้มของคนตัวขาว ก่อนจะกางออกมาขยี้เช็ดกลุ่มผมที่เปียกชื้นให้พอซับน้ำออกไปได้บ้าง เซฮุนยืนนิ่ง ก้มหน้าให้อีกฝ่ายทำแบบนั้นพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวของตัวเองว่า 'ทำไมพี่ไคมือเบาแบบนี้นะ'

                อาจจะเป็นเพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเชฟอย่างคิมจงอิน ถ้าเป็นคนมือหนักคงจะขัดกับอาชีพ เวลาที่ตวงส่วนผสม หากเผลอใส่น้ำตาลลงไปเกินสูตร คงจะหวานเลี่ยนจนเกินพอดี นั่นอาจเป็นคำตอบของคำถามในหัวของเขาก็ได้มั้ง..

     

                "ถ้าป่วย พี่โดนพ่อดุแน่ๆ"

     

                "แต่พี่ไคก็เปียก.." ยังจะย้ำคำเดิมทั้งที่ตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับเขา

     

                "พี่ไม่อยากให้เราป่วย"

     

                "ป่วยก็แค่กินยานี่ครับ" แหนะ มีเถียง

     

                "แล้วยามันอร่อยกว่าขนมที่พี่ทำหรือเปล่า" : )

                คำว่า 'ดื้อ' ที่เขาพูดไปก่อนหน้านั้น คงจะบ่งบอกความเป็นโอเซฮุนได้ดีในตอนนี้ น้องเริ่มเถียง แต่มันเป็นการเถียงที่ยิ่งอ้าปากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะจนมุม นั่นคือเหตุผลว่าทำไม รอยยิ้มบนใบหน้าของจงอินถึงไม่หุบหายไปเสียที

                และประโยคดังกล่าวมันก็ทำให้เด็กผู้หลงใหลขนมอย่างคนตัวผอมไม่คิดจะหาเหตุผลมาอ้างอีก ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นพี่ไคยังคงถือเอาไว้ ทั้งที่เขายื่นให้ไปเช็ด แต่ก็กลายเป็นว่าถูกเช็ดเสียเอง..

     

                "งั้นถ้าไม่ป่วย..พี่ไคจะทำขนมให้อีกใช่ไหม"

                ถามออกมาด้วยสุ้มเสียงน่ารัก เสียงฝนข้างนอกไม่อาจรบกวนการสนทนาของคนสองคนในตู้โทรศัพท์แคบๆแบบนี้ ไอความเย็นที่เกาะกระจกทำให้ไม่เห็นอะไรจากด้านนอก และคนด้านนอก ก็คงไม่เห็นเราสองคนที่ยืนอยู่ด้านในเช่นกัน

                พื้นที่อันจำกัด จะให้ขยับแค่ก้าวเดียวก็ลำบาก หากแต่ความลำบากนั้นมันอาจมีเรื่องดีๆซ่อนอยู่ .. แววตาที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องเขาราวกับรอคำตอบ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เราอยู่ใกล้กันเสียขนาดสัมผัสได้ถึงลมหายใจของน้องที่ดังเข้าออกสม่ำเสมอ ใกล้เสียจนเก็บรายละเอียดบนใบหน้าอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี .. อยากจะถามออกไปเหมือนกัน ว่าคุณแม่เลี้ยงลูกอย่างไร ทำไมถึงได้ผิวพรรณดีขนาดนี้

     

                "ทำสิ.." จงอินยิ้ม

     

                "..."

     

                "แต่ต้องแลกกับรูปหนึ่งใบนะ" : D

                ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าของกายสีน้ำผึ้งต้องยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆคนเป็นน้องขนาดนั้น และดูเหมือนว่าโอเซฮุนก็ยังคงเชื่อเสียสนิท ว่าถ้าเจ้าตัวอยากกินขนมของเขาเมื่อไหร่ ก็ต้องวาดรูปมาแลก ถ้าไม่มีรูปมาแลกก็เท่ากับกินไม่ได้

                ฝนยังคงตกแรงอย่างกระหน่ำราวกับอัดอั้นมานาน ไม่มีใครเอาโทรศัพท์ติดตัวมาสักคน หวังจะโทรบอกพ่อให้มารับเขากับน้องที่เริ่มยืนสั่นแบบนี้ก็คงไม่ได้ จะฝ่าฝนออกไปก็ยิ่งไม่ได้ เลยได้แต่ภาวนาให้มันหยุดโดยเร็วเสียที

     

                "พี่ไคหนาวหรือเปล่าครับ" ถามทั้งที่ตัวเองก็ขนลุกขนชัน โชคดีที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่ไปมหาลัยก่อนหน้านั้นออกไว้ที่บ้าน เลยพอจะป้องกันอากาศเย็นๆแบบนี้ได้บ้าง

     

                "นิดหน่อยครับ"

     

                "เซฮุนว่าจะถอ-"

     

                "ไม่ได้" ไม่ทันที่จะพูดได้เต็มประโยคว่าเขาเองจะถอดเสื้อตัวนั้นออกแล้วแบ่งอีกคนห่มต้นแขนให้อุ่น ดีกว่าปล่อยให้ยืนหนาวอยู่เฉยๆแบบนี้ ทว่าสุ้มเสียงทุ้มต่ำกลับดังแทรกขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าน้องคิดจะทำอะไร

     

                "ใส่ไว้น่ะดีแล้ว" จงอินพูดต่อ "เราหนาวไม่ใช่เหรอไง สั่นอย่างกับลูกเจี๊ยบ"

     

                "เซฮุนไม่ใช่ลูกเจี๊ยบ.."

                ปฏิเสธแล้วยืนก้มหน้าเงียบๆ อมลมอมอากาศจนแก้มน้อยๆพองขึ้นมาอย่างน่ารัก ยอมทำตามคำสั่งของคนอายุมากกว่า พี่ไคไม่ให้ถอดก็จะไม่ถอด แต่เขาก็แค่เป็นห่วง กลัวอีกฝ่ายจะหนาวจนป่วยแบบที่เคยว่าเด็กดื้ออย่างโอเซฮุนไว้ก็เท่านั้น

                เสียงฝนปนกับเสียงฟ้าร้องด้านนอกไม่ได้ทำให้เด็กที่กลัวฟ้าผ่าอย่างเซฮุนหันไปสนใจมันเลยสักนิด ได้แต่ลอบมองใบหน้าหล่อได้รูปของอีกฝ่าย ยามที่คนพี่เอาแต่จ้องมองออกไปด้านนอกฆ่าเวลา ราวกับจะขอให้ฝนรีบหยุดตกเราจะได้กลับบ้านกันเสียที เซฮุนเองก็คิดแบบนั้น .. จะทำอะไรก็ไม่ได้ เมื่อยก็เมื่อย หนาวก็หนาว อากาศหายใจก็ไม่ค่อยมี แต่บ่นไปแล้วได้อะไร ในเมื่อสถานการณ์มันบีบบังคับให้เราทั้งคู่มาอยู่ร่วมกันในที่แคบๆแบบนี้

     

                "ขออนุญาตนะครับ"

                และทุกอย่างจบลงด้วยการที่โอเซฮุนรวบรวมความกล้า ถือวิสาสะเอื้อมมือตัวเองไปจับฝ่ามือหนาของใครอีกคน .. วินาทีนั้นแหละที่รู้ว่าคิมจงอินโกหกว่าไม่ใช่แค่หนาวเพียงนิดหน่อยอย่างที่อีกฝ่ายบอก เพราะความเย็นจากฝ่ามือราวกับน้ำแข็งแบบนั้นคงจะเป็นคำตอบได้ดี

     

                "..."

                ประหม่ากับการกระทำของตัวเอง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ สุดท้ายเลยสอดมือของใครอีกคนที่จับเอาไว้เข้าไปซุกในกระเป๋าข้างเสื้อของตัวเอง กุมเอาไว้แบบนั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร

                คิมจงอินคงกลายเป็นผู้ชายหัวช้าไปตั้งแต่นาทีนั้น นาทีที่มือนิ่มๆของเด็กอย่างโอเซฮุนฉวยโอกาสจับมือเขาไปแล้วเรียบร้อย ยอมรับว่าตกใจ แต่น้องกลับยิ้มจนตาหยีเป็นรูปครึ่งเสี้ยวพระจันทร์ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องน่ารักใส่เสียขนาดนี้ .. ไม่รู้เลยเหรอไง ว่าทำแบบนี้มันอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจของเขามาก แต่แล้วยังไง เด็กอย่างโอเซฮุนจะไปรู้อะไร นอกจากเป็นห่วงพี่ไค กลัวจะหนาวจนต้องจับมือคนพี่มากุมซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ ฉากคุ้นๆเหมือนละครน้ำเน่า แต่ถ้ามันทำให้พี่ไคอุ่นขึ้น ก็ยินดีจะจับไปจนฝนหยุดตกเลย

     

                "อุ่นขึ้นไหมครับ.."

     

                "..."

     

                "หรือว่าพี่ไคไม่ชอ-"

     

                "เซฮุน.."

     

                "ค..ครับ"

     

                "ทำไมมือนิ่ม.."

     

                ชอบ..จนอยากจะจับเอาไว้ไม่ปล่อยเลย : )

     

                นั่นแหละครับ คำพูดในใจของชายขี้ป๊อด ..



              .
              .



              TBC



     

    - - - - - - - - - -



    คิมจงอินเรื่องนี้จะมีแต่ความอบอุ่นให้คุณค่ะ
    (กรี๊ด)

    #ฟิคเบคอะวิช

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×