ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweet heart...แบบว่ารักไม่ได้ตั้งใจ (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #8 : ((ตอนพิเศษ)) ...ไม่กล้าบอก...

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ย. 51








    ...ไม่กล้าบอก...



    คนแต่ง : kimilacta (ขิม)

    ผู้อุปการคุณชื่อเรื่อง : คุณแกงส้ม


    **ขอบคุณสำหรับชื่อเรื่องน่ารัก ๆ นะคะ  เรื่องนี้สมบูรณ์ได้เพราะสมาชิกสวีทฮาร์ทอย่างคุณแกงส้มค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
       ขอบคุณจริง ๆ 

    ***สำหรับนักอ่านที่ได้มาเยี่ยมเยียนเรื่องสั้นตอนพิเศษ แด่มิตรรักแฟนขิมนะคะ อมยิ้มได้แต่อย่าอมนาน...แล้วไว้ฤกษ์งาม
         ยามดีเมื่อไหร่  เราคงได้พบกันในตอนพิเศษตอนหน้าค่ะ ^^


                             .

                    .

                    .

                    .

                    .


                    “เฮ้ย! ไอ้บ้า...กูไม่ใช่เกย์”

                    “จริงหรอวะ  ปฏิเสธปากสั่นเชียวนะมึง  กลบเกลื่อนป๊าว”

                    “อ้าว ๆ ไอ้นี่นิ...ก็บอกว่าไม่ใช่ ๆ เพื่อนกันโว้ย...แมร่ง  เห็นกูอยู่กับใครแล้วต้องเป็นแฟนกัน  ความคิดเชี่ยสัด ๆ กูผู้ชายนะเว้ย...เลิกพูดเหอะวะ  ขนลุกโคตร”

                    หลังจากจบประโยคด้วยท่าสยองพองเกล้า  ผมก็ละสายตากลับมาสนใจหนังสือการ์ตูนตรงหน้าเหมือนเดิม  เสียงคุยโต้ตอบที่ดังลั่นห้องเรียนเป็นประจำทุกวันมันทำให้ผมชินชาซะแล้วล่ะครับ  ฝ่ายหนึ่งเป็นพวกหยี  ป่านและหวาย  แกนนำกลุ่มเกิร์ลแก๊งค์สีม่วงที่บูชาลัทธิวาย  ส่วนอีกฝ่ายคือเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มักจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของบรรดาอาจารย์ทั้งหลายในการจัดหาตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างโมทย์

                    “เฮ้ย...ณัฐไปซื้อหนมเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ  เมื่อเช้าแมร่งตื่นสาย  เลยอดแดกเลย” โมทย์ตะโกนมายังทิศที่ผมนั่งอยู่  ทำให้ผมต้องปล่อยมือจากหนังสือการ์ตูนข้างหนึ่งเพื่อกดปุ่มเปิดเพลงในไอพอด

                    “ว่าไงนะ” ผมตะโกนกลับ  แต่ตายังคงจ้องอยู่ที่ตัวเอกของเรื่อง

                    “กู-บอก-ว่า-ไป-ซื้อ-หนม-เป็น-เพื่อน-กู-หน่อย”

                    โมทย์เข้ามาดึงหูฟังข้างหนึ่งของผมออก  ก่อนจะแกล้งตะโกนใส่ข้าง ๆ หูผมแทนเสียงเพลงที่ผมเร่งระดับความดังจนเกือบสุด  จนแม้จะถูกไอ้คนข้าง ๆ ถอดออกไปก็ยังจะได้ยินอยู่

                    “วิ้ววววว~.....ฮิ้วววววววววว  กระซิบข้างหูเว้ย..กระซิบข้างหู ฮ่า ๆๆ” เสียงแซวจากกลุ่มเกิร์ลแก๊งค์เขาล่ะครับ

    “เก็บความคิดชั่ว ๆ ไปเลยนะพวกมึงน่ะ” โมทย์หันไปด่า  สีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ไอ้ณัฐ..เปิดเพลงซะดังเชียวมึง  กูตะโกนเรียกมึงคอแทบแตก”

    หาเรื่องมาลงที่กูอีกไอ้เวร....ผมมองหน้าหล่อ ๆ ของมันอย่างระอา

    “อ้าว...กูก็หลงนึกว่ามึงเป็นโทรโข่งกลับชาติมาเกิดซะอีก  ตะโกนใส่หูกูได้นะไอ้โมทย์  ขี้หูกูเซตกแคทวอร์กหมด...”

     

    “ไอ้เอี้ยณัฐ” มันหันกลับมาด่าผมด้วยคำสุภาพครับเยาวชนทั้งหลาย

    “โห...กูย้อนนิดเดียว  ยกย่องกูเป็นตัวกินไก่เลยนะ  จะไปไม่ไปมึง”

    พูดจบมันก็วาดแขนโต ๆ ของมันเข้ามาล็อคคอผมแทนคำตอบโดยทิ้งเสียงวีดวิ้วจากสาว ๆ แกนนำสีม่วงไว้ด้านหลัง  ระหว่างทางที่เราเดินไปสหกรณ์ของโรงเรียน  ผมใช้เวลานั้นสำรวจคนข้าง ๆ ตัวอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้มันรู้ตัว  ไอ้โมทย์มันเป็นคนหล่อครับ  กิจกรรมเพอร์เฟคจนเรียกได้ว่ามันหยิบจับอะไรก็ชนะเลิศตลอดแต่อาจจะยกเว้นการเรียนที่มันได้แค่พอถูไถไปได้เท่านั้นเองครับ

    ผมกับโมทย์เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ ...อนุบาลเราก็อยู่ห้องเดียวกัน  ประถมเราก็อยู่ด้วยกัน...จนมัธยมปลายเราก็ได้นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน  พวกเราอยู่ด้วยกันเสมอมาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม  และด้วยความที่เรามีเราตลอด...มันก็ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป  ผมบอกใครไม่ได้ว่า ผมให้ความสำคัญกับคนข้าง ๆ ผมเกินเพื่อนไปแล้ว

    ถ้ามันรู้...มันคงเกลียดผม

    ถ้ามันรู้...มันคงไม่ต้องการผม...เพื่อนคนนี้อีกต่อไป

    “หวัดดีณัฐ” ระหว่างที่ผมยืนรอโมทย์อยู่หน้าสหกรณ์  พี่ทามที่เป็นรุ่นพี่ม.หกก็เข้ามาทักผมด้วยน้ำเสียงสดใสอันเป็นเอกลักษณ์

    ผมยิ้มให้พี่เขา  ก่อนจะทักทายกลับไปตามมารยาท  “หวัดดีครับพี่ทาม  คาบนี้ไม่มีเรียนเหมือนกันเหรอครับ”

    “มี...แต่โดด” พี่ทามตอบด้วยสีหน้าทะเล้น  ปกติพี่เขาเป็นคนขี้เล่นและอารมณ์ดีเสมอ ๆ ครับ  มีมนุษยสัมพันธ์ดีกับคนอื่นเขาไปทั่ว  ขนาดผมที่เป็น unknown พี่เขายังมาตีซี้ตีสนิทกับผมเลย

    “ซะงั้นน่ะ” ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ “มาเผยไต๋กันแบบนี้  ระวังผมเอาไปฟ้องอาจารย์นะครับ”

    “เคยกลัวที่ไหน....แต่ถ้าจะให้ดีน้องณัฐอย่างฟ้องเลยนะครับ  ถือว่าสงสารพี่เถอะนะ นะ ๆ” ดูหน้าพี่แกสิครับ  ทำหน้าเหมือนลูกหมาหงอยโดนเจ้าของทิ้งยังไงยังงั้น

    “ณัฐ!...ไปได้แล้วมึง” 

    ไอ้โมทย์โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ครับ  หน้ามันหงิกยิ่งกว่าตอนที่ด่าผมเรื่องเปิดเสียงไอพอดดังซะอีก  มันพูดจบก็กระชากแขนผมให้กลับห้องโดยไม่สนใจพี่ทามที่หน้าเหวออย่างแรง

    “มึงเป็นอะไรของมึง...สัดโมทย์”  ผมกระชากแขนตัวเองกลับมา  พร้อมกับส่งสายตาไม่เข้าใจกับการกระทำของมัน

    “ก็กูเมื่อย  อยากกลับเข้าไปนั่งในห้อง  เรียกมึงตั้งนานมึงก็ไม่หันเองนี่หว่า” มันหันกลับมาตอบผม  น้ำเสียงของมันบ่งว่ากำลังหงุดหงิดเอามาก ๆ  

    “มึง.....เรียกกู.......ตอนไหนวะ?” ผมงงครับ  แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจตัวเองสักเท่าไหร่เพราะตอนนั้นผมก็ทั้งฟังเพลงและหันไปคุยกับพี่ทาม

    “ตั้งแต่ตอนพม่าบุกกรุง  กูแหกปากเรียกให้มึงเอาธนูมาสมทบ  แต่มึงก็มัวแต่คุยกับไอ้ลูกชายเสนาขายชาติอยู่ได้”

    “ไอ้สัด” และมันก็เป็นคำด่าที่สุภาพที่สุดที่ผมจะให้มันได้ครับ “กูรู้ว่า มึงเอกประวัติศาสต์  แต่ไม่ต้องร่ายยาวให้เกียรติกูติดชื่ออยู่ในทำเนียบกบฏอยุธยาก็ได้มึง  เล่นซะกูรู้สึกผิดระดับชาติเลยไอ้เชี่ยนี่”

    พอได้ฟังที่ผมพูด  มันก็หัวเราะขำตามประสาคนปัญญาน้อยเยี่ยงไอ้โมทย์นั่นแหล่ะครับ  แต่อย่างน้อยผมว่ามันก็ดีกว่าจะให้มันทำหน้าบูดหน้าบึ้งเป็นไหน ๆ ผมชอบตอนที่โมทย์ยิ้มและสนุกสนานไปกับเรื่องที่ผมพูด...ที่ผมทำมากกว่า

    ...มากกว่าจะให้มารู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิทของมันไม่คิดกับมันอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว

    “ฮั่นแน่...พวกกูเห็นนะโว้ยไอ้โมทย์”  สงสัยจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ตัวจริง  หยี ป่าน  และหวายถึงโผล่มาได้เหมาะเจาะ  สามสาวมาด้วยเรื่องเดิม ๆ “หึงไอ้ณัฐมันอ่ะดิ  อย่างว่าล่ะหนูณัฐเราออกจะขาว ตาก็โต ปากก็แดงน่ารักน่าจุ๊บขนาดเนี้ยะ”

    หยีเดินเข้ามาเกาะแขนผมพร้อมกับชี้ให้ดูแต่ละส่วนเหมือนกับอาจารย์สอนกายวิภาค  หากแต่รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าหล่อ ๆ หายวับ  โมทย์เหลือบมองมาทางผมแวบหนึ่ง  ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเหล่าเกิร์ลแก๊งค์เต็มทน

    “จะให้กูพูดอีกกี่ครั้งว่า กูไม่ใช่เกย์...กู-ไม่-ได้-ชอบ-ผู้-ชาย  แล้วไอ้ณัฐมันก็เป็นเพื่อนสนิทกู  พวกมึงอย่าหาเรื่องได้มั้ย  นี่กูจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะเว้ย”

    “โหย...พวกกูล้อเล่นน่า  เล่นแค่นี้จริงจังไปได้มึง  กูรู้ว่ามึงคิดกับไอ้ณัฐแค่เพื่อน  กูแซวพวกมึงเล่นเฉย ๆ เอง” หวายพูดเสียงอ่อย  สงสัยเพิ่งเคยเจอไอ้โมทย์ทำเสียงดุเป็นครั้งแรก

    ป่านเห็นเพื่อนสาวมีท่าทีอย่างนั้นก็เสริมขึ้นมาบ้าง “มึงก็รู้ว่า พวกกูชอบอ่านอะไรแบบนี้...จิ้นเล่นเฉย ๆ มึง  อย่าโกรธพวกกูเลยน่าโมทย์  ดูไอ้ณัฐดิวะ...ใจดี  ไม่เห็นจะว่าพวกกูซักคำอย่างมึง”

    มีความรู้สึกเหมือนโดนขี้หมาปากใส่หน้าเลยครับ  สาวป่านทำพิษผมแล้วมั้ยล่ะ...ตอนนี้ผมเลยกลายเป็นเป้าสายตาไปเลย  ทั้งสายตาของหยี ป่าน หวาย และไอ้โมทย์  ซึ่งสายตาคาดคั้นของมันแทบทำให้หัวใจผมหยุดเต้นเดี๋ยวนั้น  ผมเลยแกล้งหัวเราะขึ้นมา  แล้วเลี่ยงตอบไป

    “ฮ่าๆๆๆๆ  ก็กูรู้ตัวดีนี่หว่าว่ากูเป็นหรือไม่ได้เป็น  พวกมึงก็ได้แค่แซวกูเฉย ๆ คำพูดมึงเปลี่ยนกูไม่ได้หรอก”

    “อ่ะ ๆ เห็นป้ะล่ะ...กูโคตรรักมึงเลยว่ะไอ้ณัฐ  ยอมมาเป็นสามีน้อยกูเถอะ” หวายโถมทั้งตัวเข้ามากอดผม  พร้อมทั้งพยายามยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มจนผมต้องผงะหนี

    ...ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย  มึงทำอย่างนี้กูขนลุกมากกว่าซึ้งว่ะ...ไอ้หวาย  ถ้าพี่แมนมาเห็นกูกับมึงในสภาพนี้มีหวัง...กูตายแน่ไอ้หวาย...

    ระหว่างที่ผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหวายอยู่  ไอ้โมทย์ที่ยืนเงียบอยู่ก็หัวเราะขึ้นมาบ้างแล้วเอามือข้างหนึ่งตบไหล่ผมหนัก ๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องตามลำพังโดยทิ้งสาว ๆ เกิร์ลแก๊งค์ให้ทำการโลมเลียผมได้ตามใจ  ผมมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปอย่างรู้สึกเศร้า ๆ ในสถานการณ์แบบนั้นเป็นคุณ ๆ จะตอบได้กี่ทางล่ะครับ  ถ้าคุณไม่อยากจะเสียเพื่อนไปเพราะความรู้สึกตัวเอง  ผมก็เป็นอย่างนั้น  คำตอบที่ออกมามันไม่มีทางเลือกอื่นในเมื่อคนที่ผมรักเขาประกาศชัดทั้งระเบียงว่า 

    ...ผมเป็นได้แค่เพื่อนสนิท...

    “วันนี้มึงกลับบ้านไปก่อนเลยนะ  ไม่ต้องรอกู” โมทย์หันมาบอกผม  พร้อมกับยัดหนังสือลงในกระเป๋าอย่างเร่งรีบหลังจากเสียงออดของโรงเรียนบอกจบคาบเรียนสุดท้ายของวัน

    “ทำไมวะ?”

    “กูมีธุระต้องทำ  เดี๋ยวมึงจะรอนาน” โมทย์ไม่ได้หันหน้ามาตอบผมเลยสักนิด พูดอีกทีมันไม่สนใจผมมากกว่า

    “ไม่เป็นไรกูรอดะ...” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยคไอ้โมทย์ก็สวนขึ้นมาทันควัน  มันตะโกนสวนขึ้นมาจนผมตกใจ

    “ไม่ต้อง!” มันเงยหน้ามองผมแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าปิดกระเป๋า “เอ่อ...กู...กูต้องซ้อมบาสน่ะ  พี่แมนนัด”

    พูดจบมันก็วิ่งออกไปจากห้องเรียนอย่างรวดเร็วจนแม้แต่สามสาวเกิร์ลแก๊งค์ยังสงสัยจนหันมาถามผม  ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เหมือนกัน

    “อัลไซเมอร์เอ๋อแดกอีกแล้วสิกู  บ้าเอ้ย!  

    ผมที่กำลังจะลงจากตึกเรียนเพิ่งนึกออกว่าอาจารย์จันกะพ้อสั่งให้ผมไปเอาหนังสือที่ห้องพักอาจารย์ด้วย  ผมลงเรียนฝรั่งเศสเสริมครับเลยต้องอ่านหนังสือนอกเวลาหนึ่งเล่มต่อสัปดาห์  ผมเดินข้ามตึกไปยังแผนกภาษาต่างประเทศ  ตึกนี้ระเบียงค่อนข้างกว้างครับเลยมักจะมีพวกเด็กม.ต้นจับกลุ่มเล่นบอลบนตึกประจำ  ซึ่งอาจารย์ท่านก็ว่าจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

    “ขออนุญาตครับ” ...แป่ว  ไม่มีอาจารย์อยู่เลยสักคนครับ  ผมก็เลยรีบเดินเข้าไปหยิบหนังสือแล้วก็รีบออกมาทันที

    “อ่ะ...เอ่อ...คือหนู....หนู....หนูชอบพี่โมทย์ค่ะ”

    เสียงเล็ก ๆ น่ารักดังขึ้นที่ตรงข้างโสตฯ  เรื่องสารภาพรักในวัยมัธยมเป็นเรื่องธรรมดาครับ  แต่มันคงไม่ธรรมดาสำหรับผมเมื่อชื่อของใครคนหนึ่งอยู่ในประโยคนั้น  เท้าของผมก้าวไปทางทิศนั้นอย่างไม่รู้ตัว  หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บขึ้นมานิด ๆ  แต่ว่าผมไม่ได้สนใจในเมื่อภาพตรงหน้าทำให้ผมช็อคค้างได้มากกว่า  ในสมองรู้สึกปวดหนึบเหมือนถูกของแข็งทุบเข้าแรง ๆ ที่ท้ายทอยจนประสาทการรับรู้หยุดทำงาน

    โมทย์กับเด็กคนนั้นจูบกัน...

    “โมทย์....” ผมครางชื่อมันออกมาเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว  แต่มันก็คงจะดังจนสองคนที่จูบกันอยู่ถึงได้ผงะออกห่างกันอย่างตกใจที่มีบุคคลที่สามเข้ามาเห็น

    “อะ...ไอ้...ณัฐ” สีหน้าและแววตาของโมทย์แสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด  แต่ว่ามือทั้งสองข้างของมันยังคงจับไหล่ของน้องคนนั้นราวกับประคองอย่างทะนุถนอม

    ...รู้สึกเจ็บจังเลย...เจ็บจุกจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

    “ไอ้ณัฐ!

    ตอนนี้ไม่ว่าอะไรผมก็ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น  ทางเดินข้างหน้าพร่าเลือนไปหมดเพราะม่านน้ำตาที่พรั่งพรูทะลักออกมาจากความรู้สึกข้างใน  อยากจะล้างภาพที่ได้เห็น...อยากจะบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ...แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่  เป็นอีกครั้งที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผมวิ่งออกมาจากที่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่  ขาที่แทบอ่อนทรุดลงไปกับพื้นตั้งแต่ได้เห็นคนที่ผมแอบรักกำลังจูบกับผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าใช้แรงวิ่งมาจนถึงระเบียงชั้นสามได้ยังไง  ทั้ง ๆ ที่ห้องพักอาจารย์และข้างห้องโสตฯอยู่ตั้งชั้นหก

    ...เขาคงไม่รู้ว่าผมเจ็บแทบเจียนตายในขณะที่เขากำลังมีความสุขกับคนที่เขารัก...เพราะสิ่งที่ผมเป็นได้นั้นมันก็แค่

    ...เพื่อนสนิท.........เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย...

    ผมร้องไห้สะอื้นออกมาอย่างไม่สนใจใครในเมื่อความเจ็บปวดข้างในมันมากกว่า  ผมยังคงวิ่งต่อไป...และต่อไปจนถึงชั้นล่าง...จนถึงทางออกของโรงเรียน...จนถึงบ้านที่มีเพียงกลุ่มคนที่รักผมเท่านั้น  แต่ว่า...

    “เฮ้ย! ระวัง! เสียงตะโกนร้องเตือนดังก้องไปทั่วทั้งระเบียง  

    ...แต่มันไม่ทันแล้ว...

    จากแรงที่กระแทกมาเต็มแรง  ทำให้ผมตัดสินใจหลับตาลงเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น  ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น

    ...เหมือนมือของใครต่อใครหลายสิบมือพยายามที่จะคว้าตัวผมเอาไว้

    ...เหมือนหน้าของใครหลายๆ คนมองมาอย่างตกตะลึง  แต่ช่วยอะไรไม่ได้

    และที่สำคัญก่อนทุกอย่างของประสาทการรับรู้ผมจะดับลง

    ...เหมือนเสียงของใครคนหนึ่งที่เรียกชื่อผม.................กำลังเรียกเหมือนขาดใจ

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “เป็นไงบ้างมึง” 

    หยี ป่าน และหวาย  สามสาวเกิร์ลแก๊งค์เดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนตัวโตที่นั่งนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้ว...ราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ......และหัวใจ  สายตาคมที่มีไว้มองใครบางคนที่มักจะไม่รู้ตัวเหม่อลอยอย่างไร้จุดมุ่งหมาย  มือหนาทาบลงกับเก้าอี้ที่ว่างเปล่า...ที่ใครบางคนเคยนั่งข้าง ๆ กัน  เคยไปซื้อขนมด้วยกัน  เคยไปกินข้าวด้วยกัน  เคยไปเที่ยวด้วยกัน  เคยติวหนังสือด้วยกัน  และเคย...

    เพิ่งจะรู้ว่าสายไป...ก็คราวนี้

    เพิ่งจะรู้ว่าการพูดออกไปดีกว่าเก็บงำไว้...ก็คราวนี้

    เพิ่งจะรู้ว่าการสูญเสียจะเจ็บปวดมากขนาดไหน...........ก็คราวนี้

    หวายมองสภาพของเพื่อนคนที่เคยแซว เคยด่าเล่นมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วอดที่จะน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความสงสารไม่ได้  ซึ่งไม่ต่างอะไรกับหยีและป่านที่กำลังทำตาแดง ๆ อยู่ข้าง ๆ กัน  

    “วันนี้พวกเราจะไปหาณัฐ...” หวายพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือเพราะเธอรู้ดีว่า คนตรงหน้าเสียใจมากแค่ไหน  ร้องไปก็รังแต่จะเพิ่มความเสียใจให้เพื่อนมากขึ้น “...ไปด้วยกันมั้ย”

    โมทย์เงยหน้าขึ้นมองคนชวน  แววตาที่เคยสดใสอย่างที่ณัฐชอบกลับแห้งแล้งจนน่าใจหาย  โมทย์พยักหน้าตอบรับน้อย ๆ ก่อนจะกลับไปซึมอย่างเก่า

    “มาหาณัฐเหรอจ้ะ” 

    เสียงคุณแม่ของณัฐเอ่ยทักเพื่อน ๆ ของลูกที่มาเยี่ยมเยียนกันบ่อย ๆ   น้ำเสียงอ่อนโยนแบบนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณัฐได้มาจากใคร  

    “พอดีเลย  แม่ต้องลงไปคุยกับคุณหมอเรื่องถอดพวกเครื่องช่วยหายใจแล้วก็ถอดสายออก  ฝากพวกหนูอยู่เป็นเพื่อนณัฐเค้าหน่อยจะได้มั้ยจ้ะ”

    คำพูดของแม่ของณัฐทำเอาไม่ว่าหยี ป่าน หวาย และโมทย์หันขวับอย่างตกตะลึง 

    “อะไรนะคะ” สามสาวร้องเสียงหลง  ...ถ้าถอดทุกอย่างออก  ก็หมายความว่า...

    แม่ของณัฐส่งยิ้มให้บาง ๆ ใบหน้าที่ยังคงสาวอยู่แสดงความอิดโรยอยู่ไม่น้อย “ตามที่ได้ยินนั่นแหล่ะจ้ะ”

    เหล่าเกิร์ลแก๊งค์ยกมือขึ้นปิดปาก  ส่วนโมทย์ทรุดลงนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง

    เพียงเวลาไม่นาน  คุณแม่ก็ขึ้นมาพร้อม ๆ กับหมอและพยาบาล  ทุก ๆ อย่างที่พันธนาการรั้งณัฐเอาไว้ถูกถอดออกจนหมด  คุณแม่ของณัฐออกไปข้างนอกอีกครั้งพร้อมกับหมอและพยาบาล  ส่วนหยี ป่านและหวายขอไปทำใจข้างนอกสักพัก  โดยปล่อยให้โมทย์ได้อยู่กับร่างของณัฐที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

    มือหนาไล้ไปตามแก้มขาวซีดที่เย็นชืดอย่างสั่นเทา  ก่อนที่หยดน้ำตาที่เคยเสียไปมากมายนับตั้งแต่ร่างของณัฐพลัดตกจากระเบียงตึกชั้นสามลอยลิ่วมากระทบกับพื้นสนามด้านล่างจะกลับมาอีกครั้ง  โมทย์โถมตัวเข้าหาร่างเล็กที่ตอนนี้ดูบอบบางเหลือเกินด้วยความเสียใจ  ไม่มีคำไหนจะบรรยายออกมาเป็นพูดได้เท่าคำนี้อีกแล้ว

    เสียใจ....เสียใจจนไม่รู้ว่าตลอดชีวิตจะเสียใจได้มากเท่านี้รึเปล่า...เท่าคน ๆ นี้รึเปล่า

    “โมทย์...” 

    แค่อยากได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อเขาอีกครั้ง...จะต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงถึงจะได้ยินอีก  โมทย์ซุกใบหน้าเข้ากับต้นคอของร่างบนเตียง  แขนทั้งสองข้างกอดแน่นอย่างไม่ต้องการที่จะให้ร่างนี้หายไปจากเขา

    ต้องทำยังไง...จะต้องทำยังไง...

    ...มันสายไปแล้วใช่มั้ย...

    “...โมทย์” สัมผัสบางเบากระทบเข้าที่แผ่นหลังกว้าง “มึง.......ได้ยินกูมั้ย........กู..หนัก”

    ไม่ต้องรอให้เรียกอีกเป็นรอบที่สี่ที่ห้า  คนที่เอาตัวทาบทับผมอยู่ก็เด้งผึง  ผงะออกอย่างตกใจ

    “อะ...อะ...ไอ้ณัฐ!.......มึง!...” ผมมองสีหน้าตกใจเหมือนโดนผีหลอกของมันอย่างขำ ๆ “มึงฟื้น!

    “เออ...กูฟื้น  แต่อีกนิดกูคงไม่ฟื้นเพราะมึงทับกูตาย” 

    “ได้ไงอ่ะ” 

    รู้สึกเหมือนมันจะช็อกมากครับที่เห็นผมลืมตาตื่นขึ้นมาคุยกับมันได้  แต่ก็แน่ล่ะครับผมหมดสตินอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เป็นเดือน  จนเพิ่งฟื้นก็เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากที่โมทย์และสามสาวมาเยี่ยมผมครั้งล่าสุดอย่างที่แม่บอกผมไว้  ส่วนที่ผมเพิ่งได้ถอดเครื่องช่วยทั้งหลายเอาวันนี้ก็เพราะว่า ร่างกายผมอ่อนแอมาก  จวบจนเมื่อวานนี้ที่คุณหมอบอกแม่ว่า คงถอดได้พรุ่งนี้

    “อ้าวไอ้เชี่ยนิ...หรือมึงอยากเห็นกูหลับต่อ”

    “ก็กูนึกว่ามึง...” เสียงที่เบาลงไม่ต้องสงสัยครับ  ผมต่อให้มันทันควัน

    “กูตาย...ว่างั้น” ผมมองใบหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มกว้างประดับอย่างคนที่ดีใจสุด ๆ “กูไม่ตายง่าย ๆ หรอก  ถ้าจะตายกูจะเอามึงไปเป็นเพื่อนด้วย”

    “ไอ้ผีพยาบาท” มันเริ่มด่าผมได้แล้วครับ

    “เออ...กูพยาบาทมึงแน่  เพราะมึงทำให้กูตกตึก....ว่าแล้วก็รับผิดชอบกูเลยนะมึงอ่ะ” ผมตอบกลับไปอย่างขำ ๆ อันนี้คงต้องยกความดีให้แม่ที่อยู่เฝ้าและแอบเฝ้าผมตลอด  แม่เลยจดจำทุกคำพูดที่ไอ้โมทย์มันพร่ำนู่นพร่ำนี่  โดยเฉพาะคำบางคำที่ผมอยากจะได้ยินจากปากมันเองมากกว่า

    “มึงอยากให้กูรับผิดชอบจริงเหรอ” แววตาสดใสที่ผมเคยชอบเริ่มฉายแววเจ้าเล่ห์ตงิด ๆ จนน่าหวั่นยังไงชอบกล “มึงก็รู้ว่า กูไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรี ๆ ยกเว้นจะมีของมาแลกเปลี่ยน”

    “ขี้งกที่หนึ่งเลยมึง...แต่มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเพื่อนใคร  ถ้ามึงอยากได้มึงก็หาอะไรมาแลกกับกูดิ” 

    มันเล่นมาอย่างนี้ผมก็เล่นแบบนี้กลับครับ  ทำเอาไอ้โมทย์หน้าเหวอไปเลย...สะใจ

    “ในเมื่อมึงกล้าท้าทายกูเยี่ยงนี้” ไอ้โมทย์วางมือทั้งสองข้างคร่อมตัวผม  ก่อนที่มันจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้...ใกล้จนลมหายใจร้อนผะผ่าวระที่ข้างแก้มเย็นจนรู้สึกอบอุ่นขึ้น  สายตาของโมทย์เหมือนมีแรงดึงดูดให้ผมจมลงไป  เปลือกตาค่อย ๆ ปรือปิดลงอย่างช้า  พร้อมกับคำกระซิบแผ่วเบาที่ริมฝีปาก

    “งั้นก็รับหัวใจของกูไปละกัน”

    สัมผัสจากคนที่ใฝ่ฝันและเฝ้าคิดถึงมาตลอดทำให้ผมรู้สึกตัวเบาอย่างประหลาด  ในสมองขาวโพลนอย่างนึกอะไรไม่ออก  รับรู้แต่สัมผัสอ่อนโยนและดูดดื่มที่อีกฝ่ายมอบให้  ในขณะที่หัวใจที่เพิ่งจะได้มาจากคนตรงหน้ากำลังเต้นแรงตึกตักสอดคล้องเป็นจังหวะเดียวกันกับก้อนเนื้อทางอกด้านซ้าย  

    ผมรักเขาจริง ๆ  และรู้สึกโชคดีเป็นที่สุดที่ได้ลืมตาตื่นมาเจอคน ๆ นี้อีกครั้ง

    “ณัฐรักโมทย์นะ” ผมกระซิบคำนี้ที่ข้างหูคนตัวโตที่ผละจากริมฝีปากอย่างเสียดายมากอดผมเสียแน่น

    “พูดอย่างนี้คิดจะยั่วกันยังรึไง” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมเสียเต็มรักพร้อมกับขโมยหอมไปฟอดใหญ่ “รู้มั้ยว่าอยากรังแกคนป่วยจะแย่อยู่แล้ว”

    สายตาพราวระริกที่ทอดมาอย่างออดอ้อนทำให้ผมต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่น  ในหัวคิดหาทางหนีทีไล่เร็วจี๋เมื่อได้รู้ว่า เจ้าของอ้อมกอดหื่นลามกยิ่งกว่าที่คิด...นี่ขนาดผมป่วยอยู่นะนั่น

    “กูมีเรื่องอยากถามมึง” เมื่อผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้นอกเหนือจากข้อมูลที่แม่ได้บอกไว้

    “พูดไม่เพราะ...ไม่ตอบหรอก”...เอาเข้าไป  ตั้งแต่ผมเป็นเพื่อนมันมาก็เพิ่งเคยเห็นอาการหวาน ๆ เลี่ยน ๆ อย่างนี้เป็นครั้งแรก

    “เฮ้อ...เรื่องมาก” ผมบ่น  ก่อนจะถามในสิ่งที่นึกสงสัยตั้งแต่ที่ฟื้นและได้ข้อมูล “วันที่เกิดเรื่อง  วันนั้นเราเห็นโมทย์จูบน้องเค้า”

    “หึงล่ะสิ” ...ไอ้เชี่ยนิ

    “อืมหึง...หึงน้องเค้าอ่ะ  อุตส่าห์เล็งมาตั้งนาน...โคตรจะน่ารัก แต่ไม่รู้ถูกหมาตัวไหนคาบไปแดก” พูดจบไอ้โมทย์ก็ทำตาวาววับน่ากลัวเชียวครับ  ไม่รู้ว่ามันโกรธที่ผมแกล้งหึงน้องเค้า  หรือว่ามันโกรธที่ผมว่ามันเป็นหมากันแน่

    “ถ้าพูดอย่างนี้อีกจะปิดด้วยปากเชียว” 

    ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่ามันโกรธอันไหน...เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดถึงมันอีก  เสียใจด้วยนะครับคุณผู้อ่าน 

    “วันนั้นเล่นเอาซะช็อคเลยล่ะ  ยัยน้องนั่นเห็นอย่างนั้นแต่ไม่นึกว่าจะไวไฟ  พุ่งเข้ามาจูบเราเร็วซะผงะหนีออกไม่ทัน”  หน้าโมทย์บอกถึงความสยดสยองครับ  สงสัยว่าจะมองคนที่หน้าตาไม่ได้แล้วล่ะ

    “แล้วที่โมทย์เคยตอบหยี ป่าน แล้วก็หวายว่า ไม่ใช่เกย์  ไม่ได้ชอบผู้ชาย  แล้วยังบอกว่าเห็นเราเป็นแค่เพื่อนสนิทอีกล่ะ”

    “ฟังแล้วหงอยไปเลยอะดี๊” เสียงระรื่นมากครับไอ้สัด...นี่เป็นคำสุภาพที่ผมจะมีให้แก่มัน

    “หยอกเล่นน่า” โมทย์ยิ้ม ๆ แล้วเอานิ้วมือมาแหย่แก้มผมที่ป่องพองขึ้นเวลาที่ไม่พอใจ “ที่บอกว่าไม่ใช่เกย์เพราะเคยลองมองผู้ชายคนอื่น  แต่ก็ไม่มีใครที่ทำให้ใจเต้นได้เท่าคนนี้”

    “แล้วที่บอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชายกับที่บอกว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทล่ะ”

    “เคยสังเกตตัวเองรึเปล่าเราอ่ะ” คำตอบของโมทย์เรียกคิ้วผมให้ขมวดเข้าหากัน “เวลาที่พวกนั้นถาม  หรือแม้แต่ใครแซว  ณัฐก็จะทำหน้านิ่ง ๆ เงียบ ๆ เหมือนกับไม่ชอบใจอยู่ตลอดเวลา  จนเรากลัวว่าถ้าหลุดปากออกไป...  ณัฐก็จะไปจากเราทันที  เราไม่อยากเสียณัฐไปหรอกนะ”

    ผมฟังแล้วผมอึ้ง...ต้องขอบอกว่าอึ้งมาก ๆ ...ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะคิดเหมือนกัน  ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าของโมทย์ที่บอกได้ชัดว่า กลัวที่จะสูญเสียผมไปมากขนาดไหน อย่างปลอบใจ  ก่อนจะยิ้มให้พร้อมกับบอกเบา ๆ ว่า โมทย์ไม่มีวันที่จะเสียผมไป

    “โมทย์รักณัฐนะ” โมทย์จูบที่หลังมือผมอย่างแผ่วเบา  ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับคำหวาน ๆ ที่ต้องการมาตลอดชีวิต...คำว่ารักที่สำคัญมากขนาดไหนเมื่อออกมาจากใจของคนตรงหน้า

    “อื้อ...แล้วพวกกูก็รักพวกมึงมาก ๆ เลยไอ้เชี่ยโมทย์  ไอ้เชี่ยณัฐ” 

    ปิดท้ายนี่ต้องยกให้เขาจริง ๆ ครับ  สามสามเกิร์ลแก๊งค์อย่างหยี ป่านและหวายวิ่งเข้ามากอดพวกผมสองคนไว้แน่น  ไม่รู้ว่าเพราะพวกเธอจิ้นสำเร็จกันรึเปล่าถึงได้ยิ้มและกรี๊ดออกมาเบา ๆ หลังจากได้เห็นฉากหวานตอนท้าย ๆ ระหว่างผมและโมทย์  ตาของสามสาวแดงเหมือนนกกระปูดจนผมอดขำไม่ได้  โมทย์บอกว่าสามคนนี้ร้องไห้เป็นเผาเต่า  แทบจะเอาหนังสือการ์ตูนวายทั้งหลายบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยบันดาลให้ผมหายกันเลยทีเดียว  แต่หยีบอกว่ามันเป็นการลงทุนกันเกินไป (ซะงั้นน่ะ)  เลยเปลี่ยนมาเยี่ยมผมทุกวันจนกว่าผมจะเบื่อและลุกขึ้นมาไล่ตะเพิดพวกเธอให้ออกจากห้องไป (เอากับพวกเธอสิครับ)

    พวกเรายิ้มให้กันอย่างมีความสุข  ก่อนที่จะเป็นผมคนเดียวที่หุบยิ้มพร้อม ๆ กับที่โมทย์เผยยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อพวกบูชาลัทธิวายส่งคำถามมาหวังจิ้นกันโดยเฉพาะ

    “ว่าแต่ระหว่างมึงกับมึงเนี่ย...ใครเป็นฝ่ายรุกใครเป็นฝ่ายรับกันวะ”

    คุณอย่าคิดมาถามผมเหมือนกับไอ้สามตัวนี้นะครับ  เพราะรูปการณ์เดิม ๆ มันจะลงท้ายแบบนี้ทุกที

    “พวกมึงก็จิ้นเอาเองสิวะ  แต่ที่แน่ ๆ ตำแหน่งกูตอนเล่นบาส  ทีมจะได้แต้มตอนกูรุกทุกทีว่ะ”





                                                                      <<<THE END >>>







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×