คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ((ตอนพิเศษ)) ...ไม่กล้าบอก...
...ไม่กล้าบอก...
คนแต่ง : kimilacta (ขิม)
ผู้อุปการคุณชื่อเรื่อง : คุณแกงส้ม
**ขอบคุณสำหรับชื่อเรื่องน่ารัก ๆ นะคะ เรื่องนี้สมบูรณ์ได้เพราะสมาชิกสวีทฮาร์ทอย่างคุณแกงส้มค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณจริง ๆ
***สำหรับนักอ่านที่ได้มาเยี่ยมเยียนเรื่องสั้นตอนพิเศษ แด่มิตรรักแฟนขิมนะคะ อมยิ้มได้แต่อย่าอมนาน...แล้วไว้ฤกษ์งาม
ยามดีเมื่อไหร่ เราคงได้พบกันในตอนพิเศษตอนหน้าค่ะ ^^
.
.
.
.
.
“เฮ้ย! ไอ้บ้า...กูไม่ใช่เกย์”
“จริงหรอวะ ปฏิเสธปากสั่นเชียวนะมึง กลบเกลื่อนป๊าว”
“อ้าว ๆ ไอ้นี่นิ...ก็บอกว่าไม่ใช่ ๆ เพื่อนกันโว้ย...แมร่ง เห็นกูอยู่กับใครแล้วต้องเป็นแฟนกัน ความคิดเชี่ยสัด ๆ กูผู้ชายนะเว้ย...เลิกพูดเหอะวะ ขนลุกโคตร”
หลังจากจบประโยคด้วยท่าสยองพองเกล้า ผมก็ละสายตากลับมาสนใจหนังสือการ์ตูนตรงหน้าเหมือนเดิม เสียงคุยโต้ตอบที่ดังลั่นห้องเรียนเป็นประจำทุกวันมันทำให้ผมชินชาซะแล้วล่ะครับ ฝ่ายหนึ่งเป็นพวกหยี ป่านและหวาย แกนนำกลุ่มเกิร์ลแก๊งค์สีม่วงที่บูชาลัทธิวาย ส่วนอีกฝ่ายคือเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มักจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของบรรดาอาจารย์ทั้งหลายในการจัดหาตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างโมทย์
“เฮ้ย...ณัฐไปซื้อหนมเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ เมื่อเช้าแมร่งตื่นสาย เลยอดแดกเลย” โมทย์ตะโกนมายังทิศที่ผมนั่งอยู่ ทำให้ผมต้องปล่อยมือจากหนังสือการ์ตูนข้างหนึ่งเพื่อกดปุ่มเปิดเพลงในไอพอด
“ว่าไงนะ” ผมตะโกนกลับ แต่ตายังคงจ้องอยู่ที่ตัวเอกของเรื่อง
“กู-บอก-ว่า-ไป-ซื้อ-หนม-เป็น-เพื่อน-กู-หน่อย”
โมทย์เข้ามาดึงหูฟังข้างหนึ่งของผมออก ก่อนจะแกล้งตะโกนใส่ข้าง ๆ หูผมแทนเสียงเพลงที่ผมเร่งระดับความดังจนเกือบสุด จนแม้จะถูกไอ้คนข้าง ๆ ถอดออกไปก็ยังจะได้ยินอยู่
“วิ้ววววว~.....ฮิ้วววววววววว กระซิบข้างหูเว้ย..กระซิบข้างหู ฮ่า ๆๆ” เสียงแซวจากกลุ่มเกิร์ลแก๊งค์เขาล่ะครับ
“เก็บความคิดชั่ว ๆ ไปเลยนะพวกมึงน่ะ” โมทย์หันไปด่า สีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ไอ้ณัฐ..เปิดเพลงซะดังเชียวมึง กูตะโกนเรียกมึงคอแทบแตก”
หาเรื่องมาลงที่กูอีกไอ้เวร....ผมมองหน้าหล่อ ๆ ของมันอย่างระอา
“อ้าว...กูก็หลงนึกว่ามึงเป็นโทรโข่งกลับชาติมาเกิดซะอีก ตะโกนใส่หูกูได้นะไอ้โมทย์ ขี้หูกูเซตกแคทวอร์กหมด...”
“ไอ้เอี้ยณัฐ” มันหันกลับมาด่าผมด้วยคำสุภาพครับเยาวชนทั้งหลาย
“โห...กูย้อนนิดเดียว ยกย่องกูเป็นตัวกินไก่เลยนะ จะไปไม่ไปมึง”
พูดจบมันก็วาดแขนโต ๆ ของมันเข้ามาล็อคคอผมแทนคำตอบโดยทิ้งเสียงวีดวิ้วจากสาว ๆ แกนนำสีม่วงไว้ด้านหลัง ระหว่างทางที่เราเดินไปสหกรณ์ของโรงเรียน ผมใช้เวลานั้นสำรวจคนข้าง ๆ ตัวอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้มันรู้ตัว ไอ้โมทย์มันเป็นคนหล่อครับ กิจกรรมเพอร์เฟคจนเรียกได้ว่ามันหยิบจับอะไรก็ชนะเลิศตลอดแต่อาจจะยกเว้นการเรียนที่มันได้แค่พอถูไถไปได้เท่านั้นเองครับ
ผมกับโมทย์เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ ...อนุบาลเราก็อยู่ห้องเดียวกัน ประถมเราก็อยู่ด้วยกัน...จนมัธยมปลายเราก็ได้นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน พวกเราอยู่ด้วยกันเสมอมาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม และด้วยความที่เรามีเราตลอด...มันก็ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป ผมบอกใครไม่ได้ว่า ผมให้ความสำคัญกับคนข้าง ๆ ผมเกินเพื่อนไปแล้ว
ถ้ามันรู้...มันคงเกลียดผม
ถ้ามันรู้...มันคงไม่ต้องการผม...เพื่อนคนนี้อีกต่อไป
“หวัดดีณัฐ” ระหว่างที่ผมยืนรอโมทย์อยู่หน้าสหกรณ์ พี่ทามที่เป็นรุ่นพี่ม.หกก็เข้ามาทักผมด้วยน้ำเสียงสดใสอันเป็นเอกลักษณ์
ผมยิ้มให้พี่เขา ก่อนจะทักทายกลับไปตามมารยาท “หวัดดีครับพี่ทาม คาบนี้ไม่มีเรียนเหมือนกันเหรอครับ”
“มี...แต่โดด” พี่ทามตอบด้วยสีหน้าทะเล้น ปกติพี่เขาเป็นคนขี้เล่นและอารมณ์ดีเสมอ ๆ ครับ มีมนุษยสัมพันธ์ดีกับคนอื่นเขาไปทั่ว ขนาดผมที่เป็น unknown พี่เขายังมาตีซี้ตีสนิทกับผมเลย
“ซะงั้นน่ะ” ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ “มาเผยไต๋กันแบบนี้ ระวังผมเอาไปฟ้องอาจารย์นะครับ”
“เคยกลัวที่ไหน....แต่ถ้าจะให้ดีน้องณัฐอย่างฟ้องเลยนะครับ ถือว่าสงสารพี่เถอะนะ นะ ๆ” ดูหน้าพี่แกสิครับ ทำหน้าเหมือนลูกหมาหงอยโดนเจ้าของทิ้งยังไงยังงั้น
“ณัฐ!...ไปได้แล้วมึง”
ไอ้โมทย์โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ครับ หน้ามันหงิกยิ่งกว่าตอนที่ด่าผมเรื่องเปิดเสียงไอพอดดังซะอีก มันพูดจบก็กระชากแขนผมให้กลับห้องโดยไม่สนใจพี่ทามที่หน้าเหวออย่างแรง
“มึงเป็นอะไรของมึง...สัดโมทย์” ผมกระชากแขนตัวเองกลับมา พร้อมกับส่งสายตาไม่เข้าใจกับการกระทำของมัน
“ก็กูเมื่อย อยากกลับเข้าไปนั่งในห้อง เรียกมึงตั้งนานมึงก็ไม่หันเองนี่หว่า” มันหันกลับมาตอบผม น้ำเสียงของมันบ่งว่ากำลังหงุดหงิดเอามาก ๆ
“มึง.....เรียกกู.......ตอนไหนวะ?” ผมงงครับ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจตัวเองสักเท่าไหร่เพราะตอนนั้นผมก็ทั้งฟังเพลงและหันไปคุยกับพี่ทาม
“ตั้งแต่ตอนพม่าบุกกรุง กูแหกปากเรียกให้มึงเอาธนูมาสมทบ แต่มึงก็มัวแต่คุยกับไอ้ลูกชายเสนาขายชาติอยู่ได้”
“ไอ้สัด” และมันก็เป็นคำด่าที่สุภาพที่สุดที่ผมจะให้มันได้ครับ “กูรู้ว่า มึงเอกประวัติศาสต์ แต่ไม่ต้องร่ายยาวให้เกียรติกูติดชื่ออยู่ในทำเนียบกบฏอยุธยาก็ได้มึง เล่นซะกูรู้สึกผิดระดับชาติเลยไอ้เชี่ยนี่”
พอได้ฟังที่ผมพูด มันก็หัวเราะขำตามประสาคนปัญญาน้อยเยี่ยงไอ้โมทย์นั่นแหล่ะครับ แต่อย่างน้อยผมว่ามันก็ดีกว่าจะให้มันทำหน้าบูดหน้าบึ้งเป็นไหน ๆ ผมชอบตอนที่โมทย์ยิ้มและสนุกสนานไปกับเรื่องที่ผมพูด...ที่ผมทำมากกว่า
...มากกว่าจะให้มารู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิทของมันไม่คิดกับมันอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว
“ฮั่นแน่...พวกกูเห็นนะโว้ยไอ้โมทย์” สงสัยจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ตัวจริง หยี ป่าน และหวายถึงโผล่มาได้เหมาะเจาะ สามสาวมาด้วยเรื่องเดิม ๆ “หึงไอ้ณัฐมันอ่ะดิ อย่างว่าล่ะหนูณัฐเราออกจะขาว ตาก็โต ปากก็แดงน่ารักน่าจุ๊บขนาดเนี้ยะ”
หยีเดินเข้ามาเกาะแขนผมพร้อมกับชี้ให้ดูแต่ละส่วนเหมือนกับอาจารย์สอนกายวิภาค หากแต่รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าหล่อ ๆ หายวับ โมทย์เหลือบมองมาทางผมแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเหล่าเกิร์ลแก๊งค์เต็มทน
“จะให้กูพูดอีกกี่ครั้งว่า กูไม่ใช่เกย์...กู-ไม่-ได้-ชอบ-ผู้-ชาย แล้วไอ้ณัฐมันก็เป็นเพื่อนสนิทกู พวกมึงอย่าหาเรื่องได้มั้ย นี่กูจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะเว้ย”
“โหย...พวกกูล้อเล่นน่า เล่นแค่นี้จริงจังไปได้มึง กูรู้ว่ามึงคิดกับไอ้ณัฐแค่เพื่อน กูแซวพวกมึงเล่นเฉย ๆ เอง” หวายพูดเสียงอ่อย สงสัยเพิ่งเคยเจอไอ้โมทย์ทำเสียงดุเป็นครั้งแรก
ป่านเห็นเพื่อนสาวมีท่าทีอย่างนั้นก็เสริมขึ้นมาบ้าง “มึงก็รู้ว่า พวกกูชอบอ่านอะไรแบบนี้...จิ้นเล่นเฉย ๆ มึง อย่าโกรธพวกกูเลยน่าโมทย์ ดูไอ้ณัฐดิวะ...ใจดี ไม่เห็นจะว่าพวกกูซักคำอย่างมึง”
มีความรู้สึกเหมือนโดนขี้หมาปากใส่หน้าเลยครับ สาวป่านทำพิษผมแล้วมั้ยล่ะ...ตอนนี้ผมเลยกลายเป็นเป้าสายตาไปเลย ทั้งสายตาของหยี ป่าน หวาย และไอ้โมทย์ ซึ่งสายตาคาดคั้นของมันแทบทำให้หัวใจผมหยุดเต้นเดี๋ยวนั้น ผมเลยแกล้งหัวเราะขึ้นมา แล้วเลี่ยงตอบไป
“ฮ่าๆๆๆๆ ก็กูรู้ตัวดีนี่หว่าว่ากูเป็นหรือไม่ได้เป็น พวกมึงก็ได้แค่แซวกูเฉย ๆ คำพูดมึงเปลี่ยนกูไม่ได้หรอก”
“อ่ะ ๆ เห็นป้ะล่ะ...กูโคตรรักมึงเลยว่ะไอ้ณัฐ ยอมมาเป็นสามีน้อยกูเถอะ” หวายโถมทั้งตัวเข้ามากอดผม พร้อมทั้งพยายามยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มจนผมต้องผงะหนี
...ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย มึงทำอย่างนี้กูขนลุกมากกว่าซึ้งว่ะ...ไอ้หวาย ถ้าพี่แมนมาเห็นกูกับมึงในสภาพนี้มีหวัง...กูตายแน่ไอ้หวาย...
ระหว่างที่ผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหวายอยู่ ไอ้โมทย์ที่ยืนเงียบอยู่ก็หัวเราะขึ้นมาบ้างแล้วเอามือข้างหนึ่งตบไหล่ผมหนัก ๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องตามลำพังโดยทิ้งสาว ๆ เกิร์ลแก๊งค์ให้ทำการโลมเลียผมได้ตามใจ ผมมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปอย่างรู้สึกเศร้า ๆ ในสถานการณ์แบบนั้นเป็นคุณ ๆ จะตอบได้กี่ทางล่ะครับ ถ้าคุณไม่อยากจะเสียเพื่อนไปเพราะความรู้สึกตัวเอง ผมก็เป็นอย่างนั้น คำตอบที่ออกมามันไม่มีทางเลือกอื่นในเมื่อคนที่ผมรักเขาประกาศชัดทั้งระเบียงว่า
...ผมเป็นได้แค่เพื่อนสนิท...
“วันนี้มึงกลับบ้านไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอกู” โมทย์หันมาบอกผม พร้อมกับยัดหนังสือลงในกระเป๋าอย่างเร่งรีบหลังจากเสียงออดของโรงเรียนบอกจบคาบเรียนสุดท้ายของวัน
“ทำไมวะ?”
“กูมีธุระต้องทำ เดี๋ยวมึงจะรอนาน” โมทย์ไม่ได้หันหน้ามาตอบผมเลยสักนิด พูดอีกทีมันไม่สนใจผมมากกว่า
“ไม่เป็นไรกูรอดะ...” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยคไอ้โมทย์ก็สวนขึ้นมาทันควัน มันตะโกนสวนขึ้นมาจนผมตกใจ
“ไม่ต้อง!” มันเงยหน้ามองผมแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าปิดกระเป๋า “เอ่อ...กู...กูต้องซ้อมบาสน่ะ พี่แมนนัด”
พูดจบมันก็วิ่งออกไปจากห้องเรียนอย่างรวดเร็วจนแม้แต่สามสาวเกิร์ลแก๊งค์ยังสงสัยจนหันมาถามผม ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เหมือนกัน
“อัลไซเมอร์เอ๋อแดกอีกแล้วสิกู บ้าเอ้ย!”
ผมที่กำลังจะลงจากตึกเรียนเพิ่งนึกออกว่าอาจารย์จันกะพ้อสั่งให้ผมไปเอาหนังสือที่ห้องพักอาจารย์ด้วย ผมลงเรียนฝรั่งเศสเสริมครับเลยต้องอ่านหนังสือนอกเวลาหนึ่งเล่มต่อสัปดาห์ ผมเดินข้ามตึกไปยังแผนกภาษาต่างประเทศ ตึกนี้ระเบียงค่อนข้างกว้างครับเลยมักจะมีพวกเด็กม.ต้นจับกลุ่มเล่นบอลบนตึกประจำ ซึ่งอาจารย์ท่านก็ว่าจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
“ขออนุญาตครับ” ...แป่ว ไม่มีอาจารย์อยู่เลยสักคนครับ ผมก็เลยรีบเดินเข้าไปหยิบหนังสือแล้วก็รีบออกมาทันที
“อ่ะ...เอ่อ...คือหนู....หนู....หนูชอบพี่โมทย์ค่ะ”
เสียงเล็ก ๆ น่ารักดังขึ้นที่ตรงข้างโสตฯ เรื่องสารภาพรักในวัยมัธยมเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่มันคงไม่ธรรมดาสำหรับผมเมื่อชื่อของใครคนหนึ่งอยู่ในประโยคนั้น เท้าของผมก้าวไปทางทิศนั้นอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บขึ้นมานิด ๆ แต่ว่าผมไม่ได้สนใจในเมื่อภาพตรงหน้าทำให้ผมช็อคค้างได้มากกว่า ในสมองรู้สึกปวดหนึบเหมือนถูกของแข็งทุบเข้าแรง ๆ ที่ท้ายทอยจนประสาทการรับรู้หยุดทำงาน
โมทย์กับเด็กคนนั้นจูบกัน...
“โมทย์....” ผมครางชื่อมันออกมาเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่มันก็คงจะดังจนสองคนที่จูบกันอยู่ถึงได้ผงะออกห่างกันอย่างตกใจที่มีบุคคลที่สามเข้ามาเห็น
“อะ...ไอ้...ณัฐ” สีหน้าและแววตาของโมทย์แสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่ามือทั้งสองข้างของมันยังคงจับไหล่ของน้องคนนั้นราวกับประคองอย่างทะนุถนอม
...รู้สึกเจ็บจังเลย...เจ็บจุกจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ไอ้ณัฐ!”
ตอนนี้ไม่ว่าอะไรผมก็ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ทางเดินข้างหน้าพร่าเลือนไปหมดเพราะม่านน้ำตาที่พรั่งพรูทะลักออกมาจากความรู้สึกข้างใน อยากจะล้างภาพที่ได้เห็น...อยากจะบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ...แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ เป็นอีกครั้งที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผมวิ่งออกมาจากที่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ขาที่แทบอ่อนทรุดลงไปกับพื้นตั้งแต่ได้เห็นคนที่ผมแอบรักกำลังจูบกับผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าใช้แรงวิ่งมาจนถึงระเบียงชั้นสามได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่ห้องพักอาจารย์และข้างห้องโสตฯอยู่ตั้งชั้นหก
...เขาคงไม่รู้ว่าผมเจ็บแทบเจียนตายในขณะที่เขากำลังมีความสุขกับคนที่เขารัก...เพราะสิ่งที่ผมเป็นได้นั้นมันก็แค่
...เพื่อนสนิท.........เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชาย...
ผมร้องไห้สะอื้นออกมาอย่างไม่สนใจใครในเมื่อความเจ็บปวดข้างในมันมากกว่า ผมยังคงวิ่งต่อไป...และต่อไปจนถึงชั้นล่าง...จนถึงทางออกของโรงเรียน...จนถึงบ้านที่มีเพียงกลุ่มคนที่รักผมเท่านั้น แต่ว่า...
“เฮ้ย! ระวัง!” เสียงตะโกนร้องเตือนดังก้องไปทั่วทั้งระเบียง
...แต่มันไม่ทันแล้ว...
จากแรงที่กระแทกมาเต็มแรง ทำให้ผมตัดสินใจหลับตาลงเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น
...เหมือนมือของใครต่อใครหลายสิบมือพยายามที่จะคว้าตัวผมเอาไว้
...เหมือนหน้าของใครหลายๆ คนมองมาอย่างตกตะลึง แต่ช่วยอะไรไม่ได้
และที่สำคัญก่อนทุกอย่างของประสาทการรับรู้ผมจะดับลง
...เหมือนเสียงของใครคนหนึ่งที่เรียกชื่อผม.................กำลังเรียกเหมือนขาดใจ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เป็นไงบ้างมึง”
หยี ป่าน และหวาย สามสาวเกิร์ลแก๊งค์เดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนตัวโตที่นั่งนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้ว...ราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ......และหัวใจ สายตาคมที่มีไว้มองใครบางคนที่มักจะไม่รู้ตัวเหม่อลอยอย่างไร้จุดมุ่งหมาย มือหนาทาบลงกับเก้าอี้ที่ว่างเปล่า...ที่ใครบางคนเคยนั่งข้าง ๆ กัน เคยไปซื้อขนมด้วยกัน เคยไปกินข้าวด้วยกัน เคยไปเที่ยวด้วยกัน เคยติวหนังสือด้วยกัน และเคย...
เพิ่งจะรู้ว่าสายไป...ก็คราวนี้
เพิ่งจะรู้ว่าการพูดออกไปดีกว่าเก็บงำไว้...ก็คราวนี้
เพิ่งจะรู้ว่าการสูญเสียจะเจ็บปวดมากขนาดไหน...........ก็คราวนี้
หวายมองสภาพของเพื่อนคนที่เคยแซว เคยด่าเล่นมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วอดที่จะน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความสงสารไม่ได้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับหยีและป่านที่กำลังทำตาแดง ๆ อยู่ข้าง ๆ กัน
“วันนี้พวกเราจะไปหาณัฐ...” หวายพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือเพราะเธอรู้ดีว่า คนตรงหน้าเสียใจมากแค่ไหน ร้องไปก็รังแต่จะเพิ่มความเสียใจให้เพื่อนมากขึ้น “...ไปด้วยกันมั้ย”
โมทย์เงยหน้าขึ้นมองคนชวน แววตาที่เคยสดใสอย่างที่ณัฐชอบกลับแห้งแล้งจนน่าใจหาย โมทย์พยักหน้าตอบรับน้อย ๆ ก่อนจะกลับไปซึมอย่างเก่า
“มาหาณัฐเหรอจ้ะ”
เสียงคุณแม่ของณัฐเอ่ยทักเพื่อน ๆ ของลูกที่มาเยี่ยมเยียนกันบ่อย ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนแบบนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณัฐได้มาจากใคร
“พอดีเลย แม่ต้องลงไปคุยกับคุณหมอเรื่องถอดพวกเครื่องช่วยหายใจแล้วก็ถอดสายออก ฝากพวกหนูอยู่เป็นเพื่อนณัฐเค้าหน่อยจะได้มั้ยจ้ะ”
คำพูดของแม่ของณัฐทำเอาไม่ว่าหยี ป่าน หวาย และโมทย์หันขวับอย่างตกตะลึง
“อะไรนะคะ” สามสาวร้องเสียงหลง ...ถ้าถอดทุกอย่างออก ก็หมายความว่า...
แม่ของณัฐส่งยิ้มให้บาง ๆ ใบหน้าที่ยังคงสาวอยู่แสดงความอิดโรยอยู่ไม่น้อย “ตามที่ได้ยินนั่นแหล่ะจ้ะ”
เหล่าเกิร์ลแก๊งค์ยกมือขึ้นปิดปาก ส่วนโมทย์ทรุดลงนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง
เพียงเวลาไม่นาน คุณแม่ก็ขึ้นมาพร้อม ๆ กับหมอและพยาบาล ทุก ๆ อย่างที่พันธนาการรั้งณัฐเอาไว้ถูกถอดออกจนหมด คุณแม่ของณัฐออกไปข้างนอกอีกครั้งพร้อมกับหมอและพยาบาล ส่วนหยี ป่านและหวายขอไปทำใจข้างนอกสักพัก โดยปล่อยให้โมทย์ได้อยู่กับร่างของณัฐที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
มือหนาไล้ไปตามแก้มขาวซีดที่เย็นชืดอย่างสั่นเทา ก่อนที่หยดน้ำตาที่เคยเสียไปมากมายนับตั้งแต่ร่างของณัฐพลัดตกจากระเบียงตึกชั้นสามลอยลิ่วมากระทบกับพื้นสนามด้านล่างจะกลับมาอีกครั้ง โมทย์โถมตัวเข้าหาร่างเล็กที่ตอนนี้ดูบอบบางเหลือเกินด้วยความเสียใจ ไม่มีคำไหนจะบรรยายออกมาเป็นพูดได้เท่าคำนี้อีกแล้ว
เสียใจ....เสียใจจนไม่รู้ว่าตลอดชีวิตจะเสียใจได้มากเท่านี้รึเปล่า...เท่าคน ๆ นี้รึเปล่า
“โมทย์...”
แค่อยากได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อเขาอีกครั้ง...จะต้องทำยังไง...ต้องทำยังไงถึงจะได้ยินอีก โมทย์ซุกใบหน้าเข้ากับต้นคอของร่างบนเตียง แขนทั้งสองข้างกอดแน่นอย่างไม่ต้องการที่จะให้ร่างนี้หายไปจากเขา
ต้องทำยังไง...จะต้องทำยังไง...
...มันสายไปแล้วใช่มั้ย...
“...โมทย์” สัมผัสบางเบากระทบเข้าที่แผ่นหลังกว้าง “มึง.......ได้ยินกูมั้ย........กู..หนัก”
ไม่ต้องรอให้เรียกอีกเป็นรอบที่สี่ที่ห้า คนที่เอาตัวทาบทับผมอยู่ก็เด้งผึง ผงะออกอย่างตกใจ
“อะ...อะ...ไอ้ณัฐ!.......มึง!...” ผมมองสีหน้าตกใจเหมือนโดนผีหลอกของมันอย่างขำ ๆ “มึงฟื้น!”
“เออ...กูฟื้น แต่อีกนิดกูคงไม่ฟื้นเพราะมึงทับกูตาย”
“ได้ไงอ่ะ”
รู้สึกเหมือนมันจะช็อกมากครับที่เห็นผมลืมตาตื่นขึ้นมาคุยกับมันได้ แต่ก็แน่ล่ะครับผมหมดสตินอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เป็นเดือน จนเพิ่งฟื้นก็เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากที่โมทย์และสามสาวมาเยี่ยมผมครั้งล่าสุดอย่างที่แม่บอกผมไว้ ส่วนที่ผมเพิ่งได้ถอดเครื่องช่วยทั้งหลายเอาวันนี้ก็เพราะว่า ร่างกายผมอ่อนแอมาก จวบจนเมื่อวานนี้ที่คุณหมอบอกแม่ว่า คงถอดได้พรุ่งนี้
“อ้าวไอ้เชี่ยนิ...หรือมึงอยากเห็นกูหลับต่อ”
“ก็กูนึกว่ามึง...” เสียงที่เบาลงไม่ต้องสงสัยครับ ผมต่อให้มันทันควัน
“กูตาย...ว่างั้น” ผมมองใบหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มกว้างประดับอย่างคนที่ดีใจสุด ๆ “กูไม่ตายง่าย ๆ หรอก ถ้าจะตายกูจะเอามึงไปเป็นเพื่อนด้วย”
“ไอ้ผีพยาบาท” มันเริ่มด่าผมได้แล้วครับ
“เออ...กูพยาบาทมึงแน่ เพราะมึงทำให้กูตกตึก....ว่าแล้วก็รับผิดชอบกูเลยนะมึงอ่ะ” ผมตอบกลับไปอย่างขำ ๆ อันนี้คงต้องยกความดีให้แม่ที่อยู่เฝ้าและแอบเฝ้าผมตลอด แม่เลยจดจำทุกคำพูดที่ไอ้โมทย์มันพร่ำนู่นพร่ำนี่ โดยเฉพาะคำบางคำที่ผมอยากจะได้ยินจากปากมันเองมากกว่า
“มึงอยากให้กูรับผิดชอบจริงเหรอ” แววตาสดใสที่ผมเคยชอบเริ่มฉายแววเจ้าเล่ห์ตงิด ๆ จนน่าหวั่นยังไงชอบกล “มึงก็รู้ว่า กูไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรี ๆ ยกเว้นจะมีของมาแลกเปลี่ยน”
“ขี้งกที่หนึ่งเลยมึง...แต่มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเพื่อนใคร ถ้ามึงอยากได้มึงก็หาอะไรมาแลกกับกูดิ”
มันเล่นมาอย่างนี้ผมก็เล่นแบบนี้กลับครับ ทำเอาไอ้โมทย์หน้าเหวอไปเลย...สะใจ
“ในเมื่อมึงกล้าท้าทายกูเยี่ยงนี้” ไอ้โมทย์วางมือทั้งสองข้างคร่อมตัวผม ก่อนที่มันจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้...ใกล้จนลมหายใจร้อนผะผ่าวระที่ข้างแก้มเย็นจนรู้สึกอบอุ่นขึ้น สายตาของโมทย์เหมือนมีแรงดึงดูดให้ผมจมลงไป เปลือกตาค่อย ๆ ปรือปิดลงอย่างช้า พร้อมกับคำกระซิบแผ่วเบาที่ริมฝีปาก
“งั้นก็รับหัวใจของกูไปละกัน”
สัมผัสจากคนที่ใฝ่ฝันและเฝ้าคิดถึงมาตลอดทำให้ผมรู้สึกตัวเบาอย่างประหลาด ในสมองขาวโพลนอย่างนึกอะไรไม่ออก รับรู้แต่สัมผัสอ่อนโยนและดูดดื่มที่อีกฝ่ายมอบให้ ในขณะที่หัวใจที่เพิ่งจะได้มาจากคนตรงหน้ากำลังเต้นแรงตึกตักสอดคล้องเป็นจังหวะเดียวกันกับก้อนเนื้อทางอกด้านซ้าย
ผมรักเขาจริง ๆ และรู้สึกโชคดีเป็นที่สุดที่ได้ลืมตาตื่นมาเจอคน ๆ นี้อีกครั้ง
“ณัฐรักโมทย์นะ” ผมกระซิบคำนี้ที่ข้างหูคนตัวโตที่ผละจากริมฝีปากอย่างเสียดายมากอดผมเสียแน่น
“พูดอย่างนี้คิดจะยั่วกันยังรึไง” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมเสียเต็มรักพร้อมกับขโมยหอมไปฟอดใหญ่ “รู้มั้ยว่าอยากรังแกคนป่วยจะแย่อยู่แล้ว”
สายตาพราวระริกที่ทอดมาอย่างออดอ้อนทำให้ผมต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่น ในหัวคิดหาทางหนีทีไล่เร็วจี๋เมื่อได้รู้ว่า เจ้าของอ้อมกอดหื่นลามกยิ่งกว่าที่คิด...นี่ขนาดผมป่วยอยู่นะนั่น
“กูมีเรื่องอยากถามมึง” เมื่อผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้นอกเหนือจากข้อมูลที่แม่ได้บอกไว้
“พูดไม่เพราะ...ไม่ตอบหรอก”...เอาเข้าไป ตั้งแต่ผมเป็นเพื่อนมันมาก็เพิ่งเคยเห็นอาการหวาน ๆ เลี่ยน ๆ อย่างนี้เป็นครั้งแรก
“เฮ้อ...เรื่องมาก” ผมบ่น ก่อนจะถามในสิ่งที่นึกสงสัยตั้งแต่ที่ฟื้นและได้ข้อมูล “วันที่เกิดเรื่อง วันนั้นเราเห็นโมทย์จูบน้องเค้า”
“หึงล่ะสิ” ...ไอ้เชี่ยนิ
“อืมหึง...หึงน้องเค้าอ่ะ อุตส่าห์เล็งมาตั้งนาน...โคตรจะน่ารัก แต่ไม่รู้ถูกหมาตัวไหนคาบไปแดก” พูดจบไอ้โมทย์ก็ทำตาวาววับน่ากลัวเชียวครับ ไม่รู้ว่ามันโกรธที่ผมแกล้งหึงน้องเค้า หรือว่ามันโกรธที่ผมว่ามันเป็นหมากันแน่
“ถ้าพูดอย่างนี้อีกจะปิดด้วยปากเชียว”
ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่ามันโกรธอันไหน...เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดถึงมันอีก เสียใจด้วยนะครับคุณผู้อ่าน
“วันนั้นเล่นเอาซะช็อคเลยล่ะ ยัยน้องนั่นเห็นอย่างนั้นแต่ไม่นึกว่าจะไวไฟ พุ่งเข้ามาจูบเราเร็วซะผงะหนีออกไม่ทัน” หน้าโมทย์บอกถึงความสยดสยองครับ สงสัยว่าจะมองคนที่หน้าตาไม่ได้แล้วล่ะ
“แล้วที่โมทย์เคยตอบหยี ป่าน แล้วก็หวายว่า ไม่ใช่เกย์ ไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วยังบอกว่าเห็นเราเป็นแค่เพื่อนสนิทอีกล่ะ”
“ฟังแล้วหงอยไปเลยอะดี๊” เสียงระรื่นมากครับไอ้สัด...นี่เป็นคำสุภาพที่ผมจะมีให้แก่มัน
“หยอกเล่นน่า” โมทย์ยิ้ม ๆ แล้วเอานิ้วมือมาแหย่แก้มผมที่ป่องพองขึ้นเวลาที่ไม่พอใจ “ที่บอกว่าไม่ใช่เกย์เพราะเคยลองมองผู้ชายคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครที่ทำให้ใจเต้นได้เท่าคนนี้”
“แล้วที่บอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชายกับที่บอกว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทล่ะ”
“เคยสังเกตตัวเองรึเปล่าเราอ่ะ” คำตอบของโมทย์เรียกคิ้วผมให้ขมวดเข้าหากัน “เวลาที่พวกนั้นถาม หรือแม้แต่ใครแซว ณัฐก็จะทำหน้านิ่ง ๆ เงียบ ๆ เหมือนกับไม่ชอบใจอยู่ตลอดเวลา จนเรากลัวว่าถ้าหลุดปากออกไป... ณัฐก็จะไปจากเราทันที เราไม่อยากเสียณัฐไปหรอกนะ”
ผมฟังแล้วผมอึ้ง...ต้องขอบอกว่าอึ้งมาก ๆ ...ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะคิดเหมือนกัน ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าของโมทย์ที่บอกได้ชัดว่า กลัวที่จะสูญเสียผมไปมากขนาดไหน อย่างปลอบใจ ก่อนจะยิ้มให้พร้อมกับบอกเบา ๆ ว่า โมทย์ไม่มีวันที่จะเสียผมไป
“โมทย์รักณัฐนะ” โมทย์จูบที่หลังมือผมอย่างแผ่วเบา ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับคำหวาน ๆ ที่ต้องการมาตลอดชีวิต...คำว่ารักที่สำคัญมากขนาดไหนเมื่อออกมาจากใจของคนตรงหน้า
“อื้อ...แล้วพวกกูก็รักพวกมึงมาก ๆ เลยไอ้เชี่ยโมทย์ ไอ้เชี่ยณัฐ”
ปิดท้ายนี่ต้องยกให้เขาจริง ๆ ครับ สามสามเกิร์ลแก๊งค์อย่างหยี ป่านและหวายวิ่งเข้ามากอดพวกผมสองคนไว้แน่น ไม่รู้ว่าเพราะพวกเธอจิ้นสำเร็จกันรึเปล่าถึงได้ยิ้มและกรี๊ดออกมาเบา ๆ หลังจากได้เห็นฉากหวานตอนท้าย ๆ ระหว่างผมและโมทย์ ตาของสามสาวแดงเหมือนนกกระปูดจนผมอดขำไม่ได้ โมทย์บอกว่าสามคนนี้ร้องไห้เป็นเผาเต่า แทบจะเอาหนังสือการ์ตูนวายทั้งหลายบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยบันดาลให้ผมหายกันเลยทีเดียว แต่หยีบอกว่ามันเป็นการลงทุนกันเกินไป (ซะงั้นน่ะ) เลยเปลี่ยนมาเยี่ยมผมทุกวันจนกว่าผมจะเบื่อและลุกขึ้นมาไล่ตะเพิดพวกเธอให้ออกจากห้องไป (เอากับพวกเธอสิครับ)
พวกเรายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่จะเป็นผมคนเดียวที่หุบยิ้มพร้อม ๆ กับที่โมทย์เผยยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อพวกบูชาลัทธิวายส่งคำถามมาหวังจิ้นกันโดยเฉพาะ
“ว่าแต่ระหว่างมึงกับมึงเนี่ย...ใครเป็นฝ่ายรุกใครเป็นฝ่ายรับกันวะ”
คุณอย่าคิดมาถามผมเหมือนกับไอ้สามตัวนี้นะครับ เพราะรูปการณ์เดิม ๆ มันจะลงท้ายแบบนี้ทุกที
“พวกมึงก็จิ้นเอาเองสิวะ แต่ที่แน่ ๆ ตำแหน่งกูตอนเล่นบาส ทีมจะได้แต้มตอนกูรุกทุกทีว่ะ”
<<<THE END >>>
ความคิดเห็น