คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ((ตอนพิเศษ)) ...สมมติฐานรัก...
..สมมติฐานรัก...
คนแต่ง : kimilacta (ขิม)
ผู้อุปการคุณชื่อเรื่อง : violet
** ขอบคุณสำหรับชื่อเรื่องน่ารัก ๆ นะคะคุณ violet ดีใจมากเลยค่ะที่ให้ความกรุณาในการตั้งชื่อเรื่องนี้...หวังว่าตอนตั้ง
คงไม่เมา หรือรั่วตามคนแต่งนะคะ และขอบคุณสำหรับชื่อเรื่องอีกหลายชื่อที่ทุกท่านเสนอมาให้ขิมได้พิจารณาเลือก
ซึ่งขิมได้เลือกชื่อเรื่องให้อิงจากคาแรกเตอร์ของตัวหลักเป็นสำคัญค่ะ ดีใจที่ทุกท่านร่วมให้ความสนใจกับเรื่องสั้นตอน
พิเศษแด่มิตรรักแฟนขิม round II มาก ๆ ค่ะ แล้วไว้เจอกันในตอนพิเศษหน้านะคะ ^^
.
.
.
คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาไหมครับ?
... ผมไม่เชื่อ...
แล้วคุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ?
....ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อ....
นี่มันยุคนาโนเทคโนโลยีแล้วนะครับ ยุคที่โลกเราก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จนเห็นระดับความความเติบโตเป็นกราฟที่พุ่งสูงลิ่วเร็วเสียยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ของรถไฟชินคันเซนแบบนาทีต่อนาทีซะอีก
แต่....
ใครจะไปรู้ล่ะครับว่า วันหนึ่งผมจะได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ามาพิสูจน์ในสิ่งที่ไม่เคยเชื่ออย่าง
...พรหมลิขิต...
ผมเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดา ๆ ที่ชอบสังสรรค์เฮฮากับกลุ่มเพื่อน กลุ่มของเราไม่ได้ใหญ่โตมีพวกมากแบบโจ๋ครองเมือง แต่เราก็ซี้ย่ำปึ้ก...เฮไหนเฮนั่นตลอด แม้แต่ตอนที่ทำคลอดไอ้ด่างบ้านพี่นุ้ย เราก็พร้อมใจกันช่วยมันเบ่งอย่างเต็มที่ครับ
แต่วันนี้สิ...
ที่ผมเพิ่งได้ข้อมูลใหม่ ๆ มาทับถมข้อมูลเก่า ๆ ว่าผมน่ะ....คิดผิด!!!
“พวกมึงแมร่งทิ้งกู”
ผมโอดเศร้าเคล้าอาฆาตให้กับบรรดาเพื่อนที่แสนดีทั้งหลายอย่างพวกมันที่ขับไล่ไถนาส่ง (ไอ้พวกควายยยยยยย....กูเกลียดพวกมึงชิบ...ฮือ ๆ) ให้ผมไปนั่งจ่อเนตรอยู่คนเดียวกับ ‘วิญญาณแค้นฝังราก’ โปรแกรมหนังเด็ดที่จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะเลือกดู
เห็นผมวิทยาศาสตร์จ๋าขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่คิดเสี่ยงกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้...พูดง่าย ๆ คือ
ผมกลัวกลุ่มสสารนี้สุดขั้วหัวจิตหัวใจเลยทีเดียวครับ
“โอ๋ ๆ แต่ช้าแต่...นี่พวกกูหวังดีกับมึงนาไอ้แว่น ที่ตรงพวกกูสยองกว่าที่มึงอีก”
...ไอ้ตอแหล...กูจะฟ้องแม่ คอยดูสิ...
“ไม่ต้องทำมาเป็นตบหัวแล้วลูบหลังกูเลย กูไม่สยิว”
ผมมองพวกมันอย่างเคือง ๆ แน่ล่ะ...ผมคงจะไม่ต้องออกอาการมาดแมนแฮนด์ซั่มบอยขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณประยงค์...วิญญาณแค้นฝังรากที่มาพร้อมสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์สุดไฮเทคจนทำให้ผมกลัวน้ำตาไหลพรากเยี่ยวแทบราดกันเลยทีเดียว
“เอาน่า ๆ ...เดี๋ยวเรื่องต่อไปพวกกูให้มึงเป็นคนเลือกเลย โอเคป่ะแว่น”
“กูชื่อเน ไม่ได้ชื่อแว่น”
ผมท้วงพวกมันอย่างหงุดหงิดพลางดันกรอบแว่นหนาให้ขยับเข้าที่...เลือกได้ ไม่มีใครเลือกที่จะสายตาสั้นหรอกครับ
ผมกำผ้าเช็ดหน้าสีเทาเนื้อดีที่เปรอะไปด้วย...เอ่อ...น้ำตาผมเนี่ยแหล่ะครับแน่น แล้วเดินชิ่งหนีไอ้พวกเพื่อนรักตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อเลือกโปรแกรมหนังเรื่องต่อไป...เรื่องใหม่ที่ผมเล็งมาตั้งแต่ยังไม่ได้ตั๋วหนังบุฟเฟ่ต์จากพี่เจนนี่คนสวย ผู้จัดการร้านอาหารที่ผมและกลุ่มเพื่อนไปทำงานเพื่อคั่นเวลาว่างช่วงปิดเทอมนี้
“ความรักในสายลม!! มึงจะให้พวกกูดูเรื่องนี้เหรอวะแว่น....โฮ้ยยย...กูเสียดายโควต้า” ไอ้อิมดิ้นพราดไปกับพื้นแบบไม่ดูวัย
“ทำไมวะ...ก็กูจะยองจุนอ่ะ มีปัญหาอะไรมึง...พวกมึงนี่ ของดี ๆ ไม่รู้จักดู...ดูแต่คุณประยงค์อยู่ได้” ผมสวดพวกมันทันทีครับ เรื่องนี้เขาทำออกมาดีจริง ๆ โดยเฉพาะตัวเอกอย่างโฮยองจุนผมล่ะปลาบปลื้มจนร่ำร้องขอแม่ไปเรียนภาษาเกาหลีตามเทรนด์
...นี่ถ้าได้เจอตัวเป็น ๆ นะ ผมจะหิ้วกลับบ้านไปนั่งดู ยืนดู แล้วก็นอนดูสามวันสามคืนเลย ฮ่า ๆๆ...
“อย่ามาพาดพิงคุณประยงค์พวกกู” ไอ้ตี๋ประธานชมรมไสยศาสตร์ตัดบท “มึงจะดูยองจุนก็รีบเข้าไปดู มันเลยเวลาฉายมาแล้วเฟ้ย”
“แง้! ยองจุนกู๊!!!”
ผมมองเข็มนาฬิกาแล้วตาเหลือกรีบลาก ไอ้อิม ตี๋ แน็ต เก้าวิ่งเข้าโรงอย่างเร่งด่วน
ท่วงทำนองเพลงที่ใช้เมโลดี้เศร้า ๆ ทำให้หยดน้ำตาของผมที่เสียไปให้กับคุณประยงค์เมื่อชั่วโมงก่อนต้องไหลพรากให้กับยองจุนที่กำลังจะตายอีกครั้ง...โฮ ๆๆๆ ทำไมมันถึงเศร้าขนาดนี้นะ ดูเรื่องนี้จบแล้วผมจะร่ำร้องขอแม่เป็นครั้งที่สอง...ผมจะไปเรียนเป็นหมอเพื่อยองจุน
“หึ ๆ ร้องไห้อีกแล้วเหรอครับ?”
เสียงทุ้มคุ้นหูจากคนที่นั่งข้าง ๆ ทำให้ผมต้องเบือนหน้าซีด ๆ เขียว ๆ ของยองจุนไปหา ก่อนจะเบิกตากว้างว่าคนข้าง ๆ ผมเป็นใคร
...พี่ชายใจดี ที่เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีเท้าเนื้อดีที่ผมกำลังใช้มันซับน้ำตาอยู่...
“อะ...เอ่อ..คือ”
พูดไม่ออกครับ จะว่าอายก็อาย ผมทำหน้าไม่ถูกเลยเมื่อได้เจอพี่เขาอีกครั้ง ตอนคุณประยงค์ก็รอบหนึ่งแล้วที่เขาเห็นผมออกอาการมาดแมนแฮนด์ซั่มบอย น้ำมูกน้ำตาไหลพราก ๆ จนพี่เขาต้องสละผ้าเช็ดหน้าที่คาดว่าคงจะแพงมาให้ผมใช้
“ผมมีสำรองอีกผืนนะ เอาไหม?” พี่ชายใจดีส่งยิ้มมาให้ผม ดูท่าเขาคงจะตลกผมน่าดู รอยยิ้มที่ส่งออกมาจากร่างสูงที่แต่งตัวมิดชิดสวมทั้งแว่นตาดำ หมวกแก๊ปแล้วทับด้วยฮู้ดแบบพวกฮิปฮอปอีกทีถึงได้เหยียดกว้างซะ
...อยากจะขำก็ขำออกมาเถอะ ทำใจได้...
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบปฏิเสธอย่างมีฟอร์ม(?) ทั้ง ๆ ที่ผ้าเช็ดหน้าสีเทาชุ่มอย่างกับเอาไปจุ่มน้ำ ก่อนจะร้องออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นยองจุนกำลังไอออกมาเป็นเลือด “อ๊า...ไม่นะ”
แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ส่งมาจากเก้าอี้ที่อยู่ติดกับผม คนตัวสูงข้าง ๆ กำลังสั่นกึกไปทั้งตัวอย่างเพียรสะกดกลั้น แต่มันคงจะไม่ได้ผลเท่าไหร่เมื่อผมที่นั่งติดกันได้ยินเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ท่ามกลางความโศกสลดของหนังที่มีสายตาผู้ชมมองตามอย่างเศร้า ๆ กับพวกนั่งหลับทางในเอาใจช่วยลุ้นอยู่ห่าง ๆ อย่างไอ้พวกเวรอิม
“ฮ่ะ ๆๆ” ช่างเป็นอาการหัวเราะที่มีมารยาทอย่างที่สุดครับ เมื่อเจ้าตัวหันมามองผมแล้วกลับไปหัวเราะอีกครั้ง
“จะหัวเราะอีกนานไหมครับ ผมจะดูหนัง” ความร้อนที่พุ่งขึ้นหน้าทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก หนังมันเศร้าเราก็ต้องร้องไห้สิ...มันน่าขำตรงไหน โชคดีที่ตรงที่พวกผมหนังอยู่ริมสุดเลยไม่ค่อยมีใครสนใจหันมาทำตาจิกใส่หรือไล่ออกจากโรงหนัง
“อ่า...ขอโทษที ผมไม่เคยเจอคนดูอินขนาดนี้มาก่อน”
...งั้นก็ไหว้สิครับ...แค่คิดครับ แค่คิด ผมไม่ได้ตอบเขาไปอย่างนี้หรอก ผมแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็หันไปสนใจยองจุนที่กำลังปีนต้นไม้เพื่อเก็บลูกโป่งให้นางเอก
...ของแค่นี้ทำไมไม่ปีนเก็บเองฟะ ใช้ยองจุนของผมอีก...แล้วนั่น ๆ ยองจุนก้าวพลาดครับ เง้อ! ทำไมไม่หล่นลงมาทับนางเอกอ่ะ จะได้ไม่เจ็บขนาดนี้ ฮือ ๆ...
“ฮึก ๆ ฮือ” ผมสะอื้นเบา ๆ น้ำตาที่กักเก็บไว้ทลายออกมาอย่างไม่มีกั๊ก จนคนข้าง ๆ ผมหันมาอีกครั้งพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อย่างเอ็นดู
“รับไปเถอะครับ ผมว่า คุณคงได้ใช้มันอีกตอนท้าย ๆ เรื่อง”
ไม่มีเวลามาสังเกตหรือสนใจอะไรในประโยคดังกล่าว ผมรับผ้าเช็ดหน้าที่คาดว่าเป็นผืนสำรองมาเช็ดน้ำตาพร้อมกับส่งแรงใจไปให้ยองจุนอย่างเต็มเปี่ยม “อย่าตายนะ...”
“คุณ...เอ่อ...ชอบเค้ามากขนาดนั้นเหรอ”
ผมส่ายหน้า แต่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าของยองจุน
“...แล้วไหน....บอกว่า..........”
“ใครว่า ชอบเฉย ๆ เล่า....ฮึก..รักเลย ฮือ...ล่ะ” อะไรของเขานะ...ดูสิยองจุนของผมกำลังจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาพรากผมไปจากวาระสุดท้ายยองจุนอีก
“อย่าตายนะยองจุน ฮึก ๆๆ”
ผมไม่รู้ว่า พี่ชายใจดีที่นั่งข้าง ๆ จะกำลังยิ้มหรือหัวเราะผมอีกรึเปล่า แต่สัมผัสเบา ๆ ที่ศีรษะก็ทำให้ผมคลายความเศร้าลงไปโข หลังจากที่หนังจบ...ผมกับเพื่อน (ที่คาดว่าอีกนั่นแหล่ะ ที่จะเป็นผมนั่งดูอยู่คนเดียว) ก็เดินออกจากโรงด้วยความเต็มอิ่มสองชั่วโมงเต็ม
หนึ่งคนเต็มตื้นไปด้วยความเศร้า
ส่วนอีกสี่คนหน้าใสกิ๊งเพราะนอนอย่างเต็มอิ่มและเย็นสบาย
“มองหาใครแว่น?” เก้าหันมาถามผมอย่างงง ๆ เมื่อเห็นผมเหลียวหลังชะเง้อคอไปมาอยู่บ่อย ๆ
“เปล่า”
ผมตอบปัดไป แต่ก็ยังเหลียวหลังหาพี่ชายใจดีคนนั้นอยู่ เพราะทันทีที่พวกเราทยอยเดินออกจากโรงหนังมาผมก็ไม่เห็นพี่เขาซะแล้ว ผ้าเช็ดหน้ายี่ห้อแพงซะด้วย...ผืนหนึ่งกินข้าวอิ่มไปหลายมื้อ ผมว่าจะซักคืนเขาอยู่ ถ้าเขาอยากได้มันคืนอ่ะนะ
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
...ช่ายยย เจอกันอีกแล้วนะครับ...
ผมมองร่างสูงที่บังเอิญได้ที่นั่งติดกันเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เราเจอกันในโรงหนังที่กำลังจะฉายการ์ตูนแอนิเมชั่น...มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่า?
ผมมองแก้วน้ำอัดลมที่พี่ชายใจดียื่นมาให้อย่างงง ๆ ในหัวกำลังเรียงสมการคำนวณหาความน่าจะเป็นที่จะเกิดความบังเอิญเป็นรอบที่สามของวันได้ ถ้าจะเรียงตามลำดับกระบวนการวิทยาศาสตร์ อันดับแรกผมคงจะต้องสังเกตก่อนล่ะ
“อะไรครับ” ผมแกล้งถามเหมือนไม่รู้ว่า คนข้าง ๆ ยื่นแก้วน้ำมาให้ทำไม
“เสียน้ำตาตั้งไปเยอะ ดื่มน้ำหน่อยจะได้สดชื่น”
รอยยิ้มที่ดูคุ้นตาแปลก ๆ อดทำให้ผมฉุนนิด ๆ ไม่ได้..ก็นั่นมันรอยยิ้มเดียวกับตอนที่ขำผมนี่นา
“แม่สอนไว้ว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าครับ” ด้วยความปากไว จะตะครุบปากก็ไม่ทันแล้วเมื่อนึกได้ว่าตกหลุมจังเบ้อเร่อเองแบบไม่มีใครผลัก
“ฮ่า ๆ ” เขายิ้มกว้างมากกว่าเก่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดูอ่อนโยนพอ ๆ กับยองจุนของผม “งั้นผ้าเช็ดหน้าสองผืนที่อยู่ในมือคุณ ก็แสดงว่าผมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคุณแล้วนะครับ”
“ผมชื่อโจ..โจนาธาน ทำงานแล้วแต่กำลังอยู่ในช่วงลาพักร้อนอยู่...สรุปว่าผมไม่แปลกหน้าแล้วนะ”
...ตอนนี้ไม่แปลกหน้า แต่กูแปลกใจโว้ย จะมาแนะนำตัวทำไมวะ...
รอยยิ้มทะเล้นแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ามองชวนใจเต้นตึกตัก ทำเอาผมหรี่ตามองเขาอย่างระแวง
“แต่คุณไม่ได้รู้จักผมสักหน่อย”
“งั้นคุณก็บอกผมสิครับ”
...หือ?...
เล่นกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ ผมที่เคยโดนผู้ชายมาจีบนักต่อนักจนเคยชิน(ช่างเป็นชีวิตที่อาภัพของลูกผู้ชายจริง ๆ ครับ) มองคนที่มามุขนี้แบบตรง ๆ ผมไม่ได้ซื่อบื้อขนาดมองไม่ออกอย่างที่พวกไอ้อิมพากันประณาม ผมแค่ไม่ใส่ใจที่จะสังเกตเท่านั้นเอง...พอไม่สังเกต คุณก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะครับ
แต่...
แต่ถึงผมจะชอบยองจุน ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเป็นเกย์สักหน่อยนี่!
รึเปล่า?....เฮ้ยๆ ผมล้อเล่นครับ อย่าชวนให้สับสนทางเพศสิครับท่านผู้อ่าน
“ผมไม่ใช่แบบนั้น” เหมือนโจนาธานจะอ่านสายตาระแวงสุดชีพของผมออก เอาวะ...ถ้าเจ้าตัวบอกว่าไม่ใช่ก็ลองดูไปก่อนล่ะกันว่ามันจะตรงกับสมมติฐานที่ผมคิดไว้รึเปล่า
“ผมชื่อเน เรียนอยู่แต่กำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม”
เขาให้ข้อมูลมาเท่าไหร่ ผมก็ให้แค่นั้นครับ ผมรับแก้วน้ำอัดลมและถังป๊อบคอร์นมา ก่อนจะหันกลับไปนั่งดูหนังต่อโดยมีไอ้แน๊ตเป็นกุนซือลำเลียงทรัพย์สมบัติที่ผมได้มาจากโจนาธานไปแจกจ่ายอิม ตี๋และเก้าที่กำลังจ้องมองมาตาเป็นมัน
...เห็นของกินเป็นไม่ได้เชียวนะพวกมึง...
“คนข้าง ๆ มึงใครวะแว่น คนรู้จักเหรอ”
ไอ้อิมเงยหน้าจากราเมนชามที่สามขึ้นมาถามผมทั้ง ๆที่ในปากมันมีเส้นราเมนอยู่เต็ม ผสมไปกับหางกุ้งเทมปุระที่โผล่ออกมาทางมุมปากด้านซ้าย
“กูให้เวลามึงกลืนก่อนถามชั่วโมงนึงเลยอิม เชี่ย...เงยมาได้ กินทุเรศชิบ” อนาถสายตาจริง ๆ ครับ
“งั้นเดี๋ยวกูถามแทน” แน๊ตยื่นมือไปแท็คกับอิม “สรุปว่าพี่ผู้ชายคนข้าง ๆ มึง...ใครวะ”
“.......กู....................กู” ผมแกล้งเขย่าต่อมอยากรู้พวกมัน ก่อนจะให้คำตอบแจ่มใจ
“กูไม่รู้”
“ไอ้เชี่ย~......” สัตว์เลื้อยคลานออกมายั้วเยี้ยเต็มร้านราเมนเมื่อไอ้พวกต่อมลุ้นแตกทั้งหลายพ่นพรวดลูก ๆ มันออกมาไม่ยั้ง โชคดีที่ผมได้เอยิมนาสติกตอนม.ต้น เกือบโยกหลบราเมนโพรเจกไทล์แทบไม่ทัน
“กูเห็นมึงคุยกับเค้าตั้งนาน แถมสอยน้ำกับป๊อบคอร์นเป็นบุญให้พวกกูอีก แม่ไม่เคยสอนว่าห้ามรับของจากคนแปลกหน้ารึไงมึง”
“มึงเตือนกูช้าไปตั้งแต่รอบคุณประยงค์แล้วสัด กูสอยผ้าเช็ดหน้าเขามาสองผืนแล้ว”
ผมเถียงไอ้ตี๋ที่กำลังเหมือนแม่คนที่สองของผมเข้าไปทุกที...มึงช้าไปแล้วตี๋...เขาโดนกูสอยมาแล้ว (หมายถึงผ้าเช็ดหน้าครับอย่าคิดลึกเด็ดขาด!!!)
“ฮิ้ววววว~ แมร่ง...มีการทิ้งผ้าเช็ดหน้าให้ตามสเต็ปด้วยว่ะ...อุ๊บ” ไอ้อิมแซว ก่อนจะสะอึกเส้นจุกคอเมื่อโดนแม่คนที่สองของผมอย่างไอ้ตี๋สาดรังสีมนต์ดำใส่ “กูล้อเล่น...”
อิมพูดเสียงอ่อย ก่อนจะกระเถิบตูดมานั่งข้าง ๆ ผม....หนีแม่แล้วมึงมาพึ่งลูก มึงคิดว่ากูจะปล่อยให้มึงรอดเหรอไอ้เวรอิม...
“แล้วสรุปว่าเขาเป็นใครแว่น?” ไอ้เก้า ไฮโซสุภาพชนที่ปราศจากภาษาพ่อขุนใช้ทิชชู่เช็ดปากอย่างผู้ดี ส่งคำถามมาที่ผมแต่ดันช่วยชีวิตไอ้อิมไปอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่รู้สิ บอกเราว่าชื่อโจ...โจนาธาน ทำงานแล้วแต่กำลังอยู่ในช่วงลาพักร้อนอยู่แค่นั้น” ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจ แต่ไอ้สี่ตัวดันหันไปสบตาสุมหัวกัน
“แค่นั้น?” เหมือนเก้าจะเป็นตัวแทนมาสัมภาษณ์ผม เพราะไอ้อิม ตี๋ แล้วก็แน๊ตรู้ดีว่า ผมไม่มีทางโวยใส่ไฮโซสุภาพชนของกลุ่ม
“อืม...แค่นั้น มีอะไรเหรอ”
ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย แน่นอนว่าต่อมสังเกตเด็กวิทย์ที่พุ่งพล่านถูกผมกดไว้เพื่อจับสังเกตพวกมันอย่างเงียบ ๆ
“เปล่า...นึกว่าสนิทกันถึงได้ให้ของกิน แล้วที่ดู ๆ พี่เขาเป็นไงเหรอ” ไอ้แน๊ตยังคงป้อนคำถามให้เก้าแย๊บผมต่อ ส่วนตี๋กำลังถูกไอ้อิมรวบตัวกันประธานชมรมไสยศาสตร์ปล่อยมนต์อีกรอบแต่คราวนี้เป้าหมายคงจะเป็นไอ้แน๊ตแล้วก็เก้า
...ชักได้กลิ่นทะแม่ง ๆ นี่พวกมึงรวมอยู่ในสมการความน่าจะเป็นของกูด้วยรึเปล่าวะ...
ผมจดบันทึกข้อมูลมาประกอบการทดลองอยู่ในใจ สมมติฐานที่หายไปพร้อมกับกลิ่นราเมนหอม ๆ เริ่มแวบมาอีกครั้ง...ขอประกาศเตือนอีกครั้ง ยืนยันสถานะของนายเนติ...ผมไม่ใช่เกย์เฟ้ย
“ก็ดี” ผมเหลือบมองพวกมันที่รอฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยบ่งบอกว่ามีพิรุธอะไรเลย...ยิ่งไม่มียิ่งน่าสงสัยว่ะ ว่าแล้วก็ต้องเริ่มขั้นตอนการทดลองดีกว่า
“พี่แกใจดี ให้กูสอยผ้าเช็ดหน้าแบรนด์เนมมาปัดหน้าปัดตาจนมีราศี แต่กูมองไม่เห็นหน้าเขาว่ะ เห็นแต่ปาก”
ยังไม่มีขีดระดับความเปลี่ยนแปลงครับ สงสัยต้องเติมสารกระตุ้น
“อ้อ...มีน้ำใจลูบหัวกูตอนดูความรักในสายลมด้วย”
“เดี๋ยวเรื่องหน้ากูนั่งริมเอง” ไอ้ตี๋หันมาบอกผม หน้ามันหงิกยิ่งกว่าเดิมครับ...ความจริงตี๋เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง คอยดูแลผมตลอดเหมือนกับผมเป็นน้องชายแท้ ๆ ของมัน แต่ไอ้อิมมันบอกว่า ผมเหมือนลูกสาวไอ้ตี๋มากกว่า
“เรื่องดิ” ไอ้อิมร้องขึ้นมาอย่างโอเวอร์ “ลูกสาวมึงโตแล้วตี๋ มึงนั่งข้างกูนี่แหล่ะเรื่องหน้ากูจะเอามึงมาไล่ผีอยู่”
“เฮ้ย!!!” ผมล่ะคนแรกที่ร้องเสียงหลง “นี่แค่คุณประยงค์ยังไม่พออีกเหรอวะเชี่ย!!!”
“ไม่พอ” เป็นสามเสียงของไอ้แน๊ต เก้าแล้วก็อิมครับ ส่วนคนไล่ผีกำลังดิ้นพราดขาดอากาศหายใจเพราะมีถึงสามมือจากคนสามคนปิดอำนาจประชาธิปไตย
...เมื่อท่านหัวหน้าโดนยึดอำนาจ แล้วลูกกระจ๊อกอย่างผมจะต่อกรได้ยังไงล่ะครับ...
“ไอ้พวกเวรรร....ฮึก แมร่ง..ทิ้งกูอีกแล้ว ฮือๆๆๆ”
เข้าอีหรอบเดียวกับคุณประยงค์เลยครับแต่คราวนี้พวกมันขอไปสบตากับแม่นางสิวเสี้ยนหยี่กันตามลำพังสี่คน โดยปล่อยให้ผมฉายความแมนอีกครั้งอยู่ที่นั่งบนริมสุดที่ว่างอยู่ที่เดียวอย่างวังเวง
...นี่ถ้าแม่นางสิวเสี้ยนหยี่มากวักมือเรียกกู กูฟ้องแม่ทบขึ้นไปยันบรรพบุรุษต้นตระกูลกูเลยคอยดูมึง...
ถึงแม่นางสิวเสี้ยนหยี่จะไม่หลอนเท่าคุณประยงค์แต่อากาศหนาว ๆในโรงก็ช่วยสั่นประสาทให้หมอกพิษที่ถูกปล่อยบนจอยักษ์น่ากลัวยิ่งกว่าเก่า นี่ถ้าไม่ติดว่า ผมงกนะ...ผมจะสละโควต้าพี่เจนนี่แบบไม่เสียดายเลย...ให้ตายสิ
“หนาวเหรอครับ?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแบบนี้ไม่ทำให้ผมแปลกใจอีกแล้ว เจ้าเดิมครับที่มาพร้อมกับรอยยิ้มแบบโฮยองจุนหันมาถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย
ผมพยักหน้าซีด ๆ เล็กน้อยในขณะที่น้ำตาก็เริ่มไหลพรากด้วยความหลอนของแม่นางสิวเสี้ยนหยี่เต็มกำลัง
ฟุบ!!!
ผมหันไปมองพี่ชายใจดีอย่างโจนาธานพร้อมน้ำตานองหน้าอย่างงง ๆ เจอทีไรผมสอยข้าวของคนตรงหน้ามาทุกทีและคราวนี้ก็เป็นเสื้อกันหนาวแบบมีฮู้ดตัวเท่ แต่พอเหลือบเห็นป้ายแบรนด์แล้วแทบจะถอดคืนครับ...(อาจจะไม่สุภาพไปนิด แต่ผมต้องบอกว่า มัน...) แพงบรรลัยเลยครับ!!
...ไปยืมผ้าคลุมแม่นางสิวเสี้ยนหยี่จะดีกว่ามั้ยกู...
“ใส่ไปเถอะ..เนหนาวไม่ใช่เหรอครับ” มือหนาของคนตรงหน้ายื่นเข้ามาจัดเสื้อให้พร้อมกับดึงฮู้ดลงปิดหน้าผม “ถ้ากลัวก็ปิดตาดีกว่า”
ผมหันไปมองโจนาธานที่ตอนนี้ดูไม่เหลือคราบนักร้องฮิปฮอปแล้ว ร่างสูงมีเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์เท่านั้น แต่เมื่อมันผสมกับแว่นตาดำและหมวกแก๊ปที่เขายังคงสวมอยู่ ไม่อยากจะยอมรับอ่ะนะ
...หล่อได้แบบยองจุนของผมเลยจริง ๆ ...
“มองอะไรครับ” เสี้ยวหน้าที่เห็นได้เพียงแค่ริมฝีปากกำลังส่งรอยยิ้มเล็ก ๆ มาให้
“ปะ..เปล่า” ผมก้มหน้างุดจนคางชิดอก เมื่อโจนาธานเอนเข้ามาถามใกล้ ๆ ด้วยน้ำเสียงกระซิบ
...คนดูหนังอยู่เต็มโรงหรอกน่า แค่พูดกระซิบตามมารยาทเฉย ๆ ใจเต้นไปได้ไอ้เน...ผมกำลังสะกดจิตและสะกดใจให้เข้าสู่จังหวะอัตราการเต้นปกติ
แต่ไอ้คนข้าง ๆ ผมนี่ดิ!!!
หมับ!!!
มือหนาวางหมับที่หัวผมแล้วลูบเบา ๆ (ฮั่นแน่...คิดอะไรอยู่ครับคุณผู้อ่าน 555+)
“งั้นเดี๋ยวหนังจบแล้วผมจะปลุกเนเองครับ” จะบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเสียดายโควต้าก็กระไรอยู่ อีกอย่างมือที่ยื่นมาลูบหัวผมก็อุ่นซะด้วยสิ ว่าแล้วก็ขอเคลิ้มหนีแม่นางสิวเสี้ยนหยี่สักแป๊ปนะครับ
!!!คำเตือน : ในชีวิตจริงอย่าเลียนแบบพฤติกรรมผมนะครับ เดี๋ยวทรัพย์สินและชีวิตของท่านจะเสียหาย!!!
“เน ๆ ....เนครับ”
เสียงโฮยองจุนกำลังปลุกผมครับ ทำให้ผมต้องรีบแงะเปลือกตาขึ้นมาเพื่อยองจุนของผมโดยเฉพาะ....ผมจะเอากลับบ้าน!...
“ตื่นได้แล้วครับ หนังจบแล้ว” ...แหง่ว...นึกว่ายองจุนปลุก
โจนาธานมองผมอย่างขำ ๆ แต่เอ๊ะ! ทำไมผมเห็นประกายตาเขาชัดจังล่ะ ก็ไหนว่าใส่แว่น...เฮ้ย!!!
ผมกระเด้งตัวออกจากท่าอิงแอบแนบไหล่กับคนรู้จักเพียงวันเดียวจนแทบพลัดตกเก้าอี้ แน่นอนว่าสติสะตังทั้งหลายถูกเรียกมาเข้าตัวหมดแล้ว พอหนังจบแสงสว่างจากหลอดไฟก็ส่องให้ผมเห็นเจ้าของไหล่ที่ผมพิงอยู่อย่างชัด ๆ ความจริงผมน่าจะสังเกตเขาให้มากกว่านี้
ปากก็ใช่!
จมูกก็ใช่!!
ตาวิ้ง ๆ แบบนี้ก็ใช่!!!
ถอดแว่นแบบนี้ ไม่ต้องถึงจารย์สำนักไหน...ผมก็ฟันธงได้!!!!
“ฮะ..โฮ...โฮยองจุน!!!”
สิ้นเสียงร้องของผม มือหนาก็เข้ามาปิดปากหมับทันที
...ไม่ออกแรงให้มากกว่านี้ล่ะครับ ผมจะได้สลบคามือ อูยยยยย...วาดมือมาได้...ผมแอบด่าดาราขวัญใจอยู่ในใจ ในขณะที่ตาผมก็เบิกโตขึ้นกว่าเก่า...ไอ้อิม ไอ้ตี๋ ไอ้แน๊ต คุณเก้าโว้ย...กูจะเอายองจุนกลับบ้านนน!!!!!
กระพริบตาเดียวเร็วเหมือนแมททริกซ์?
ผมถูกโฮยองจุนหรือโจนาธานหิ้วออกมาจากโรงหนังด้วยความเร็วแสงโดยมีไอ้พวกเพื่อนเวรของผมสิงสถิตอยู่ในรถยนต์คันหรูมุ่งตรงสู่ร้านพี่เจนนี่
...นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!?... ผมมองหน้าคนขับที่บอกยี่ห้อเกาหลีแต่พูดไทยชัดซะแฟนพันธุ์แท้อย่างผมยังมึนสลับกับใบหน้าของพวกอิม ตี๋ แน๊ต เก้าที่รวมตัวกันนั่งข้างหลังหน้าสลอน แต่ว่าไม่มีใครกล้าหันมาสบตากับผมสักคน
“นี่มันอะไรกัน?”
ผมมองภาพบุคคลตรงหน้าอย่างสับสน ตอนนี้เหมือนผมจะสูญเสียการเรียงลำดับข้อมูลไปแล้วครับ ทั้งพี่เจนนี่ อิม ตี๋ แน๊ต เก้า แล้วก็...โฮยองจุน หรือ ไอ้คุณพี่โจนาธานนั่นแหล่ะ เงียบสนิท
...เงียบสนิท แล้วกูจะเก็บข้อมูลมาซ่อมไดรฟ์ยังไงฟะ แรมยิ่งต่ำอยู่...ผมปะภาษาคอมอย่างมั่วซั่ว แต่นั่นแหล่ะผมก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ผมถอดแว่นออกมาวางบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด...เวลาไม่ได้ดั่งใจก็ท่านี้แหล่ะครับไอ้พวกเพื่อนเวรมันรู้ดี
“...พรหมลิขิตไงมึง” เสียงไอ้อิมแหล๋นมาทางผม แต่ตัวมันหลบหลังตี๋
“งั้นเหรอวะ....ฮ่าๆ”
“ฮ่า ๆๆๆๆๆ” พอผมหัวเราะ ทุกคนก็พากันหัวเราะตาม ก่อนจะสำลักน้ำลายลงหลอดลมพร้อมกันเมื่อได้ยินที่ผมพูดต่อ
“กูไม่เชื่อ!” ตอนนี้หัวไอ้ตี๋กลายเป็นผลิตผลของชาติไปแล้วครับในสายตาผม...สตอชัด ๆ
“แหง่ะ...ก็มันบังเอิญ”
“ความน่าจะเป็นที่กูคำนวณได้บอกว่ามึงกำลังเข้าข่ายอาหารเด็ดของภาคใต้ว่ะ”...เด็ดสุด...ผัดสตอ
“มึงลืมตัวหารอ่ะเปล่าแว่น” ไอ้แน๊ตร่วมแหล๋นมาบ้าง
“เสียใจว่ะกูคณิตศาสตร์โอลิมปิก มึงลืมสมมติฐานเชี่ย ๆ ออกไปได้เลย อ้อ! แล้วก็ไม่ต้องมาว่า กูตั้งสมมติฐานผิด เพราะกูพ่วงวิทยาศาสตร์โอลิมปิกอีกเหมือนกัน”
“เราบอกแล้วมั้ยล่ะ”
สุภาพชนของกลุ่มถอนหายใจเฮือก แน่ล่ะครับต้องหน้าที่มันอีกแล้วเข้ามาคุยกับผม เพราะถึงพี่เจนนี่หรือตี๋ที่ผมเกรงใจ แต่ก็สนิทกันเกินไป...ว้ากกันได้ครับผม
“เนโกรธเหรอ?” ผมอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ไอ้คุณเก้ามันฉลาดครับว่า ตอนนี้ควรจะเรียกชื่อผมดีกว่า
“โกรธเรื่องไร ทำอะไรให้โกรธล่ะ”
“ก็เรื่อง...เอ่อ...เรื่อง...เซอร์ไพรซ์ไง เนเซอร์ไพรซ์มั้ยนี่โฮยองจุนตัวจริงเลยนะ” เก้าชี้ไปที่โฮยองจุนตัวจริงที่กำลังยิ้มแหย ๆ ให้ผม ท่าทีของเขาตอนนี้ดูไม่เท่เหมือนในหนังเอาซะเลย รอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ผมชอบนั้นจืดเจื่อนพิกลเมื่อผมหันไปมอง
“ปู่ทวดย่าทวดเซอร์ไพรซ์เลยล่ะเก้า” ผมมองเซอร์ไพรซ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ตอนนี้ไร้อุปกรณ์ปกปิดใด ๆ ผิวขาวจัด ตัวสูงโปร่งหุ่นดีแบบนายแบบแมกกาซีนชวนหลงใหล “แล้วไง?”
“แล้วไง!!”
คราวนี้เป็นพี่เจนนี่ที่ร้องเสียงหลง เหลือบไปดูยองจุนก็ดูเหมือนจะหน้าเสียไปไม่ใช่น้อยที่ผมพูด “เนชอบเค้าไม่ใช่เหรอ? นี่ไงล่ะยองจุน”
...จะให้ผมกระโดดกอดจุ๊บปากเลยป่ะล่ะ ผมน่ะแมนอยู่นะ...แต่ว่าขอผมเอากลับบ้านไปฝากพ่อฝากแม่สักคืนสองคืนเหอะ กร้ากก ๆๆๆ...อันนี้ความคิดส่วนตัวครับไม่ได้ทำจริง
ผมส่ายหน้าไปมา แล้วหันไปย้อนถาม “ชื่อโจ...โจนาธานไม่ใช่เหรอครับ”
“แต่เนชอบเขานี่ใช่มั้ย” พี่เจนนี่ดัน ‘เขา’ มาอยู่ตรงหน้าผม นัยน์ตาคมของดาราขวัญใจมองมาอย่างคาดหวัง แต่ผมส่ายหน้าอีกครั้ง
“แค่ปลาบปลื้ม” ตี๋ที่เงียบไปนานพูดขัดการนำเสนอสินค้าของเจ้าของร้านสาว มันหันไปทำตาขวาง ๆ ใส่ร่างสูงที่ยืนบังผมมิด
“ลูกสาวมึงโตแล้วตี๋ เลิกห่วงได้แล้ว” ไอ้อิมล็อคคอไอ้ตี๋พยายามที่จะลากลูกพี่ลูกน้องผมให้ออกไปข้างนอก “มา ๆ มาอยู่กับพวกกูนี่ม่ะ เดี่ยวพี่อิมจะพาน้องตี๋ น้องแน๊ต น้องเก้า ท่องราตรีเอง”
“มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะอิม กูจะพาไอ้เนกลับบ้าน”
เสียงตี๋ฟังดูโหยหวนน่ากลัวครับ พวกมันออกประตูร้านไปไกลแล้วแต่ผมยังถูกยองจุนของพี่เจนนี่ล็อกตัวไว้อยู่
บรรยากาศไม่ค่อยดีแฮะผมว่า...มาคุเชียวล่ะ
“พี่เจนนี่” ผมหันไปเรียกแต่ไม่ทัน...พี่เจนนี่เดินตัวปลิวออกไปสมทบกับไอ้พวกเพื่อนเวรของผมเรียบร้อยแล้ว แล้วผมล่ะ
“ปล่อย!!!” ผมผลักร่างสูงที่ล็อกตัวผมอยู่ให้ออกไป รู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับเวลาที่นัยน์ตาคม ๆนั่นมองมา
...ถึงผมชอบก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะลงเอยในรูปแบบนี้น้า...
“แค่ปลาบปลื้มงั้นเหรอ?....ไหนบอกว่า รักไงล่ะ”
ท่าทางสุภาพอ่อนโยนอ่อนหวานแบบเทพบุตรในฝันหายวับไปกับสายลมเหมือนผลงานล่าสุดของคนตรงหน้า เหลือเพียงซาตานที่หงุดหงิดงุ่นง่านไม่พอใจและที่สำมะคัญ
มันไม่ปล่อยผมจากอ้อมแขนมันด้วยอ่ะ!!!!
“ไหนบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นไงเล่า ปล่อยดิวะ” ผมดีดดิ้นสุดขาดใจ ดาราขวัญใจอะไรก็ไม่สนแล้ว...เมื่อลางสังหรณ์ที่คาดว่าจะถ่ายทอดพรสวรรค์มาจากตี๋กำลังบอกผมว่า หนีเถิด
ผมเงยหน้าจ้องคนที่ทำให้ผมเสียน้ำตาของวันนี้อย่างสับสน เขาทำเหมือนผมเป็นคนรักของเขางั้นแหล่ะ ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งเจอกันก็วันนี้ ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นผู้ชายยยย...ไม่ใช่ผู้หญิงง่ะ
ลางสังหรณ์มันกำลังบอกผมอีกแล้วล่ะครับว่า มันคงจะเกี่ยวกับสมการความน่าจะเป็นของผมและสมมติฐานที่ผมตั้งขึ้นแน่นอน
ถ้าใช่!!! ผมจะย้ายไปเรียนศิลป์ให้รู้แล้วรู้รอด...เผื่อมันจะทำให้ผมปลอดภัยจากการคุกคามอำนาจอธิปไตยทางด้านหลัง ต่อไปจะไม่คำนวณอะไรมันอีกแล้ว
เฮือก!!! ....จะยื่นหน้าเข้ามาทำม้ายยยยยย...ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่ใช่เกยยยยยยยยยยยยยยยย์
“เฮ้ย! จะขยับเข้ามาทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้นะฟะ...อุ๊บ..อื้อ”
ผมได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ มือสองข้างทุบไปที่ไหล่หนาของคนตัวโตที่ยื่นมือข้างหนึ่งมาปิดปากผมไว้แน่ (ฮั่นแน่...คิดอะไรอีกล่ะคุณผู้อ่าน ฮ่า ๆๆ) ส่วนอีกข้างหนึ่งก็พลิกตัวดันหลังของผมแนบแผ่นอกชิดจนไม่มีที่ว่าง
อ๊ากกกกกกกกกก...อย่ามาคุกคามอำนาจข้ามประเทศกันอย่างนี้สิฟะ...ไปติดต่อกระทรวงต่างประเทศก่อนดิ...เอาวีซ่ามาก่อน...เอ้ย! มะช่ายล่ะ
“ฟังก่อนได้มั้ย”...แล้วจะปล่อยกูก่อนได้มั้ยล่า
ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเสียงเทพบุตรหวนคืนผมก็จำต้องอยู่นิ่งทั้งที่โดนกอดข้างหลังน่ะแหล่ะ...เสียวนะโฟ้ย!!!!
“อะ...อะไรเล่า พูดมาดิ”
ฟอด!!!
“น่ารักอย่างที่คิดเลยแฮะ”
อ๊า!!!!.....คราวนี้ของจริงอ่ะผู้ช้มมมมมม มันหอมแก้มผมเต็ม ๆ เลย ผมทำหน้าเหวอสุดขีด รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ตอนนี้หน้าผมคงจะแดงมากแน่ ๆ
“กว่าจะได้กอดตัวจริง ๆ คิดถึงแทบขาดใจแหน่ะ”
ห๊ะ!! วะ..ว่าไงนะ ผมมองอาการร่างสูงที่เป็นยิ่งกว่าตอนที่ผมได้คอลเล็กชั่นโฮยองจุนชุดพิเศษมากอดซะอีก ทำเหมือนผมกับเขาสลับกันเป็นขวัญใจไอดอลกันก็ไม่ปาน...ผมงงแล้วนะเนี่ย?
“หมายความว่าไง” ความอยากรู้อยากเห็นอย่างเด็กฉลาดทำให้ผมลืมสถานะตัวเองไปชั่วครู่ นัยน์ตาคมสบแววหวานซึ้งมาให้
เฮือกกกก...ขนลุกขึ้นมาเต้นเบรกแดนซ์พรึ่บพรั่บ
“ก็หมายความว่า กว่าผมจะได้เจอเน ผมก็แทบขาดใจน่ะสิครับ” โคตรกระจ่างมากเลย ผมดันยองจุนที่กำลังจะก้มมาหอมแก้มผมอีกฟอดให้ออกห่าง ใบหน้าคมบอกว่าขัดใจเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องอย่างจำใจ
...แต่ก่อนเล่าปล่อยกูก่อนได้มั้ยล่า...
เรื่องที่ยองจุนเล่าทำเอาผมอึ้งแล้วก็อึ้งแล้วก็ดับเบิ้ลอึ้งยกกำลังสองของอึ้งอีกที...นี่มันเรื่องจริงอ่ะ!!!
ยองจุนบอกว่า เขาเห็นผมครั้งแรกในกล้องวิดีโอที่ญาติของเขาก็คือ พี่เจนนี่ (โจนาธานคือชื่อภาษาอังกฤษของยองจุนที่คนในครอบครัวเรียก) ถ่ายมาอวดร้านอาหารเปิดใหม่ เขานึกว่าผมเป็นเด็กผู้หญิงซะด้วยซ้ำ(ขอบใจ)แล้วตอนนั้นพี่เจนนี่ก็ไม่ได้แก้ข่าวให้ผมด้วย พี่เจนนี่บอกเขาว่า ผมปลื้มเขาเอามาก ๆ อะไร ๆ ก็ยองจุน ๆ (ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อยอ่ะ) เขาก็เลยฝากพวกคอลเล็กชั่นและผลงานอื่น ๆ ของเขาฝากมาทางพี่เจนนี่ให้ผมเรื่อย ๆ แล้วพี่เจนนี่เองก็ถ่ายวิดีโอตอนผมได้กลับมาให้ดู (มิน่าล่ะ)
แต่ต่อมาพอเขารู้ความจริงว่าผมเป็นผู้ชาย เขาก็อึ้งไปเสียถนัดใจ (อึ้งเดียวน้อยชะมัด สู้ผมไม่ได้) แต่เขาก็สารภาพกับพี่เจนนี่ว่า เขาชอบผม แต่เขาไม่ได้เป็นเกย์นะ (กูก็ไม่ใช่เกย์) เขาชอบผมที่เป็นผม พี่เจนนี่เลยจัดการวางแผนกับเพื่อนผมไอ้อิม ไอ้แน๊ต ไอ้เก้า ส่วนตี๋ที่ไม่เห็นด้วยแล้วก็ค้านหัวชนฝาก็ถูกมัดมือชกไปโดยปริยาย
มิน่าล่ะ....มิน่าล่ะ...ดูหนังกี่เรื่อง ๆ ก็เจอ ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนก็เจอ
ผมมองยองจุนที่ส่งแววตาเว้าวอนขอความรักจากผมมาให้อย่างหนักใจ ก็....ก็มัน....แบบว่า คุณคิดว่าผมจะทำใจได้มั้ยล่ะ
ดาราขวัญใจ กับคนรักมันต่างกันเห็น ๆ อ่ะ
“เนไม่สงสารผมเหรอ” อย่ามาเล่นมุขนี้สิฟะ...ดวงตาคมฉายแววเศร้าเหมือนในเรื่องความรักในสายลม “ผมอยู่ไม่ได้นะถ้าไม่มีเน...อยู่ไม่ได้จริง ๆ”
ร่างสูงสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ใบหน้าคมไร้รอยยิ้มโดยสิ้นเชิง...ก็บอกแล้วไงว่า อย่ามาเล่นมุขนี้!!!!!
“ฮึกๆๆๆ ฮือๆๆๆๆ” ...เพราะคนที่ร้องไห้ก่อนคือผมนี่แหล่ะ....
“ยะ...อย่า...ฮึก...ฮึก...มาเล่น...ฮื้อ...มุข...นี้นะ ฮือๆ” ผมเอาสองมือปาดน้ำตาที่ไหลพราก อารมณ์อินในหนังมันยังฝังอยู่อ่ะ
“เนอยากให้ผมตายจริง ๆ เหรอ” ยองจุนปาดน้ำตาให้ผมเบา ๆ อย่างทะนุถนอม แต่สีหน้ายังคงเศร้าอยู่ “อยากให้...”
“อย่าตายนะ...ฮือ ๆๆๆ”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบผมก็ฟูมฟายยิ่งกว่าเดิมพร้อมทั้งเป็นฝ่ายโผเข้าไปกอดแน่น จนยองจุนต้องกอดตอบแน่นพร้อมกับลูบหลังปลอบโยน “ไม่เอาอ่ะ...อย่าตายนะ ฮึก...ไม่ให้ตายนะ”
ภาพที่เห็นยองจุนในความรักในสายลมยังติดตาผมอยู่ ตอนนั้นยองจุนกำลังพะงาบๆ แบบใกล้ตายสุด ๆ แถมไอออกมาเป็นเลือดเต็มพื้นไปหมดเลย
“แต่ผมคงจะตาย ถ้าเนไม่รักผม”
“ฮือ ๆๆ”
“ผมคงต้องบอกลาเนตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสแล้วล่ะ”
“อ๊า...ไม่เอานะ ฮึก ๆ รักสิรัก...อย่าตายนะ” ผมกำลังสติแตกเต็มที่ไปกับการอินอารมณ์เศร้าของหนัง โดยที่ไม่รู้ว่าใครบางคนกำลังแอบอมยิ้มอย่างสมใจเป็นที่สุด
“ขอแค่เนรักผม ผมก็ไม่ไปไหนแล้ว”
“ฮึก..จริง..นะ” มือหนาเชยคางผมขึ้นแล้วจูบซับน้ำตาให้
“จริงสิ” รอยยิ้มสดใสอ่อนโยนกลับมาอีกครั้ง ผมยิ้มกว้างให้กับคำตอบนั้น
...เย้ ๆๆๆ ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่เดี๋ยว...เหมือนผมลืมอะไรไปบางอย่าง...
“เฮ้ย!!!”
“คืนคำไม่ได้แล้วนะครับที่รัก” ...เดี๋ยวก๊อนนนนนนนน เมื่อกี้มันลืมตัวเฟ้ยย!!!...
“ดะ...เดี๋ยวสิ” ผมโยกหลบจมูกซุกซนที่พยายามเข้ามาใกล้พอ ๆ กับปากได้รูปนั่นที่พยายามจะช่วงชิงเฟิร์สคิสผม “มันต้องมีอะไรผิดพลาด...ผิดพลาดแน่ ๆ มันไม่มีเหตุผลมารองรับ การทดลองมันไม่ใช่...อื้อ...ยะ...อย่าเพิ่งด่วนสรุปอย่างนี้สิ”
เมื่อผมโยกหลบจนเป้าหมายที่ยองจุนจ้องไว้พลาดจากแก้มกลายเป็นคอ ผลที่ได้รับก็เลยกลายมาเป็นโดนคนบ้ากามเข้าประทับตีตราจองซะอย่างนั้น
“ฮ่า ๆๆ ไม่ทันแล้วมึง งานนี้มึงเอาวิชาเอกมาใช้ไม่ได้ผลหรอก” ไอ้แน๊ตหัวเราะขำผมมาแต่ไกล ตอนนี้พวกเพื่อนเวรเดินกลับมากันหมดแล้วพร้อมกับพี่เจนนี่...ไหนจะไปท่องราตรีไงฟะ...
“เฮ้ย! เลิกทำหน้าอย่างนั้นได้แล้วมึง กูบอกมึงแล้วตี๋ว่าลูกสาวมึงโตแล้ว” ตามด้วยเสียงไอ้อิมที่ยังคงล็อกคอลูกพี่ลูกน้องผมอยู่ “ไง...หนูแว่น...ได้คำตอบเป็นพรหมลิขิตป่ะล่ะ”
...ป่ะล่ะ...บ้านแกดิเชี่ยอิม...คอยดูนะกูจะให้ตี๋มันเล่นคุณไสยให้มึงถูกคุกคามอำนาจอธิปไตยบ้าง...
“ผมว่าเราไปยกของกินออกมาดีกว่ามั้งครับพี่เจนนี่ ปาร์ตี้คืนนี้จะได้เริ่มสักที”
“เออใช่ ๆ พี่ลืมสนิทเลยเก้า ถ้ายังไงก็รอพี่เจนนี่แป๊บนะเน เดี๋ยวพี่จัดปาร์ตี้รับขวัญน้องสะใภ้ก่อน”
...นี่ถึงกับจัดปาร์ตี้ล่วงหน้าเลยเรอะ...
“ดะ...เดี๋ยวสิ พี่เจนนี่ เก้า ไอ้อิม ไอ้แน๊ต ตี๋...เดี๋ยวก๊อนนนน” ผมไขว่คว้าตัวช่วยเหมือนหมาตะกุยอากาศเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ทุกคนผลุบหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า...อย่าดื้อสิครับเน พวกเรานั่งรออยู่ตรงนี้แหล่ะ”
ผมหันไปมองยองจุนตาขวาง แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องด้วยสักกะติ๊ดเดียวเอาแต่ส่งสายตาหวาน ๆ มาให้...นี่สรุปว่าผมเสียอำนาจอธิปไตยแห่งชาติโดยสมบูรณ์แล้วใช่มั้ยเนี่ย ใครก็ได้ช่วยตอบให้ผมที... ผมจ้องใบหน้าหล่อนั่นอย่างหงุดหงิดปนขัดใจ ก่อนจะสำลักอากาศขึ้นมากะทันหันเมื่อเสียงไอ้เวรอิมดังลอยมา
“เฮ้ย! พวกมึง...เมื่อวันก่อนใครแมร่งตะโกนลั่นร้านวะว่า อยากหิ้วยองจุนกลับบ้าน ฮ่า ๆๆ”
...ไอ้เชี่ยยย กูขอให้มึงโดนคุณไสยตี๋ ณ บัดนาว...ไอ้เวรอิม...ถึงกูอยากได้กลับบ้าน แต่กูก็ยังมีฟอร์มอยู่นะโว้ย...
...แต่ก่อนออกจากห้องครัว มึงอย่าลืมเอาถุงก๊อบแก๊บมาใส่ยองจุนกลับบ้านให้กูด้วยล่ะ กร้ากๆๆ...รู้สึกสับสนในตัวเองจริง ๆ ครับ ผมมองดาราขวัญใจที่กลายเป็นหวานใจแบบเบลอ ๆ อย่างชั่งใจ เอาละว่ะไหน ๆ ก็มาแบบเบลอ ๆ ...ได้เจอ(แต่ไม่ได้จุ๊บ)แบบเบลอ ๆ ก็คงต้องลองดูสักตั้งล่ะมั้ง ไม่อยากขัดขืนแล้วนี่ ฮ่า ๆ(ซะงั้นน่ะนะ)
“คิดอะไรอยู่ครับ” จมูกโด่งเข้ามาเคลียคลอที่ข้างแก้มพลางลากยาวไปที่ต้นคอจรดไหล่ทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง “กำลังวางแผนหาทางพาผมกลับบ้านด้วยล่ะสิ”
“ใช่...เอ้ย!...ไม่ใช่!!” กำลังเพลิน ๆ เคลิ้ม ๆ เลยตอบแบบลืมตัวทำให้ร่างสูงที่ได้ยินกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า!!!”
“จะใช่ไม่ใช่...ชักไม่สนแล้วสิ” นัยน์ตาอ่อนโยนพราวระริกอย่างเจ้าเล่ห์ “งั้นคืนนี้ช่วยหิ้วผมกลับบ้านทีนะครับ”
“ได้...เฮ้ย!!! ไม่ใช่” ...ฮาดิ้นกันทั้งกลุ่มครับงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของอ้อมกอดที่แม้ขำให้ตายยังไงก็ไม่ยอมปล่อย ไอ้อิม ตี๋ แน็ต เก้า แล้วก็พี่เจนนี่ไม่มีใครหยุดขำกันได้สักคน...ปัดโธ่เอ้ย!!...แน่จริงก็อย่ามาถามตอนนี้เด้
...หมดกันภาพพจน์ผ้มมม...
ถ้าคำถามที่ว่า “คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาไหม...เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม?” เวียนกลับมาอีกครั้ง ผมอาจจะตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นได้...ไม่รู้สิ ผมว่าผมเบลอ ๆ นะ...ฮ่า ๆ แต่ถ้าจะถามผมต่อว่า แล้วกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผมเอามาพิสูจน์เรื่องนี้ล่ะผลเป็นยังไง... ?
ผลการทดลองล้มเหลว
แต่บทสรุปของการทดลอง....
ริมฝีปากอุ่นไล่สัมผัสร้อนไปทั่วหน้า ก่อนจะกดจูบเบา ๆ ที่เปลือกตาพร้อมกับถ้อยคำหวานหูที่ได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“อรุณสวัสดิ์ครับเน”
ความคิดเห็น