ตอนที่ 3 : C H A P T E R O N E

ย่านชองดัม เขตคังนัม
รถ BMW 320i สีขาวคันงามได้นำออกมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่จอดทิ้งไว้ในโรงจอดรถเป็นเวลานานเพราะก่อนหน้านี้มีสารถีคนดีคอยขับไปรับไปส่งเสมอๆ วันนี้เป็นวันแรกในรอบ1สัปดาห์ที่เจสสิก้าสามารถควบคุมจิตใจของตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติ สลัดความทุกข์โศกที่เกาะกินหัวใจทิ้งไปชั่วขณะ แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เธอศึกษาอยู่
เพียงราวๆครึ่งชั่วโมงรถคันหรูก็ถอยจอดเข้าซองในรานจอดรถของมหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะนี่เป็นช่วงสายๆ รถบนถนนโล่งกว่าปกติจึงทำให้เธอมาถึงมหาวิทยาลัยเร็ว .. อ่อ แล้วอีกประการคงเป็นเพราะความเร็วเกินร้อยยี่สิบด้วยกระมัง
ระหว่างทางเดินไปยังตึกเรียน สายตาหลายคู่จับจ้องมาทางเธอ มีทั้งความสมเพศ สะใจ สงสารและเห็นใจ ปะปนกันไป แต่เธอเลือกที่จะมองผ่านไป .. แต่ในบางคำพูดและบทสนทนาของใครหลายๆคนในมหาวิทยาลัยกลับเรียกเธอให้เข้าไปอยู่ในวังวนความเจ็บปวดได้ไม่ยาก
‘ คนอย่างยัยเจสสิก้ามันต้องเจอแบบนี้ ’
‘ สมควรแล้วล่ะที่พระเจ้าพรากคนรักไปจากมัน ’
‘ ฉันไม่เห็นจะรู้สึกสงสารยัยตัวร้ายนั่นเลยสักนิด ’
และอีกหลายๆความเห็นจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ถึงจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเจ็บปวดเสียเหลือเกิน ร่างบางพยายามกดความเจ็บปวดให้จมลงไปในก้นบึ้งของความคิดแล้วสะบัดข้อความต่างๆนานานั้นออกจากหัวไป
ร่างบางเดินตัวลอยเข้าไปในห้องประชุมของมหาวิทยาลัยซึ่งวันนี้จะมีการจัดเวิร์คช็อปแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งของเกาหลีเพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษาสาขาแฟชั่นดีไซน์
“ ฉันดีใจที่เธอมา ” เพื่อนสนิทที่มีดวงตายิ้มได้เอ่ยขึ้น เพราะเจสสิก้าไม่ได้โทรบอกเธอเลยว่าจะมา “ เธอโอเคแล้วใช่มั้ย? ”
“ คงงั้นมั้ง ”
“ เอ้า ยัยนี่ตัวเธอเองนะ ...”
“ ช่างเถอะว่าแต่วันนี้มีงานอะไรบ้างล่ะ งานที่อาจารย์สั่งเยอะมากเลยใช่มั้ย ” เจสสิก้าเอ่ยขึ้นเนี่องจากตัวเธอขาดเรียนไปหลายวันและเป็นที่รู้กันดีว่าการเรียนเกี่ยวกับพวกออกแบบจะต้องมีงานให้เคลียร์เป็นกองภูเขาอย่างแน่นอน
“ ก็เยอะเอาการแหละแต่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเคลียร์งานให้แล้ว ”
“ ขอบใจมากๆนะ ”
“ ไม่เป็นไร Prada ใบเล็กๆสักใบก็โอเค”
“ แหม ไม่ค่อยเลยนะ ฉันรู้นะว่าเธอไม่ได้ทำเอง ” ทิฟฟานี่มีหนุ่มๆมากมายรายล้อมคอยให้การช่วยเหลือเธออยู่
“โธ่ น้ำใจน่ะ มีมั้ย? บางอย่างฉันก็ทำเองย่ะ ”
“อ่ะๆ โอเค” เจสสิก้ายิ้มออกมาเพียงบางๆ ปากก็พูดแต่ยังไงก็คงต้องมีของขวัญตอบแทนเพื่อนอยู่แล้ว อันที่จริงถึงแม้เธอจะมีเพื่อนไม่มากแต่ก็โชคดีที่ได้มีเพื่อนดีๆอย่างทิฟฟานี่ “ วันหลังส่งแบบมาให้ดูแล้วกันนะ ”
“สรุปให้จริงๆเหรอเนี่ย ว้าวว น่ารักที่สุดเลยเพื่อนใครเนี่ย ” พูดพลางยื่นมือไปหยิกแก้มเพื่อนสาวเบาๆ ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อน ถึงแม้มันจะบางเสียจนจะมองไม่เห็นก็เถอะ “ เออว่าแต่วันนี้อยากไปไหนเป็นพิเศษมั้ย? พอเวิร์คช็อปเสร็จก็ว่าง ไม่มีเรียน ฉันยินดีพาเธอไปนะ ช็อปปิ้ง? ” ทิฟฟานี่บอก เธอหวังว่าการผ่อนคลายโดยการช็อปปิ้งซึ่งเป็นสิ่งที่เจสสิก้าโปรดปานที่สุดจะช่วยได้
“ ฉันไม่อยากไป ”
ทิฟฟานี่ถอนหายใจกับคำตอบที่ได้รับ เธอต้องการเจสสิก้าคนเดิมของเธอคืนมา แต่กระนั้นเมื่อได้ยินคำตอบที่สองของเพื่อนสนิทเธอก็อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆเสียจริง
“ ฉันอยากไปสุสาน” !!
“ ไม่!! .. ไม่เอาๆเธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบสถานที่แบบนั้น ” เสียงหวานปฏิเสธพัลวัน
หลังจากเลิกคลาสเจสสิก้าก็เอาแต่ชวนทิฟฟานี่ไปเยี่ยมทงเฮที่สุสานด้วยกัน เพราะหลังจากวันที่ฝังร่างของคนรักเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงและกระจิตกระใจออกไปที่ไหนเลย
“ ขอร้องล่ะฟานี่ พลีส ... ได้โปรดเห็นใจฉันเถอะนะ ” น้ำเสียงเว้าวอนถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางได้รูปอย่างขอความเห็นใจ และเหมือนจะได้ผลร่างเพรียวที่สูงกว่าเธอเพียงนิดหน่อยหันมาสบตา
“ แล้วถ้าเจอยัยเด็กนั่นอีกล่ะเธอจะทำยังไง ”
“ ... ”
“ บอกไว้ก่อนว่าฉันจะไม่ปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนมายืนด่าเราฉอดๆหรอกนะ ”
วันงานพิธีทิฟฟานี่มีโอกาสได้เจอกับน้องสาวของทงเฮ เธอคนนั้นมีหน้าตาที่สะสวยไม่ทิ้งจากพี่ชายนักแต่ดูเหมือนนิสัยจะผิดแผกกันเหลือเกิน เด็กสาวที่เอาแต่ร้องไห้คนนั้นปราดจะเข้ามาทำร้ายเจสสิก้าทันทีที่ได้เห็น ทั้งยังด่าสาดเสียเทเสีย หาว่าเจสสิก้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ชายของเธอต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้ โชคยังดีที่ครอบครัวของทงเฮคนอื่นๆไม่ได้คิดอย่างนั้น แล้วยังต้องมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่
“ น้องยังเด็ก .. และฉันรู้ว่าน้องเสียใจ เธออย่าไปถือสายุนอาเลย ฉันเชื่อว่าวันนึงน้องจะต้องเข้าใจ ”
“ แม่พระ ... นี่เธอใช่เจสสิก้ารึเปล่าเนี่ย?? ”
“ แต่น้องพูดถูกทุกอย่าง เป็นเพราะฉัน ... ฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้ทงเฮ ... ” น้ำเสียงในประโยคท้ายเริ่มสั่น ทำให้ทิฟฟานี่ต้องรีบตัดบทก่อนที่น้ำใสๆที่คลออยูบริเวณเบ้าตาจะล่วงหล่นลงมาอาบแก้ม
“ โว้ยยย ไม่ใช่!! ไม่ใช่เพราะเธอ เจสสิก้าจำไว้ว่าไม่ใช่เพราะเธอ .. เอาล่ะทีนี้เราจะไปเยี่ยมทงเฮกัน ” สุดท้ายทิฟฟานี่ก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเสมอ
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงเศษสองสาวก็ขับรถมาถึงสุสานชานเมืองแห่งหนึ่ง โดยมีเจสสิก้าขับนำรถของทิฟฟานี่มา พวกเธอแวะซื้อดอกไม้ช่อโตที่ร้านดอกไม้ใกล้ๆก่อนจะเดินเข้าไป
“ สิก้า ฉันขอไปรอที่รถได้มั้ย หน้าทางเข้าก็ได้ ฉันคงอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วล่ะ มันวังเวงชอบกล เธออยู่ตรงนี้คนเดียวได้รึเปล่า ”
“ อืมได้ เธอไปรอที่รถเถอะ ”
เจสสิก้ามองตามหลังทิฟฟานี่ที่เดินไปจนลับตาก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆสุสานที่เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมและใบไม่ปลิวไหว
“ ที่นี่เงียบเหลือเกินนะ ... เหงามั้ยทงเฮ ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายนะ ... ” เธอเริ่มพูดขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่แตะสัมผัสลงบนหน้าดิน หยิบเอาเศษใบไม้แห้งที่ปรกหลุมศพออกช้าๆอย่างตั้งใจก่อนจะซบใบหน้าขนาบลงไปราวกับว่ากำลังโอบกอดเขาอยู่
“ ... ทำไมนายไม่มาหาฉันเลยล่ะ รู้มั้ยว่าฉันคิดถึงนายแค่ไหน ไม่รักฉันแล้วเหรอ ” ร่างบางเริ่มตัดพ้อหลังจากที่พูดคนเดียวอยู่สักพัก “ นายยังโกรธฉันอยู่ใช่มั้ย ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ให้อภัยฉันนะ ฉันรักนาย รักนายคนเดียว ”
และแล้วเธอก็ไม่สามารถจะสะกดกลั้นธารน้ำตาของตัวเองเอาไว้ได้ เธอปล่อยโฮออกมาหลังจากสิ้นประโยคสุดท้าย ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองเอาไว้อย่างดิบดีว่าจะไม่เสียน้ำตาให้ใครต้องเป็นห่วงอีก แต่นาทีนี้เธอคงไม่สามารถฝืนตัวเองได้แล้วจริงๆ และสรสุมครั้งนี้ทำให้เธอรู้ว่าเจ็บจนจะขาดใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
อีกด้านหนึ่ง .. ทิฟฟานี่ที่ขอตัวออกมาก่อนเมื่อหลายนาทีที่แล้วกำลังนั่งอ่านนิตยาสารอยู่ในร้านคอฟฟี่ช็อปไม่ไกลจากสุสานนักเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ร่างบางยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดูเป็นระยะๆ ด้วยยังเป็นห่วงเพื่อนสาวอยู่ เพราะเจสสิก้าเข้าไปนานหลายนาทีแล้ว ครั้นจะให้เธอเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนล่ะก็ต้องขาบาย
“ วันนี้ยกให้วันนึงแล้วกัน เฮ้อ เต็มที่ไปเลยเพื่อนรัก ” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงอ่านนิตยาสารในมือต่อ ไม่ต้องเสียเวลาเดาก็รู้ว่าตอนนี้เพื่อนของเธอกำลังทำอะไรอยู่ และคงไม่ต้องเดาว่าเจสสิก้าจะตาบวมมั้ยเมื่อเดินออกมา
ไม่เข้าใจว่าเจสสิก้านั่งอยู่ตรงนั้นได้ไง ทั้งเงียบทั้งวังเวง รอบตัวมีแต่หลุมฝังศพ และความจริงที่ว่าเจสสิก้ากลัวผีจนขึ้นสมองมันหายไปไหนกัน
ติ๊งงง ~
เสียงเตือนข้อความจากสมาร์ทโฟนสีสวยของเธอเรียกความสนใจจากจาก Magazine ตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนดูข้อความที่ปรากฏอยู่บน เว็บไซต์ส่วนตัวของเธอเอง ข้อความสื่อรักต่างๆนานาปรากฏขึ้นเป็นแถบยาว
ทิฟฟานี่ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม รายชื่อคนที่คอมเมนท์นั้นเป็นคนเดียวกันหมด ปาร์ค ชาลยอล ... เด็กคนนี้อีกแล้ว
หลายนาทีต่อมาร่างบอบบางก็เดินพ้นประตูสุสานบานใหญ่ออกมา ดวงตากลมโตสอดส่ายหาเพื่อนสาวที่รบเร้าให้มาด้วยในตอนแรก จนทำให้ชนเข้ากับชายร่างสูงคนหนึ่ง
“ ขอโทษครับ / ขอโทษค่ะ ”
เจสสิก้าก้มเก็บช่อดอกไม้ขนาดย่อมที่ตกอยู่บนพื้น ก่อนจะสบกับดวงตาคู่คมของเขา
“ ขอบคุณครับ ... คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ ”
ร่างสูงเอ่ยถามอย่างห่วงใย เจสสิก้าส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะเดินต่อไป แต่เพราะใบหน้าหล่อเหลาของเขาเรียกความสนใจจากเธอเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกถูกใจผู้ชายคนนี้ หากแต่รู้สึกคุ้นตาเสียมากกว่า เหมือนกับเคยเจอกับเขาที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จนกระทั่งหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบร่างสูงสง่าราวกับเทพบุตรนั่นแล้ว
“ .... คงไม่ใช่หรอกมั้ง ”
ผู้ชายคนนั้นคล้ายใครคนนึงที่เธอเคยรู้จัก ... แต่ก็คงไม่ใช่เค้าคนนั้นอย่างแน่นอน เพราะ ..... เขาดูแตกต่างกันเกินไป
หลังจากที่ได้ไปเยี่ยมคนรักที่สุสาน เจสสิก้าก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง เพราะเธอคิดว่าอย่างน้อยวันนี้เธอก็ได้ใกล้ชิดและพูดคุยกับเขา ... ไม่ได้ทอดทิ้งเขาไปไหน
มือบางสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องสวยก่อนจะกดโทรออก “ ฟานี่เธออยู่ไหน .... อืม .... ฉันรออยู่ที่รถนะ ”
เพียงไม่นานทิฟฟานี่ก็มาถึงบริเวณที่จดรถ แล้วทั้งคู่ก็ไปทานมือเที่ยงกันต่อโดยที่ทิฟฟานี่เป็นคนเลือกร้านเอง ไม่อย่างนั้นเจสสิก้าก็จะเลือกเองซึ่งร้านนั้นจะต้องเป็นร้านที่ทงเฮพาเจสสิก้าไปบ่อยๆเป็นแน่ ไม่ใช่ว่าร้านนั้นทำอาหารไม่ถูกปาก แต่ทิฟฟานี่ไม่อยากให้เพื่อนของเธอจมปักอยู่กับความเศร้าก็เท่านั้น และหลังจากทานอาหารเสร็จทั้งคู่ก็เดินเล่นกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เจสสิก้ากลับมาเรียนตามปกติไม่ขาดไม่ลา ดูเหมือนเธอจะทำใจได้แล้วอีกระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีบางเวลาที่นั่งเหม่อหรือหลบความวุ่นวายไปอยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำ ทำสิ่งเดิมๆ จนเกือบจะกลายเป็นความหมกมุ่น แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถเยียวยาเธอได้ในตอนนี้
นอกจาก ... เวลา!
ปรี๊นนน
ปรี๊นนนนนนนนน
“ ว๊ายยยยยย ”
เสียงหวีดร้องดังขึ้นเมื่อร่างบางกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนที่โลกจะหยุดหมุนด้วยความตกตะลึง ... นี่เธอเกือบจะโดนรถเข้าให้แล้ว
“ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ตาบอดรึไงยัยบ้า ” เจ้าของรถคันสวยที่เกือบจะชนเธอลดกระจกลงแล้วเอ่ยด้วยวาจาที่ไม่น่าฟัง ก่อนจะออกรถไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจที่จะขอโทษคู่กรณีแต่อย่างใด และดูเหมือนเธอเองก็ยังคงตกใจอยู่จนกระทั่ง
“ คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ ” พูดพร้อมแตะมือลงบนไหล่บอบบางเบาๆเพื่อเรียกสติเธอกลับมา
“ ฉัน .. ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ” เมื่อได้สติเธอจึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัดฝุ่นดำที่เปรอะตามเสื้อผ้า ริมฝีปากบางบิดเล็กน้อยเมื่อรู้สึกแสบๆบริเวณข้อศอกและหัวเข่าที่มีเลือดไหลซึมออกมา
“ ไปห้องพยาบาลมั้ยครับ เดี๋ยวผมจะช่วยพาไป ”
“ เอ่อ ไม่เป็น ระ .... คุณ!! ”
ผู้ชายคนนี้! เขาเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอหน้าสุสาน บังเอิญจัง ไม่แปลกใจแล้วทำไมเธอถึงคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้ ที่แท้เขาก็เรียนอยู่ที่เดียวกับเธอนี่เอง
“ ผม ..... ”
“ สิก้า ๆ หาแทบแย่ .... อยู่นี่เอง เฮ้อ เหนื่อย ... มานี่เร็ว ยัยฟานี่เป็นลมหมดสติอยู่ใต้ตึก ” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้แนะนำตัว ก็มีหญิงสาวร่างสูงรูปร่างดีราวกับนางแบบบนรันเวย์ วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล
“ ใจเย็นๆซูยอง แล้วตอนนี้ฟานี่อยู่ไหน ”
“ ห้องพยาบาล ” พูดจบก็ลากคนตัวเล็กกว่าไปทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว
เจสสิก้าหันไปโค้งให้ร่างสูงที่ดูเหมือนจะยืนอึ้งอยู่อย่างขอโทษ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ “ ขอบคุณมากๆนะคะ แล้ววันหลังฉันจะเลี้ยงตอบแทนคุณ ”
รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นแทนคำตอบ ก่อนจะกลายเป็นใบหน้าเรียบเฉยนัยน์ตาวาวโรจเมื่อร่างบางนั้นหายลับตาไป
แน่นอนอยู่แล้ว.... เจสสิก้า!!
แล้วเธอจะได้ตอบแทนฉันอย่างสาสมเลยล่ะ
สองวันถัดมา ร่างสูงราวๆ 187 ซ.ม. ผิวขาว รูปร่างดีอยู่ในชุดลำลองด้วยเสื้อยืดสีขาวคอกลมพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นสีกรมพอดีเข่า นั่งจิบชาอยู่ในร้านค๊อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งในย่านเศรษฐกิจ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาจึงทำให้กลายเป็นที่จับตามองแก่สาวๆในร้าน
“ เรียบร้อยแล้วครับนายน้อย ”
ชายร่างสูงอีกคนที่พึ่งมาใหม่สวมใส่เสื้อผ้ารัดกุมเรียบร้อยสีดำทั้งชุด เอ่ยขึ้นพร้อมๆกับถอดแว่นกันแดดสีดำออก
“ นั่งก่อนสิชินดง ” ชินดงโค้งให้นายน้อยของเขาเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง
“นายน้อยผมขอถามในฐานะที่เคยดูแลนายน้อยตั้งแต่เด็กนะครับ ... ผมอยากรู้ว่านายน้อยทำอย่างนี้เพื่ออะไร ผมว่าเธอไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไรหรอก ” ที่กล้าถามเพราะชินดงคือคนสนิทที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็กเป็นเพื่อนเล่นกันมาจนมีความผูกพัน สำหรับเขาชินดงเปรียบเสมือนพี่ชายแท้ๆเลยก็ว่าได้
“ นายไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า ”
“ แต่ผมว่า .. ”
“ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็หยุดพูดได้แล้ว ” ประกายแววโรจจากดวงตาคมกล้านั้นทำให้ชินดงไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ หากเทียบกับเมื่อสองปีก่อนนายน้อยคนนี้ของเขาเปลี่ยนไปมาก จากคนที่สุภาพ อ่อนโยน กลายเป็นคนที่แข็งกระด้าง มีแต่ความโกรธแค้นอยู่ภายในใจ
“ แล้ววันนี้นายน้อยจะเข้าไปหานายใหญ่ที่บริษัทรึป่าวครับ ”
“ ไม่ดีกว่า เข้าไปก็ปวดหัวสู้ไปหาอะไรสนุกๆทำยังดีซะกว่า ”
“ แต่ ... ”
“ ไม่ต้องแต่ ... ชินดงนายรู้มัยว่าวันนี้นายทำให้ฉันอารมณ์เสียมากนะ ”
มันคงจะไม่เป็นอะไรหากว่าชินดงจะไม่เข้าข้างผู้หญิงคนนั้น ไม่มีพิษมีภัยเหรอ เฮอะ รู้จักผู้หญิงคนนั้นน้อยไปสิไม่ว่า
-------------------------------------------------
18/03/56
กลับมาลงแล้วนะคะ เบาๆไม่ยาวมาก
ตอนนี้ไรเตอร์กลับมาแต่งฟิคเหมือนเดิมแล้ว
ฝากทุกคนติดตามด้วยนะคะ
*เมนแม่หมีมีมั้ยเอ่ย???
คือไรเตอร์อยากจะถามว่า ถ้าเปลี่ยนจาก
ชานยอลเป็นลู่ฮานจะยอมกันรึป่าว (เปลี่ยนพล็อตนิดหน่อย)
แต่ถ้าอยากให้เป็นชานยอลอยู่ก็ไม่เป็นไรค่ะ บอกได้เลยนะคะ
ตามใจคนอ่าน 555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สู้ๆนะคะไรเตอร์ เป็นกำลังใจให้คะ ไฟท์ติ้ง ^______^
ดีนะที่มีฟานี่คอยช่วย ส่วนคริสเป็นถึงนายน้อยตระกูลเลยหรือนี่ อย่างนี้ยิ่งอยากรู้ว่าแค้นอะไรสิก้าหนักหนา
เป็นเมนแม่หมีค่าาาาาาา ชอบหมดนะไม่ว่ายอลฟานี่ หรือ หานฟานี่ แล้วแต่ไรเตอร์เลยค่ะ
สิกไปทำอะไรให้เหรอ??ทำไมต้องแค้นนักหนา??
สิกเจ็บปวดขนาดนี้ไม่สงสารบ้างรึไง T T
สิกอยู่ในอันตรายซะแล้ว คริสดูแค้นมาก..
แต่ตอนนี้สิกเปลี่ยนไปแล้วนะคริสU_U
แต่ชอบยอลฟานี่มากกว่าแต่ฮานฟานี่ก็พอได้นะ
คริสแค้นไรสิกนักหนาอ่า
หมีคู่ใครก็น่าร้ากกก อิอิ