ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *~สาระน่ารู้~*

    ลำดับตอนที่ #3 : เบาหวาน เกิดจากอะไร

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 50


    10 คำถามที่พบบ่อยครั้งที่คนไข้มักจะถาม หรือคนไข้ควรจะรับทราบเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตอยู่กับโรคเบาหวาน
     เบาหวาน เกิดจากอะไร ?


    “ ภาวะไม่สมดุลของฮอร์โมนอินซูลิน ผลลัพธ์ คือ น้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ”


    เบาหวานเป็นโรคที่พบตั้งแต่โบราณ ท่านอาจเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า ถ้าชิมปัสสาวะคนไข้เบาหวานจะมีรสหวาน ก็เป็น เรื่องจริง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลปนออกมาจากภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงท่วมท้น การกรองของไตออกมาแต่คงไม่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้นนะครับ

    โรคเบาหวาน คือ ภาวะการไม่สมดุลของฮอร์โมน ชื่อ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลใช้เป็นพลังงานต่อไป ที่ว่าไม่สมดุลก็คือมีน้อยไม่พอกับความต้องการ หรือมีไม่น้อย (อันที่จริงมากกว่าปกติเสียอีก) แต่ไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลได้เต็มที่ ผลก็ออกมาเหมือนกับน้อย คือพาน้ำตาลเข้าไปในเซลไม่ได้ ผลลัพธ์สุดท้าย คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ อันเป็นภาวะเป็นพิษ ต่อเนื้อเยื่อทั่วไปในร่างกายเมื่อต้องผจญกับภาวะน้ำตาลสูงอยู่เป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย สุขภาพอ่อนเพลีย
     เบาหวานมีกี่ชนิด ?


    “เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินมักเกิดขึ้นในเด็ก เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินมักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ การรักษาแตกต่างกัน”

    ถ้าแบ่งกันง่าย ๆ ก็อาจพูดได้ว่า มี 2 ชนิด ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน
    เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในเด็ก รูปร่างผอม เนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สามารถใช้ยาเม็ดรับประทานได้

    เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ รูปร่างอ้วน เนื่องจากอินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลล์ได้ดี ทำ ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง การรักษาอาจเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และใช้ยาเม็ดชนิดทานในขั้นต่อมา คนไข้ในกลุ่มนี้อาจต้องใช้ยาฉีดอินซูลินบางครั้งหรือตลอดไป ถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยยาเม็ด
     คนตั้งครรภ์ก็มีสิทธิเป็นเบาหวานแทรก ?


    “คุณแม่เหล่านี้ต้องทนฉีดยาอินซูลินทุกวันเนื่องจากเบาหวานมีผลต่อเด็กในท้อง หลังคลอดคุณแม่ส่วนใหญ่จะหาย จากเบาหวาน”
    สภาพนี้ท่านคงต้องแยกความหมายของคนไข้เบาหวานแล้วตั้งครรภ์ออกจากที่กำลังจะกล่าวคือ ไม่ได้เป็นเบาหวานมาก่อน แต่ตั้งครรภ์แล้วเกิดภาวะเบาหวานขึ้น

    ภาวะนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในคนท้อง ผลลัพธ์คือ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ภาวะเบาหวานในคนท้องมีผลต่อเด็กในท้องอย่างยิ่ง คือ ทำให้เด็กไม่แข็งแรง พิการ หรือตัวเล็กกว่าปกติ รกไม่สมบูรณ์เกิดการแท้งได้ง่าย หรือเด็กอาจได้ผลกระทบจากภาวะน้ำตาลสูง ตัวโตกว่าปกติ คลอดลำบาก พอคลอดออกมาอาจมีภาวะแทรกซ้อน น้ำตาลในเด็กต่ำหรือมีภาวะปอดไม่แข็งแรง หายใจลำบาก ดังนั้น เพื่อเห็นแก่เด็กในท้องแม่ทุกคนต้องยอมทนลำบาก ควบคุมอาหารถูกฉีดยาเบาหวานอินซูลินทุกวัน เนื่องจากไม่สามารถใช้ยาเม็ดเบาหวานได้ในคนท้อง เนื่องจากมีผลต่อเด็ก

    ภาวะเบาหวานนี้ส่วนใหญ่จะหายไปหลังจากคลอดแล้ว แต่คุณแม่เหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นเบาหวานเมื่อแก่ตัวมากขึ้น
     คนไทยเป็นเบาหวานมากน้อย แค่ไหน ?


    “เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาด ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยสิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญในการเกิดโรค”


    ประมาณการณ์กันว่ามีประมาณ 4-7% ในช่วงอายุ 30-60 ปี และเนื่องจากเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดจะพบสะสมมากขึ้นเป็น 10-15% ในกลุ่มประชากรอายุเกิน 60 ปี

    เบาหวานเป็นโรคทางพันธุกรรม พ่อแม่ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกหลานให้เกิดโรคเบาหวาน นอกเหนือจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อม วิธีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิดเบาหวานด้วย
     มาตรการรักษาเบาหวาน ?


    “นอกจากยาเบาหวานแล้วการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายไม่ให้อ้วน ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษา”


    เริ่มต้นของคนไข้เบาหวานทุกคนก่อนได้รับการรักษาด้วยยาต้องควบคุมเรื่องอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอย่าให้มี รูปร่างอ้วน ต่อจากนั้นถึงมาตรการใช้ยา ซึ่งมี 2 พวกใหญ่ ๆ คือ ยาเม็ดเบาหวาน และยาฉีดอินซูลิน

    คนไข้เบาหวานทั่วไปมักละเลยเรื่องของการคุมอาหาร การออกกำลังกาย โดยคิดว่าเมื่อทานยาแล้วก็คงหายจากโรค เหมือนโรคทั่วไปอย่างอื่น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด แต่ถ้าควบคุมให้ดีคนไข้จะปราศจากโรคแทรกซ้อนหรือชะลออาการเกิดโรคแทรกซ้อนได้
    อาการเบาหวาน ?


    “ปกติคนไข้เบาหวานถูกห้ามการทานของหวานโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ รู้สึกหัวใจสั่น มือสั่น ความคิดสับสน”


    อาการเบาหวานแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
    1. ประเภทที่ 1 ห้ามรับประทาน ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิดรวมทั้งน้ำผึ้ง ขนมหวาน และขนมเชื่อมต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม หรือเชื่อมน้ำตาล ของขบเคี้ยวทอดกรอบ ถ้าจะดื่มน้ำอัด ให้ดื่มชนิดที่ใส่น้ำตาลเทียม เช่น เป๊ปซี่แม็กซ์ ไดเอทโค๊ก

    2. ประเภทที่ 2 รับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักคะน้า ผักกาด ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ทำเป็นอาหาร เช่น ต้มจืด ยำ สลัด ผัด ผัก เป็นต้น

    3. ประเภทที่ 3 รับประทานได้ แต่จำกัดจำนวนทานมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับรูปร่างว่า ขณะนั้นอ้วนหรือผอมเกินไปหรือไม่ หรือค้นไข้ทำงานหนักใช้แรงงานมากหรือไม่อย่างไร อาหารในกลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 6 หมวด

    หมวดนม  วันละ 2-3 ส่วน 
    หมวดเนื้อสั...  วันละ 2-3 ส่วน 
    หมวดข้าวและแป้ง  วันละ 6-11 ส่วน 
    หมวดผัก  วันละ 3-5 ส่วน 
    หมวดผลไม้  วันละ 2-4 ส่วน 
    หมวดไขมัน  น้อยที่สุด 

    หมวดที่ 1 นม

    นม 1 ส่วน คือ 240 cc. หรือ นมผง 1/4 ถ้วยตวง
    หมวดที่ 2 เนื้อสั...

    เนื้อสั... 1 ส่วน เท่ากับ 30 กรับ

    หรือไข่เปิดไข่ไก่ปริมาณ 50 กรัม
    หมวดที่ 3 ข้าวและแป้ง 1 ส่วน ได้แก่
    ข้าวสุก  1/2  ถ้วยตวง (1 ทัพพี) 
    มะกะโรนีสุก  90  กรัม 
    ขนมปังปอนด์  1  แผ่นใหญ่ 
    ขนมจีน  2  จับ 
    ก๋วยเตี๋ยว  1/2  ถ้วยตวง 
    มันเทศ  85  กรัม 
    วุ้นเส้นแช่น้ำ  1/2  ถ้วยตวง 
    หมวดที่ 4 ผัก

    ประเภท ก ทานได้ไม่จำกัด ผักกาดหอม  ผักกาดขาว  ผักบุ้งจีน 
    ผักกวางตุ้ง  ผักตำลึง  แตงกวา 
    ผักเขียว  แตงร้าน  บวบ 
    น้ำเต้า  สายบัว 
    ประเภท ข 1 ส่วนเท่ากับ 100 กรัม
    ถั่วฝักยาว  ถั่วลันเตา  ดอกกะหล่ำ 
    หอมหัวใหญ่  บรอกโคลี่  ใบขี้เหล็ก 
    ดอกกุ่ยช่าย  ชะอม  พริกหวาน 
    สะเดา  แครอท  สะตอ 
    เห็ด  ผักกะเฉด  ข้าวโพดอ่อน 
    ฝักทอง  มะเขือเทศ 
    หมวดที่ 5 ผลไม้ 1 ส่วนได้แก่
    กล้วยน้ำว้าสุก  1 ผลเล็ก  อินทผาลัม 2 ผล 
    กล้วยหอม  1/2 ผล ลูกแพร์ 1 ผลเล็ก 
    กล้วยไข่  1 ผล น้อยหน่า 1 ผลเล็ก 
    ส้มเขียวหวาน  1 ผล มะม่วง 1/2 ผล 
    มะละกอ  6 ชิ้นคำ พุทรา 2 ผล 
    สับปะรด  6 ชิ้นคำ องุ่น 10-12 ผล 
    แตงโม  10 ชิ้นคำ เงาะ 3 ผล 
    แคนตาลูป  8 ชิ้นคำ มังคุด 2 ผล 
    แตงไท  1 ถ้วย ละมุด 1 ผล 
    ลางสาด  5 ผล ลิ้นจี่ 3 ผล 
    ฝรั่ง  1 ผล ทุเรียน 1 เม็ดเล็กเนื้อบาง ๆ 
    ลำไย  8 ผล แอปเปิ้ล 1/2 ผล 
    ลูกพรุน  2 ผล ชมพู่ 5 ผล 
    ส้มโอ  1/5 ผล สตอเบอรี่ 1 ถ้วย 
    น้ำมะพร้าวอ่อน  1 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย 
    หมวดที่ 6 ไขมัน

    ควรเป็นไขมันจากพืช แทนไขมันสั... เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำ น้ำมันฝ้าย ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม ควรงด
    โรคแทรกซ้อนเบาหวาน ?


    “โรคไตวาย โรคหัวใจ อัมพาต ล้วนเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในคนไข้เบาหวาน”


    - มักเป็นข้อสงสัยในคนไข้เบาหวานว่าทำไมต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติในเมื่อทุกวันนี้ คนไข้ก็ไม่มี อาการอะไรมากมาย คำตอบก็คือ เพื่อลดการเกิดโรคแทรกซ้อนใน 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากจะไปรักษาเมื่อเกิดโรคแทรกซ้อนแล้วก็สายเกินไปเสียแล้ว ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ โรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในคนไข้เบาหวาน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

    1. เกิดในพยาธิสภาพระดับเส้นเลือดเล็ก ได้แก่ โรคไตวาย ปลายประสาทอักเสบตาบอด

    2. เกิดในพยาธิสภาพระดับเส้นเลือดใหญ่ ได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันอัมพาต เส้นเลือดแดงเลี้ยงแขนหรือขาตีบตัน
     ควบคุมเบาหวาน น้ำตาลในเลือดเท่าไรดี ?


    “ระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้า 80-120 มก.% นับว่าดี”


    - พบว่าถ้าสามารถควบคุมให้น้ำตาลในเลือดเท่าคนปกติจะสามารถลดการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ดังนั้น ระดับน้ำตาลตอนเช้าควรอยู่ในระดับ 80-120 มก.% แต่ทั้งนี้คนไข้ไม่ควรมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (อาการก็คือความรู้สึกหิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกตัวเย็น ความคิดสับสน) ในการวัดผล ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้การเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำหาระดับน้ำตาลซึ่งให้ผลแน่นอน ละเอียดกว่าการ ตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ ปัจจุบันมีเครื่องมือเจาะเลือดจากปลายนิ้วตรวจ นับว่าอำนวยความสะดวก และคนไข้สามารถวัดผลได้เองที่บ้าน แต่ข้อ ระวังคือเมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจต้องมีการปรับเครื่องเพื่อให้ได้ค่ามาตรฐาน
     จะต้องใช้ยาเบาหวานต่อหรือไม่เมื่อเจ็บป่วย ?


    “ส่วนใหญ่คนไข้เบาหวานมักมีภาวะน้ำตาลต่ำ เนื่องจากทานอาหารไม่ได้ ดังนั้นควรลดยาเบาหวาน”
    - ปัญหานี้ค่อนข้างตอบตรง ๆ ลำบาก เนื่องจากผลลัพธ์ในผู้ป่วยยามเจ็บป่วยอาจเกิดภาวะน้ำตาลสูง หรือภาวะน้ำตาลต่ำ เนื่องจากทานอาหารได้น้อยก็ได้ โดยทั่วไปขอแนะนำให้ลดยาที่ใช้ลงมาก่อน เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้าภาวะเจ็บป่วยติดต่อกันหลายวันต้องมาพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพน้ำตาล และภาวะกรดเกินในเลือดมีหรือไม่
     คนไข้เบาหวานไม่ใช่คุมแต่ระดับน้ำตาล ?


    “นอกจากน้ำตาล ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน โรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ก็ต้องได้รับความสนใจรักษา”


    - ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นแค่ผลของความผิดปกติทางการใช้สารอาหารอันหนึ่งของร่างกาย ภาวะไขมันในเลือดสูงก็มักพบควบคู่กันมาด้วย ดังนั้นผู้ป่วยต้องสำรวจว่า

    1. ภาวะไขมันในเลือดสูงหรือไม่

    2. อ้วนหรือไม่

    3. มีโรคความดันโลหิตสูงด้วยหรือไม่

    4. สูบบุหรี่หรือไม่
    ถ้าคำตอบคือมี ท่านต้องรักษาโรค หรือภาวะเหล่านี้ด้วยจึงจะปลอดภัย และอยู่ในสภาพปกติเหมือนคนทั่วไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×