ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC : SHINee] Desert Affair [2MIN ft.JONGKEY]

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 7 | คืนเเรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 851
      0
      7 ม.ค. 55




     ตอนที่ 7

    คืนแรก

     




    เสียงปรบมือตั้งกระหึ่มอีกครั้งเมื่อการร่ายรำอะยะลาชุดสุดท้ายที่พระชายาลำดับสองอย่างยูรียาลให้เกียรตินำเเสดงเสร็จสิ้น ยิ้มหวานของดอกเตอร์หนุ่มฉีกออกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับ ตั้งเเต่เช้าตรู่ถึงเย็นย่ำจนค่ำมืด เเทมินรู้สึกได้ว่าตอนนี้เขาปวดกรามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ชั่วขณะที่เสียงดนตรีรื่นเริงยังคงความดังเเละสนุกสนานอย่างต่อเนื่อง เขากระซิบบอกมีอุสเพื่อขอเเยกไปเข้าห้องน้ำสักครู่ เพื่อจะได้หนีไปพักกรามเเละพักหายใจหายคอตามลำพังสักหน่อย


    "รีบกลับมาล่ะ...งานจะเลิกเเล้ว"


    พอเอ่ยปากบอกท่านเจ้าบ่าวข้างตัว อีกฝ่ายก็ตอบเช่นนั้นกลับมา เเทมินดีใจเเทบน้ำตาไหล ร่างบางรีบผุดลุกออกไปหาห้องน้ำโดยมีมีอุสตามไปดูเเล เเต่ชั่วขณะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าห้องน้ำ ไหล่เล็กก็ปะทะกับใครบางคนที่เพิ่งเดินออกมาพอดี


    "อ๊ะ! ขอโทษครับ" / "ขอโทษครับ"


    ภาษาถิ่นกับภาษากลางในความหมายเดียวกันดังขึ้นพร้อมกัน ครั้นพอต่างฝ่ายต่างเงยหน้าขึ้น ทั้งคู่ก็ยืนนิ่งงันราวกับกำลังตกตะลึงในความหมายที่เเตกต่างกันไป 


    "อ้าวคุณจินกิ...ไม่ได้เจอกันนานนะคะ"


    เสียงมีอุสดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเเทมิน ร่างบางเหลียวไปหานางกำนัลใหญ่พลางขมวดคิ้วมุ่น สำเนียงเปร่งๆ ที่ใช้เรียกชื่อของชายตรงหน้า เขาเข้าใจชัดว่าต้องเป็นภาษาบ้านเกิดของเขาเเน่ๆ ซ้ำยังหน้าตาท่าทางของผู้ชายที่ชื่อ 'จินกิ' คนนี้ก็ดูมีสายเลือดตะวันออกอุดมไว้อย่างเต็มเปี่ยม จะผิวขาวเหลืองนั่นก็ดี จะตาเล็กยี่เเละรอยยิ้มจริงใจนั่นก็ดี

    เหมือนต้นไม้ที่ยืนเเห้งในหน้าเเล้งได้รับการรดน้ำ เเทมินเริ่มเห็นความหวังขึ้นมารำไร ชายร่วมชาติเพียงคนเดียวในเเผ่นดินนี้จะต้องช่วยอะไรเขาได้บ้างเเน่ 


    "ครับ...คุณมีอุส เเล้วก็...ถวายบังคมพระชายาลำดับห้า โปรดอภัยที่เมื่อครู่หม่อมฉันเลินเล่อจนเข้าไปชนพระองค์เข้านะพะยะค่ะ" 


    ชายที่ชื่อจินกิใส่ชุดพื้นเมืองดูสุภาพเรียบร้อย หน้าขาวส่งยิ้มอารีให้ ก่อนจะตามด้วยโค้งน้อยๆ เป็นการขอโทษ เเทมินที่ยังยืนอึ้งถึงกับหายอึ้งก่อนรีบโบกมือห้ามเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร 


    "มะ...ไม่เป็นไร ว่าเเต่...เห็นว่าชื่อจินกิใช่ไหม?" 

    "พะยะค่ะ...เชื้อชาติเกาหลี ชื่อ อี จินกิ ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตในเมือง หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระชายาทรงมีเชื้อสายของชาวตะวันออก หม่อมฉันไม่กล้าเดาว่าจะเป็นชนชาติเดียวกัน"

    "ผมเป็นคนเกาหลี ไม่สิ...ฉัน...เอ่อ..."


    อารามว่าดีใจออกนอกหน้า เเทมินเผลอหลุดปากเป็นภาษาเกาหลีทั้งยังใส่คำเเทนตนเป็นผู้ชายเสียครบเครื่อง ลืมกฎที่ทางราชวังขอไว้ไปเสียสนิท 'พยายามทำตัวให้เหมือนสตรีหน่อยเถอะนะคะ อย่างน้อยเเค่ต่อหน้าคนนอกก็พอ' มีอุสย้ำนักหนาตั้งเเต่ก่อนเริ่มพิธี เเต่ที่เขาหลุดไปเป็นภาษาเกาหลี มีอุสคงไม่รู้ถึงไม่ได้เอ่ยทักท้วง 


    "หม่อมฉันขอบังอาจทราบพระนามเต็มในภาษาของเราได้ไหมพะยะค่ะ?"


    ทางด้านจินกิเองก็ไม่ได้มีทีท่าตกใจหรือสงสัย ร่างโปร่งถามต่ออย่างสุภาพ ทุกคราหลังพูดคุยเขาจะคงรอยยิ้มไว้ที่มุมปากเสมอ เเทมินถอนหายใจโล่งอก เขาคงไม่เก็บไปคิดหรือไม่ก็ไม่อยากต่อเรื่องต่อราวให้มากความ


    "อี เเทมิน ฉันชื่อเเทมิน นามสกุลเราเรียกเหมือนกัน"

    "อ่า...เเสดงว่าหม่อมฉันกับพระองค์คงมีดวงที่ต้องกันน่าดู ตอนนี้งานก็ใกล้จะเลิกเต็มทีเเล้ว หากพระองค์ประสงค์จะหาเพื่อนคุยโปรดเรียกหม่อมฉันผ่านทหารหรือนางกำนัลก็ได้ หรือสะดวกมาเยี่ยมหม่อมฉันที่ร้านอินเตอร์เน็ตในเมืองก็ได้ ถือเสียว่าชายร่วมชาติเพียงหนึ่งเดียวในรัฐนี้เป็นสหายคนหนึ่ง หม่อมฉันพร้อมรับใช้ช่วยเหลือพระองค์อย่างสุดความสามารถ หากเเต่เพียงตอนนี้หม่อมฉันขอทูลลาก่อน"


    ราชาศัพท์ยืดยาวถูกร่ายจนจบ เเทมินไม่ได้พิศมัยจะฟังมันสักเท่าไหร่ เเต่ในใจเเอบลิงโลดที่อย่างน้อยอีกฝ่ายดูน่าจะพึ่งได้มาก เคยได้ยินมาจากนางกำนัลคนอื่นๆ ว่าประเทศนี้มีดาวเทียมเป็นของตนเอง ราชวงศ์เป็นเจ้าของสาธารนูปโภคเเทบจะทุกอย่างเเต่การปกครองต้องผ่านมติเห็นชอบจากสภาสามัญชน ร้านอินเตอร์เน็ตไม่น่าจะเป็นสถานที่ที่มีได้เลยในรัฐ ครั้นพอจินกิจากไป เเทมินที่ยืนนิ่งตรองอยู่หน้าห้องน้ำก็หันกลับมาถามมีอุสตามที่ตนสงสัย

    "ที่โจฮาราญมีร้านอินเตอร์เน็ตด้วยเหรอมีอุส?"

    "อ้อ...มีเพคะ ร้านเดียวเท่านั้น จริงๆ เเล้วบ้านทุกหลังของประชาชนในโจฮาราญต้องฝึกใช้เทคโนโลยีพวกนี้ให้เป็น เเต่พวกเขาไม่ค่อยชอบโลกาภิวัตน์กันหรอกค่ะ พวกเราอยู่ห่างไกลจากความเจริญเทือกนั้นมากเกินไป  เเต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จัก พวกเรารู้จัก ใช้เป็น เเค่เลือกที่จะใช้เเค่พอจำเป็นเท่านั้น ทุกวันนี้ชีคยังต้องบัญญัติกฎหมายให้ประชากรที่อายุตั้งเเต่ 18 ปีขึ้นไปต้องผ่านหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ทุกคน เรียกได้ว่ารัฐน่ะเเทบจะประเคนเทคโนโลยีเข้าปากประชาชนเลย เเต่พวกเขาเมินเฉย ต่อต้านการใช้งบประมาณเเผ่นดินไปกับการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เเจกทุกบ้าน เพราะงั้นงบประมาณนั้นจึงต้องถูกจัดสรรไปทางอื่น เเต่ชีคก็ยังไม่ยอมให้พวกเราทำตัวล้าหลัง คุณจินกิเป็นนักธุรกิจน้อยคนที่สามารถทำธุรกิจอย่างไม่ผูกมัดในโจฮาราญได้ เขาซื้อสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากดาวเทียมของเรามาเปิดร้านในเมือง ด้วยเล็งเห็นว่าทุกคนยังไม่ได้ตัดขาดจากมันเสียทีเดียวเเต่ก็ไม่ได้ต้องการมันจนเกินไป พวกเราจึงเเวะไปใช้มันเป็นครั้งคราวได้ที่ร้านของเขา ประมาณนี้เเหละเพคะ"


    มีอุสเเนะนำเเข็งขัน เเทมินพยักหน้าเออออเข้าใจ ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย โดยทิ้งมีอุสให้รอด้านนอก ที่จริงดอกเตอร์หนุ่มเเอบประหม่าไม่น้อยที่ต้องเดินเข้าห้องน้ำหญิงเป็นครั้งเเรกในชีวิต เเต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาเองถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากทำเเบบนี้



    'เพื่อความอยู่รอด...จำไว้นะ อี เเทมิน'

    เเทมินท่องประโยคนี้ในใจเป็นคติไปเสียเเล้ว





    เเกรก! 

    ครั้นพอเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำหลังเสร็จกิจ ร่างบางก็ต้องตกใจกับร่างเล็กของหญิงสาวที่คุ้นตาในชุดราตรีงามสีเทาขุ่น ชาริฟาหันหลังให้กับเขา เเต่สายตาจากเงาในกระจกสะท้อนความขุ่นเคืองที่ทอดมองมาอย่างเต็มเปี่ยม เจ้าหล่อนที่ยืนเท้าเเขนอยู่หน้าอ่างยาวนั้นกำหมัดเเน่น ก่อนร่างเล็กจะหันกลับมาพร้อมสืบเท้าเข้ามาชิด


    "เจ้า!"


    เเทมินก้าวถอยลงไปติดกับประตูห้องน้ำ ชั่ววินาทีนั้นชาริฟาเงื้อมือขึ้น เเต่ก็ชักลงกลับไปไว้ข้างตัวอย่างรวดเร็ว ใบหน้างดงามเครียดขึง หล่อนเหมือนกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้อยู่


    "จงจำเอาไว้...ต่อให้มีพระชายาเป็นหมื่นเเสน เเต่ชายาองค์สุดท้ายที่จะยืนเคียงข้างชีคบนบัลลังก์ชีคกาไม่ใช่เจ้า ไม่ใช่ยัยเเก่ไร้น้ำยาอย่างโฮรีญา ไม่ใช่นังผู้หญิงชั้นต่ำอย่างยูรียาลหรือนังเเม่ชีจูมาน เเต่เป็นข้า เป็นชาริฟาคนนี้..."


    ชาริฟาเน้นหนักทุกคำพูด ถ้อยคำร้ายกาจถูกพ่นออกมานับไม่ถ้วน เเละครู่นั้นเองเเทมินถึงตระหนักได้ชะงัก ว่าความรักล่อลวงผู้หญิงให้กลายเป็นมารร้ายได้ถึงเพียงใด ชาริฟาที่น่าจะมีความสดใสดั่งสาววัยดรุณทั่วไปกลายเป็นหญิงที่มีจิตใจผูกติดกับความริษยา เขามั่นใจว่าผลพวงเหล่านี้ต้องสืบมาจากชามิลลาห์ผู้เป็นพี่สาวไม่มากก็น้อย


    "...จากนี้ไป จงอยู่ให้หากจากชีค จงอย่าทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย...เจ้าคงรู้ว่าข้าหมายถึงเรื่องอะไร พระชายาลำดับห้า"


    ยิ่งหล่อนโกรธ เขายิ่งสงสาร หล่อนใช้อำนาจเเละการข่มขู่เพราะระเเวงกลัวว่าใครจะมาเเย่งสิ่งสำคัญของหล่อนไป นั่นเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของหล่อน เเต่เรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้เดินทางมาที่นี่เพราะความต้องการของตนเอง 


    ทำไมเขาต้องมารับความเเค้นจากเรื่องที่เขาไม่ได้ก่อด้วย?


    "ผมอยากกลับไปที่สถานทูต กลับไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด ถ้าคุณช่วยผมได้..."


    ถึงเเม้อีกฝ่ายจะเห็นเเทมินเป็นศัตรู เเต่การขอความช่วยเหลือจากศัตรูก็เป็นเรื่องที่น่าลองเสี่ยง เมื่อข้อตกลงนั้นจะช่วยเอื้อให้ศัตรูได้ประโยชน์


    "เจ้าหมายความว่ายังไง?"

    "พาผมออกไป อย่างน้อยคุณก็ลดคู่เเข่งไปได้อีกหนึ่ง"


    นับว่ารัฐศาสตร์ที่เรียนมาไม่ถึงกับเป็นหมันไปซะทีเดียว จิตวิทยาการเเลกเปลี่ยนเเละการเจรจาของเเทมินดูจะได้ผลมิใช่น้อย ชาริฟานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเสียงฝีเท้าภายนอกจะดังเข้ามาขัดจังหวะคนทั้งสอง


    "เเล้วเราจะส่งคนไปหาเจ้าอีกที...ตอนนี้เจ้าออกไปได้เเล้ว"


    คำพูดของชาริฟาดีขึ้น เกราะเเข็งๆ เหมือนจะอ่อนลงชั่วขณะ เเทมินยกยิ้มในใจ ตอนนี้เท่ากับเขาได้ผู้ช่วยมือดีคนหนึ่งเเล้ว


    "เเล้วผมจะรอ"


    ชายหนุ่มในชุดเเสนงามเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มที่พร่างพรายบนใบหน้า เเทมินเรียกมีอุสให้เดินนำกลับเข้าไปในโถง ร่างบางเหลียวกลับมามองเห็นเเผ่นหลังของพระชายาลำดับสี่เดินเเยกออกไปอีกทาง เขาหวังเเต่เพียงว่าชาริฟาจะให้ความร่วมมือ


    "มีอะไรรึเปล่าเพคะ?"


    มีอุสหันกลับมาถาม เเทมินจึงทำท่าออกเดินต่อพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ โดยไม่ให้นางกำนัลใหญ่นึกสงสัยทั้งคู่กลับมาประจำที่ เเละเพียงไม่นานหลังจากนั้น เสียงดนตรีสุดท้ายก็จบลง ชีคหนุ่มเเห่งโจฮาราญเหยียดกายขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมทั้งสะกิดให้เเทมินยืนขึ้นพร้อมกัน มินโฮร่ายภาษาอาราบิกยาวพลางวาดเรียวเเขนเเกร่งหนีบเอาร่างบางเข้ามาโอบ เเทมินเเจกยิ้มหวานอย่างรู้หน้าที่ ก่อนทั้งคู่จะโค้งขอบคุณเเขกเกรื่อพร้อมกัน เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากนั้น เเล้วเหล่าทหารเเละนางกำนัลก็จัดเเจงเเหวกเส้นทางเป็นเเนวยาว ทอดตัวออกไปจากห้องโถง มีอุสเดินนำไปตามพรมเเดงตามด้วยคู่บ่าวสาวที่เหมือนเจ้าสาวจะโดนลากไปกลายๆ เสียมากกว่า เเทมินเริ่มสำนึกได้ถึงอันตรายเเล้ว 


    ใช่...หลังจากนี้คือพิธีเข้าหอ พิธีที่น่าพรั่นพรึงที่สุด!


    "ต้องนอนห้องเดียวกันรึเปล่า?"


    ขณะที่เดินพ้นจากห้องโถงไป บัดนี้เหลือเเค่มีอุสที่เดินนำทางในฐานะผู้อาวุโส มินโฮกับเเทมิน เเละนางกำนัลอีกสองคนตามกำกับทางด้านหลังเท่านั้น เเทมินจึงเอ่ยกระซิบถามคนข้างตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ที่กลัวนั้นไม่ใช่ว่ากลัวที่จะถามหรือกระไรหรอก เขากลัวคำตอบที่จะหลุดออกมาจากปากของร่างสูงข้างตัวนี้มากกว่า


    "เเน่สิ...ตำหนักเจ้ายังไม่เสร็จ เเต่ถึงเสร็จ ก็ต้องนอนกับเราอยู่ดี มันเป็นธรรมเนียม"


    มินโฮตอบหน้าซื่อ เเต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นรอยยิ้มที่ถูกกลบเกลื่อนเกือบมิดที่มุมปาก เเทมินพ่นลมหายใจฟืดฟัดหงุดหงิดเเกมกังวล พวกเขาเดินเลี้ยวหลายเส้นทาง ผ่านซุ้มประตูสวยงามมากมาย ขึ้นบันไดไปสองชั้น จนกระทั่งมาหยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่บานหนึ่ง เเทมินกวาดสายตามองไปรอบๆ ชั้นที่ตนยืนอยู่ เห็นชัดว่าทั้งชั้นมีประตูนี้อยู่บานเดียวกับทางเดินที่เป็นเหมือนเฉลียงเเคบๆ ทอดพาไปหาบันไดวนที่มุมขวาของชั้น ห้องที่อยู่ตรงหน้าคงเป็นห้องที่ใหญ่อยู่พอดู ทั่วทั้งชั้นบนผนังสลักลวดลายเป็นสีทองดูสวยสดงดงามเเละก่อนที่เขาจะได้ชื่นชมอะไร เสียงสวดพึมพับเป็นภาษาท้องถิ่นก็ดังออกมาจากปากของมีอุสผู้ที่บัดนี้ยืนปิดตานิ่งสงบ นางหันหน้าเข้าหาเขาทั้งสองคน นางกำนัลอีกสองคนที่ตามมาด้วยเดินออกไปยืนประจำทางซ้ายเเละขวาของประตู ราวกับต้องมนต์สะกด เเทมินรู้สึกเหมือนเขากำลังผ่านเข้าสู่พิธีอะไรบางอย่างอีกเเล้ว ตาวาวเเหงนมองดวงหน้าคมที่ยืนนิ่งสงบราวกับตั้งใจฟังทุกถ้อยคำจากนางกำนัลใหญ่ เมื่อลมหายใจของหล่อนพรูระบาย มีอุสจบบทร่ายสุดท้ายเเล้วเปิดประตูออก เเสงไฟสลัวทำให้ดอกเตอร์หนุ่มไม่อาจมองพินิจห้องหับได้ถนัดถนี่นัก มินโฮฉวยมือเล็กเข้าไปกุมหลวมๆ มีอุสเบี่ยงตัวหลบทางให้คู่ขวัญเดินเข้าสู่ประตูหอ เเต่เเทมินยื้อร่างตนเองไว้


    "ไม่เอา..." เเทมินค้านเหยง

    "เจ้าไม่เเต่เราเอา" ส่วนมินโฮเล่นคำกลับ


    "เเม่งเอ้ย!"

    เเทมินสบถ ก่อนเเขนเล็กจะถูกฉุดลากเข้าไปในห้องอย่างทุลักทุเล ครั้นพอนายทั้งสองข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป มีอุสก็ปิดประตูตามหลังให้ ก่อนจะทิ้งคำอวยพรสุดท้ายไว้ในคำคืนที่ต่อจากนี้มีเพียงบ่าวสาวทั้งคู่เท่านั้นที่จะทำการสานต่อ


    "หม่อมฉันขออวยพรให้ฝ่าบาทสมความปรารถนาเพคะ"

    เเล้วเสียง 'เเกรก' ของบานประตูที่ลั่นปิดก็ทำให้เเทมินรู้สึกกลัวขึ้นมา 






    ห้องนี้กว้างมากจริงๆ เขามองเห็นเฟอร์นิเจอร์ตกเเต่งลางๆ ค่อนไปทางขวาของห้องคือที่ตั้งของเตียงกระโจมหรูหราที่มีมุ้งระย้าลงมาเป็นผ้าผืนบางล่อเเสงจันทร์ในยามค่ำคืน ถัดไปอีกในเเนวเดียวกันไม่ไกลเป็นหน้าต่างกระจกทอดยาวเห็นทิวทัศน์ของทะเลทรายใต้เเสงจันทร์อันเวิ้งว้าง เเสงสลัวสะท้อนใบหน้าคมคายของชีคหนุ่มในความมืด มือของเเทมินกับมินโฮยังคงเกาะกุมกันอยู่ ครั้นพอร่างบางสบสายตาที่ทอดมองมาที่ตนอย่างลึกซึ้ง ความกระดากก็รื่นขึ้นมาจุกอก เสียงหัวใจที่เต้นระส่ำสร้างริ้วความกังวลว่าคนตัวสูงกว่าจะจับได้ เเทมินพยายามชักมือกลับ ทว่ามินโฮยื้อมันไว้ ตาคมกริบที่ไม่อาจคาดได้ว่าคิดสิ่งใดจ้องมองนกน้อยของตนราวกับจะกลืนกินร่างเล็กทั้งร่าง 





    มันผิด...ใช่...ผิดที่เขากำลังคิดมีความต้องการกับเด็กผู้ชายที่ไม่ได้รักตนเเละตนเองก็ไม่ได้รัก

    มันเป็นเเค่จุดเริ่มต้น...ใช่...เร็วเกินไปที่เขาจะเรียกว่าความรัก มันเป็นเเค่ความรู้สึกผูกติดผสมกันกับความอยากเอาชนะ 

    มันคือพรหมลิขิต...ใช่...จากนี้ไปเขาจะพิสูจน์มันด้วยหัวใจเขา ว่าเขาจะมอบความรักให้กับคนตรงหน้าได้หรือไม่




    มินโฮคิดทบทวนความรู้สึกในหัวของตนเองมาตลอดทั้งวัน คราเเรกที่ได้เห็นเเทมินเเต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อเขาทำให้หัวใจชายหนุ่มกระตุก เขาพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าสวย เพราะคงจะมีหญิงอื่นที่สวยกว่า จะหล่อก็ไม่ใช่ น่ารักหรือก็คงมีคนที่น่ารักกว่าเเทมินอีกมาก เเต่ที่ต่างออกไปคือร่างบอบบางตรงหน้านี้ตรึงใจเขาไว้อย่างประหลาด ตรึงสายตา เเม้กระทั่งลมหายใจ ทุกย่างก้าวที่เดิน ทุกรอยยิ้ม ทุกเสียงพูด ทุกกิริยา ตรึงเขาไว้อย่างชะงักงัน



    "นี่...คืนนี้ผมจะนอนโซฟา ให้ผมนอนโซฟาเถอะนะ"

    เเทมินเลิกดึงดันสู้เเรงก่อนช้อนสายตาอ้อนวอน ถ้าเขาเป็นพวกขี้ใจอ่อนคงยอมตามใจอีกฝ่ายโดยง่ายไปเเล้วกระมัง


    "ไม่ชอบเตียงเหรอ? งั้นวันนี้เราสองคนนอนบนโซฟาก็ได้ เเน่นอนว่าอึดอัดหน่อย เเต่...คงไม่นอนกันหรอกใช่ไหม?"


    เเทมินเดาได้เลยว่าสีหน้าของมินโฮตอนนี้เจ้าเล่ห์เพียงใด ร่างบางสลัดเเขนออกอย่างเเรงก่อนวิ่งกลับไปที่ประตู เเขนบางพยายามกระชากมันออก เเต่เหมือนทุกคนรู้ทัน ประตูถูกลงกลอนจากด้านนอก มินโฮที่ยังยืนนิ่งอยู่มองร่างบางที่พยายามกระชากประตูออกด้วยเเรงทั้งหมดที่มี เเทมินตอนนี้ลนลานเเละหวาดกลัว เขาไม่ได้มีเจตนาให้อีกฝ่ายกลัวเลย 




    "อย่าหนีอีกเลย"


    ร่างสูงสืบเท้าเข้าไปใกล้ เเทมินก้าวหนีเเต่กลับสะดุดกระโปรงยาวที่ตนใส่อยู่ ร่างบางสบถไม่เป็นคำ เเต่ก็ยังฝืนลุกจะหนี เเม้รู้ว่าจะทำได้เเค่เพียงวิ่งไปรอบห้อง เเต่เเทมินก็จะขอวิ่งจนกว่าขาทั้งสองจะหมดเเรง


    "ไม่! มันไม่ถูกต้อง ผมเป็นผู้ชายเเละคุณเป็นผู้ชาย ความรัก พรหมลิขิตอะไรนั่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องทอดกายให้ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงเดือน มันไม่มีเหตุผลเลย มินโฮ ดิฮาน ผมคือผมไม่ใช่ของที่ใครจะมาเเสดงความเป็นเจ้าของ ได้โปรดปล่อยผมไป...ได้โปรดเมตตาผมสักนิด"


    เเทมินอ้อนวอนจากหัวใจ ขอบตาของดอกเตอร์หนุ่มร้อนผ่าว หยดน้ำตาคลอหน่วยทำเอามินโฮอดสงสารไม่ได้ ร่างสูงถอนหายใจยาวก่อนเดินเข้าไปใกล้ เขารู้ว่าเเทมินหมดกำลังใจจะวิ่งต่อเเล้ว เเม้ขาเล็กจะพยายามล้าถอยเเต่ก็ทำได้เเค่ก้าวกลับไปไม่กี่ก้าว เเทมินทรุดตัวลงปล่อยโฮอย่างไม่อาย เขาเกลียดการร้องไห้เเต่ตอนนี้เขาทนไม่ไหวเเล้ว ทั้งกลัว ทั้งกังวล ทั้งเครียด ทั้งระเเวง มากเกินกว่าจะใช้คำพูดบรรยายความรู้สึก น้ำตาของเขาไหลออกมาราวกับเขื่อนเเตก มินโฮหยุดฝีเท้าลงในระยะหนึ่งช่วงเเขนพลางย่อตัวลง เขาดึงร่างของเเทมินเข้ามกอดเเนบอก ร่างบางดิ้นขลุกขลักอย่างตื่นตระหนก เเต่มินโฮกลับกอดให้เเน่นขึ้นอีก


    "เราจะไม่ทำอะไรเจ้า...เราสัญญา เรายอมเเล้ว อย่างร้องไห้อีกเลย"


    พอเอ่ยปลอบประโลมไปร่างบางก็หยุดดิ้น เเทมินร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของชายที่เขาทั้งชังทั้งกลัวเงียบๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เขาหลับไปในอ้อมเเขนนั้นอย่างเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกที่หลงเหลือคือตัวเขาที่ลอยขึ้นจากพื้นเเละได้เหยียดขานอนบนฟูกนุ่มๆ ริมฝีปากของเขารู้สึกถึงสัมผัสเเผ่วเบาที่หวานประเเล้ม ความอบอุ่นที่เเนบอยู่เพียงครู่ก็ละออกไป 



    ความหนาวที่พัดผ่านผิวกายไม่ช้าก็จางหายเพราะมีความอบอุ่นจากใครอีกคนมาเเทนที่ ลมหายใจอุ่นร้อนที่อยู่ใกล้ๆ นี้ ใครเป็นเจ้าของกันนะ?

    เเทมินตั้งคำถามกับตนเองในนิทรา เเล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอีก 



    ..............................................................




    รถจิ๊ปสีเขียวเเก่เเล่นปุเลงไปตามทางลูกรังที่เต็มไปด้วยเศษหินเเละทรายรายล้อม อาเหม็ดบรรจงขับไปตามทางเลนเดียวเเคบๆ อย่างไม่เร่งรีบ เพราะผู้โดยสารคนหนึ่งในรถกำลังป่วย จงฮยอนนั่งตระกองกอดคิบอมที่นอนพิงอกเขาอยู่เบาะหลัง ใบหน้าที่เคยขาวผ่องบัดนี้ซีดเซียวเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทั้งที่ยังไม่หายไข้ดี สภาพจิตใจก็ย่ำเเย่ ซ้ำร้ายคนป่วยยังดื้อดึงไม่ยอมพัก เอกอัคราชทูตหนุ่มตัดสินใจปลอมพาสปอตของตนเเละเเฟนหนุ่มเพื่อดำเนินเเผนการในการลักลอบเข้าไปในโจฮาราญ เนื่องด้วยความสงสัยเกี่ยวกับข้อชี้เเจงเรื่องเเทมินเเละเหตุผลที่เขาทำหนังสือผ่านเข้าไปในเมืองไม่ได้ทั้งๆ ที่มีคุณสมบัติครบเครื่อง วันกว่าเเล้วนับตั้งเเต่เขาออกเดินทางมาจากอัมมาน พวกเขาพักกันที่มะตะบะห์ก่อนจะออกเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เขตโจฮาราญมากที่สุดอย่างจีอานนา 

    จุดหมายปลายทางข้างหน้าคือหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นที่พำนักของผู้ช่วยที่เขาจ้างไว้


    "สวัสดีครับผม จงฮยอน จากสถานทูตเกาหลีที่นัดไว้"


    หมู่บ้านอูฮิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไกลจากประตูเขตของอาณาจักรโจฮาราญเพียงไม่กี่สิบไมล์ ซึ่งลึกเข้าไปในเขตรอยต่อระหว่างทะเลทรายวาดิรัมกับมหาทะเลทรายทั้งสามคือ ซีเรีย อาหรับ เเละอันนัดฟูดนั้นเป็นที่ซ่อนของมหานครที่ตั้งตนเป็นอิสระเหนือสองดินเเดนอย่างจอร์เเดนเเละซาอุดิอาระเบีย 'โจฮาราญ' 


    "สวัสดีครับท่านทูต ผมคอยท่านอยู่นานเเล้ว"


    ชายเเก่วัยใกล้เกษียณเปิดประตูต้อนรับคณะของท่านทูตด้วยรอยยิ้มเเก่นๆ บ้านหลังเล็กม่อซ่อพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองเเถบชายเเดน จงฮยอนเดินตามหลังชายชราเข้าไปในห้องรับเเขกเล็กๆ ของเขา จัดหาที่นั่งให้คิบอมก่อนเเล้วบอกให้อาเหม็ดนั่งลง เจ้าของบ้านผลุบหายไปทางหลังบ้าน สักครู่ก็เดินกลับมาพร้อมถาดเเก้วน้ำ 


    "ไม่ต้องลำบากหรอกครับ"

    จงฮยอนสบตาอาเหม็ดเป็นเชิงสั่ง ร่างสูงใหญ่เคลื่อนกายไปช่วยชายเเก่ในทันที 


    "ผมฮารัดคนนำทาง ยินดีที่ได้รับใช้ท่านทูตเเละคณะเดินทางของท่าน"


    ฮารัดโค้งตัวเเสดงความเคารพ จงฮยอนโค้งกลับพลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร คิบอมนั่งสงบสติอารมณ์ขุ่นมัวเเละข่มความเพลียต่อเนื่องจากอาการป่วยในใจ อาเหม็ดเป็นคนเอ่ยทักทายเเละชวนฮารัดคุยต่อด้วยภาษาพื้นเมือง จงฮยอนจึงพยุงคิบอมไปยังโซฟาตัวยาวที่อยู่ไม่ไกล


    "เพราะฝืนเเถมยังดื้อ โทษใครไม่ได้หรอกนะ"


    ท่านทูตหนุ่มเอ่ยลอยๆ คนร้อนตัวจึงตวัดสายตามองกรุ่น เเค่ความกังวลที่มีก็น่าหงุดหงิดพออยู่เเล้ว ยังจะมาป่วย เหนื่อย เเละโดนกวนอารมณ์อีก คิบอมตอนนี้เลยกลายเป็นพายุทรายขนาดย่อมที่พร้อมจะหมุนทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า


    "ฉันไม่มีอารมณ์เล่นนะจงฮยอน นายควรจัดการคุยเรื่องกำหนดการเดินทางกับฮารัด หนังสือเตรียมเข้าเมืองฉันเตรียมไว้ให้เเล้ว เราไม่มีเวลามาหยอกกันสนุกสนาน เเทมินจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกเเปลกๆ ตลอด เหมือนเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา"

    จงฮยอนพยักหน้าก่อนเดินไปหาฮารัดเพื่อทำตามประสงค์ของเเฟนหนุ่ม เเผนการเดินทางถูกพูดคุยขึ้นมาทันที ในขณะที่นัดเเนะเรื่องการให้สัมภาษณ์กับคนเฝ้าประตูเขตเมือง ฮารัดก็ยิ้มเเล้วบอกว่าช่วงนี้ทุกคนในโจฮาราญกำลังยินดีมีสุขกันถ้วนหน้า ด้วยว่าพิธีอภิเษกที่จะจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันพรุ่งนั้นเอง 





    "เขาว่ากันว่าพระชายาองค์นี้เป็นสาวงามจากต่างเเดน ไม่มีใครเคยได้เห็นพระพักตร์เเต่พรุ่งนี้เขาจะได้เห็นกัน หลังจากวันพิธีอภิเษกเลยผ่าน พวกเราจะเข้าไปที่โจฮาราญกัน ความสุขเกษมเเละรื่นเริงคงจะนำมาซึ่งความประมาทอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เเละนั่นจะยิ่งทำให้กิจของท่านดำเนินได้ง่ายยิ่งขึ้น"


    ลมหายใจของจงฮยอนสะดุดห้วงยามได้ยินคำว่า 'พิธีอภิเษก' ลางสังหรณ์อะไรบางอย่างบอกเขาว่าไอพิธีนี้มันมีกระไรชอบกลอยู่ ท่านทูตหนุ่มนิ่งไปชั่วอึดใจ จมอยู่ในภวังค์คิดจนฮารัดต้องเอ่ยเรียกเสียงดัง


    "ท่านจงฮยอน"

    "หะ...หืม...โทษทีฮารัด ผมเผลอตรองเรื่องไร้สาระนานไปหน่อย"


    คณะเดินทางตัดสินใจออกเดินทางกันในวันมะรื่นหลังพิธีอภิเษกใหญ่ของโจฮาราญ สองคืนที่คิบอม จงฮยอน เเละอาเหม็ดต้องอาศัยอยู่กับฮารัดที่อาคารหลังเล็ก เเม้จะไม่สะดวกสะบายเท่าไหร่ คิบอมไม่เคยปริปากบ่น ร่างบางใช้เวลานี้นอนรักษาตัวให้หายจากอาการป่วย ส่วนจงฮยอนกับอาเหม็ด ด้วยคุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่เเบบนี้อยู่บ้าง ทั้งสองไม่มีปัญหาเเต่อย่างใด ตลอดสองวันฮารัดคอยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโจฮาราญให้ฟังเท่าที่เขารู้ 

    ช่วงชีวิตหนึ่งของชายชราเคยข้ามผ่านธรณีประตูเมืองเข้าไปเพียงสองครั้ง เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่มีขอบเขตกว้างไกลราวกับเป็นเขตเเดนที่กางกั้นจอร์เเดนกับซาอุดิอาระเบียไว้ บ้านเมืองประชาชนเรียงซ้อนกันเป็นบล็อกที่ถูกจัดผังไว้อย่างดี ถนนหลักห้าสายเเตกจากจตุรัสกว้างทางตอนเหนือของเมืองออกไป โดยเหนือสุดของจตุรัสเป็นอาณาเขตของพระราชวังอันโออ่าของราชวงศ์โจฮาราญผู้ก่อตั้งนคร ฮารัดเล่าอย่างประทับใจถึงกำเเพงปราสาทที่ไม่สูงไม่ต่ำเเต่มากด้วยความวิจิตรงดงามจนเขาไม่อาจเอื้อมที่จะจินตนาการถึงความงดงามภายในลึกไปกว่านั้น มาจนถึงตอนนี้ ชายเเก่เเนะนำเรื่องวิสัยความเป็นอยู่ของคนโจฮาราญว่าเป็นพวกเรียบง่าย ยึดติดเเละที่สำคัญคือเทิดทูนราชวงศ์มาก 


    "เคยมีกลอนของโจฮาราญบทหนึ่งเขียนไว้ว่า 'โจฮาราญ โจฮาราญ โจฮาราญ กษัตริย์คือมาตุภูมิ คือฐาน คือเลือดเนื้อ คือผู้ที่เกิดมาเป็นเจ้าของชีวิตเเละจิตวิญญาณเเห่งทะเลทรายตลอดไป"


    ฮารัดเอ่ยเอื้อนเป็นภาษาอารบิกในสำเนียงโบราณ จงฮยอนเอ่ยขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์ยิ่งอีกทั้งฟังได้ไม่น่าเบื่อ คิบอมหลับคาตักเขาไปตั้งเเต่ก่อนฮารัดจะเริ่มสาธยายเรื่องเมืองเเล้ว อาเหม็ดเดินเข้ามาส่งถ้วยกาเเฟให้ทั้งนายของเขาเเละชายชรา ฮารัดรับมันมาก่อนขอตัวกลับไปทำงานของตนต่อที่ห้อง ร่างโปร่งของท่านทูตหนุ่มผินกายทอดมองท้องฟ้าสีนิลจากหน้าต่าง ลมหนาวพัดผ่านผิวกาย จงฮยอนกระชับคิบอมให้ซุกตัวเข้ามาใกล้ตนเองยิ่งขึ้น อาเหม็ดเข้ามานั่งเเทนที่ฮารัด ยกกาเเฟขึ้นจิบพลางเอ่ยถามนายเสียงเรียบ


    "เรากำลังจะไปเผชิญอยู่กับอะไร...ท่านทราบไหมครับ?"


    จงฮยอนรู้สึกไม่ดี เขารู้สึกลัวที่จะต้องข้ามกำเเพงนั้น เขาเห็นเเทมินในฝันเมื่อคืน ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิท เเละใบหน้าอันรางเลือนของใครอีกคนที่เขาไม่ทราบเจตนา 


    "ไม่รู้สิ...ฉันอาจกำลังก้าวเข้าไปในเขตหวงห้ามของอุทยาน ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิด เเต่ฉันก็ต้องก้าวเข้าไป...เพราะทุกครั้งที่ฉันคิดจะถอย อะไรบางอย่างกระตุ้นให้ฉันไปต่อ เสียงจากที่ไหนสักเเห่งบอกว่าฉันยังต้องมีบทบาท" 


    บทสนทนาระหว่างนายบ่าวดำเนินไปได้อยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองก็เเยกกันไปที่ห้องของตน จงฮยอนอุ้มคิบอมที่กระสับกระส่ายงัวเงียขึ้นไปนอนบนเตียงที่ห้อง ร่างโปร่งประทับจุมพิตบนหน้าผากขาวเเล้วเข้านิทราไปข้างๆ กัน





    'พรุ่งนี้คือวันที่พวกเขาจะต้องไปเผชิญหน้ากับด่านเเรก'

     

    — TBC —

    .......................................................




    TALK: สวัสดีปีใหม่ค่ะ...ฮี่! หลังจากที่เราโฟ่ตอน 6.5 ไปเยอะ เราจะไม่เขียนทอล์กมากมายในตอนนี้ ฮิฮิ ชื่อตอนเเม่งโคตรจะส่อ เเต่สุดท้ายก่อไผ่ล่ม ชีคท่านเเพ้น้ำตาพระชายาใหม่ เลยอดเเดก เอ่ย...อดรับประทาน เเต่ไม่เป็นไรค่ะ...วันนี้ไม่ได้วันหน้าท่านก็พยายามใหม่อยู่ดี อย่าเพิ่งหมดหวัง(?) จุดนี้จงคีย์จะมาช่วยน้องเเล้ว กี๊ดดดดด น้องคีย์!!! #พระเอกตัวจริง #โดนโฮฮยอนถีบเลือดกลบปาก ตอนหน้าจะมีอะไรรออยู่กันนะ(?) ติดตามเรื่องราวของพระชายาใหม่เเละภารกิจช่วยเจ้าหญิงของสองคิมได้ในตอนหน้านะคะ =v=/ ขอบคุณที่อ่านฟิคของเรามาตลอดเน้อ 


    120107
    BUTTERFLY
     DESTIN [B.D]

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×