คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [SF] SUN & AIR #3...TOMORROW [END]
OPEN TALK: SUN&AIR พาร์ทสุดท้าย...พระอาทิตย์กับอากาศจะเป็นอย่างไรต่อไป ฝากซัพเพอร์ด้วยนะคะ อิ๊อิ๊ ♥
— TOMORROW —
ในวันที่จิตใจอ่อนแอจนสมองและร่างกายไม่อยากจะหยัดยืนขึ้นทำสิ่งใด หัวใจที่แทบจะหยุดนิ่งไปค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า เมื่อสถานะของความรักถูกลดถอยลงมา แทมินตัดสินใจหันหลังให้เรื่องของตัวเองกับมินโฮ กอปรกับชีวิตของวัยทำงานที่เข้ามาแทรก ทำให้เขาเหมือนได้เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
“ฉันจะขอพี่โบอาแต่งงานหลังจากที่มีงานเป็นหลักแหล่ง”
ในพิธีจบการศึกษาที่แสนจะน่ายินดีนั้น มินโฮกล่าวให้คำสัญญากับเขาว่าเพื่อนเจ้าบ่าวจะได้ทำงานแน่นอนหลังจากที่คน ตัวสูงได้งานทำอย่างมั่นคงสมบุรุษ ปัญหาหัวใจและเรื่องราวของ ควอน โบอา เป็นเรื่องที่ อี แทมิน มักจะได้ยินจากปากของมินโฮเสียจนเคยชินเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว ร่างบางยอมรับกับตัวเองว่าเขาสื่อสารกับอีกฝ่ายน้อยลง แต่ไม่เคยมีแม้สักครั้งที่เขาจะละเลยมินโฮ
หัวใจที่ชาชินกับการถูกทำร้ายในตอนนี้นั้น ไม่หวั่นไหวแม้ถูกมีดคมกรีดลึกสักกี่ครั้ง
.....หรือบางทีแทมินอาจคิดไปเอง?
“นายแบบพร้อมแล้วครับคุณแทมิน”
ผมยุ่งถูกเสยขึ้นอีกครั้งตามลักษณะนิสัยติดตัวของร่างบางก่อนสองมือจะแปร เปลี่ยนมาเป็นประคองกล้องคู่ใจอย่างทะมัดทะแมงและพร้อมรับมือกับงานของตน
หลังจากที่พาชีวิตตัวเองเข้ามาวุ่นวายกับงานช่างกล้องประจำ ทำให้แทมินไม่ต้องรู้สึกหมกมุ่นกับเรื่องของตนเองกับมินโฮบ่อยเท่าไหร่นัก เวลาที่เขากับเพื่อนตัวสูงได้เจอกันก็น้อยลง
ทุกอย่างบนโลกย่อมมีการแลกเปลี่ยน
ถ้าเลือกจะตัดใจ แทมินต้องอดทน ถ้าเลือกที่จะไม่เจอ ‘เขา’ คนนั้นแล้ว ร่างบางต้องรู้จักที่จะเผชิญหน้ากับความเหงาในหัวใจให้ได้
“รบกวนด้วยนะครับคุณคิบอม”
เขาเอ่ยกับนายแบบชื่อดังอย่างสุภาพแล้วเริ่มกดชัตเตอร์ทำหน้าที่
คิม คิบอม นายแบบนิตยสารชื่อดังควบตำแหน่งดีไซเนอร์แบรนด์ชั้นนำในเกาหลี รูปร่างบอบบางกับอีกทั้งผิวขาวจัดนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะ ตัวที่มีกลิ่นอายในแบบของผู้หญิงอยู่เล็กน้อย อีกทั้งเสื้อผ้าและสไตล์การแต่งตัวที่กล้าที่จะแตกต่างจากคนอื่นทำให้เขา เป็นที่ดึงดูดและน่าจับตามอง
.....แน่นอนว่าแทมินเองก็ให้ความสนใจนายแบบหนุ่มบ้างตามภาษาพวกคนธรรมดาเจอคนแปลก ๆ
เวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนน่าตกใจ แทมินชักนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูพลางถอนหายใจเบา ๆ วันนี้มินโฮนัดเขาให้ไปเลือกเสื้อผ้าด้วยกันตอนหกโมง แล้วนี่ไม่ทันไรนาฬิกาก็ตีเวลาบอกว่าขณะนี้สี่โมงเย็นแล้ว
“น้ำมั้ยครับ?”
นั่งทอดตัวยาวบนโซฟาในห้องแต่งตัวเก่าได้สักพัก ร่างบางของนายแบบที่เพิ่งจะได้ปฏิสัมพันธ์กันเพียงแค่รบกวนในระหว่างทำงานก็ เดินเข้ามาหาพร้อมยื่นกระป๋องน้ำอัดลมสีแดงให้
“อ่า...ขอบคุณมากครับ”
ไอครั้นจะปฏิเสธก็ดูจะเสียมารยาท แทมินจึงเหยียดตัวขึ้นนั่งปกติ ก่อนจะรับไมตรีจากอีกคนพร้อมทั้งเชิญให้นั่งข้าง ๆ กัน ฝ่ายคิบอมเองก็แจกยิ้มให้พอเป็นมารยาทก่อนทรุดตัวลงนั่งตามคำเชิญ
“คุณ อี แทมิน ใช่มั้ยครับ?”
การที่นายแบบจะรู้ชื่อช่างกล้องที่ถ่ายรูปตัวเองมันก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ แทมินจึงทำเพียงพยักหน้าให้ และโดยไม่ต้องรอให้ต่อบทสนทนาตามมารยาท อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาให้แทนเสียเรียบร้อย
“คุณคงรู้จักผมแล้ว อย่างไรซะ ก็ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับ เรียกผมว่าคีย์เฉย ๆ ก็ได้”
รอยยิ้มที่ดูสบาย ๆ นั้นสร้างสัญญาณที่เรียกว่า ‘มิตรภาพ’ อันสวยสดให้แทมินได้เห็น
‘เขาไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่’
อาจเป็นเพราะใครบางคนที่มีลักษณะแบบนี้ทำให้เขารู้สึกติดใจก็ได้กระมัง
“คุณ ดูมีเรื่องกลุ้มใจ อย่าหาว่าล่วงเกินเลยนะครับ ผมรู้สึกว่าคุณไม่น่าแบกรับความลำบากมากมายขนาดนั้น มันจะทำให้คุณหงุดหงิดและทำงานได้ไม่ดี.....”
“.....แบบว่าเวลาที่ คุณทำงาน คุณดูเหมือนไม่พอใจหลาย ๆ อย่างแต่คุณก็ไม่พูดอะไรออกมา ผมเลยรู้สึกว่าคุณอาจจะมีเรื่องกลุ้มใจ หรือบางทีไม่มีคนให้ระบาย”
ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่นายแบบที่มีดีแค่รูปร่างหน้าตาหรือสไตล์ที่แตกต่าง ทว่าร่างบางคนนั้นกลับมีจิตวิทยาที่น่ากลัว มองเห็นคนเสียจนลึกล้ำ กระทั่งเขาเองก็เช่นกัน
ไอน้ำที่เคยเกาะพราวที่ตัวกระป๋องเริ่มควบ กันเป็นหยดน้ำซึมผ่านง่ามนิ้วโดยที่เกลียวฝายังไม่ถูกดึงออก แทมินเหม่อมองออกไปยังจุดหมายที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนในห้อง เขาไม่รู้จะสื่อสารกับใครให้เข้าใจในตัวเขาจริง ๆ ถึงคนมากมายจะมองเขาออกแต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองลึกเข้าไปถึงหัวใจเขาสักคน
เขา อาศัยอยู่ในห้องมืดของจิตใจมาเนิ่นนาน เนิ่นนานเกินกว่าที่ใครจะดึงเขาออกไปได้ ประตูที่เคยเปิดออกให้เห็นแสงสว่างสูญดับไปนานแล้ว และกลอนของมันก็คงจะแน่นหนากว่าเดิม
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะครับ...ถ้า...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...มันคงเป็นเรื่องยากจริง ๆ สำหรับผม แต่ในฐานะที่เราอายุไม่ห่างกันเท่าไหร่ เราทำความรู้จักแบบปกติก็ได้นะครับ”
การสร้างมิตรภาพเป็นเรื่องที่มินโฮสอนแทมินบ่อยมากเสียจนคุ้นชิน ถึงบุคลิกของแทมินจะไม่เหมาะกับการผูกมิตรกับคนอื่นมากนัก แต่ถ้าอีกฝ่ายก้าวเข้ามาหาก่อน เขาก็มีวิธีที่จะสานต่อได้ ดังเช่นในเวลานี้ คิม คิบอมก็ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร ดังนั้นเขาควรจะใช้ทักษะที่เป็นมิตรบ้าง มันจะได้ไม่ฝืดหายไปซะก่อน
“งั้นผมเรียกแทมินเฉย ๆ ได้มั้ย? แล้วแทมินเรียกผมว่าคีย์เฉย ๆ...แทมินมีเบอร์มือถือรึเปล่า? ผมขอได้มั้ย?”
เหมือนให้ขนมสัตว์เลี้ยงน่ารัก ๆ สักตัวอยู่ คิบอมดูดีใจและมีความสุขมากที่หาเพื่อนใหม่ได้ แทมินส่งยิ้มบางให้พร้อมควักโทรศัพท์มือถือตนให้อีกฝ่ายได้กดเบอร์โทรศัพท์
มิตรภาพเล็ก ๆ ช่วยฆ่าเวลาให้เขาไม่ต้องฟุ้งซ่านเรื่องตอนเย็น มันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
“คีย์!”
ไม่ทันที่คนร่าเริงจะได้ต่อบทสนทนากับแทมินต่อ เสียงเข้มก็แผดดังขึ้นจากด้านหลังของคนทั้งคู่
“พี่จงฮยอน...”
นายแบบคนเก่งเสียงอ่อนลงทันทีที่เห็นบุรุษร่างโปร่งยืนตีหน้ายักษ์อยู่หน้า ประตูห้องแต่งตัวเก่า ด้วยหน้าตาและท่าทางที่ดูดีเทียบได้กับนายแบบทั่วไปนั้นทำให้อีกฝ่ายไม่ได้ ดูน่ากลัวเลยแม้จะพยายามชักสีหน้าน่ากลัวอยู่ก็ตาม
จากการสังเกตท่าทางลักษณะการแต่งตัว จะเสื้อเชิ้ตลายสวยสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำสนิทหรือจะเป็นส่วนสูงที่ต่ำกว่า มาตรฐานนายแบบทั่วไปนั้น พอจะทำให้แทมินจับเค้าให้ตัวเองเข้าใจได้อยู่บ้างว่าว่าบุรุษตรงหน้าคงเป็น ‘ผู้จัดการ’ ของเพื่อนใหม่ของเขาเป็นแน่
“สวัสดีครับ”
เอ่ยทักทายพลางชักยิ้มเป็นมิตรส่งไปให้ ทว่าอีกฝ่ายกลับถลึงตามองอย่างหาเรื่องเสียมากกว่า ร่างโปร่งละสายตาที่สบกับแทมินไปมองคนในอาณัติตนนิ่งก่อนจะเอ่ยดุ
“ทำไมชอบหายไปเฉย ๆ โดยไม่บอก?”
“ก็พี่ไม่อยู่ให้บอก”
“แล้วยังมารบกวนคนอื่นเขาอีก...กลับได้แล้ว พี่ต้องไปเตรียมงานต่อ”
ผู้ชายที่ชื่อจงฮยอนเน้นหนักที่คำว่า ‘คนอื่น’ เป็นพิเศษ ทำเอาแทมินอดยกยิ้มกับตัวเองไมได้
“ครับ”
คิบอมยอมตอบรับคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี ร่างบางชูโทรศัพท์ขึ้นมาชี้ ๆ เป็นสัญลักษณ์ว่าจะโทรมาหาก่อนหยิบกระเป๋าของตนเดินตามร่างโปร่งออกไป
หลังความวุ่นวายขนาดย่อม ห้องแต่งตัวแห่งนี้ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง และก็เช่นเดิม แทมินล้มตัวลงเหยียดขานอนที่โซฟาทันทีอย่างไม่คิดอะไรมาก วันทั้งวันที่ต้องทำงานมันทำให้เขาเหนื่อยและเมื่อยล้าง่ายเหมือนคนแก่ ครั้นจะเอ่ยปากบ่นก็ยิ่งทำให้เหนื่อยเพิ่ม นิสัยงานเสร็จแล้วล้มตัวลงนอนจึงเป็นเรื่องที่ทำเสียจนชินในช่วงนี้
“เฮอ...”
คิดอะไรกับตัวเองได้ไม่นาน ร่างบางก็พรูลมหายใจทิ้งก่อนเปลือกตาจะเคลื่อนปิดกันสนิท
ในห้วงเวลาอันยาวนานนั้น แทมินมักจมอยู่ในความฝันที่มืดมิดและมองไม่เห็นสิ่งใดอยู่เสมอ ด้วยชีวิตที่ไม่เคยอยากจะวาดฝัน ทำให้เขามองไม่เห็นอะไรที่จะเก็บมานึกคิด ทุกอย่างที่ประดังประเดมามักผ่านเข้ามาและจบลงกับตัวเองที่ยังตื่นอยู่อย่าง รวดเร็ว และนั่นทำให้การนอนของเขาว่างเปล่า
ทว่า.....ในฝัน นี้ร่างกายของเขาเหมือนถูกฉุดให้ลอยขึ้นไปนอนบนเมฆนุ่ม ทั้ง ๆ ที่รอบข้างมองไม่เห็นอะไร เขากลับรู้สึกถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ร่างกายอุ่นสบายอย่างประหลาด ราวกลับตนเองโหยหาความสุขนี้มานาน
ความสุขที่ไม่เคยเอื้อมถึง...ได้เอื้อมถึงแล้วเพียงในฝัน
......เขาได้อยู่ในอ้อมกอดของ ชเว มินโฮ ใช่มั้ย?
“แทมิน...”
“อือ....”
“แทมินอ่า...”
“.....”
“ตื่นได้แล้วเด็กน้อย!”
ดวงตาทั้งคู่ลืมตื่นขึ้นมาในทันทีที่โสตประสาทรับรู้ถึงเสียงเรียกและสัมผัสของ นิ้วเรียวที่ยิกเข้าเบา ๆ บนแก้มนิ่ม สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนชายเจ้าของชื่อในฝันเมื่อครู่ ในลักษณะที่ปลายจมูกโด่งอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาไปเพียงไม่กี่คืบ ความรู้สึกอบอุ่นที่เพิ่งจะมโนไปเองเมื่อสักครู่นั้นมีเค้าลางเป็นความจริง ให้เห็นอยู่บ้างจากอิริยาบถปัจจุบันที่เป็นอยู่ แทมินรู้สึกได้ว่าตักนุ่ม ๆ ที่เขาหนุนนอนอยู่นั้นมันไม่ใช่หมอนธรรมดาเพียงแต่มันกลับเป็นเรียวขาแข็ง แกร่งที่ถูกวางซ้อนด้วยสูทผ้าเนื้อดีอีกชั้น ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าเจ้าของมันคงเป็นคนเดียวกันกับเจ้าของชื่อเดิมที่เขา เฝ้าฝัน และในชั่วอึดใจที่ทั้งอึ้งทั้งวางตัวลำบากอยู่นั้น อีกฝ่ายก็วาดยิ้มพระอาทิตย์กลับมาให้ ก่อนจะเอ่ยทักทายเหมือนนึกจะอรุณสวัสดิ์ให้กันในยามเช้า
“นอนสบายรึเปล่า?”
ได้นอนหนุนตักคนที่ตัวเองฝันถึงย่อมเป็นการนอนหลับที่สบายที่สุดอยู่แล้ว แต่แทมินกลับชักหน้าสีหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายไว้ ก่อนจะดันหน้ามินโฮออกไปพร้อมยันตัวขึ้นยืน แต่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนจะยังทรงตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่ร่างบางจึงเซกลับมานั่ง แหม่ะลงบนตักแกร่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“อ่ะ...โทษที”
ชั่ววูบรู้สึกร้อนนิดหน่อยที่ผิวหน้า ทว่าเรื่องพรรค์นี้พอเริ่มคิดเมื่อไหร่เข้าก็ต้องข่มใจอยู่ร่ำไปทุกครั้ง สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่วันยังค่ำ มินโฮกลั้วหัวเราะในลำคออย่างนึกชอบใจที่เห็นเพื่อนตัวเล็กพลาดพลั้ง สองมือใหญ่โอบเข้าที่เอวบางหวังช่วยพยุงเพื่อนจอมดื้อให้ยืนขึ้นดี ๆ
“ไม่ต้อง”
พลันนั้นมือเล็กกลับจับมันสะบัดทิ้งแล้วรีบผุดลุกออกไปอย่างรวดเร็ว แทมินชักสีหน้าบึ้งตึงเด่นชัด ในขณะที่มินโฮเริ่มหุบยิ้มแล้วเลิกคิ้วสงสัยในท่าทีของอีกฝ่ายแทบจะทันที
“เป็นอะไร?”
ถามไปเพราะเป็นห่วง สองมือสะบัดสูทดำของตนพลางสวมใส่ ทว่าสายตายังจดจ้องไปที่แทมินหวังรอคำตอบ
“ไม่มีอะไร...แค่หงุดหงิดตัวเอง...ช่างมันเถอะ”
ฝ่ายที่หงุดหงิดถอนหายใจ ก่อนทำท่าจะเดินไปเก็บข้าวของของตน แต่ก็ดันโดนรั้งแขนไว้โดยมือหนาเสียก่อน
“งั้นก็อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย จะทำให้คิดมากนะ”
ชั่วขณะที่รั้งแทมินไว้ได้นั้น นิ้วชี้และกลางของมือข้างที่ว่างอยู่ของเขาออกแรงกดจิ้มลงไปที่รอยย่นตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเบา ๆ มินโฮระบายยิ้มเหมือนปลอบใจก่อนปล่อยให้แขนเล็กเป็นอิสระ แทมินหลบสายตาเขาแล้วผละไปเก็บกระเป๋าที่โต๊ะใกล้ ๆ โดยที่ไม่หันมาพูดอะไร
ชั่ววินาทีที่นิ้วนั้นสัมผัสผิวกายเขา แทมินรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่น ๆ และความหวังดีที่จริงจังผ่านคำพูดทุกประโยคของอีกฝ่าย หัวใจที่เต้นแรงแทบบ้านั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทุกวินาทีที่ต้องพยายามควบ คุมมัน ทั้ง ๆ ที่ เคยคิดว่าเตรียมรับมือได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่คิดว่าพอจะเริ่มเรียกหัวใจตัวเองคืนมาได้บ้างแล้ว
.....คนตรงหน้าก็ยังกลับมาขโมยมันไปจากเขาเสียทุกครั้ง
‘อี แทมิน จะต้องตกหลุมรัก ชเว มินโฮ ไปอีกกี่ครั้งกัน?’
ฮุนไดสปอตสีครีมอ่อนแล่นเอื่อยเรื่อยไปตามถนนไฮเวย์แถบชานเมือง โดยที่เจ้าของรถจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเพื่อนตัวสูงของแทมินที่ตอนนี้เหมือน นึกครึ้มใจจะเปลี่ยนลุคของตัวเองหรืออย่างไรไม่ทราบ ผมยาวที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าจะไว้แข่งกันกับเขานั้นถูกตัดออกเสียเหี้ยนพร้อม ย้อมกลับมาดำสนิท ท่าทางสง่าผ่าเผยในชุดสูทนั้นชวนใจเต้นทุกคราที่ได้ลอบมองจากด้านข้าง แทมินนึกวิจารณ์ในใจถึงภาพลักษณ์ที่เขายังไม่ยอมทัก ตาโตแอบเหล่มองอีกฝ่ายเป็นพัก ๆ อย่างสงสัย แต่ไม่กล้าเอ่ยถามอะไร จังหวะเพลงฮิพฮอพในรถดังหนักเบาไปเรื่อย ๆ กลบทั้งเสียงหายใจและเสียงหัวใจของใครบางคนได้สนิทดีนัก การลอบมองของแทมินในครั้งนี้จึงดำเนินมาได้นานกว่าที่เคย
“นี่...มองตั้งนาน อยากรู้อะไรก็ถามเองบ้างสิ”
ทันทีที่โดยจับได้ ร่างบางก็สะดุ้งตกใจรีบหนีหน้าหันไปมองนอกหน้าต่างตามสันชาตญาณ มินโฮหัวเราะเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่สองตามองทางอยู่เขากลับรู้ได้ว่าตนเองกำลังถูกจ้อง มันก็น่าแปลกที่แทมินไม่ทักเรื่องผมและลุคใหม่ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่สตูดิโอ แต่อาจเป็นเพราะฝ่ายนั้นคงกำลังหงุดหงิดและไม่อยากพูด พอมานั่งนิ่ง ๆ ในรถเลยเกิดสนใจใคร่รู้แต่ไม่ใคร่จะถามเหมือนทุกที
มันจึงต้องเป็นเขาอยู่เรื่อยที่เริ่มก่อน.....
“เอ้า...ไม่ถามจริง ๆ รึไง?”
“.....”
“ฉันวางแผนไว้ว่าอีกสองเดือนข้างหน้าจะจัดงานแต่งงาน”
“.....”
แทมินรู้สึกหายใจไม่ออก ภาพฝันร้ายในความคิดกำลังย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาเพิ่งรู้เรื่องมินโฮกับพี่โบอาใหม่ ๆ โหมกลับมาถาโถมสู่หัวใจ ร่างกายชาหนึบราวกับถูกตบตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาที่อยากจะไหลแต่กลับไม่ไหล กล้ามเนื้อหัวใจที่เต้นแรงแม้ไม่หยุดเต้นแต่ก็ปวดร้าวอยู่ทุกจังหวะ รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดแต่แค่แม้จะไอจามออกมาก็ทำไมได้ ร่างกายที่เหมือนเป็นโรคกำเริบโดยฉับพลันนั้นทรมานอย่างไม่สามารถระบายออกไป ทางใดได้
เลย
เขาเคยมองเห็นภาพอีกฝ่ายกำลังเดินจากไปกับใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา ถึงแม้เป็นเพียงฝัน ทว่าพิษของมันร้ายแรงราวจะสับหัวใจให้แหลกลาญได้
“ครอบครัวพี่เขาเร่งมาน่ะ สงสัยคงไม่อยากให้ลูกสาวแก่ไปกว่านี้ ตลกดีนะ”
“พี่โบอาเลยเครียดใหญ่ ต้องเร่งเชิญแขกสนิท ตัดชุด หาออกาไนเซอร์จัดงานให้วุ่น”
“เร็วไป...”
หลุดออกมาราวเสียงกระซิบกับตัวเอง แทมินเพิ่งมานึกได้ตอนนี้เองว่าเวลาสำหรับเขามันสำคัญขนาดไหน อีกไม่กี่วันสถานะของคนตรงหน้าจะทำให้เขาไม่สามารถทนแอบรักได้อีกต่อไป ช่วงเวลากว่าหลายเดือนที่เขาพยายามทำใจถูกทำลายลงเพียงแค่ได้รับความอบอุ่น เล็ก ๆ น้อย ๆ จากอีกฝ่าย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับการทนทรมานมากหรือน้อย เพราะอย่างไรมันก็คือความทรมานทั้งคู่ เจ็บมากแต่หอมหวานหรือเจ็บน้อยแต่ขมปร่า เขาเอาชนะมันไม่ได้สักอย่าง แล้วจะทำไปทำกัน?
สู้ใช้เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดนี้ อยู่ให้ใกล้กับมินโฮให้มากที่สุด เพื่อตักตวงเอาความสุขที่แสนเศร้าเก็บไว้เป็นความทรงจำกับตัวเองไม่ดีกว่า หรือไง?
“เมื่อกี้พูดอะไรรึเปล่า?”
ร่างสูงเหมือนได้ยินเสียงพึมพำแผ่วเบาแต่จับความไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้นมา แทมินส่ายหน้าให้
“นี่เราจะไปไหนกัน?”
“ลองชุด...ถ้าฉันไม่จัดการแล้วนายเผลอใส่แจ๊กเก็ตหนังไปเหมือนตอนไปดูฉันแสดงละครเวทีรุ่นจะดีเหรอ?”
มินโฮหัวเราะพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีต จำได้ว่าก่อนจบมหาลัยจะมีละครเวทีรุ่นที่จัดเพื่อหาเงินให้โรงเรียนแล้วเขา ได้รับบทเป็นพระเอก นัดแนะกับแทมินซะดิบดีให้แต่งตัวสุภาพแต่อีกฝ่ายกลับทำความเข้าใจกับสไตล์ สุภาพของตัวเองไม่ได้เลยกลายเป็นดาวเด่นกลางงานไปโดยปริยาย
“น้อย ๆ หน่อยเถอะ ฉันเองก็โตแล้ว”
ปากยิ้มไปพูดไป ใจก็ยังเจ็บแปล๊บ ๆ จนถึงตอนนี้จะข่มใจหรือจะปล่อยใจมันก็เจ็บไม่ต่างกันสักนิด
แต่ถึงจะเจ็บสักเท่าไหร่ แค่ในยามที่เขาได้อยู่กับมินโฮเท่านั้น
...แทมินจะต้องมีความสุข
“แต่ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาฉันอยู่เลย...”
มือใหญ่ละจากพวงมาลัยเข้าขยี้หัวทุยแรง ๆ อย่างหมั่นไส้ แทมินปัดมันออกอย่างรำคาญ ก่อนไม่นานเจ้าพาหนะคันหรูจะจอดลงที่หน้าร้านตัดสูทชื่อดังแห่งหนึ่งในย่าน อับกูจอง
“สีขาวต้องเหมาะกับนายมากแน่ ๆ ฉันชอบให้นายใส่สีขาว”
มินโฮไล้มือไปตามสูทขาวที่แขวนไม้เรียงรายเป็นแถวท่องอย่างชื่นชม แต่ละตัวมีการออกแบบที่แตกต่างกันโดยไม่ซ้ำทุกตัว มีการนำเข้าผ้าจากต่างประเทศพร้อมทั้งผ่านการออกแบบและสร้างสรรค์จากช่างตัด เสื้อมากฝีมือ และแน่นอนว่าบรรดาสูทในร้านย่อมมีราคาแตะหลักแสนขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ ยิ่งเฉพาะกับสูทขาวด้วยแล้วราคายิ่งสูงกว่าบรรดาสูทอื่น ๆ ทั่วไปเป็นเท่าตัว
“ฉันว่าไม่เหมาะหรอก นายใส่สีขาวจะให้ฉันมาใส่สีขาวด้วยได้ไงล่ะ สีดำนั่นแหละดีแล้ว”
แทมินเอ่ยค้านในขณะที่ร่างสูงเอาแต่ดึงเลือกชุดที่ถูกใจมาทาบตัวร่างบางอย่าง ไม่สนใจ มินโฮหยิบสูทขาวจากหลาย ๆ ล๊อคออกมาพาดแขนสองสามชุด ก่อนจะออกแรงดันแทมินให้เดินไปยืนจังก้าที่หน้ากระจกบานใหญ่อย่างเก้ ๆ กัง ๆ
กระจกสูงใหญ่สะท้อนให้เห็นเงาร่างของตนชัดเจนตั้งแต่หัวจรด เท้า ภาพภายในสะท้อนร่างบอบบางของเขาที่ยืนบังร่างสูงใหญ่ของมินโฮไปสองในสาม มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาและท่อนแขนแข็งแรงที่เกาะไหล่เขาอยู่เท่านั้นที่ปรากฏ ในกระจก แทมินลอบมองภาพสะท้อนอย่างเผลอไผล ใบหน้าเปื้อนยิ้มของมินโฮดูมีความสุขที่ได้เลือกเสื้อผ้าให้เขา
ถ้าหยุดเวลาได้ เขาคงเปลี่ยนอนาคตได้
ถ้าเปลี่ยนอนาคตได้ เขาคงย้อนไปแก้ไขอดีตได้
ถ้าเขาย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ เขาคงจะเปลี่ยนหัวใจของมินโฮให้รักเขาได้
แต่ในเมื่อมันเป็นเพียงวิมานที่เขาทำได้เพียงวาดฝันในอากาศ เขาจึงทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
‘อี แทมิน ทำได้แค่มองเท่านั้น’
“กางแขนสิ”
เสียงทุ้มที่คลอเคลียอยู่ข้างหูขับเอาดวงหน้าใสให้ร้อนวูบติดเคอะเขิน แทมินเคลื่อนตัวขึ้นไปชิดกระจกอีกนิดหวังจะเพิ่มระยะห่างจากร่างสูงที่ยืน ประชิดอยู่ด้านหลังอีกหน่อย ทว่ามินโฮกลับก้าวเท้าขึ้นตามพลางเซ้าซี้ให้กางแขนเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แทมินจึงยอมยกแขนออกกางให้มินโฮสวมสูทสีขาวบริสุทธิ์ให้แต่โดยดี
“เหมาะสุด ๆ เพื่อนฉันมันก็แต่งตัวขึ้นแฮะ”
จริง ๆ ถ้าไม่พูดออกมาร่างบางคงจะรู้สึกดีกว่านี้มาก
แม้สูทหลายตัวจะถูกถอด ๆ ใส่ ๆ โดยมินโฮมาเป็นเวลากว่าค่อนชั่วโมงแล้ว ร่างสูงก็ยังเทียวเดินหยิบจับเสื้อผ้ามาสวมให้เขาเหมือนร่างบางเป็นตุ๊กตา แต่งตัวที่ไม่ว่าจะใส่อะไรก็ถูกใจไปเสียหมด จากความรู้สึกเหนื่อยอ่อนและรำคาญในช่วงแรกค่อย ๆ หายไปเพราะได้เห็นรอยยิ้มดีใจของใครอีกคน แทมินเริ่มออกความคิดเห็นกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายเลือกมาบ้าง
เหมือนเวลาในตอนนี้มันทำให้เขาอยากแกล้งทำเป็นลืมความทุกข์ที่ควรรู้สึกเสียครู่หนึ่
ง
“ฉันว่าตัวนี้แหละ ทักซิโด้ครึ่งตัว..ปีกยาว แล้วเน้นเอวซะหน่อย ถ้าผมนายดำสนิทคงขับหน้าให้เด่นกว่าเดิมมากแน่ ๆ”
นิ้วเรียวไล้ปลายผมเพื่อนสนิทเบา ๆ แถมออกปากชื่นชม ก่อนจะจัดการบอกพนักงานในร้านให้เอาสูทไปคิดเงินพร้อมแนบบัตรเครดิตของตนไป ให้เรียบร้อยโดยไม่ทันให้คนตัวเล็กประท้วงอะไร
“ใครใช้ให้นายจ่ายให้? ไปเอาบัตรคืนมาเลย ฉันจะจ่ายเอง”
“ก็ให้นาย อยากให้”
เหตุผลดื้อ ๆ ของพวกคนที่อยากได้อะไรก็ได้นั้นค้านยากเสียยิ่งกว่าให้ไปกล่อมจิตรกรให้วาด รูปในยามที่ไม่มีอารมณ์วาดเสียอีก แทมินจึงทำได้เพียงแค่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ จริง ๆ แล้วสูทแพงขนาดนี้ถ้าเขาต้องจ่ายเองล่ะก็ เดือนทั้งเดือนของเขาคงต้องใช้สอยอย่างสุดตระหนี่หนักกว่าเดิมหลายเท่า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ค่อยชอบนิสัยหน้าใหญ่ของมินโฮอยู่ดี
“ฉันจะทยอยคืนให้ทีหลังนะ”
“ก็บอกว่าให้ ให้แบบไม่คิดเงิน อย่าทำตัวเข้าใจยากสิ”
ถึงพูดไปมันก็ยากที่อะไรจะเปลี่ยน แทมินจึงจัดการสงบปากสงบคำตน เดินรับของแล้วก้าวยาวเร็วออกไปรอที่รถอย่างขุ่นเคียงใจ ทิ้งให้คนได้เปรียบวาดยิ้มย่องแล้วเดินตามไปอย่างไม่เร่งรีบ
รถสปอตคันหรูแล่นมาเทียบจอดหน้าตึกคอนโดมิเนียมของแทมินอย่างนุ่มนวล ร่างบางเปิดประตูลงจากรถหยิบจับอุปกรณ์คู่ใจทั้งยังไม่ลืมหยิบสูทขาวราคาแพง ระยับที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่ติดมือไปด้วย
“แทมิน!”
“หือ?”
ขณะที่แทมินกำลังจัดการหิ้วบรรดาของแสนพะรุงพะรังขึ้นไปบนห้องพัก เขากลับถูกเพื่อนตัวสูงเรียกไว้เสียก่อน ร่างบางหันไปเลิกคิ้วใส่เหมือนจะถามเหตุผล แต่ร่างสูงกลับวาดยิ้มกว้างแล้วเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงว่า
“พรุ่งนี้จะมารับไปเที่ยวนะ”
“หา? เที่ยว? เดี๋ยวก่อนมินโฮ!”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ กระจกติดฟิลม์สีชาก็เลื่อนขึ้นปิดสนิทพร้อมทั้งเสียงรถที่ถูกสตาร์ทอีกครั้งก่อนจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“...ไอบ้า ชเว มินโฮ”
ทำได้แค่พึมพำด่าทออีกฝ่ายอยู่ข้างเดียว แทมินหามกระเป๋ากล้องและแฟ้มเอกสารไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะใช้แขนอีกข้างเป็นที่พาดสูทแล้วพาร่างของตนเองกลับขึ้นห้อง
ติ๊ด!
TO.TAEMIN
เที่ยวบ้าง...จะได้ยิ้มเยอะ ๆ
FROM.MINHO
ครั้นพอจัดการโยนข้าวของที่แบกมาลงที่โต๊ะทำงาน แทมินเดินเอาสูทไปแขวนไว้ที่ตู้ในห้องแต่งตัว ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงและแรงสั่นใต้กระเป๋ากางเกง เขาหยิบเจ้าอุปกรณ์สื่อสารคู่ใจขึ้นมากดอ่านข้อความที่เพิ่งได้รับเมื่อครู่ ก่อนจะค่อย ๆ แย้มยิ้มบางเบา แม้จะนึกเศร้าสร้อยที่อนาคตคงจะกลายเป็นยิ้มที่ร้าวราน
ความรู้สึกของเขามันไม่มีประโยชน์ที่ต้องฝืนทน เพราะฉะนั้นเขาจะยิ้มให้มินโฮทุกวัน
จะยิ้มให้มีความสุข จะลืมความทุกข์เอาไปกองไว้ในวันข้างหน้า
จะยิ้มให้ท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ของเขา จนกว่าหัวใจจะสลายไป
จนกว่าจะถึงวันที่เขาไม่มีโอกาสจะยิ้มให้มินโฮแบบนี้ได้อีก
“ถ้าถึงวันที่ฉันยิ้มให้นายไม่ได้อีกต่อไป...ฉันจะทำยังไงดีล่ะ...มินโฮ”
นั่นเป็นคำถามที่แทมินคงต้องรอให้เวลาให้คำตอบ
Fallin’ love 내 손을 꼭 잡아줘
I’m wanna be 내 곁에만 있어줘
Oh happy day 내 모든걸 줄거야
I can’t stop 너만을 나 사랑해
ร่างบางกระชับสูทขาวพิสุทธิ์ให้เข้ารูป กลัดกระดุมข้อแขนทั้งสองข้าง จัดไทด์และหมุนดูปีกทักซิโด้ด้านหลังว่าดูดีพอรึยังแล้วจัดผมของตน เสียงโทรศัพท์เครื่องสวยที่เพิ่งซื้อมาใหม่ได้ไม่นานดังขึ้นเป็นทำนองเพลง ที่เขาชอบฟัง มือนิ่มฉวยเอาเจ้าอุปกรณ์คู่ใจขึ้นมากดรับ ดวงหน้าหวานทอดมองตัวเองในกระจกแล้วกรอกเสียงเรียบ
“ฉันจะลงไปภายในสิบห้านาที ไม่ต้องห่วง”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็กดวาง
ร่างสง่าของคนในกระจกกำลังจ้องมองเขาและเขาเองก็จ้องมองร่างนั้นอยู่ สีผมดำสนิทที่เพิ่งตัดสินใจย้อมเมื่อคืนถูกตัดเสียระต้นคอเป็นทรงบ๊อบ ใบหน้าขาวที่ซูบซีดกว่าปกติเล็กน้อยนั้นโดดเด่นน่ารักขึ้นมามากกว่าเดิม เมื่อสวมชุดทักซิโด้สีขาวอย่างที่มินโฮเคยบอกเขาไว้เมื่อสองเดือนก่อน สูทเนื้อดีมีปีกยาวด้านหลังส่วนด้านหน้านั้นสั้นเต่อพอให้เห็นผ้ามันสีเดียว กันที่รัดเอวคอดกิ่วไว้เหนือกางเกงสแลค นิ้วเรียวจัดผ้าเช็ดหน้าที่พับเป็นทรงอยู่ในกระเป๋าสูทด้านซ้ายให้เรียบร้อย เป็นอย่างสุดท้าย
‘วันนี้เป็นวันแต่งงานของผู้ชายที่เขารักมากที่สุด’
ว่ากันว่าเวลาและสายน้ำเป็นฝาแฝดกัน ทั้งคู่สงบนิ่งยืนยงทว่าไหลผ่านรวดเร็วและไม่มีวันย้อนกลับ สำหรับแทมินเองนิยามนั้นเขารู้ซึ้งดีกับจิตใจ ถึงจะอยากยื้อมันไว้เท่าใดก็ไม่มีทางที่จะทำได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้ามินโฮจะก้าวออกไปจากโลกของเขาจริง ๆ วันที่เขาจะไม่สามารถยิ้มได้อีก วันที่เขาจะสูญหัวใจของตนไปตลอดกาล
เพราะรักได้คนเดียว เพราะเอามันคืนมาไม่ได้
เพราะโลกของ ชเว มินโฮ ยังมีคนมากมาย...แต่โลกของ อี แทมิน มีแค่ ชเว มินโฮ เพียงคนเดียว
แต่กระนั้น...แม้สักวินาที แทมินก็อยากให้ดวงอาทิตย์ของเขามอบยิ้มที่เหมือนแสงสว่างนั้นให้เขาให้นานที่สุด
สองขาก้าวออกจากธรณีประตูอย่างมั่นคง ก่อนจะหยุดชะงักที่หน้าประตูตึกเพื่อรอใครบางคนที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามาทางเขา
“แทมิน! มาแล้ว”
ผมดำสนิทของมินโฮยาวขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่ตัดออกเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาดูสดใสและเปี่ยมสุขกว่าทุกวัน ร่างสูงเดินเข้ามาทั้งชุดสูทสีขาวลักษณะใกล้เคียงกับเขา ทว่าดูประณีตวิจิตรกว่าเล็กน้อย อีกฝ่ายดูสง่างามสมชายมากเมื่อแทมินได้พินิจดูให้ใกล้กว่าเดิม
“หือ? ผมนาย?”
“ฉันเพิ่งย้อมเมื่อคืน”
มินโฮเอามือเกาท้ายทอยแก้เขินขณะที่ลอบมองความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนตัวเล็ก ข้างตน แทมินน่ารักมากเมื่อตัดผมแบบนี้แล้วย้อมดำ การที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นของขวัญให้เขานั้นเป็นสิ่งที่มินโฮไม่ เคยคิดมาก่อน แทมินที่ไม่ถนัดจะแสดงความรู้สึกตรง ๆ มักมีเรื่องน่าประหลาดใจให้ได้ปลาบปลื้มอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน ทั้งยังคอยอยู่ข้าง ๆ เขาในทุกสถานการณ์ไม่ว่าตัวเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
.....เพราะฉะนั้นเขาถึงรักเพื่อนคนนี้มากมายนัก
“เหมาะกับนายดี ฉันชอบ”
ชมพลางลูบเบา ๆ ให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล่น แทมินชักสีหน้าคล้ายจะขู่ฟ่อ แต่มินโฮกลับยกยิ้มบางให้ ทำเอาอีกฝ่ายสะดุดค้าง หลบตาโกรธไม่ลง ทำได้เพียงเดินหนีไปรอที่รถให้ร่างสูงวิ่งตามไปแซวเล่นต่อ
“สวมแหวนกี่โมง”
“บ่ายสอง”
เฟอร์รารี่สีขาวเคลื่อนตัวออกจากตึกคอนโดมิเนียมของแทมินมุ่งตรงไปยังโบสถ์นอก เมืองอย่างไม่รีบร้อน ขณะนี้เวลาสิบเอ็ดโมงกว่านิด ๆ เจ้าบ่าวและญาติต้องมาอยู่ต้อนรับบรรดาแขกก่อนที่เจ้าสาวจะเข้ามาร่วมพิธี ตามเวลาที่จัดแจงไว้ มินโฮจึงจัดการมารับแทมินด้วยตัวเองในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวเพียงคนเดียวของเขา และในครั้งนี้บทสนทนาในรถยนต์ได้เริ่มต้นขึ้นจากแทมิน
“แปลกนะที่นายพูดก่อน”
“ช่างเถอะ...คือฉันอาจจะไม่อยู่ถึง คือคงต้องไปทำธุระที่มหาลัยเก่า”
ร่างบางเอ่ยบอกเสียงอ่อมแอ้ม มินโฮขมวดคิ้วมุ่น แล้วเอ่ยปากทำท่าจะถาม
“สำคัญมากจริง ๆ ฉันจะกลับมางานเลี้ยงแน่ ๆ ขอโทษด้วยนะ”
ขอโทษจริง ๆ นะ ที่ไม่อาจทนมองได้
ฉันไม่เข้มแข็งพอ...ฉันไม่สามารถอดทนกับมันได้
ฉันอาจจะตาย...ทำยังไงดีล่ะมินโฮ?
แค่เพียงคิดความอดทนอันน้อยนิดก็ร้าวปริ เหมือนกับทำนบน้ำตาที่รื่นคลออยู่ที่ขอบตาล่างจะร่วงหล่น แทมินขบเม้มริมฝีป่ากของตนแน่น พยายามหันหน้าออกไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเพื่อไม่ให้เพื่อนตัวสูงสังเกต เห็น
“ถ้านายจะกลับมาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ต้องกลับมานะ”
มินโฮกำชับก่อนจะกลับไปมองถนนข้างหน้าอย่างไม่คิดอะไร
“อื้อ..ฉันจะกลับไป”
ฉันจะกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรา ฉันจะกลับไปลืมมัน ฉันจะกลับไปฝังความรู้สึกตัวเองอยู่กับที่นั้น
ฉันจะกลบมัน...กลบคำว่า ‘รัก’ ที่ฉันมอบให้นาย ให้หายไปพร้อมหัวใจฉัน
สปอตคันงามจอดลงหน้าโบสถ์แต่งงานที่ถูกจัดตกแต่งเสียหรูหรา แทมินก้าวลงพร้อมมินโฮที่ตอนนี้เดินเข้าไปทักทายกับบรรดาแขกที่มารอเป็น สักขีพยานในพิธีอย่างมีความสุข ทิ้งให้ร่างบางทอดมองประตูใหญ่ที่เปิดรอใครสักคนเดินผ่านมันเข้าไปในช่วง เวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ร่างบางสาวเท้าไปตามพรมแดง มองไม้กางเขนชิ้นใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าโบสถ์ สองมือประสานกันที่หน้าอกพร้อมหลับตารำลึกถึงพระเจ้าผู้บันดาลทุกสรรพสิ่งบน โลก
‘ขอให้คนที่เขารักพบเเต่ความสุข’
“ทำอะไร?”
เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง มินโฮเดินมาตบไหล่แล้วไถ่ถามเพื่อนตัวเล็ก แต่แทมินไม่กลับยอมตอบ ร่างบางสบตาเพื่อนรักนิ่งก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำอวยพรประโยคหนึ่งออกมาจากหัวใจ
“นายต้องมีความสุขนะ”
มินโฮยิ้มรับ
“ฉันจะมีความสุข นายเองก็เหมือนกันนะ”
แทมินแสร้งยิ้มตอบ ถึงแม้คำตอบในใจจะตรงข้ามกันก็ตาม
‘ความสุขนั้นได้ตายจากเขาไปนานแล้ว’
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉันคงต้องไปทำธุระก่อน แล้วจะกลับมานะ”
ร่างบางยุติการสนทนาให้จบลง แทมินสาวเท้าช้า ๆ ก่อนจะเร่งให้เร็วขึ้นจนเป็นการวิ่งในที่สุด เหงื่อชื้นผุดตามไรผมและง่ามมือที่กำแน่นตลอดเวลาที่ออกวิ่ง เขาไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเส้นทางนี้มันอยู่ที่ไหน แต่ที่เขารู้คือร่างกายของเขาไม่อาจทนยืนมองทุกสิ่งรอบตัวได้อีกต่อไปแล้ว
“ฮึก...”
ทำนบน้ำตาแตกพรูทันทีที่สองขาวิ่งมาหยุดลงที่หน้าประตูห้องสตูดิโอถ่ายรูปของมหาลัยเดิม
‘ที่นี่...เขาได้คุยกับมินโฮเป็นครั้งแรก’
.....ว่ากันว่าหากได้จะกลับมาแก้ไขหรือลืมเลือนเรื่องใดในอดีต เราก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นของมัน
และแทมินเองก็เชื่อแบบนั้น
ร่างบางย่อตัวลงนั่งคุดคูกับมุมเสาหน้าห้องอัดรูปพลางปล่อยให้น้ำตาและความรู้สึกทุก
อย่างไหลทะลักออกมาหมดเปลือกอย่างไม่คิดจะกักเก็บมันไว้อีกต่อไป
ทำไมพระอาทิตย์ต้องมาเจอกับเศษอากาศ?
ทำไมผมกับเขาถึงต้องมารู้จักกัน?
โลกกว้างใหญ่ไพศาล ทำไมชีวิตของคนอย่างเขาถึงได้คับแคบและมืดมนไร้น้ำหนักเช่นนี้ จุดเริ่มต้นที่เดียวดายของเขา จุดเริ่มต้นที่วันนี้เขานั่งอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว มันไม่มีทางที่มินโฮจะกลับมายืนทักทายเขา ไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นได้อีกแล้ว
แทมินเจ็บเหลือเกิน...ยิ่งน้ำตาไหลรินมากเท่าไหร่ เขายิ่งเจ็บเหลือเกิน
สูทขาวยับย่นและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่หยดซึมอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ผมดำเปียกลู่แนบไปกับแก้มขาวที่แดงก่ำช้ำชอกพอ ๆ กับดวงตาที่ยังคงรื่นด้วยทำนบน้ำตาที่รินไหลไม่หยุด สายน้ำตาสายแล้วสายเล่ากลิ้งหยดพร้อมกับแรงสะอื้นจนตัวโยนของร่างบางที่บัด นี้ไม่อาจทนเก็บความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงได้อีกต่อไป
Fallin’ love 내 손을 꼭 잡아줘
I’m wanna be 내 곁에만 있어줘
Oh happy day 내 모든걸 줄거야
I can’t stop 너만을 나 사랑해
เสียงและแรงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมหน้าจอที่ปรากฏชื่อของคนที่เขานึกไว้อยู่แล้วว่าต้องโทรมา แม้มันออกจะไว้ไปสักหน่อย แต่แทมินก็คิดว่ามินโฮคงจะโทรมาตามกลับให้เขากลับไปที่งานแน่ ๆ
.....แต่เขาไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว
ถ้านี่คือโรคร้าย...เขาคงกำลังจะตาย
ร่างบางปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังสะท้อนในห้องสตูดิโอเก่าต่อไปอย่างไม่สนใจ
กึก...กึก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกประตู ก่อนจะหยุดลงพร้อมใครคนหนึ่งที่เปิดมันเข้ามา
“.....”
แทมินไม่นึกจะสนใจ ร่างกายที่เฉื่อยชาไม่อยากรับรู้สิ่งใด แม้ร่างนั้นจะค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้เขาก็ตาม
กึก.....
เสียงฝีเท้าชัดเจนหยุดลงตรงหน้าเขาที่นั่งชันเข้าอยู่ข้างห้องอัดรูป รองเท้าหนังสีขาวแสนคุ้นเคยปรากฏให้เห็นชัดในสายตา
‘หัวใจแทบหยุดเต้น’
หัวทุยเงยขึ้นมองร่างบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตาช้ำแทบไม่เชื่อประสาทตนเอง ก่อนปฏิกิริยาหนึ่งของร่างกายจะทำงานโดยการซุกหน้ากับเข่าของตนอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าคือมินโฮ...คือ ชเว มินโฮ ที่ไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้
เขาควรจะยืนข้างภรรยาของเขาแล้วต้อนรับบรรดาแขกในงานที่เชิญมาร่วมสังสรรค์มงคลสมรสอยู่ไม่ใช่หรือไง?
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
แล้ว อี แทมิน จะตอบเขาว่ายังไงดี?
“ฉัน...เห็นไฟตึกมันสว่างเลยลองเดินขึ้นมา อยู่ดี ๆ ขาก็พาฉันมาห้องนี้ แล้วฉันก็เจอนาย”
“.....”
“นาย...คิดว่าฉันเป็นคนไม่ดีตรงไหนรึเปล่าแทมิน?”
“.....”
“ทำไมเขาถึงทิ้งฉันไป...ทำไมเขาถึงไม่เคยบอกอะไรฉันเลย”
น้ำตาของเขาแห้งเหือดไปในทันทีที่หวาดกลัวคำถามของอีกฝ่าย แทมินสดับนิ่งฟังที่มินโฮพูดทุกประโยค ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นปูนข้าง ๆ เขาพลางทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
แทมินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย แต่เขารู้สึกได้ว่ามินโฮกำลังเจ็บปวด
“เกิด...อะไรขึ้น?”
ร่างสูงไม่ยอมตอบอะไร เพียงแต่ยืนโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้คนถาม แทมินรับมันมาเปิด เขาเห็นข้อความสั้น ๆ ยังคงค้างติ่งอยู่ที่หน้าเดิม
TO.MINHO
พี่ขอโทษที่ไม่อาจเป็นเจ้าสาวให้นายได้
นายคงนึกโกรธและเกลียดพี่ แต่พี่ไม่สามารถแต่งงาน
กับคนที่ตัวเองไม่ได้รักได้...พี่ถึงต้องทำแบบนี้
พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
พี่รักนายเหมือนน้องชายคนหนึ่งเสมอ
FROM.BOA
ตาช้ำไล่ลงมาถึงตัวอักษรสุดท้ายก่อนเข้าใจถึงคำถามของเพื่อนสนิทในตอนแรกทั้ง หมด แทมินวางโทรศัพท์เครื่องสวยลง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนผู้เป็นเจ้าของมันอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ร่างบางไม่ดีใจเลยสักนิดที่เห็นมินโฮเจ็บปวด ถึงแม้มันน่าจะทำให้แทมินดีใจ แต่มินโฮก็รักคนที่ทิ้งเขาไปอยู่ดี
“มินโฮ.....”
“ฮึก...ฉัน มันโง่...ฉันมันโง่แทมิน ฉันมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ฉันไม่รู้ใจพี่เขาสักอย่าง ไม่รู้แม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่เขาทำเป็นสิ่งที่เขาฝืนทำเพราะครอบ ครัวไม่ใช่เพราะรักฉัน.....”
“.....เขาหนีไปกับผู้ชายที่เขารักและทิ้งผู้ชายที่รักเขา”
หยาดน้ำตาไหลรินอีกครั้งจากตาคมของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นดวงอาทิตย์ของแทมิน ผู้ชายที่ไม่เคยเผยความอ่อนแอให้เขาหรือใครเห็นเลยสักครั้ง ผู้ชายที่เคยแข็งแกร่งและเปี่ยมรอยยิ้มกำลังร่ำไห้
ตาช้ำรื่นน้ำขึ้นอีกคราในเหตุผลที่แตกต่างออกไป น้ำตาของมินโฮทำให้เขาเจ็บหัวใจยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า การที่ต้องเห็นคนที่เขารักเจ็บปวดนั้นเหมือนถูกมีดแสนคมกรีดซ้ำอีกที่ใกล้ ๆ รอยแผลเก่า
“ทุกคนวุ่นวาย...ตัวฉันไม่มีใครเลย ไม่มีใครรับรู้ความรู้สึกของตัวฉันเลย...”
“ฉันพยายามมองหานาย ฉันโทรหานาย...ในตอนนั้นฉันต้องการนายที่สุด”
หมับ!
ในขณะที่มินโฮกำลังพึมพำบอกเล่าเรื่องราวที่แสนเจ็บปวด แขนเล็กก็รวบเอาร่างสูงมากอดไว้ ร่างสูงซบใบหน้าของตนลงบนไหล่บอบบางของแทมินแล้วเริ่มร้องไห้หนัก
“ฮึก!...ฮือ!”
ความชื้นแฉะที่เนื้อผ้ากับเสียงสะอื้นทุ้มนั้นทำให้เขาได้สำนึกถึงอะไรบางอย่าง
“.....”
แทมินเพิ่งได้เข้าใจตนเองไปเมื่อครู่นี้เอง...เขาเพิ่งเข้าใจทุกอย่างได้เมื่อครู่นี้เอง
เขาเป็นคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาเป็นคนเดียวที่ถึงมินโฮจะไม่รักเขาแบบที่เขารักแต่ก็ต้องการเขาเสมอ
ดวงอาทิตย์ต้องมีอากาศห่อหุ้มปกป้องความอ่อนแอ
ชเว มินโฮ ต้องมี อี แทมิน คอยอยู่ดูแลข้าง ๆ กาย
เขาตายไม่ได้หรอก...เขาจากไปไม่ได้หรอก
“ฉันอยู่ที่นี่แล้ว...ฉันอยู่ข้าง ๆ นายนะ...”
สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง ถึงแม้จะต้องเจ็บปวดไปจนตายก็ตาม
‘ถึงจะเป็นเพียงเศษอากาศแต่มันจะไม่หายไปตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังคงอยู่’
END
——————————————————
END TALK: จบเเล้วค่ะ อยากบอกว่ามันจบเเล้ว!!!! T^T เห็นเเบบนี้ตอนนี้ยาวถึง 18 หน้า [ฟ้อน14] เลยนะฮ๊าฟฟ ตอนสองว่าเเต่งยากเเล้วตอนสามลำบากกว่าหลายเท่า บางอารมณ์มันนึกไม่มีอารมณ์จะเเต่งก็ต่อไม่ได้ สร้างความลำบากเเสนมาก เอาเป็นว่าตอนจบก็(เหมือนจะ)เเฮปปี้มั้ย? ชเวโดนเจ้าสาวหนีงานเเต่ง ช็อค ซมซานมาหาน้อง ส่วนเรื่องมินโฮรักน้องเเบบไหน ยังไง? เราขอไม่ตอบ จินตนาการได้หลายเเบบ ถึงตอนนี้อาจจะไม่รักเเบบพิเศษเเต่ต่อไปก็ไม่เเน่จริงป่ะ?? ยังคงคอนเซปความเป็นฟิคดราม่าไว้จนจบ อิ๊อิ๊ บทน้องคีย์ที่โผล่มากหน่อยนึงนั้นช่วยขั้นอารมณ์ให้ซอร์ฟลงบ้าง (+ว๊อนเเทคีย์?) ยังไงก็ขอบคุณที่อุดหนุนพระอาทิตย์กับอากาศมาจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ เเล้วก็ตอนนี้อาจจะเเต่งได้ไม่ดีหรือยังไง (มันมีความรู้สึกดอท ๆ ๆ ๆ กับตัวเองนิดนึง) ก็ขออภัย อิคนเเต่งเบลอมากช่วงนี้
ความคิดเห็น