คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [SF] SUN & AIR #1...PAST
SHINEE SHOT FICTION
Title: SUN & AIR
Author: BUTTERFLY DESTIN [B.D]
Couple: TRUEMIN [MINHO x TAEMIN]
Rate: PG
‘SUN & AIR’
MINHO & TAEMIN
— PAST —
‘ชเว มินโฮ ผู้ชายคนนั้นคือดวงอาทิตย์’
รอยยิ้มสดใสกับบุคลิกที่เป็นกันเองนั้นทำให้หลายคนสนิทกับเขา ใบหน้าหล่อคมรับกันดีกับส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่าและผิวสีเข้มเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ทั่วมหาวิทยาลัย อุปนิสัยเปิดเผย ชอบเอาชนะและมีความพยายามมากกว่าใครทำให้เขาโดดเด่นและเป็นที่รักใคร่ของรุ่นพี่ทุกคน ในชมรมเหมารวมไปถึงในคณะนิเทศศาสตร์ เป็นทั้งเดือนและดาว เป็นผู้ชายที่มีทุกอย่างที่ทุกคนต้องการ
แสงสว่างที่ อี แทมิน ไม่อาจแตะต้อง
เพราะเป็นแค่เศษอากาศที่ล่องลอยอยู่ในคณะ ‘อี แทมิน’ เด็กหนุ่มร่างผอมบางที่เกือบจะเรียกได้ว่าผอมเกินไปอยู่บ้าง ผิวพรรณหรือหน้าตาจะว่าดีก็ดีอยู่เพียงแค่เจ้าตัวไม่ค่อยสนใจจะดูแลมันสักเท่าไหร่ อีกทั้งผมยาวรุงรังระต้นคอนั้นก็ดูจะสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อยเลย ทว่าก็กลับไม่ได้หั่นมันทิ้งไปจริง ๆ จัง ๆ เสียที
จริง ๆ ไอเรื่องรูปลักษณ์นั้นดูจะไม่เป็นปัญหากับชีวิตเขามากเท่าไหร่นักหรอก ไอตัวปัญหาชีวิตมันอยู่ที่นิสัยของเขาโดยตรงต่างหาก
แทมินผู้มีโลกส่วนตัวมากเกินไปทำให้ใครต่อใครไม่กล้าเข้าใกล้ แทมินที่มักวางตัวเหมือนเป็นอากาศอยู่ตลอดเวลา เลี่ยงการสนทนาหรือผูกมิตรกับคนอื่นเกินความจำเป็น หรือจะนิสัยพูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกนั่นอีก
‘ต้องโทษที่ตัวเขาเองนั่นแหละที่ทำให้โลกของตัวเองหงอยเหงา’
การมีตัวตนของ ชเว มินโฮ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงโลกที่แตกต่าง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่สายตาของเขามักมองไปทางผู้ชายตัวสูงที่ชอบแจกยิ้มให้ใครต่อใครไม่เลือกหน้าเสมอคนนั้น เขาไม่ได้ยิ้มตามหรือมองไปด้วยความเสน่หาเหมือนผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่น ๆ ที่หลงใหล ชเว มินโฮ หรอก
‘เขาอิจฉาต่างหาก’
ผู้ชายที่มีทุกอย่างที่เขาไม่มี มีทุกอย่างที่เขาอยากได้ ผู้ชายที่ส่งยิ้มง่ายดายและหัวเราะได้กับทุกเรื่อง ผู้ชายที่มีเพื่อนดี ๆ มากมาย ผู้ชายที่มีอนาคตสดใสสว่างจ้า
คิดแล้วก็เวทนาตัวเองเหลือเกิน
นิเทศศาสตร์ที่ตัดสินใจเข้ามาเรียนมีแต่นักเรียนเอกการแสดงที่โด่งดังมากมาย คณะที่ขึ้นชื่อว่ามีแต่คนหน้าตาดีกลบเอาคนที่ทำงานเบื้องหลังอย่างเขาไปเสียหมด เรียนคณะเดียวกันแต่โทรศัพท์มือถือยังเป็นซัมซุงฝาพับรุ่นเก๋ากึกหน้ากากลอก แบบชนิดที่ไม่น่าจะใช้งานได้แน่ ๆ ถ้าดูตามปกติ ในขณะที่แทบทั้งเอกการแสดงมีแบล็กเบอรี่และไอโฟนของค่ายดังใช้กันคนละเครื่องสองเครื่อง
จุดนี้แทมินยังคิดว่าเขายังฉลาดกว่าคนพวกนั้นมากกว่าสักหน่อย ก็ใครมันจะไปชอบแบกมือถือเครื่องคิดเลขกับจอทีวีเคลื่อนที่ไปมากันล่ะ? เสียชื่อโทรศัพท์มือถือชะมัด
คิดไปมันก็แค่ข้อแก้ตัวของคนที่อิจฉา พวกอยากมีก็ได้มี แทมินยอมรับเลยว่าด้วยฐานะทางการเงินของที่บ้านมีปัญหามากอยู่พอสมควร ตัวเขานอกจากต้องวิ่งรอกทำงานพิเศษหาเงินค่าเทอมประทังชีวิตการศึกษาอยู่ทุกวันแล้ว ของใช้พวกนั้นถึงอยากได้มากขนาดไหนเขาก็ไม่มีปัญญาซื้อมาใช้หรอก
“เฮอ...”
นึกแล้วก็ถอนหายใจกับตัวเอง
วันนี้ก็เหมือนทุกวันที่เขามาเรียน นักเรียนปีหนึ่งแผนกกำกับการแสดงนั่งคุดคูอยู่ในซอกหลืบข้างห้อง ล้างฟิลม์อย่างเบื่อหน่าย ร่างบางค่อย ๆ ปลดบรรดาของพะรุงพะรังมากมายที่แบกมาหาที่นั่งทำความสะอาดเพียงลำพังคนเดียว ทั้งขาตั้งกล้อง กล้องวีดีโอ กล้องดีเอสเอลอาร์คู่ใจ รวมไปถึงกล่องเก็บเลนส์ที่ต้องรักษายิ่งชีวิต (เพราะเป็นของมหาลัย) โต๊ะเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับประตูห้องล้างฟิลม์โดนจับจองทันทีเพื่อวางสัมภาระทั้งหลาย เสร็จ เลนส์ต่างขนาดถูกนำมาวางเรียงรายบนโต๊ะพร้อมผ้าเช็ดและเซททำความสะอาดขนาดพกพา มือเรียวจัดแจงมัดผมยาวแสนรุงรังของตนอย่างลวก ๆ เพื่อไม่ให้มันตกระลงมาให้น่ารำคาญมากไปกว่านี้ แว่นสายตากรอบหนาแต่ก็ไม่ได้ดูตกยุคอะไรถูกทอดออกเพราะไม่มีความจำเป็นต้องใส่ในตอนนี้ แทมินลงมือเช็ดถูเจ้าเลนส์กล้องราคาแพงระยับอย่างทะนุถนอม เพื่อรอให้ทีมงานคนอื่น ๆ เข้ามาจัดเตรียมความพร้อมในงานเทสต์ถ่ายแบบในวันนี้
วันที่เขาเวียนรอบมาเป็นตากล้องอีกครั้ง...ซึ่งที่จริงมันก็แค่ครั้งที่สามนั่นแหละ
คณะนิเทศศาสตร์จะมีระบบการทำงานของเอกร่วมกัน ทุกเอกจึงสนิทกันมากเพราะมักได้ทำงานและเรียนร่วมกันเสมอ ๆ กับเอกกำกับการแสดงเองก็ต้องเรียนถ่ายภาพและกำกับงาน จึงเป็นเรื่องปกติเลยที่ต้องร่วมมือกับเอกการแสดงตลอด จะเรียกได้ว่าเอกครอบครัวเลยก็ว่าได้
ในทุก ๆ อาทิตย์นักศึกษาที่เรียนวิชาถ่ายภาพขั้นสูงซึ่งเป็นวิชาเลือกพิเศษจะต้องมาลองถ่ายภาพนักศึกษาเอกการแสดงเพื่อทำเป็นแฟ้มผลงานพัฒนาการของตนเองเก็บไว้ พวกเขาเวียนกันเป็นตากล้องเช่นนี้เรื่อยไปเหมือนกับพวกนายแบบนางแบบ
แทมินจำได้ขึ้นใจว่านายแบบคนแรกของเขาคือ ชิน ดงฮี รุ่นพี่หุ่นยักษ์ปีสี่ที่มากความสามารถรอบด้าน การถ่ายทำเป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะพี่ชายตัวโตทำตัวสบาย ๆ และเป็นมืออาชีพมากเสียจนเขาอดจะเกร็งเองไม่ได้ และการถ่ายภาพก็ผ่านไปแสนง่ายดายเพราะคนอายุมากกว่าใช้ความสามารถของตนช่วยเขาไว้ได้
ครั้งที่สองก็ค่อนข้างจะเรียบง่ายกับการถ่ายนางแบบอาชีพอย่าง ชเว จินรี ผู้หญิงที่มักจะมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และชอบเรียกร้องความสนใจจากตากล้องคนอื่น ๆ เสมอ (ซึ่งแทมินเองก็ไม่รู้ว่าทำไม?)
แล้วครั้งนี้จะเป็นใครกันล่ะ?
ครืด!
เสียงประตูห้องล้างฟิลม์ถูกเลื่อนออกพร้อมร่างสูงสมส่วนที่เดินออกมาพร้อมตะกร้าใส่ฟิลม์ ใบหน้าหล่อเหลาที่ อี แทมิน จำได้ขึ้นใจ ตาสองคู่สบกันอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจเพราะต่างตกใจที่เห็นอีกฝ่าย ยิ้มอ่อนโยนถูกส่งให้จากฝ่ายร่างสูงที่ยืนอยู่ ทว่ายิ้มนั้นกลับต้องกลายเป็นยิ้มเก้อไปเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ สนใจสิ่งใด ร่างบางทำซะเหมือนเขาเป็นแค่แมลงสักตัวที่เพิ่งบินผ่านไป
“อา...ตากล้องวันนี้เหรอครับ?”
คนอัธยาศัยดีไม่ละความพยายาม มินโฮเดินเข้ามาประชิดโต๊ะก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่งใส่ มือบางเช็ดถูผ้าขาวกับเลนส์ทีละชิ้นอย่างตั้งใจ จนดูเหมือนจะสนใจเกินกว่าเหตุอยู่เบา ๆ
“ไม่เป็นมิตรเลย...คุยกันหน่อยสิ~”
อี แทมินอยากเงยหน้าขึ้นไปตะโกนถากถางผู้ชายหน้าตาดีคนนี้เสียจริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหรอก เขาไม่ควรทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากโดยการไปมีเรื่องกับดาวเด่นของคณะอย่าง ชเว มินโฮ
‘นิ่งเฉยไว้เดี๋ยวเขาก็เลิกตอแยไปเอง’
และก็จริงอย่างที่แทมินว่า มินโฮพยายามจด ๆ จ้อง ๆ เขาอยู่นานพอควรก่อนจะละจากไปเพราะเห็นว่าความพยายามตีสนิทของตนเองไม่เป็นผล อีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นทีมงานทั้งหมดก็มากันครบ แทมินจัดแจงแจกใบหน้าที่และแยกย้ายไปเตรียมงานของตนเงียบ ๆ
กล้องดีเอสเอลอาร์ตัวเก่งถูกสวมเลนส์แสนแพงเข้าไปอย่างชำนิชำนาญ คนตัวเล็กคล้องสายกล้องไว้พลางยกลำขึ้นหมุนหาโฟกัสและมุมที่เหมาะสม ปรับนู่นนี่อยู่นาน ก่อนจะตกใจสุดขีดเมื่อถูกนายแบบตัวดีที่ต้องถ่ายให้ในวันนี้เดินมาส่องเลนส์ของเขาด้วยตาคู่โตนั้น
“เฮ้ย!”
เสียงอุทานยอมมีแน่ ๆ ถึงแม้จะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม ร่างบางขยับถอยหลังไปตามสัญชาติญาณทำให้กล้องตัวเก่งหลุดมือ แต่ก็ได้มือใหญ่ช่วยพยุงไว้พร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ จากอีกฝ่าย
ชเว มินโฮในตอนนี้เปลี่ยนมาใส่ชุดลำลองสบาย ๆ ที่เหมาะกับบรรยากาศช่วงหน้าร้อน เสื้อเชิ้ตสีเข้มเปลือยกระดุมสามเม็ดนั้นทำให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งเนียนอยู่วับ ๆ แวม ๆ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับกางเกงขาสั้นสีขาวและรองเท้าสนิกเกอร์ลุย ๆ ที่เสริมความเป็นสปอร์ตแมนให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น เครื่องหน้าหล่อจัดถูกแต่งรองพื้นบ้างเล็กน้อย ช่วงเวลาที่จด ๆ จ้อง ๆ กันอยู่นานนั้นทำให้แทมินสังเกตเห็นได้ถึงความแตกต่างนี้ เขาก้มลงมอบสภาพชุดนักศึกษาของตนเองครู่หนึ่งก่อนจะดึงลำกล้องจากมือนายแบบ ตรงหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปที่กองถ่าย
“เฮ้! คุณตากล้อง อย่าเย็นชาสิครับ!”
ขายาวก้าวไว ๆ มาเทียบเคียงเขาอย่างง่ายดาย จนแทมินนึกอยากบริภาษส่วนสูงตัวเองอยู่ในใจ
“พี่ซองรยู ตอนนี้นายแบบพร้อมแล้ว ผมจะเริ่มถ่ายเลยนะครับ”
โดยไม่สนใจคนที่มาวนเวียนอยู่ข้าง ๆ แทมินตะโกนบอกรุ่นพี่ที่ช่วยจัดฉากให้เป็นสัญญาณว่าตนจะเริ่มงานแล้ว ทีมงานหลายคนเข้าประจำที่อย่างมืออาชีพในทันที ทว่าตัวนายแบบกลับทำหน้ายุ่งแล้วรำพึงใส่ตากล้องอย่างขัดใจ
“ถามผมสักคำรึยังว่าพร้อมมั้ย? ใจร้ายจังน้าตากล้องวันนี้”
เกือบสติขาดผึง อี แทมิน หมุนตัวขึ้นไปถามเสียงต่ำ
“งั้นคุณพร้อมรึยัง? ถ้ายังผมจะได้ให้คนอื่นมาเป็นแบบให้แทน ถ้าคุณมีปัญหา”
ตาดุถูกส่งไปเชือดเฉือนเป็นอารมณ์ให้รู้ว่าคนตัวเล็กก็เริ่มหงุดหงิดมากแล้วเช่นกัน นายแบบหนุ่มยิ้มแหยใส่เหมือนสำนึกผิดอยู่บ้างก่อนจะผละจากตากล้องตัวบางไป ทักทายทีมงานคนอื่นแทน
“งั้นเริ่มงานเลยแล้วกัน โอเค! เทสต์”
บรรยากาศมืออาชีพกลับมาบีบหัวใจของเขาให้หดเกร็งอีกครั้ง ฉากที่มีเก้าอี้สีขาวสองสามตัวกับกีตาร์และของตกแต่งอีกนิดหน่อยดูดีขึ้นทันทีที่สิ่งมีชีวิตนาม ชเว มินโฮ เข้าไปมีส่วนร่วม นายแบบตรงหน้าไม่ใช่แค่เก่งธรรมดาแต่มีทักษะเกินตัวจนน่ากลัว แววตาที่จ้องมาราวกับจะส่องทะลุเลนส์ให้มาถึงตัวเขานั้นดูดุดัน สดใส และเจ้าเล่ห์ในพร้อม ๆ กันได้ แทมินไม่อยากพูดสั่งอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก เพียงประโยคเดียวที่เขาพูดก่อนเริ่มถ่ายคือ ‘ทำตัวสบาย ๆ’ และนายแบบตัวสูงคนนั้นก็ทำได้ดีเยี่ยมจนไม่มีคำติเตียนหรือคำสั่งใดหลุดออก มาจากปากตากล้องอย่างเขาอีกเลย
“รูปสุดท้ายแล้วครับ”
เหมือนหลายสิ่งหล่อหลอมให้แทมินลืมอารมณ์บูดบึ้งของตนไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยประโยคประจำที่มักพูดเสมอกับทุกคนอย่างเป็นปกติ กดนิ้วลงที่ปุ่มชัตเตอร์ แล้วคนตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นจากกล้องตัวเก่งของตนเองพลางยิ้มกริ่ม
‘พอร์ตวันนี้คงเป็นพอร์ตที่สบาย ๆ ไปอีกหนึ่งอาทิตย์’
“โอเคมั้ยครับ?”
เหมือนลืมสนิทว่านายแบบที่ถ่ายเป็นพ่อดวงอาทิตย์ที่ตนริษยาหนักหนา ชเว มินโฮที่เพิ่งเดินเขามาใกล้ถึงได้เห็นยิ้มภูมิใจที่น้อยครั้งนักจะได้พบจาก ใบหน้าหวานของ อี แทมิน
“ครับ ขอบคุณมาก”
พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นคู่สนทนา ยิ้มหวานก็หุบไปเหมือนติดตั้งระบบอัตโนมัติ จะเรียกคืนประโยคเมื่อครู่กลับมาก็ไม่ทันเสียแล้ว แทมินจึงเดินเลี่ยงมินโฮออกไปเพื่อเก็บอุปกรณ์ของตนเตรียมไปทำกิจกรรมชมรม ที่วันนี้โดนบังคับเข้าเป็นวันแรก
“อีกแล้วล่ะพี่...คุณตากล้องน่ะ.....”
ยิ่งได้ยินเสียงนินทาระยะเผาขนยิ่งชวนให้หลุดสบถในลำคออีกหลายคำรบ อุปกรณ์มากมายถูกเก็บใส่กระเป๋าสัมภาระอย่างรวดเร็วก่อนร่างบางจะหามทุกสิ่งอย่างทุลักทุเลออกจากห้องไปอย่างไม่ใส่ใจใคร
แน่นอนว่าแม้จะมีงานยุ่งเรียนเยอะธุระหนักมากแค่ไหนกิจกรรมชมรมก็เป็นหนึ่งในหลักสูตรของที่มหาวิทยาลัย สำหรับ อี แทมินเองมันเป็นหลักสูตรที่เขาเกลียดมากที่สุด อาจเป็นเพราะมันคือการบังคับเข้าสังคมดี ๆ นี่เองด้วยกระมัง ชมรมมีเป็นร้อยให้เลือกเขาถึงได้จิ้มมาเจอชมรมดนตรีที่ใกล้คณะที่สุดแบบนี้
“รีบเข้ารีบออก...สะดวกที่สุด”
เมื่อคิดได้ดังนั้น มือเล็กจึงตัดสินใจเลื่อนประตูที่ติดป้ายของชมรมดนตรีไว้ข้างหน้าออก
“เฮ้!!!!!!”
เสียงเฮลั่นดังขึ้นทันที่ที่เงยหน้า ทั้งสายรุ้งหลากสีและสเปรย์งานเลี้ยงมากมายถูกฉีดพ่น นักศึกษากว่าสิบคนอยู่ในชุดนิสิตที่หลุดลุ่ยและไร้ระเบียบ ห้องสีเหลี่ยมพื้นผ้าขนาดกว้างมีแกรนด์เปียโนหลังใหญ่กองอยู่กลางห้อง ข้าง ๆ ถูกแบ่งเป็นห้องกระจกเล็กๆ น้อย ๆ เพื่อแยกซ้อม แต่ตอนนี้ทุกห้องกลับเต็มไปด้วยโต๊ะเครื่องดื่มและอาหารงานปาร์ตี้ ผนังว่าง ๆ กลางห้องถูกแขวนป้าย ‘ยินดีต้อนรับน้องใหม่ชมรมดนตรี’ เด่นหราเสียจนทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงความแปลกประหลาดของชมรมที่ควรจะสงบสุขอย่างชมรมนี้
“มินโฮมาแล้ว! ไงมินโฮ!!!”
แขนข้างหนึ่งของคนด้านในลอดผ่านสีข้างแทมินไปเพื่อจับเอาแขนของใครอีกคนที่อยู่ด้านหลังให้เข้ามาในห้อง แรงออกดึงทำให้ร่างบางพยุงตัวไม่ได้และล้มลงไปกองในที่สุด สภาพน่าสมเพชนี่เกิดขึ้นโดยที่ใครต่อใครไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ผู้กระทำขอโทษเขาส่ง ๆ ไปก่อนจะพาผู้ชายตัวสูงที่มายืนข้างหลังเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เข้าไปสนุกด้าน ใน
มินโฮหันมายิ้มขอโทษแทมินเพียงครู่เดียวก่อนจะบอกไว ๆ ให้เข้ามา
“จริง ๆ จะเขียนว่ายินดีต้อนรับ ชเว มินโฮ แต่ปีนี้มีคนเข้ามาอีกคนนึง คงจะเป็นเด็กคนนั้นสินะ”
ผู้ชายติดจะสวยคนหนึ่งเอ่ยกับ ชเว มินโฮ ก่อนจะพยักเพยิดมองมาที่แทมิน
วินาทีนี้แทมินอยากจะวิ่งออกไปจากชมรมห่วยแตกนี้เสียเหลือเกิน มือเล็กประคองกระเป๋ากล้องอย่างทะนุถนอมก่อนลุกขึ้นปัดกางเกงแล้วเดินเข้าไป อย่างไม่สนใจใคร สายตาเฉยชามองหากระดาษเช็คชื่อ ก่อนจะหันไปถามผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ
“ขอโทษนะครับรุ่นพี่...กระดาษเช็คชื่ออยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
เสียงไม่ได้ดังเท่าไหร่ แต่กลายเป็นจุดสนใจได้เพราะประโยคที่เอ่ยมานั้น เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนดังสนั่น
“ฮะฮะ ฮา ฮะ! นาย...อยู่มัธยมเหรอ? รูปร่างก็ดูให้อยู่หรอกนะ เป็นเด็กนิเทศฯ จริงรึเปล่า?”
ผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนข้าง ๆ เอ่ยถาม ถึงจะรู้สึกไม่พอใจและหงุดหงิดมากแค่ไหน คนอย่างเขาไม่เสี่ยงจะหาเรื่องใส่ตัวอยู่ดี น้ำเสียงสุภาพจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการตอบกลับรุ่นพี่ไป
“พอดีผมเพิ่งเข้าใหม่ รู้ว่ากิจกรรมชมรมต้องมีการลงเวลาเลยจะมาลงเวลาแล้วรีบไปทำธุระต่อน่ะครับ”
เสียงฮือฮาตามมาหลังประโยคนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาปลดกระเป๋าขาตั้งกล้องและเลนส์ไปจากตัวเขาอย่างไม่ทันได้ป้องกัน แทมินร้องเฮ้ยอย่างตกใจพลางรีบจับกระเป๋าเจ้าดีเอสเอลอาร์ให้มั่น
“ลงเวลาวันนี้คือการอยู่ปาร์ตี้กับพวกพี่ที่นี่ไงล่ะ ถ้าไม่อยู่จะถือว่าขาดน้า~”
ผู้ชายใส่แว่นที่นักอยู่ที่เก้าอี้ข้างแกรนด์เปียโนเอ่ย ก่อนที่คนสุดท้ายจะปิดตายทางหนีของเขาเสียสนิท
“ผมก็น้องใหม่เหมือนกัน ถ้าคุณไม่อยู่งานคงกร่อยแย่ เพราะงั้นอยู่เถอะนะครับ”
แค่ ชเว มินโฮ เอ่ยปาก รุ่นพี่ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ๆ อยู่แล้ว
อยาก จะหัวเราะให้ตายกับประโยคสุดท้ายของคนตัวสูงเสียจริง ๆ ตอนนี้พื้นที่เล็ก ๆ ของมุมห้องกระจกที่คาดว่าน่าจะเป็นที่ซ้อมไวโอลินถูกจับจองโดยร่างบางอย่าง อี แทมิน เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่จัดวางของของตนแล้วหยิบอาหารกับเครื่องดื่มมาพอประมาณ แทมินก็จัดการยัดหูฟังเอ็มพีสามใส่หูพร้อมเร่งเสียงให้ดังขึ้นพอกลบจังหวะ หนัก ๆ ของเพลงที่ตีกันมั่วในงานปาร์ตี้ เขาหยิบกล้องคู่ใจมาคัดรูปที่เพิ่งถ่ายไปเล่น ๆ ฆ่าเวลาพลางหันไปมองบรรยากาศกลางห้องที่ตอนนี้จะมีหรือไม่มีเขาก็ไม่สำคัญอะไร เพราะ ชเว มินโฮ ผู้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์คนนั้นก็สร้างความสนุกสนานให้กับงานเลี้ยงจนเต็มสิบไปแล้ว อากาศธาตุอย่างเขาจึงต้องเลี่ยงมานั่งปลีกวิเวกแบบนี้เพื่อรอให้งานจบ
“เสียเวลาจริง ๆ”
พึมพำกับตัวเองได้ไม่นานเท่าไหร่ รุ่นพี่ใส่แว่นคนเดิมก็เข้ามาทักทาย ถึงจะนึกรำคาญแค่ไหน การมีมารยาทก็สำคัญ
“ไง...อี แทมินใช่มั้ย?”
เขายิ้มบาง ๆ ดูไปดูมาก็เป็นคนที่หน้าตาโดดเด่นมาคนหนึ่ง
“ครับ...รุ่นพี่?”
“ชอง ยุนโฮ”
แนะนำตัวเองเสร็จสรรพแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งใกล้ ๆ แทมินขยับเว้นช่องว่างอย่างเคยชินเป็นนิสัย เพราะตัวเขาไม่ได้มีรสนิยมสกินชิพเหมือนผู้ชายทั่วไปสักเท่าไหร่
“นายเกิดปีเดียวกับมินโฮรึเปล่า 1991 น่ะ?”
“ไม่ครับผมเกิด 92” (โกงอายุหน่อยละกันนะ ♥)
แปลกใจนิดหน่อยที่คำถามเรื่องปีเกิดจะเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมา แถมเอาไปเปรียบเทียบกับไอนายแบบบ้านั่นอีก นี่จะทำให้เขาหงุดหงิดทุกวินาทีเลยสินะ
“จริงดิ? มินโฮ!! นายไม่ใช่มักเน่นะ แทมินอายุน้อยกว่านายเว้ย!!!”
รุ่นพี่ข้างตัวยิ้มยียวน ก่อนจะชะโงกหน้าตะโกนออกไปให้กลางห้องได้ยินกันถ้วนหน้า แทมินขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจทันที
‘...จะเกิดก่อนหรือหลังมันจะต้องมาถามกันไปทำไม?...’
เหมือนพยายามจะหันหน้าหนีทว่าพอหันไปก็ดันไปสบตากับใครบางคนที่เพิ่งถูกยกมาเปรียบเทียบเมื่อครู่เข้า มบหน้ายิ้มดีใจเหมือนเด็ก ๆ ของ ชเว มินโฮ ทำให้แทมินยิ่งประสาทเสียมากขึ้นไปอีก
เขาอยากออกไปจากงานเลี้ยงบ้า ๆ นี้เต็มทนแล้ว!
“นายต้องดูแลน้องดี ๆ นะมินโฮ เหมือนที่พวกพี่ดูแลนายไง เอ้าไปชวนแทมินมานิ่สิ”
รุ่นพี่หน้าตาเจ้าเล่ห์ที่ชื่อ โจว คยูฮยอน เอ่ยบอกน้องชายตัวสูง ก่อนมินโฮจะเดินเข้าไปสวนพอดีกับยุนโฮที่เดินออกมา
ต้องเผชิญหน้าแบบที่เลี่ยงไม่ได้อีกแล้วสิ
“ไงแทมิน...อ่า..น้องชายสินะ”
“ไม่ต้องเรียกว่าน้องชาย ผมไม่ชอบ”
เสียงห้วนทันทีที่เห็นหน้าคู่สนทนา สายตาและความตั้งใจเลื่อนกลับไปหากล้องของตัวเองเหมือนเดิมราวกับอีกคนไม่มีตัวตน
“รูปผมรึเปล่า? ดูด้วยละกันนะ”
สัมผัสอุ่นที่มือทั้งสองข้างชวนให้ขนตั้งชันเบา ๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วินาทีที่มือของมินโฮทาบทับมือของเขาประคองกล้องของตนอยู่นั้นทำให้แทมินตกใจ เขาไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว แม้จะเป็นสกินชิพจากผู้ชายด้วยกันก็ตาม แต่เหมือนแม้พยายามสะบัดมือนั้นออกไปเท่าไหร่อุ้งมือใหญ่ของ ชเว มินโฮ ก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เจ้าตัวทำหน้าตาไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด ใบหน้าที่ห่างจากแก้มนิ่มของเขาไปไม่กี่เซ็นต์นั้นเรียกความร้อนให้มารวมตัวกันอย่างห้ามไมได้ หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“จะเอาไปดูก็หยิบไปเลย”
ร่างกายเงอะงะทำอะไรไม่ถูกยัดเยียดกล้องตัวโปรดที่ปกติจะไม่ให้ใครมาถือให้ร่างสูงไปอย่างง่ายดาย นิ้วเรียวดันแว่นที่ตกลู่อย่างพยายามเรียกความมั่นใจให้ตนเอง ก่อนสูดหายใจลึก พยายามนั่งให้สงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อายเหมือนกันนะเนี่ย ต้องมานั่งดูรูปตัวเองแบบนี้”
อีกฝ่ายที่เหมือนจะไม่คิดอะไรก็นั่งบ่นไปดูรูปไปอย่างไม่ได้สังเกตเจ้าของกล้องนัก
บรรยากาศระหว่างคนสองคนเงียบลงไปพักหนึ่ง ก่อนที่แน่นอนว่าจะต้องมินโฮที่ทำลายบรรยากาศนั้นลง
“แทมิน...เป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ?”
ประโยคอ้อนวอนนั้นถูกเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง แทมินที่หันหลังให้มินโฮเสียววูบ
ทำไมถึงอยากมาเป็นเพื่อนกับเขากัน รอบตัวผู้ชายคนนั้นก็มีเพื่อนมากมายอยู่แล้วนี่หน่า จะเพิ่มคนนิสัยเสียอย่างนี้เข้าไปเป็นเพื่อนเพราะเป็นของแปลกรึไง?
“นี่...ผมอยากเป็นเพื่อนกับแทมินนะ”
คิดว่าอ้อนเหมือนหมาเหมือนแมวแล้วเขาจะยอมเหรอ? บ้าไปแล้ว
เศษอากาศกับดวงอาทิตย์เป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก ดวงอาทิตย์มันยิ่งใหญ่ไป สว่างไป เจิดจ้าไป
‘จริง ๆ แล้ว อี แทมิน แค่กลัวความเจ็บปวดรึเปล่านะ?’
ที่เขาอยู่คนเดียวมันเพียงเพื่อจะสร้างเกราะกำบังความเจ็บปวดที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตรึเปล่า? การรับใครสักคนเข้ามานั้นง่ายเหลือเกินในความเป็นจริง แต่แทมินเลือกจะปัดทิ้ง จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพราะเขากลัวที่จะต้องเสียไปใช่มั้ย?
ความขี้ขลาดทำให้เขาต้องอยู่คนเดียว ซึ่งนั่นเป็นทางเลือกที่เขายอมเพียงเพื่อไม่ให้หัวใจตนเองต้องเจ็บ
“บอกรุ่นพี่ด้วยว่าฉันจะกลับแล้ว ต้องรีบไปทำธุระจริง ๆ อ้อนเขาเหมือนที่นายอ้อนฉันเมื่อกี้น่ะ คงทำได้ใช่มั้ย? ขอบใจมาก”
พูดรัวเร็วเท่าเสียงหัวใจที่สั่นในอก แทมินชิงกล้องของตนจากอีกฝ่ายมาใส่กระเป๋าอย่างลวก ๆ ก่อนจัดการสะพายสัมภาระทั้งหมดแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกไปอย่างไม่สนใจใคร เลื่อนประตูแล้วออกวิ่งราวกับต้องการหนีจากความจริงบางอย่าง
“เดี๋ยวก่อนแทมิน!”
ความจริงที่เขาหวั่นไหว ความจริงที่หัวใจเขาปรารถนาที่จะถูกพระอาทิตย์นั้นดึงดูด
‘นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่าง อี แทมิน และ ชเว มินโฮ’
TBC
TALK: เรื่องนี้ได้ลงจบไปเเล้วในทรูมินอินโซลกับชายนี่ไทยเเลนด์นะคะ เอาตอนเเรกมาลงดูฟีทเเบคก่อน ฮิ้ว~ ส่วนอีกสองตอนที่เหลือจะทยอยเอามาลงตามลำดับพร้อมสเปอีกหนึ่งตอน มีหลายเรื่องจ่อลงรอในห้องนี้เลย ยังไงก็ช่วยอุดหนุนกับด้วยน้า~ เม้นบ้างอะไรบ้างก็ดี เราเหงา ก๊ากกกกกกกกกกกก!! ฝากไว้ด้วยจ้า~
ความคิดเห็น