คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 | นางห้ามของชีค
OPEN TALK: อู้มานาน...เข็นตอนใหม่มาเเล้วค่า!! เป็นตอนที่ไร้สาระมาก ฮือออ!!
ตอนที่ 4
“นางห้ามของชีค”
“คิบอม!”
น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยของเพื่อนสนิทเอ่ยเรียกเขาในความมืด
เขาทั้งพยายามขยับตัวหรือแม้แต่จะเปล่งเสียงเรียก คิบอมทำทุกอย่างเพื่อจะตามเสียงนั้นไปทั้งที่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดให้สำเร็จได้ ร่างกายที่เคยเดินเหินได้ดั่งใจบัดนี้หนักหน่วงเหมือนมีก้อนตะกั่วขนาดใหญ่ ถ่วงขาทั้งสองไว้ ทั่วทั้งลำคอรู้สึกแห้งผาก ปากที่มั่นใจว่าตะโกนออกไปเต็มเสียงไม่ได้ยินคำพูดใดใด มือของเขากำแน่นขึ้น ขืนร่างของตนอย่างสุดฤทธิ์
“คิบอม...อย่าทิ้งฉัน...อย่าทิ้งฉันไป...ช่วยฉันด้วย!”
เสียงของแทมินช่างทรมาน มันดูห่างไกลและเหมือนกำลังจะห่างไปเรื่อย ๆ
ทำยังไงก็ได้...พระเจ้า...ทำยังไงก็ได้ให้ผมขยับตัวได้ที
เหมือนน้ำตาจะไหล คิบอมไม่อาจทนฟังเสียงของแทมินที่ร้องเรียกตนได้ในสภาพแบบนี้อีกต่อไป ในใจทำได้เพียงร่ำร้องระลึกถึงพระเจ้า ภาพเพื่อนสนิทขอคำสัญญาในคืนก่อนวนย้อนกลับมาในหัว
ไม่...เขาจะไม่ทิ้งแทมิน
ไม่นานเขาก็เห็นภาพมือขาวอันเลือนรางของแทมินในความมืด มือที่พยายามเอื้อมเข้ามาหาเขา คิบอมพยายามบังคับให้แขนที่หนักสุดชีวิตยื่นเข้าไปหา แต่ไม่เลย...มันไม่แม้แต่จะขยับจากข้างตัว
เหมือนร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของเขา
แทมินอ่า...แทมิน
เป็นเสียงเรียกที่ได้ยินเพียงในใจ
“คิบอม...คิบอม...”
เสียงของแทมินดังก้องในหัว
แล้ว คิม คิบอมก็ตัดสินใจรวบรวมสมาธิและแรงทั้งหมดที่มี.....
“แทมิน!”
“.....”
“คิบอม!”
ร่างทั้งร่างเหมือนถูกดึงกระตุก ที่ตามมาคือความเจ็บปวดมหาศาลที่แขนขวาของตน ความรู้สึกชื้น ๆ ที่มือซ้าย และเสียงที่แปลกออกไปจากในความมืดที่ร้องเรียกชื่อของเขา
“แท...”
คิบอมรู้สึกหมดแรง ทั่วทั้งร่างกายอ่อนล้าและปวดแปลบไปหมดทุกส่วน ยิ่งโดยเฉพาะแขนขวายิ่งรู้สึกทั้งเจ็บทั้งหนัก เปลือกตาอ่อนพยายามเปิดขึ้นมองทัศนภาพรอบตัว แสงสีขาวนวลสาดส่องเข้ามาเป็นแสงแรก ก่อนการถูกกอบกุมที่มือซ้ายจะทำให้เขาเข้าใจได้ว่าสถานภาพของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร
เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน เขาจำได้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร
“จงฮยอน...”
ถ้าให้บรรยายสภาพของนักการทูตคิมตอนนี้คงไม่อาจพูดถึงความเหมาะสมกับตำแหน่งได้ เต็มปากนัก เพราะร่างโปร่งที่มักนิยมใส่สูทผูกไทด์อยู่เป็นประจำบัดนี้กลับยืนกุมมือคน รักนิ่ง เสื้อสไตล์ซาฟารีเปรอะไปด้วยเศษฝุ่นและทราย ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง รอบตาทั้งคล้ำทั้งช้ำ รวมไปถึงความรู้สึกที่มือซ้ายเหนียวเหนอะหนะไปหมด คิบอมรู้สึกได้ว่าจงฮยอนเป็นห่วงเขาแทบบ้าขนาดไหน
“เจ็บตรงไหนไหม? ฉันเพิ่งให้อาเหม็ดไปตามหมอมาเมื่อกี้ รออีกแปปนึงนะ...เออ นายอาจจะหิวน้ำ เดี๋ยวฉันรินน้ำให้ดื่มแล้วกัน”
จงฮยอนดูวุ่นวายและเป็นกังวลมากอย่างเห็นได้ชัด...จนคิบอมรู้สึกแปลกใจ
“จงฮยอน...แทมินล่ะ?”
ร่างบางกวาดสายตามองไปรอบตัวหวังจะเจอคุณดอกเตอร์เพื่อนสนิทอีกคน แต่ก็ไม่พบใคร ทั้งห้องนี้มีเพียงเขาและจงฮยอนสองคน กระนั้นคิบอมจึงเอ่ยถามกับจงฮยอนถึงเรื่องของแทมิน
“เอ่อ...นายดื่มน้ำก่อนเถอะ”
มือหนาประคองแก้วน้ำให้จรดริมฝีบางบาง คิบอมดื่มมันอย่างไม่อิดออด ก่อนจะดื่มมากขึ้นเพราะเพิ่งรู้สึกได้ว่าร่างกายต้องการน้ำมากขนาดไหน
“อึก..อึก...”
จงฮยอนหลบสายตาคนรักพลางคิดหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรื่องของแทมินมันใหญ่เกินไปที่คนป่วยอย่างคิบอมต้องมารับรู้ในตอนนี้ แล้วยิ่งเป็นคนที่คิดมากด้วยแล้ว จงฮยอนที่รู้นิสัยของคิบอมดีที่สุดยิ่งไม่อยากบอกเข้าไปใหญ่
.....แต่จะทำอย่างไรได้
“ว่าไงจงฮยอน แทมินเป็นอะไรมากรึเปล่า?”
ร่างโปร่งย้ายแก้วน้ำมาวางลงที่โต๊ะข้าง ๆ แล้วยืนนิ่ง คำถามเน้นย้ำจากคิบอมทำให้เขาอึกอักพูดไม่ถูก ตั้งแต่ร่ำเรียนมาเสียสูงจนถึงตอนนี้เขารู้สึกว่าการพลิกลิ้นกับคนรักนี่ แหละเป็นการเจรจาที่ลำบากที่สุด
“ฟังฉันนะคิบอม...ฟังฉันแล้วใจเย็น ๆ...”
“.....”
“แทมินหายไป”
“นายว่าไงนะ?”
เหมือนภาพในฝันวิ่งตรงเข้ามาซ้อนทับความเป็นจริงตรงหน้าอย่างแนบสนิท เสียงร้องเรียกนั้น ความทรงจำในพายุทรายเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง
“คิบอม!”
“แท...มิน...แทมิน...จับมือฉัน”
มือของเขาเอือมไปไม่ถึง เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือชื่อของตัวเองที่ดังออกมาจากอีกฝ่ายแล้วสติก็พร่า เลือน และพอเขาฟื้นขึ้นมาในยามนี้....แทมินก็ไม่อยู่ข้าง ๆ เสียแล้ว
“จงฮยอน...”
“เรากำลังพยายามตามหา...”
“ฉันถามว่านายพูดว่าอะไรนะ!?”
น้ำตาแรกไหลหยดลงบนเฝือกหนักที่สวมอยู่ที่แขนขวา มือซ้ายกำหมัดแน่นอย่างเจ็บปวด
เจ็บปวด...ที่รักษาสัญญากับแทมินไม่ได้
“เราหาแทมินไม่เจอ...ในพายุทราย แทมินเป็นคนเดียวที่ใช้ม้าเป็นพาหนะ และเพราะมันเป็นม้าพันธุ์ผสมที่เพิ่งนำเข้ามาใหม่ มันเลยไม่เคยชินกับพายุที่นี่...ผลก็คือพัดหายไปทั้งคนทั้งม้า ตอนนี้เรากำลังกระจายกำลังเร่งติดตามกันอยู่ แต่ก็ยังไม่พบ”
จงฮยอนพยายามรายงานสถานการณ์คร่าว ๆ อย่างใจเย็น เขารู้สึกชาตั้งแต่เห็นน้ำตาของคิบอมแล้ว แต่ตอนนี้เขาเองต้องพยายามควบคุมสติ พยายามควบคุมคิบอมให้ได้ นั่นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำระหว่างที่ตามหาแทมิน
“เพราะฉัน...เพราะฉันช่วยเขาไม่ทัน.....เพราะฉันผิดสัญญา จงฮยอน...ฉันทิ้งเขา”
“ใจเย็น ๆ นะคิบอม...แทมินต้องไม่เป็นอะไร”
“กี่วันมาแล้วจงฮยอน?”
จงฮยอนชักสำหน้าลำบากใจแต่ก็ยอมตอบออกไปเสียงอ้อมแอ้ม
“สามวันแล้ว”
“...ในทะเลทราย...แทมินในทะเลทรายนั่นน่ะเหรอ?”
คิบอมบริภาษความสวยงามของเม็ดทรายสีแสดอย่างเดียดฉันท์ ทั้งลางสังหรณ์ของแทมิน ทั้งคำทำนายลวง ๆ ที่ไม่น่าเป็นจริงพาลเอาน้ำตาของร่างบางให้ไหลออกมาเป็นสาย
“ฉันพยายามแล้ว...พยายามอย่างเต็มที่...”
“ฉันจะไปตามหาแทมิน”
มือขวาที่เทอะทะพยายามดึงสายน้ำเกลือออกทว่ากลับถูกยื้อหยุดไว้โดยจงฮยอน แต่คิบอมก็ยังดื้อดึง แม้รู้ว่าสภาพของตนเองตอนนี้ต่อให้พยายามออกไปตามหาก็รั้งแต่จะเป็นตัวถ่วง คิบอมก็ไม่สนใจสักนิด ในหัวของเขามีเพียงเสียงเรียกของแทมินที่ดังก้อง
“หยุด...ฉันบอกให้หยุดไงคิบอม”
“นายไม่สนใจรึไงว่าเพื่อนจะเป็นจะตายยังไง ไม่สนใจรึไงว่าแทมินอาจจะกำลังอดข้าวอดน้ำ เขาอาจจะกำลังรอให้พวกเราไปช่วย”
“แล้วที่ฉันพยายามทำอยู่นี่ไม่ได้เรียกว่าช่วยเหรอคิบอม?”
“นายมันเย็นชา! ตอนนี้นายควรจะไปตามหาแทมินอยู่กลางทะเลทรายสิ ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้”
คิบอมคนสุภาพในตอนนี้ถูกอารมณ์ครอบงำจนครองสติไว้ไม่อยู่ ในหัวใจของเขาร่ำร้องเพียงแค่ต้องการจะช่วยเหลือเพื่อน อีกทั้งด้วยกลัวเหลือเกิน...กลัวว่าแทมินจะเป็นอะไรไป
“นายกำลังปล่อยให้อารมณ์พาไป...”
“ถ้าเป็นฉันที่หายแล้วแทมินมานอนแทนตรงนี้นายจะมานอนเฝ้าเขาไหม? ฉันบอกนายหลายครั้งแล้วนะจงฮยอน ถึงฉันจะรักนายต่างความหมายจากที่ฉันรักแทมิน แต่ความรักที่ฉันมีให้ไม่เคยน้อยมากไปกว่ากัน ฉันบอกแล้วว่าต่อให้เราคบกันทั้งฉันทั้งนายต้องไม่เพิกเฉยต่อแทมิน...เขา สำคัญกับฉันมากนายเข้าใจไหม?!”
“แล้วฉันไม่มิสิทธิ์เป็นห่วงนายเหรอคิบอม?...ฉันทำตามหัวใจตัวเองไม่ได้รึไง? ฉันใช้เวลาทั้งเช้าและบ่ายตามหาแทมิน ฉันเป็นคนแรกที่ได้สติและต้องรับรู้ทุกอย่าง ฉันต้องหาทางแก้ไข ในขณะที่สมองฉันพยายามแก้ปัญหา หัวใจฉันเป็นห่วงนายมากที่สุด”
จงฮยอนตัดพ้ออย่างน้อยใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วงแทมิน เขาเป็นห่วงเพื่อนสนิทของเขามากพอ ๆ กับคิบอม แต่การแสดงออกมันต่างออกไป ด้วยความที่คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือเขา จงฮยอนต้องวางแผนแก้ปัญหาต่าง ๆ มากมายที่จะเกิดต่อมา ทั้งเดินเรื่องในการตามแทมิน รักษาคิบอมและเรื่องงานของพวกเขา ไหนจะเรื่องครอบครัวที่อยู่ที่เกาหลี ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนเขาอยากจะวิ่งหนีไปมันไปซะ แต่กระนั้นก็เพราะผู้ชายที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลคนนี้เป็นแรง ผลักดันให้เขามีความพยายาม เขาถึงได้พยายามอย่างไม่สนความเหน็ดเหนื่อยใด ๆ
แม้จะรู้ดีว่าเป็นเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันสามคน เส้นแบ่งของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคิบอมถึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อแทมิน แต่เขาก็เข้าใจคิบอมดี
แต่ถ้าแค่ความเป็นห่วงของเขาอีกฝ่ายยังตีความผิดไปเช่นนี้...ความรู้สึกของเขาเคยมีความหมายอะไรบ้างรึเปล่า?
“.....”
“ฉันขอโทษจงฮยอน...ฉัน...ฉันคุมตัวเองไม่ได้”
เหมือนความเงียบจะช่วยเรียกสติที่กระเจิงออกไปให้กลับมาได้อยู่บ้าง คิบอมยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก พยายามทำสมาธิทั้ง ๆ ที่น้ำตายังไหลไม่หยุด เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับคำสั่งของจงฮยอนที่ตะโกนออกไป
“ยังไม่ต้องเข้ามา...ฉันขอเวลาสิบนาที!”
“.....”
ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด เสียงสะอื้นของคิบอมดังสะท้อนแผ่ว ๆ เรียกความรู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ ให้ตื่นขึ้นมาในหัวใจของจงฮยอน ร่างโปร่งสาวเท้าเข้าไปประชิดที่เตียงแข็งก่อนจะรวบไหล่บางเข้ามาซบที่อกตน หลวม ๆ ความเปียกชื้นจากน้ำตาอีกฝ่ายที่ซึมเข้ามาผ่านเสื้อผ้าทำให้เขารับรู้ความ รู้สึกของคิบอมชัดเจนขึ้นมาอีกขั้น มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาลูบหัวคนรักของตนเบา ๆ เป็นเชิงปลอบให้สงบ
“นิ่งซะ...ตราบใดที่เรายังหาแทมินไม่เจอ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นอะไรไป”
“...ฮึก...นายไม่โกหกใช่ไหม?...”
“นักการทูตไม่พูดโกหกหรอกนะ”
ทั้ง ๆ ที่อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จงฮยอนได้แต่ภาวนาขอให้คำพูดของเขาไม่กลายเป็นเพียงคำโกหก
......................................................
เช้าวันรุ่งขึ้น กระโจมทั้งหกถูกจัดเก็บอย่างรวดเร็วโดยเหล่าทหารในคราบลูกกองคาราวานทั้ง หลาย ม้าทุกตัวในคอกถูกเปลี่ยนให้เป็นสัตว์เทียมเกวียน จัดขบวนโดยมีนายแห่งกองคาราวานนำหน้า ส่วนกลางเป็นสัตว์ขนพาหนะและแพะเลี้ยง ปิดท้ายด้วยขบวนอูฐของทหารรักษาการณ์ ทหารทุกคนเปลี่ยนชุดลำลองให้ดูรัดกุมและปกปิดกว่าเดิม ทั้งนายพลนายกองหรือแม้กระทั่งผู้นำสูงสุดอย่างมินโฮก็แต่งกายด้วยลักษณะ ใกล้เคียงกัน
“ประเดี๋ยวเราจะให้กองของยิลมาเก็บกระโจมแล้ว ท่านไปรอด้านนอกกับเรยาลเถอะ”
แทมินเบือนหน้ากลับจากเครื่องแต่งกายที่แสนจะรุงรังมาพยักใส่มินโฮ เสื้อผ้าประมาณสามชั้นช่างดูขัดกันกับอากาศร้อนระอุของทะเลทรายในยามสายเสีย จริง แต่ก็ยังดีที่เนื้อผ้าไม่ได้หนาเตอะหรือชวนร้อนแต่อย่างใด ดอกเตอร์หนุ่มยังรู้สึกพอใจกับมันถ้าเทียบกับการแต่งตัวแบบเดิมแล้วต้องเอา ผิวขาว ๆ ไปเสี่ยงไหม้อีกเหมือนคราวที่แล้ว
“เอ่อ...คุณมินโฮครับ!”
“หืม?”
“ไม่ต้องใช้คำสุภาพมากกับผมก็ได้ อย่างไรซะก็ถือเสียว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง คุณไม่รังเกียจใช่ไหมครับ?”
แทมินรู้สึกค่อนข้างวางตัวไม่ถูก เพราะตนใช้ภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ กับอีกฝ่ายทว่าสิ่งที่ได้ตอบกลับมากลับเป็นภาษาสุภาพเกินกว่าที่เขาสมควรได้ รับ อันที่จริงตัวเขาก็เข้าใจอยู่ว่าดูจากฐานะโดยคาดคะเนแล้ว มินโฮคงเป็นตำแหน่งระดับคหบดีเศรษฐีร่อนเร่คนหนึ่ง ทั้งเรื่องมารยาท รัศมีอำนาจ หรือการวางตัว ทุกอย่างดูจะสมบูรณ์แบบจนน่าทึ่ง นอกจากใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั่นแล้ว จิตใจก็โอบอ้อมอารีเป็นที่สุด ถ้าหากให้มานั่งจัดอันดับผู้ชายเพอร์เฟคตัวเป็น ๆ ที่เขาได้เจอในโลกแล้ว มินโฮคงจะเป็นผู้ชายลำดับต้น ๆ เป็นแน่แท้
“ขอโทษทีที่ค่อนข้างจะติดสุภาพ เราจะเรียกท่านว่าแทมินเฉย ๆ ก็แล้วกัน”
ริมฝีปากหยักยกยิ้มหวาน ยังผลให้ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมนั้นดูอ่อนโยนขึ้นมากจนผู้ชายด้วยกันอดรู้สึกใจเต้นไม่ได้
“อ่า...เช่นกันนะครับ คุณมินโฮ”
ราวกับรู้สึกว่าก้อนนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของตนเองคงเริ่มเรื่อสีฝาดขึ้นมาอีก แล้วแน่ ๆ แทมินจึงรีบโค้งให้อีกฝ่ายไว ๆ แล้วเดินเลี่ยงออกมารอที่เกวียนขนสัมภาระ
.....ทิ้งไว้เพียงยิ้มหวานที่เปลี่ยนเป็นยิ้มมากเล่ห์ในเวลาต่อมา
“หึ...พอไปถึงที่โน่นก็ต้องเรียกอยู่แล้ว จะรีบคุ้นเคยไปทำไมกัน จริงไหมยิล?”
นายทหารหนุ่มยิ้มตาม ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องที่เหลือให้จัดการกระโจมสุดท้าย โดยมีมินโฮคอยยืนคุมอยู่ไม่ห่าง ภาพที่เห็นจากสายตาของคนนอกอาจจะดูเหมือนเขาเป็นนายผู้กระตือรือร้นและใส่ใจ ลูกน้อง แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ดอกเตอร์อีเข้าใจไปเองทั้งนั้น ปากกาด้ามใหม่ที่ได้มาจากมินโฮถูกใช้จดภาษาบ้านเกิดขะยุกขยิกในสมุดบันทึก ที่เป็นสมบัติอย่างเดียวที่ติดตัวมา
“คุณมินโฮนี่เป็นคนดีจริง ๆ คุณโชคดีมากนะเรยาลที่มีเจ้านายดี ๆ แบบนี้”
ว่าแล้วก็หันไปส่งยิ้มจริงใจให้คนข้างตัว ชายชรายิ้มบางหากแต่สายตาอดรู้สึกผิดต่อหนุ่มน้อยตรงหน้าไม่ได้ ในใจกล่าวอ้างโชคชะตาไปเรื่อยที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
“อูฐพร้อมแล้วใช่ไหม? บอกให้ทุกคนเตรียมออกเดินทางได้เลย”
ทุกอย่างถูกจัดเก็บพร้อมเดินทางในเวลาเพียงชั่วอึดใจ มินโฮเดินนำมาที่หน้าขบวนพลางตะโกนถามทหารตนถึงความพร้อมครั้งสุดท้าย ครั้นพอได้ยินสัญญาณเหล่าทหารองครักษ์และทหารนำทางก็ประจำที่ เหลือเพียงมินโฮ แทมิน และเรยาลที่กำลังจะจัดการที่นั่งบนโหนกอูฐพันธุ์ดีให้แทมินอยู่
“เฮอ...”
แทมินเบ้หน้าทันทีที่เห็นสัตว์พาหนะคอยาวหุ่นกระร่องหน้าตาซื่อบื้อตรงหน้า เขายังจำได้ดีกับเหตุการณ์สุดซวยที่อียิปต์คราวนั้น
คิดแล้วยังเสียวสะโพกไม่หาย
“ขึ้นเลย เราจะช่วยพยุง”
มือหนากระชับที่เอวบางของดอกเตอร์หนุ่มเป็นเชิงว่าจะช่วยยกและประคอง แต่แทมินก็ยังก้าวขาไม่ขึ้นสักที ก็คนมันมีปมฝังใจ จะให้อยู่มา ๆ ฝืนเอาปุบปับมันยากเกินไปสำหรับเขา
“เอ่อ...คือ...”
“หรือท่านจะขึ้นไม่ได้?”
เรยาลแทรกเข้ามา
“...อ่า...ครับ พอดีมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาก ๆ กับมัน ผมเลยค่อนข้างลำบากใจ”
หางคิ้วเข้มตกลู่แลดูน่าสงสาร มินโฮหัวเราะออกมาเสียงเบา สายตามองไปที่ม้าทรงตัวเก่งของตนแล้วคิดอะไรบางอย่างได้ มือใหญ่ฉวยเอามือเล็กมาแล้วจูงไปหาม้าอาหรับของตน ตาคมหันไปสบชายชราเป็นเชิงออกคำสั่ง เรยาลจึงกวักมือเรียกทหารสักคนมาประจำที่อูฐตัวนั้นแทน
“เออ...จะให้ผมขี่ม้าของคุณเหรอครับ?”
แทมินสบตามินโฮหวาด ๆ แต่ความรู้สึกข้างในนั้นลิงโลดไปแล้ว ม้าขนสีน้ำตาลไหม้ตัวนี้ดูมีหุ่นภูมิฐานราวกับได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี แววตาดุดันหยิ่งทะนง ซ้ำยังรัศมีความสง่าที่สัมผัสได้ แค่คิดว่าจะได้ขี่มันหัวใจก็ตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่ไหวแล้ว
เรียกได้ว่าความหวาดหวั่นเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งเลยเชียว
“อืม...ขึ้นสิ”
มินโฮมองเห็นนัยน์ตาพราวระยับของฝ่ายตรงข้ามอย่างทะลุปรุโปร่ง เขายืนมือไปช่วยให้อีกฝ่ายจับแล้วโดดขึ้นหลังเจ้าม้าประจำตัวก่อนจะรีบโดด ขึ้นตามไปด้วยโดยไม่ให้ฝ่ายร่างบางที่ขึ้นไปก่อนได้ตั้งตัวเลยสักนิด
“อ๊ะ! คุณมินโฮ”
ด้วยความที่ตกใจแทมินยึดเจ้าบังเหียนไว้แน่นแต่ก็พลาดหลุดมือจนได้ ร้อนไปถึงร่างสูงที่เพิ่งกระโดดขึ้นมาต้องโอบรัดช่วงเอวไว้กันหล่น สัมผัสผ่านเนื้อผ้าหลายชั้นแม้จะไม่ชวนให้รู้สึกอะไรแต่ก็เรียกรอยยิ้ม ประกายชวนให้มินโฮอารมณ์ดี มือใหญ่เลื่อนไปประคองที่สะโพกมนข้างจับไหล่ให้ตั้งข้าง
“เอ่อ...”
ใจหนึ่งก็เขินแทบบ้า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยให้ใครแตะเนื้อต้องตัวได้ขนาดนี้ แทมินรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนสาวบริสุทธิ์ที่คิดโน่นคิดนี่ไปมากมาย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเหตุไม่ได้ตั้งใจ ทำไมสมองเขาต้องฟุ้งซ่านไปขนาดนั้นกันนะ
“โทษที...เราล่วงเกินรึเปล่า?”
แทมินรีบส่ายหัวแรงเสียจนผ้าคลุมหลุด ชีคหนุ่มหลุดขำออกมาอีกครั้งกับท่าทางเหล่านั้น หลังมือที่ถูกยกขึ้นมาปิดปากตามนิสัยย้ายเคลื่อนมาหยิบเจ้าผ้าคลุมที่หล่นไป มาคลุมให้ใหม่
“ในทะเลทรายทั้งฝุ่นทั้งอากาศเป็นอันตรายต่อ ผิวและระบบทางเดินหายใจมาก คนไม่คุ้นชินมักจะป่วยไข้ไม่สบายได้ง่าย เพราะฉะนั้นต้องใส่เสื้อผ้าให้รัดกุมที่สุด ช่วงที่เดินทางก็ต้องระวังให้มากด้วย”
มินโฮตีสีหน้าให้ดูดุขึ้น นิดหน่อย แทมินจึงรีบจัดผ้าคลุมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ไม่ช้าร่างสูงก็จัดการหันไปสั่งให้ลูกกองเริ่มเคลื่อนขบวน
แสงแดดจ้าที่สาดกระทบผิวทรายยังผลให้ไอระอุพวยพุ่ง แค่เพียงเปิดตาสักครึ่งก็รู้สึกแสบเสียจนต้องหรี่สายตา ขบวนอูฐตรงหน้าไม่ได้เคลื่อนไวหรือช้ามากแต่ดอกเตอร์หนุ่มกลับรู้สึกว่าระยะ ทางจากทิศเดิมเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ราวกับเขาเดินทางมาไกลหลายร้อยไมล์แล้ว ร่างกายรู้สึกล้าและเหนียวเหนอะหนะเพราะฤทธิ์อากาศ มีหลายครั้งที่เกือบเผลอตัววูบหลับไปแต่ก็ยังพยายามประคองสติตัวเองไว้ เนื่องด้วยตนยังต้องอาศัยชายที่อยู่ข้างหลังในการเดินทาง แค่ต้องระหกระเหินมาให้เขาช่วยก็เป็นบุญคุณมากพอแล้ว หากยังต้องกลายมาเป็นตัวถ่วงอีก อี แทมินคงจะสิ้นศักดิ์ศรีลูกผู้ชายไปหมดเป็นแน่
“เหนื่อยรึเปล่า?”
เสียงทุ้มดังแผ่วมาจากด้านหลัง ดอกเตอร์หนุ่มอยากบอกใจจะขาดว่าทั้งหิวทั้งเหนื่อยซ้ำยังเวียนหัวอีก แต่ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่ส่ายหัวไปมาแล้วหันไปส่งยิ้มเนือย ๆ ให้อีกฝ่ายเท่านั้น
“อย่าโกหก...หน้าเจ้ามันฟ้อง”
มินโฮชักบังเหียนเตรียมสั่งหยุดขบวน แทมินเมื่อเห็นดังนั้นก็ใจหายวาบรีบเอี้ยวตัวห้าม เขาไม่อยากให้การเดินทางวุ่นวายกะอีแค่เพราะเขาเหนื่อย
“อย่านะครับ! โอเคผมเหนื่อย...แต่ไม่มากเท่าไหร่หรอกครับ อย่าถึงกับต้องหยุดเดินทางเพราะผมเลย แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
ร่างบางขอร้องอีกฝ่ายทั้งสีหน้าเหนื่อยอ่อน มินโฮถอนหายใจแรงก่อนจะตบสีข้างของม้าให้ออกเดินต่อไป ตาคมอบมองร่างของดอกเตอร์หนุ่มตัวเล็กโคลงไปเอนมาเหมือนเรือกลางคลื่นพายุ ใจหนึ่งก็อยากให้หยุดพัก แต่ติดที่อีกฝ่ายขี้เกรงใจเกินไปรั้งแต่จะทำให้ไม่สบายใจ
แต่เพียงครู่...ยิ้มบางผุดออกมาที่มุมปาก
“พิงอกเราแล้วหลับเสีย...อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
มือที่กุมบังเหียนเปลี่ยนมารั้งเอวบางให้ขยับเข้ามาชิดตนเสียสนิท แทมินทั้งอายทั้งตกใจ แต่ร่างกายที่เริ่มเพลียดันขืนดื้อไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย สภาพของเขาในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยในอ้อมแขนชายหนุ่ม มือหนาเกี่ยวเอวบางมาใกล้จนแผ่นหลังของแทมินแนบชิดแผ่นอกของตน
เสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอของร่างสูงนั้นกระตุ้นให้หัวใจของแทมินเต้นแรง ใบหน้าขาวนวลที่อยู่ใต้ผ้าคลุมแดงเรื่อทั้งที่เมื่อครู่ยังซีดจาง
“คุณมินโฮ...”
“หลับเถอะ...ไม่ต้องคิดอะไร”
เสมือนมนต์สะกด เปลือกตาของแทมินค่อย ๆ ปิดลง ริมฝีปากอิ่มขบเม้มตามนิสัยก่อนร่างบางจะตัดสินใจคลายอาการเกร็งแล้วยอมอิง ซบที่อกแกร่งอย่างผ่อนคลาย
“ว่าง่ายอย่างนี้สิดี...เราชอบ”
ภาษาอารบิกหลุดออกมาจากปากชีคหนุ่มที่กำลังเพลิดเพลินกับการคลอเคลียจากลมหายใจ แผ่วของฝ่ายที่หลับไปแล้วในอ้อมกอดตน เหล่าทหารองครักษ์ที่ประกบทั้งสองข้างต่างพากันลอบมองพลางอมยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่ผู้เฒ่าเรยาลที่แสนเคร่งครัด
เมื่อเหนือหัวมีความสุข...ข้าราชบริพารย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา
ตะวันดวงใหญ่ค่อย ๆ คล้อยต่ำลงเช่นเดียวกับอากาศที่เริ่มเย็นขึ้นตามลำดับ ในขณะที่กองคาราวานยังคงเคลื่อนพลกันต่อโดยไม่หยุดพัก สัญญาณจากหน่วยนำถูกส่งมาเป็นระยะ ๆ ด้วยระยะทางที่เริ่มร่นลงเหลือน้อย ในไม่ช้าร่องรอยของสิ่งก่อสร้างก็เริ่มปรากฏ
เพียงชั่วอึดใจก็เห็นกำแพงสีน้ำตาลหม่นขนาดใหญ่ทอดตัวยาวสุดปลายสายตา
“ฝ่าบาท...”
ขบวนหยุดลงที่ทางแยกก่อนเข้าเมืองประมาณสองไมล์ เรยาลชักม้าเข้ามาใกล้เหนือหัวของตนก่อนจะเอ่ยภาษาท้องถิ่นเพื่อถามความเห็น ในเรื่องเส้นทาง
“ว่าไง?”
“จะให้กระหม่อมนำขบวนเข้าที่ประตูเมืองหรือท้ายวังดีพะยะค่ะ?”
“ท้ายวัง...ส่งคนเดินข่าวไปบอกตำหนักใหญ่ก่อน เรียกโฮริญามารอรับเราด้วย”
เรยาลโค้งรับสั่ง ชายชราผิวปากเบา ๆ เป็นเชิงเรียกทหารในสังกัด ชายฉกรรจ์พร้อมอูฐสองคนปรากฏตัวข้างกายเขาในเวลาไม่ถึงนาที คำสั่งถูกถ่ายทอดต่อสู่ผู้น้อยก่อนคนข่าวทั้งสองจะรีบนำเข้าเมืองไปปฏิบัติ หน้าที่ตามคำสั่ง
“ยังหลับอยู่เลย”
มินโฮก้มมองหัว ทุยของเด็กน้อยที่หลับไม่รู้เรื่องในอ้อมแขนเขาอย่างเอ็นดู ผ้าคลุมที่เคยรัดกุมดีบัดนี้หล่นลงไปกองรวมกันอยู่ที่ต้นคอ ทั้งผมสีน้ำตาลทองทั้งผิวขาวผ่องล้วนเผยออกมาให้เขาลวนลามทางสายตาได้สะดวก ยิ่งนัก
“ดูฝ่าบาทจะถูกใจเป็นพิเศษ”
เรยาลยิ้มละไม สายตาผู้สูงวัยทอดมองร่างบอบบางนั้นอย่างพินิจพิจารณา
“อืม...จำที่เราเคยบอกเรื่องฝันได้ไหม? เราคิดว่าเขาเป็นคน ๆ นั้น”
“กระหม่อมคิดว่า...เรื่องฝัน น่าจะให้ลองทำนายดู...”
“เราเกลียดพวกหมอดู”
บทสนทนาสั้น ๆ จบลงโดยมินโฮที่สั่งให้ทหารออกเดินทางอีกครั้ง เรยาลถอนหายใจเชื่องช้า เขาเป็นที่ปรึกษาให้ชีคมาสามรุ่นแล้ว อายุอานามก็มากพอที่จะเป็นปู่ของมินโฮได้ กับเรื่องความหลังเกี่ยวกับพวกหมอดูที่ฝังใจชีคหนุ่มคนนี้เขาเองก็เข้าใจ เป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมามาก ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น หรอกเรยาล...เราเชื่อว่า ฟ้าสร้างโชคชะตาขึ้นมา แต่คนที่จะกำหนดมันน่ะคือมนุษย์เจ้าของโชคชะตา ไม่ใช่ใครคนอื่นหรือแม้แต่ฟ้าเองก็ตาม”
......................................................
กองคาราวานรอนแรมผ่านทะเลทรายรกร้างจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเมืองที่ดูเก่าแก่ กว่าประตูอีกด้าน เบื้องหลังกำแพงสีหม่นมียอดโดมสถาปัตยกรรมที่ดูสวยงามซ่อนอยู่ ยามนี้จากขบวนคาราวานสามส่วนถูกลดเหลือเพียงส่วนเดียวเพราะส่วนกลางที่ขน สัมภาระและส่วนหลังได้แยกตัวออกไปตั้งแต่ครั้งเมื่ออยู่ที่ทางแยกเพื่อเข้า
ประตูใหญ่ที่กว่าอีกด้าน
“ฝ่าบาทนิวัติแล้ว ให้เรียนพระชายาแล้วเปิดประตูเมืองให้ด้วย”
ยิลตบอูฐไปที่ป้อมเล็ก ๆ ทางฝั่งซ้ายของประตูแล้วเอ่ยแจ้งนายทหารเฝ้าประตูให้ทราบ ชายวัยกลางคนรีบกุลีกุจอลุกออกมาโค้งคำนับมินโฮที่อยู่ไกลออกไปไม่มากอย่าง เคารพนบน้อมก่อนวิ่งเข้าประตูเล็กด้านหลังป้อมไป ไม่ช้าเสียงเอี๊ยดอ๊าดหลังธรณีประตูก็ดังขึ้นพร้อมบานเหล็กคร่ำครึขนาดใหญ่ ถูกเปิดออก
“...อื้อ”
ร่างบางสะดุ้งตื่นหลัง แว่วเสียงเลื่อนดังของประตูใหญ่ เบื้องหน้าของเขาเป็นรอยแยกระหว่างประตูที่กำลังเปิดกว้างออกเรื่อย ๆ ภาพที่เห็นด้านในนั้นเหมือนดินแดนอีกแห่งหนึ่งในความฝันอันแสนไกล คือดินแดนอีกแห่งที่ไม่น่าจะมีในทะเลทรายอันเวิ้งว้างและห่างไกลจากความ เจริญในประเทศนี้ ยอดโดมสถาปัตยกรรมแบบอิสลามแลดูวิจิตรด้วยลวดลายที่แปลกออกไปซึ่งคาดว่าจะ เป็นเอกลักษณ์ตามท้องถิ่น ตัวอาคารดูสว่างไสวด้วยโทนสีทองและโอรส แม้นพื้นทรายปนดินแดงจะเป็นสีหลักของพื้นดินทว่ากลับมีต้นไม้ใหญ่มากมายถูก ปลูกขึ้น ให้ความรู้สึกแบบโอเอซิสขนาดใหญ่ที่เขาเคยพบเห็นในภาพยนตร์
มันสวย...จนไม่อาจละสายตา
“หลับไปนานนะ”
เสียงกระซิบดังแผ่วที่ข้างหูทำให้ตาทั้งสองลืมเต็มตื่นขึ้นมาได้ฉับพลัน แน่นอนว่าพร้อมกันกับความรู้สึกร้อน ๆ ที่แก้มนิ่มและรอยยิ้มเก้อ ๆ ที่ตามส่งไปให้อีกฝ่าย
“ขอโทษครับ...คุณคงเมื่อยแย่”
มินโฮหัวเราะแล้วส่ายหน้า ในใจดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจริง ๆ แม้มันจะเป็นการนอนซบอกของผู้ชายด้วยกันเป็นครั้งแรกก็ตาม แรกเริ่มก็รู้สึกอายอยู่แต่ก็ปฏิเสธความจริงที่ว่าตนรู้สึกดีไม่ได้เลย
เอาไปเล่าให้ใครฟังมีหวังต้องโดนแซวว่าเป็นพวกผิดเพศแหง ๆ
นั่นสิ...แล้วจะเอาไปเล่าให้ใครฟังได้ล่ะ?
รอยยิ้มกลับฝืดเขืองลงไปอีกครา ต้องยอมรับความจริงที่ว่าตอนนี้เขาไม่มีใครอยู่เคียงข้างเลยสักคน
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านเรา...โจฮาราญ”
มินโฮทอดสายตามองไปข้างหน้าพร้อมทั้งเอ่ยต้อนรับแทมินสู่บ้านเมืองของตนอย่าง ภาคภูมิ ด้านแทมินเองแม้จะยังเจือความรู้สึกเศร้าที่เพิ่งผุดขึ้นมาเมื่อครู่อยู่แต่ ก็อดยิ้มตามร่างสูงที่ดูมีความสุขที่ได้กลับบ้านไมได้ ม้าอาหรับตัวใหญ่วิ่งเหยาะ ๆ ไปเรื่อยจนถึงหน้าโดมปราสาทที่สะดุดสายตาแทมินตั้งแต่แรกเห็น ซุ้มประตูโค้งของปราสาทสลักสายดอกไม้โบราณห้อยประดับด้วยผ้าไหมสีแดงเข้มที่ มีลวดลายใกล้เคียงกัน รอบข้างก็ประดับประดาไปด้วยต้นไม้แถบร้อนที่ดูเข้ากันอย่างประหลาด
“ชอบรึเปล่า?”
“สวยมากเลยครับ”
ร่างบางมองทัศนียภาพรอบตัวด้วยสายตาเป็นประกาย แน่นอนว่าระยะเวลาที่เขาจะได้อยู่ที่นี่คงไม่ใช่แค่วันสองวัน เพราะฉะนั้นเขาจะใช้เวลาในการศึกษาดินแดนลับแลแห่งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ จิตวิญญาณของดอกเตอร์นักผจญภัยรื่นขึ้นมาจนหัวแล่น
“ยินดีต้อนรับกลับเพคะฝ่าบาท”
เสียงหวานนุ่มของภาษาถิ่นดังขึ้นพร้อมร่างระหงส์ที่เดินออกมาจากทางซ้ายมือของ ซุ้มประตู หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของผิวขาวในชุดพื้นเมืองสีม่วงดอกไลแลคแสนสง่า ผมเผ้าของเจ้าหล่อนถูกเก็บรวบสูงพร้อมปิ่นประดับดูเรียบร้อยเข้ากันกับ เครื่องแต่งกายสไตล์สูทยาวแบบผู้หญิง เยื้องไปด้านหลังกายบางนั้นยังมีหญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ ที่แต่งตัวในลักษณะใกล้เคียงกันแต่ดูธรรมดากว่าสองคนยืนโค้งอยู่ ทว่าความงดงามของผู้หญิงคนแรกกลับตราตรึงใจของแทมินยิ่งนัก
ดูมีสง่าราศี...ดูมีอำนาจและเป็นผู้หญิงที่สูงส่งเกินแตะต้อง
“...ขอเราคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวครู่หนึ่งได้ไหมโฮริญา”
มินโฮตอบกลับไปด้วยภาษาอารบิกเช่นเดียวกัน
“เกี่ยวกับ...?”
หล่อนชายตาไปทางดอกเตอร์หนุ่มตัวเล็กแล้วส่งยิ้มละไมให้ มินโฮพยักหน้าพลางเดินนำไปยังใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักก่อนสาวเจ้าจะเดิน ตามไปสนทนากันเพียงลำพัง ทิ้งให้แทมินต้องยิ้มเก้อมองตอบชนผู้น้อยที่อยู่รอบตัวเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“ไปเก็บมาจากที่ไหนกัน?”
โฮริญาเปิดประเด็นก่อนที่มินโฮจะเริ่มต้นอธิบายเหตุการณ์อันเป็นตัวการที่ทำ ให้เขากลับช้ากว่ากำหนดแถมยังพ่วงนักเดินทางแปลกหน้าเข้ามาท้ายวังอีกหนึ่ง
“เขาเป็นไง? ดูซื่อดีใช่ไหมล่ะ?”
หญิงสาวพยักหน้ายอมรับ ก่อนจะนึกประเมินเด็กหนุ่มตัวเล็กในใจ ทั้งรูปร่างหน้าตาทั้งผิวพรรณดูน่าจะเป็นผู้ดีเชื้อเอเชียตะวันออกอย่างที่ มินโฮว่า สายตาก็ดูซื่อติดจะไม่ทันคนแต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นมองสถานการณ์รอบตัวไม่ออก เพราะฉะนั้นหากไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ใจก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อยู่ดี
“ตรวจประวัติรึยัง?”
“ให้เรยาลล่วงไปตรวจก่อนแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน”
“ก็ดี...ประเด็นคือจะให้อยู่ในฐานะไหนล่ะ?”
“เอาไว้ในฮาเร็ม...ก็นะ กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไง แต่จดทะเบียนไปแล้ว”
“มินโฮ!”
จริง ๆ หล่อนอยากจะกล่าวโทษความสะเพร่าของชีคจอมเอาแต่ใจนี้นัก แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจ นิสัยของมินโฮเป็นอย่างไรนั้นริญาเรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่รู้ดีที่สุด ระยะเวลาเกือบแปดปีที่อยู่ด้วยกันมาหล่อนทั้งปลงทั้งเอือมระอาอย่างไม่รู้จะ แก้ไขอย่างไรดี
“อย่าเสียงดังสิริญา! เราอยากให้เจ้าช่วยดูแล ให้เขาอยู่ในความดูแลของเจ้า”
“แน่ล่ะ...ถ้าปล่อยเดี่ยวมีหวังอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ๆ”
มินโฮยิ้มแห้ง ๆ มองสตรีสาวตรงหน้าอย่างนึกขอบใจ ตัวเขาเองก็รู้ว่าทั้งความคิดทั้งวิธีที่ได้มานั้นผิดเต็ม ๆ สมควรที่โฮริญาจะโกรธ แต่เขาก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้วนอกจากเธอ
“เอาเป็นว่ารายละเอียดอื่น ๆ เราจะคุยกับเจ้าที่ห้องทำงานเรา ตอนนี้จัดคนให้พาเขาไปที่ฮาเร็มก่อน อย่าให้รู้ตัวล่ะ”
“หลอกเขามาด้วยสินะ”
“อย่ารู้ทันเรามากนักสิริญา”
โฮริญาไม่ว่าอะไรต่อ หล่อนกุมขมับนิ่งอย่างระอาใจพลางเดินกลับไปหน้าซุ้มประตูวังที่ทุกคนกำลัง สนทนากับดอกเตอร์หนุ่มผู้ไม่รู้อะไรสักนิดอย่างออกรส ร่างระหงส์ลดตัวลงไปกระซิบนางกำนัลของตนก่อนแทมินจะถูกเชิญให้ตามหญิงสาวคน นั้นไป นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยประหม่าหันไปมองมินโฮราวกับชั่งใจก่อนร่างสูงจะพยัก หน้ากลับมาให้ คนต่างถิ่นจึงตัดสินใจเดินตามนางกำนัลสาวเข้าไปทางฝั่งขวาของโค้งประตู
โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าสถานที่ที่ตนจะไปนั้นจะกลายเป็นคุกทองที่คุมขังเขาไว้ทั้งร่างกายและจิตใจในเวลาต่อมา
“คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้หมดทุกคนรึเปล่าครับ?”
หลังจากที่สตรีสูงศักดิ์กระซิบสั่ง นางกำนัลสาวก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนเคย แทมินขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมเดินตามหล่อนมาเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ร่างบางลอบสังเกตทางเดินอันกว้างขวางที่ยกโถงสูงและตกแต่งได้วิจิตรงดงาม ยิ่งกว่ารูปลักษณ์ภายนอกด้วยลวดลายตามผนัง ผ้าม่านระย้า รูปวาดศิลปะตะวันออกกลางและวัตถุโบราณที่เห็นประดับวางอยู่ไปตลอดทาง
“อ่า...ค่ะ”
นางกำนัลตอบอ้อมแอ้ม
ถัดจากโถงยกสูง หล่อนพาดอกเตอร์หนุ่มเดินผ่านซุ้มประตูเล็กที่รอบข้างติดกระจกใสเห็น ทัศนียภาพสวนที่คับคล้ายโอเอซิสภายนอก สุดปลายทางของซุ้มเป็นประตูโค้งบานใหญ่ที่มีหญิงสาวในชุดเดียวกันยืนเฝ้า อยู่
“รอสักครู่นะคะ”
หล่อนเดินเข้าไปคุยกับหนึ่งในสองนางกำนัลเฝ้าประตูครู่หนึ่งทั้งสองจึงเปิดประตูให้ทั้งนางและแทมินได้เข้าไป
ภายในมีโถงเล็ก ๆ และทางแยกสองทาง ตรงกลางเป็นประตูใหญ่ ร่างบางหยุดมองลักษณะโถงอย่างพินิจ ตั้งแต่เข้ามาจมูกก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมประหลาด ๆ เสมือนรอบตัวมีดอกไม้นานาชนิดอยู่รวมกัน การตกแต่งภายในดูละเอียดลออกว่าด้านนอกทั้งม่านระย้าก็เปลี่ยนจากสีแดงเข้ม เป็นสีน้ำตาลอ่อนมีลวดลายสวยงามกว่าเดิม หญิงสาวเดินเลียบนำเขาไปทางด้านซ้าย ห้องมากมายเรียงรายติดกันเป็นแถบประหนึ่งโรงแรมชั้นดี ที่หน้าห้องมีโคมไฟเล็ก ๆ ห้อยอยู่ประจำทุกห้องให้ดูแปลกตาเล่น แทมินเดินไปไล้มือไปกับโคมไฟที่ยื่นออกมาอย่างเพลิดเพลิน
“อย่าเล่นสิคะ ข้างในอาจมีคนอยู่นะ”
นางกำนัลสาวยิ้มเจือน ๆ ดอกเตอร์หนุ่มจึงรีบชักมือเก็บมาไวข้างตัวทันที ใบหน้ายิ้มแย้มเหี่ยวลงอย่างสำนึกผิด ในใจคิดว่าไม่น่าหลุดนิสัยเด็ก ๆ ของตนเองออกไปเลย
“ขอโทษครับ”
ทั้งคู่เดินเรื่อยมาจนสุดทาง หญิงสาวหยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อยาว ๆ ของหล่อนแล้วไขประตูเข้าไป
“เชิญค่ะ...ท่าน...?”
“แทมินครับ...อี แทมิน”
“ค่ะ...พระ ...เอ่อ...ท่านโฮริญาให้ท่านพักอยู่ที่ห้องนี้ไปก่อน ประเดี๋ยวคุณมีอุสจะเข้ามาดูแลและบอกรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม...ดิฉันขอตัวนะคะ”
สิ้นคำกล่าวนางกำนัลสาวโค้งต่ำให้อีกครั้งแล้วรีบออกไปจากห้อง แทมินโค้งกลับไวแต่ก็ไม่ไวเท่าฝีเท้าหล่อนที่เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางปิดประตูก่อนหันมาทัศนาห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่พอสมควรให้ถนัด ตาอีกครั้ง กลางห้องมีเตียงสีเสาห้อยระย้าด้วยผ้าไหมเนื้อบางสีน้ำตาลอ่อน ทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งดูจะแสดงออกว่าห้องนี้เป็นห้องสำหรับผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย ขวามือถัดจากตู้เสื้อผ้ามีซุ้มโค้งม่านลูกปัดอยู่ซึ่งแทมินสันนิษฐานว่าน่า จะเป็นห้องน้ำ
หากดูเผิน ๆ แทมินรู้สึกว่าห้องนี้มันเหมือนหอนางโลมโบราณมากกว่าห้องรับรองเสียอีก
“จะเป็นไปได้ไง...เบลอแล้ว อี แทมิน”
พึมพำแล้วขำพรืด
ก๊อก! ก๊อก!
“ดิฉัน มีอุส ขออนุญาตค่ะ”
เสียงแหบแหลมดังขึ้นจากหลังประตูบานเล็ก แทมินที่เพิ่งถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกจำใจต้องเดินไปเปิดประตูรับอย่างเลี่ยง ไม่ได้ เดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งไกล ใจเขาอยากจะนอนพักที่เตียงนุ่ม ๆ ตรงหน้านี้จะตายอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะท่าน”
หญิงสาววัยกลางคนนางหนึ่งโค้งให้เขาพร้อมเด็กสาวผู้ติดตามของหล่อนอีกสี่คน
“เอ่อ...ครับ เรียกแทมินเฉย ๆ ดีกว่านะ”
“ไม่ได้ค่ะ...ท่านเป็นถึงคนของชีค นางกำนัลอย่างเรา ๆ ต่ำต้อยกว่า มิบังอาจลามปามค่ะ”
“.....”
“เมื่อกี้...คุณพูดว่าผมเป็นอะไรนะครับ?
“นางห้ามค่ะ...ผู้หญิงของชีค ไม่สิ...ท่านเป็นผู้ชาย แต่ก็คงเรียกเหมือน ๆ กัน”
สาบานได้ว่าเมื่อกี้นี้ อี แทมินได้ยินว่า ‘Royal concubine’ เต็มสองรูหู
(#Royal concubine แปลว่าพระสนม, นางห้าม, ภรรยาน้อยของเชื้อพระวงศ์ค่ะ -_-ll)
สมองที่ง่วงงุนเมื่อครู่ถึงกับตื่นเสียจนแทบทรุดลงไปช็อก สังเกตได้จากสายตาของพี่สาวตรงหน้าที่มองเขาราวกับกังวลว่าเขาจะเป็นอะไรไป ใบหน้าของดอกเตอร์หนุ่มเปลี่ยนสีเป็นซีดขาวและเขาไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ยคำใด ออกมาได้เลย
ทุกอย่างมันตื้อไปหมด
ภาพความทรงจำตั้งแต่วันแรกที่เขารอดพ้นจากมัจจุราชทะเลทราย ทั้งผู้ชายเจ้าของคาราวานคนนั้น ทั้งเรื่องราวที่กองคาราวาน ผู้คนมากมายที่ให้ความดูแล และคำสัญญาที่บอกว่าจะพาเขากลับบ้าน
ไม่...คนพวกนั้นต้องไม่หลอกเขาสิ
เขาเชื่อมั่นว่านี่คงเป็นฝันหรือเรื่องตลกขำขันที่เกิดจากความเข้าใจผิดแน่นอน
ความอบอุ่นนั้น...มันต้องไม่ใช่
“ผมว่าต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ ๆ ผมเป็นแค่นักเดินทางที่ถูกช่วยไว้กลางทะเลทราย ไม่ใช่...”
“แต่ถ้าได้ก้าวเข้ามาในฮาเร็มนี้ท่านก็ไม่ใช่นักเดินทางที่ถูกช่วยไว้กลางทะเล ทรายอีกแล้วล่ะค่ะ เข้าใจใช่ไหมคะ?...ความหมายของฮาเร็มน่ะ”
ใบหน้าของหล่อนเริ่มเรียบตึงและติดจะหงุดหงิดเมื่อเห็นความตกใจเกินกว่าเหตุของชาย หนุ่มต่างถิ่น แทมินเสยผมพลางส่ายหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด
“ผมขอเจอคนที่พาผมมาก่อน...ผมเซ็นใบรับรองเข้าประเทศกับเขาไว้ ผมมีหลักฐานในการเข้าประเทศนะครับ”
“โอ้ย!...ถ้ามันเป็นเอกสารส่งมอบตัวคุณให้ฮาเร็มคุณจะว่ายังไงคะ? สะเพร่ายอมเซ็นเอกสารสำคัญง่าย ๆ ได้ยังไงกัน...พิลึกคนจริง ๆ”
“แต่ผม...”
“คำ แก้ตัวน่ะ...ท่านค่อยพูดกับฝ่าบาทคืนนี้ก็แล้วกันค่ะ บอกนางกำนัลอย่างพวกเราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้.....เอ้า! ยืนนิ่งกันอยู่ทำไม พาท่านเขาไปอาบน้ำเร็วสิ”
ผู้หญิงสี่คนด้านหลังอ้อมกรูเข้ามาพยายามดึงแทมินเข้าไปในห้องน้ำ แต่แน่นอนว่าร่างบางขืนตัวไว้สุดกำลัง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ช่วยไม่ได้แต่เขาก็ยังมีสติพอที่จะไม่ให้ใครพาไหลตาม น้ำได้เป็นอันขาด
“อย่ามายุ่งกับผม! ผมอาบน้ำเองได้...ออกไปเลย ไปบอกชีคของคุณว่ารีบมาหาผมให้เร็วที่สุด ผมมีเรื่องต้องอธิบาย”
นางกำนัลใหญ่เลิกคิวเยาะ ก่อนจะจิกสายตาสั่งให้ลูกน้องของเธอเลิกยื้อยุดชายหนุ่ม
“ค่ะ...เอาเป็นว่าดิฉันจะทูลฝ่าบาทให้ หวังว่าเราจะไม่ต้องได้พบกันอีก โชคดีนะคะ”
หล่อนวาดยิ้มบางแล้วนำนางกำนัลที่เหลือออกไป แทมินรีบลุกไปตะครุบลงกลอนประตูทันทีอย่างหวั่นประหม่า ร่างบางล้มตัวลงบนเตียงใหญ่อย่างหมดแรงจะคิดซึ่งสิ่งใด
ปัญหาที่กำลังเผชิญตอนนี้มันใหญ่เกินกว่าที่สมองเขาจะคิดหาทางออกได้แล้ว
“โดนหลอกมาตั้งแต่ต้น...สรุปว่าโดนหลอกมาตั้งแต่ต้นสินะ”
นึกย้อนไปถึงไอสัญญาภาษาอาหรับฉบับนั้น เขายอมโง่เซ็นไปได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ถ้าเป็นสัญญาซื้อขายส่งมอบอย่างที่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ว่า เขาไม่กลายเป็นทาสที่ยินยอมโดยสมบูรณ์เลยรึไงกัน
นึกอีกที...เขาโดนล่อลวงแน่ ๆ คนพวกนั้น ไอพ่อค้าหน้าหล่อนั่น
“ก็หลงไว้ใจ...ก็อุตส่าห์นึกว่าเป็นคนดี ไอ...ไอ โธ่เว้ย!”
กำปั้นเล็กทุบลงเตียงอย่างแรง ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง ทั้งหมดหนทาง ในต่างแดนที่เขาต้องอยู่ลำพังคนเดียว ทั้งภาษาทั้งคนรู้จักไม่มีเลยสักคน แม้แต่หนทางจะติดต่อใครเขาก็ทำไม่ได้ ซ้ำยังมาเจอปัญหาใหญ่ที่ไร้ทางแก้
ทุก ๆ อย่างมันทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าโลกที่ต้องยืนอยู่คนเดียวช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
สถานภาพที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ...เขาไม่มีใครเลย
น้ำตาแห่งความอ่อนแอและหวาดกลัวไหลหล่น...นี่ใช่ไหมโลกแห่งความจริงที่โหดร้าย
“ฮึก...ฮือ...”
กัดริมฝีปากแน่นเสียจนห่อเลือด น้ำตาที่ไหลรินไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าในใจลงได้เลย
เปลือกตาปิดลงเชื่องช้า แทมินระบายลมหายใจออกมาราวกับต้องการระบายความทุกใจของตนให้ออกไปด้วย ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำสั่งร่างกายให้หยุดพัก
สุดท้ายแล้วเขาก็หลับไป...ในหัวเฝ้าภาวนาให้ทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้ายที่ยาวนาน หรือขอให้ยามเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา พระเจ้าจะช่วยพาเขาให้หลุดพ้นไปจากหลุมมืดของปัญหาเหล่านี้เสียที
“ได้โปรด...ช่วยผมที”
— ♦ TBC ♦ —
TBC TALK: เหอออออ!! หืดขึ้นคอมากกว่าเสร็จยี่สิบหน้าเวิร์ดอย่างเวิ่นเว้อ ถึงเเล้ว...ในที่สุดก็ถึงวังเเล้ว(?)เเละคนสวยที่ปัจจุบันกลายไปเป็นเเหม่ม ผมเเดง(?)ของหนูรู้ความจริงเเล้วค่าาาา ♥ (เเต่ก็เเบบครึ่ง ๆ อะเนอะ) อ่าน ๆ ไปให้ความรู้สึกถึงกลิ่นเเทคีย์อ่อน ๆ ถึงเข้ม ๆ?! โหยหากันประหนึ่งเเจ็คกับโรส -_- *JH&MH: กูเป็นตัวร้ายกับพระรองป่ะ?* ตอนนี้เราจะไม่พล่ามมากเพราะง่วงมาก(?)
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนอ่านเยอะเท่าไหร่ เเต่เป็นเรื่องที่เราตั้งใจสวด ๆ ในช่วงนี้เลยนะ(?)โฮฮฮฮฮ!
เอาเถอะ...มันเป็นเเค่การเริ่มต้นเท่านั้น เหมือนเดิมคือฝากเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะคะ
#มีการเพิ่มเติ่มในเรื่องตัวละครในกระทู้ต่อไปด้วยนะคะ เป็นกระทู้เเนะนำตัวละคร *ช้าไปไหม?* คือมันจะมีมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นติดตามอัพเดทกันด้วยนะจ้ะ ♥
ขอบคุณมากค่ะ
110520
BUTTERFLY DESTIN [B.D]
ความคิดเห็น