ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SHINee] All of Shot Fiction! [By B.D]

    ลำดับตอนที่ #5 : [SF] KEIZER [JONGHYUN x KEY]

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 53


    [b]SHINEE SHOT FICTION[/b]
    [b]TITLE:[/b] KEIZER
    [b]AUTHOR:[/b] BUTTERFLY DESTIN [B.D]
    [b]COPLE:[/b] JONGKEY [JONGHYUN x KEY]
    [b]RATE:[/b] PG
    [b]WARNING:[/b] เรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นจินตนาการของผู้แต่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
    [b]NOTE:[/b] 1 ใน K-SERIES ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เรื่อง คือ KEIZERIN, [b]KEIZER[/b], KNIGHT เีรื่องนี้ออกมาเป็นลำดับสองต่อจาก KEIZERIN ในพาร์ทเเรกซึ่งเป็น TRUEMIN อ่านเเต่ตัวนี้คงจะรู้เรื่อง(?) นะคะ 55+ ถ้าใครสงสัยถามเป็นคำถามไว้ได้ค่ะ จะตอบทุกข้อข้องใจ (เพื่อความเข้าใจที่เเจ่มเเจ้ง..เเนะำนำให้ไปอ่านพาร์ท KEIZERIN ค่ะ)

    สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านพาร์ทก่อน >> KEIZERIN <<


    #โปรดมีจิตศรัทธา อย่าอ่านเเล้วอย่าเเปะไว้เฉย ๆ เลยนะคะ





     




    ในศักราชหนึ่งของราชอาณาจักรคิวรยอน บ้านเมืองเกิดวิกฤติสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มกบฏลือชื่อบุกเข้าลอบปลงพระชนม์มหารานี ซ้ำยังลักพาเอาตัวองค์รัชทายาทไปอย่างไรวี่แววที่จะพบเจอ ราชนิกุลเพียงหนึ่งเดียวจำต้องขึ้นครองราชย์แม้จะขัดกับกฎหมายที่มี เหล่าชาวเมืองสร้างความวุ่นวายเพราะระบบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทัน บรรดาสตรีทั้งหลายต่างพากันประท้วงสิทธิ์ของตนในขณะที่ชายหนุ่มทั่วแผ่นดินต่างโห่ร้องดีใจ






    แต่ใครจะไปรู้กันเหล่าว่าสถานการณ์ในวังหลวงปั่นป่วนเพียงไร?







    “ทูลองค์ชาย...กระหม่อมเป็นรักษาการณ์หัวหน้าฝ่ายกบฏกองโจร ควอน พยองซอก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”


    รอบประตูวังถูกควบคุมโดยทหารของเหล่ากองโจร ตำหนักพระจักรพรรดินีถูกเผาทำลายเสียหาย ตำหนักรัชทายาทเองก็ไม่ต่างกัน บรรดาขุนนางสาวหลายคนถูกจองจำให้อยู่ในจวนเรือน ทหารชายของราชวังถูกบีบบังคับให้ทำตามคำสั่งของกลุ่มกบฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ตำหนักของจงฮยอนเองก็ถูกล้อมกรอบไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยการปรากฏตัวของของผู้ชายที่ชื่อ ควอน พยองซอก




    “จะเอาอย่างไรก็ว่ามา”

    องค์ชายจงฮยอนในชุดทรงลำลองสีขาวพิสุทธิ์นั่งเกร็งตัวนิ่ง หยดเหงื่อไหลซึมตามง่ามนิ้วและไรผมอย่างกดดัน สิ่งที่เขากังวลนั้นไม่ใช่ราชวงศ์หรือชีวิตของตน





    ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสักสองสามสัปดาห์ก่อนหน้า เขาจะไม่รีรอเลยที่จะปลิดชีพตามบรรพชน

    .....หากทว่าในตอนนี้เขามีสิ่งที่จะต้องปกป้อง




    “ได้โปรดลงพระนามขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแล้วบริหารบ้านเมือง ปรับเปลี่ยนกฎหมาย สร้างสิทธิ์ให้ชายเช่นพวกเราเสีย แล้วท่านจะพัฒนาอะไรอย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่านจะต้องการ แต่ทางเราจะส่งขุนนางมาสอดส่องความเป็นไปสักสองสามคน ยุติธรรมดีหรือไม่พะยะค่ะ?”

    พยองซอกเอ่ยสบาย ๆ พร้อมกับยื่นเอกสารลงพระนามไปไว้เบื้องหน้า




    ปลายพู่กันตวัดไหวเป็นลายพระหัตถ์แสนงดงาม โจรหนุ่มแย้มยิ้มก่อนจะนำราชสารที่องค์ชายจงฮยอนเพิ่งได้ลงนามไปเมื่อสักครู่ขึ้นมาม้วนเก็บให้เรียบร้อย





    “ขอบพระทัยที่ทรงให้ความร่วมมือ มันอาจจะลำบากอยู่สักหน่อยสำหรับการเมืองในช่วงนี้ แต่กระหม่อมคิดว่าตัวพระองค์เองก็คงได้รับการฝึกฝนมาบ้าง”


    “.....”


    “ยังไงก็หวังว่าจะได้เห็นองค์จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์จักรพรรดินีนะพะยะค่ะ"




    ......................................................................





    เหล่ากบฏพลิกผันสถานการณ์ทุกอย่างให้เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาชั่วข้ามคืน เอกสารที่เขาลงนามไปนั้นถูกเชิญเข้าที่ประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น สตรีทั่วทั้งแผ่นดินแทบจะตราหน้าว่าเขาเป็นจอมทรราช ในขณะที่บรรดาชายหนุ่มต่างสรรเสริญเยินยอตัวเขาอย่างไม่จบไม่สิ้น




    “เราจะขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปชั่วคราวก่อน ทั้งนี้จะปรับเปลี่ยนกฎหมายบางส่วนตามที่ประชาชนได้ยื่นเงื่อนไขเข้ามา แต่งขุนนางขึ้นใหม่บางส่วนและถอดขุนนางเก่าบางส่วนให้เป็นข้าราชการบำนาญ หวังว่าทุกท่านจะรับทราบโดยทั่วกัน”


    “ไม่เถลิงราชย์ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิเสียเลยล่ะเพคะ จะได้ทำอะไรให้มันสะดวกกว่าเดิม”

    ขุนนางสตรีผู้หนึ่งเอ่ยแดกดัน ในขณะที่จงฮยอนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาสีหน้าและอปกิริยาให้สงบเสงี่ยมและใจเย็
    นอย่างที่สุด


    “ขออภัยท่านขุนนางคง กรุณาแยกกิจกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันด้วยเถิด ที่นี่คือที่ประชุม มิใช่จวนของท่าน อีกทั้งผู้ที่ท่านกำลังเอ่ยถึงอยู่นั้นเป็นผู้ที่มีศักดิ์มากกว่า ยิ่งไม่ควรหมิ่นประมาทเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าท่านจะพิจารณาความเหมาะสมทั้งมวลได้ด้วยตนเอง”

    ขุนนางชายผู้หนึ่งที่ทางกลุ่มกบฏส่งมาเอ่ยขัด ก่อนที่บรรยายกาศรอบตำหนักราชการจะเย็นเยียบลงไปมากกว่าเดิม




    "หากมีข้อสงสัยให้เขียนสารมาไถ่ถามได้ทุกเวลา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มเติม เราขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้”
        





    ระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามสร้างความกดดันมหาศาลให้กับเขาขนาดนี้เลยหรือ?





    .


    .


    .


    .


    .





    “สีหน้าไม่ดีแบบนี้ เกิดเรื่องไม่ดีสินะ”

    ร่างบางในชุดแพรสีม่วงอ่อนเอ่ยถามทันทีที่เขาย่างเท้าเข้ามาในตำหนัก หลังจากที่โดนกักบริเวณซ้ำยังไม่ได้พบหน้าจงฮยอนมาหลายวัน วันนี้เป็นวันแรกที่คิบอมได้ออกมาจากห้องนอนของตน




    ไม่อาจหลอกตนเองได้ว่าไม่คิดถึงร่างโปร่งขององค์ชายตรงหน้า




    “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาทุกข์กับข้าหรอก หลายวันมานี้เจ้าคงเบื่อ ให้ข้าเล่นพิณให้เจ้าฟังดีไหม?”

    ประกายความเหนื่อยล้าหายไปเสียสิ้นยามได้ทอดมองลูกแมวตัวเล็กของตน จงฮยอนวาดยิ้มบางให้คิบอมก่อนจะสั่งให้นางกำนัลที่ประจำอยู่หยิบพิณเข้ามาในโถงเล็กของตำหนัก


    “เเต่องค์ชาย...วันนี้หม่อมฉันนอนมาทั้งวันแล้ว ยังจะทรงกล่อมให้หม่อมฉันหลับไปอีกคราหรือ?”

    คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทั้งน่ารัก ทั้งใสซื่อยิ่งนักในสายตาของจงฮยอน






    ชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะได้พบคิบอมนั้นช่างมืดมัวและเต็มไปด้วยความเหงา.....

        
    มารดาผู้ให้กำเนิดเอาแต่สนใจน้องสาวผู้เย่อหยิ่งและจองหอง หมางเมินตัวเขาเพียงเพราะเกิดมาเป็นชาย ตำแหน่งองค์ชายที่แบกไว้ช่างไร้ค่าไร้ราคา ทั่วทั้งแผ่นดินรู้ดีว่าตัวเขาเป็นเพียงหมากที่เกินมาของราชวงศ์ ซึ่งเขาก็เลือกที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาเสมอ
       

    แต่ก็ไม่อาจทนนิ่งงันได้นาน.....
        

    ด้วยความโหดเหี่ยมไร้หัวใจของน้องสาวก็ดี หรือจะเป็นโลกในอุดมคติที่แสนจะไร้ความยุติธรรมของพระมารดาก็ดี ทำให้เขาไม่อาจทำตัวเป็นตุ๊กตาองค์ชายอีกต่อไป

        
    จงฮยอนตัดสินใจรับอุปการะกลุ่มเด็กชายจรจัดในเมือง จัดตั้งเป็นสมาคมเล็ก ๆ ขึ้นและคอยสนับสนุนด้านการเงินและการศึกษาอยู่อย่างลับ ๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้



        
    เพียงไม่นานน้องสาวผู้ชั่วร้ายของเขาก็ก่อปัญหาขึ้นมาอีกครา.....
        
    ทั้งที่ปกติก็ชอบรังแกพสกนิกรชายในแผ่นดินอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ชุนฮยังกลับทำร้ายจิตใจนักโทษโดยการจัดการแข่งขันแบบฆ่าฟันขึ้นมาอีก ทั้งเพื่อผลประโยชน์และเพื่อความภิรมย์ส่วนตัว ครั้นพอได้ยินดังนั้น จงฮยอนก็หมายมาดจะไปหักห้ามการกระทำนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกบรรดาทหารของน้องสาวกักกันไว้ไม่ให้ออกจากตำหนัก ทำได้แค่เพียงสงบนิ่งไว้อาลัย กลายเป็นเพียงตุ๊กตาองค์ชายผู้ไร้ประโยชน์อีกครา
        
        

    “โง่จริง ๆ จงฮยอน..เจ้ามันแสนโง่เสียเหลือเกิน”
        
    ทำได้แค่เพียงด่าทอตนเองเบา ๆ เท่านั้น

        





    แต่เหตุการณ์สำคัญ มักจะเกิดขึ้นในยามที่หัวใจท้อถอยบ่อย ๆ เสมอ.....


        



    ตุบ!
        
    อัก!

        

    เสียงวัตถุขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหล่นดังมาจากหลังตำหนัก ในบริเวณที่จงฮยอนยืนไว้อาลัยอยู่นั้นเป็นเฉลียงที่ยื่นออกมาใกล้สระบัว จึงได้ยินเสียงนั้นชัดเจนยิ่งนัก ด้วยความนึกฉงน องค์ชายใหญ่แห่งคิวรยอนจึงไม่รอช้า ร่างโปร่งแหวกควานพงหญ้ารกชัฏบริเวณด้านหลังสระบัว จนพบว่ามีร่างหนึ่งนอนหายใจหอบอยู่ที่ปลายเท้าตน

     
    “เจ้า...”
        
    “ได้โปรด..พาขาออกไปจากที่นี่...ได้โปรด..ช่วย..”
        

    ไม่ทันได้พูดสิ่งใด ร่างบางที่บาดเจ็บก็สลบไสลไปเสียก่อน เล่นเอาจงฮยอนตกใจเสียยกใหญ่ แขนแกร่งรีบสอดเข้าอุ้มทั้งร่างของหนุ่มน้อยนิรนามขึ้นมาแล้วพากลับเข้าไปที่ตำหนักในทันที




    .


    .


    .


    .


    .




    หลังจากที่ให้หมอประจำตนมาตรวจรักษาได้ไม่นาน ร่างบางก็ฟื้นตื่นขึ้นจากนิทรา.....
        

    “ท่าน...”
        

    “เราจงฮยอน...องค์ชายจงฮยอนแห่งคิวรยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
         
    สีหน้าของจงฮยอนนั้นช่างอ่อนโยน ราวกับต้องการปลอบประโลมทุกข์ทุกสิ่งในโลก แค่เพียงได้สบตาในคราแรก คิบอมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้สามารถพึ่งพาได้อย่างบริสุทธิ์ใจ

        
    “ข้า..เอ่อ..หม่อมฉัน ชื่อ คิม คิบอม”
        
    ร่างบางหลบตาคมแล้วเอื้อนเอ่ย หัวใจยังหวาดหวั่นและไม่ละซึ่งความระแวง ถึงแม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะดูน่าไว้ใจสักเพียงไร ประสบการณ์สอนให้เขาจดจำจนขึ้นใจเสมอว่าดวงหน้าไม่เคยส่อถึงสันดาน ดังเช่นผู้หญิงใจมารที่หลอกลวงเขาคนนั้นได้หรอก
        

    “ข้าไม่ถือตัวขนาดนั้นหรอก ไม่ต้องเกรงนะ ข้าไม่คิดร้ายต่อเจ้า”
        
    สัมผัสอ่อนโยนแตะเข้าที่กลุ่มผมนุ่ม มือใหญ่ลูบขึ้นลงอย่างทะนุถนอมราวกับตัวเขาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังบาดเจ็บหนัก

        



    ผู้ชายตรงหน้าเป็นนักบวชรึเปลานะ?

        
    ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเหนื่อยอ่อน เพราะงั้นถึงทุกอย่างจะดำเนินไปเช่นไรก็ตาม เขาเลือกที่จะละทิ้งมัน.....

        


    .....เพราะความรู้สึกบางอย่างเชื่อมั่นว่า องค์ชายผู้อ่อนโยนคนนี้จะไม่มีทางทำร้ายเขา




    ...........................................................





    วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จวบจนย่างเข้าวันที่สองแล้วที่คิบอมยังอาศัยอยู่ในตำหนักจงฮยอนในฐานะแขกพิเศษ ครั้นพอเอ่ยถามองค์ชายตัวดีว่าองค์ราชินีจะไม่สงสัยหรือก็กลับได้รับเสียงหัวเราะน้อ
    ย ๆ พร้อมคำตอบที่เจ้าตัวพร้อมไหวไหล่ประกอบอย่างไม่ใส่ใจ
        

    “ข้าก็แค่ตุ๊กตาองค์ชาย ความสำคัญหรือก็แค่แบกยศไปวัน ๆ ก็เท่านั้น คนใหญ่คนโตระดับองค์จักรพรรดินีคงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจหรอก”
        

    แม้น้ำเสียงของร่างโปร่งจะเรียบลื่นไม่มีสะดุดราวกับมันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวแสนจะเค
    ยชินกับมันก็ตาม แต่หากมองลึกเข้าไปในสายตานั้นแล้ว คิบอมกลับพบความอ้างว้างมหาศาลซุกซ่อนอยู่

        



    อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดใจตามอีกฝ่ายไปด้วย.....

        

    “องค์ชายคงจะผ่านเรื่องราวปวดร้าวมามากสินะพะยะค่ะ”

    มือใหญ่เอื้อมเข้าไปกอบกุมมือเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ

        
    “นั่นมันก็เป็นแค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว สำหรับตอนนี้ข้ามีความสุข เจ้าน่ะเป็นเหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ ของข้า ลูกแมวที่ทำให้ชีวิตของข้าพบพานความสุข พบพานรอยยิ้มที่แท้จริงของตนเองอีกครั้งนะ เจ้ารู้หรือไม่?”
        
    เสียงนั้นแหบพร่าทว่านุ่มละมุน เรียกเอาความร้อนทั้งหลายทั้งแหล่มากองสุมที่ใบหน้าของคิบอมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พวงแก้มงามสุกปลั่งด้วยสีเลือดฝาดเจือจางพร้อมทั้งกำลังจะขยายอาณาเขตเข้าไปถึงใบหูอ
    ย่างรวดเร็ว
        

    “พระองค์ทรงคิดว่าหม่อมฉันเป็นแมวจริง ๆ หรือ?”
        
    คิบอมเสตามองไปอีกด้านก่อนจะเอ่ยถามองค์ชายผู้สูงศักดิ์ จงฮยอนคลี่ยิ้มกว้างพลางเอ่ยกระซิบตอบข้อข้องใจของร่างบางเบา ๆ ที่ข้างหู
     
       
    “แมวของข้าเท่านั้นนะ”
        
    การเกี้ยวพาไม่ใช่เรื่องถนัดของจงฮยอน ทว่ายามนี้เขากลับทำได้ดี

         
    “คุยเรื่องอื่นเถิด เพราะเห็นทีหม่อมฉันจะรับมือกับพระองค์ไม่ไหว”
        
    อีกคนเหมือนรู้ดีว่าตนกำลังถูกเกี้ยว จึงรีบห้ามอีกฝ่ายไว้โดยไวเสียก่อน มิฉะนั้นเขาอาจเสียทีทั้งวาจาทั้งหัวใจ

        



    เพราะรักนั้น...หากก่อตัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว มันช่างยากเหลือเกินที่จะถอดถอน
         
    ยิ่งกับบุรุษตรงหน้าด้วยแล้ว...มันคงไม่มีวันเป็นไปได้




    .


    .


    .


    .


    .
     



    ครั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเพียงสามวัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น.....

        
    ถึงจะได้ยินมาหนาหูถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับ ‘กบฏกองโจร’ ผู้ยิ่งใหญ่ แต่คิบอมก็ไม่เคยนึกฝันเลยว่ากลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์จากหน้า
    มือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ ถึงตัวเขาจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนที่จงฮยอนจัดไว้ให้อย่างจำใจก็ตาม แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงข่าวสารทั้งหมด ผ่านนางกำนัลบ้าง ต้นห้องบ้าง ในวันที่พระตำหนักถูกโจมตี ความวุ่นวายทั้งหลายก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้

        

    แต่ก็ควร ‘แสร้ง’ ทำเป็นไม่รู้เพื่อให้องค์ชายจงฮยอนสบายใจ
        
    จนถึงตอนนี้เขาคือแมวที่ดีของจงฮยอน.....


        


    “พิณเพคะ”
          
    หลังจากที่นั่งจิบชารอมาได้สักครู่ นางกำนัลก็ยกพิณขึ้นมาวางตั้ง จงฮยอนส่งยิ้มให้พร้อมคำขอบใจ บางทีนี่อาจเป็นเล็ก ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เหล่านางกำนัลในตำหนักนี้ซื่อสัตย์ต่อเขาเสมอมา

        


    องค์ชายผู้นี้ช่างอ่อนโยน ใจดี และอารีต่อผู้อื่นเสมอ
        
        


    “จริง ๆ แล้ว..ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งหน่อย คงไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าเช่นหลายวันที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าหากเจ้าเบื่อหน่าย ก็ไปนั่งเขียนหนังสือหรือเดินเล่นที่สวนด้านหลังได้นะ”
        
    ร่างโปร่งเลื่อนพิณเข้ามาไว้ด้านหน้าตัว สบตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะเอ่ยเริ่มบทสนทนาอย่างไม่สบายใจ

        


    .....ที่จริงแล้วความไม่สบายของเขาคือการที่ต้องห่างจากคิบอมต่างหาก

        



    “หม่อมฉันมิบังอาจรบกวนเวลา อันที่จริงแค่ได้ที่พักอาศัยสุขสบายกับอาหารดี ๆ ในทุกมื้อก็เป็นพระคุณล้นพ้นแล้ว หม่อมฉัน.....”
        

    “ชี่!...”
        
    นิ้วเรียวแนบเข้าที่ริมฝีปากบางเบา ๆ ใบหน้าของร่างโปร่งห่างจากเจ้าของกลีบปากไม่ถึงคืบ ก่อนที่ฝ่ายจงฮยอนจะทิ้งรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ แล้วถอยร่นกลับไปยังที่นั่งตน

        
    “หากเจ้ามาสำนึกบุญคุณข้าแบบนี้ข้าก็เสียใจแย่ เหมือนข้าทำแล้วหวังผลเลย”
        
    ทั้งตกใจ เขินอาย และงุนงงในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกหลากหลายก่อเกิดขึ้นมาเพราะดวงหน้าคมคายตรงหน้าเขาแต่เพียงผู้เดียว

        





    ไม่ได้...จะคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่ได้นะคิบอม!
       
    จิกเล็บเข้าเนื้อตัวเองเพื่อเตือนใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดมองบุรุษสูงศักดิ์อีกครั้ง





         
    “อย่าคิดมากเลยนะ มาฟังเพลงจากข้าดีกว่า”
        
    มือใหญ่เริ่มร่ายนิ้วกรีดกรายดีดดึง เสียงสดใสและไพเราะดังขึ้นในเวลาต่อมา ปากหนาเปล่งทำนองคำร้องเสนาะขึ้นควบคู่กันไป ในขณะที่ผู้ฟังนั่งสดับนิ่ง หลับตาพริ้ม

        




    .....ถ้อยความหมายของบทเพลงที่แสนหวานกำลังซึมซับเข้าสู่หัวใจ



        


    ‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
       
    เสียงนั้นดังก้องในส่วนลึกแทบจะทุกวินาที

        


    จะทำเช่นใดต่อ?...จะห้ามตัวเองได้อย่างไรกัน?





    .


    .


    .


    .


    .





    “ตามหาแทคยอนเจอหรือไม่?”
         
    ผู้สำเร็จราชการหนุ่มคนปัจจุบันแห่งคิวรยอน องค์ชายจงฮยอน เอ่ยถามสายสืบของราชวงศ์อย่างร้อนรน ในหัวใจคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากได้เบาะแสของสุดยอดองครักษ์อย่างแทคยอนความหวังที่เขาจะตามหาชุนฮยังเจออาจจะพอมีขึ้นมาบ้าง

        


    [i]ทว่า.....[/i]
         

    “มีชาวบ้านรายงานว่าพบบุคคลลักษณะเช่นท่านราชองครักษ์ แต่ก็ค้นหาแหล่งที่อยู่ไม้ได้พะยะค่ะ”




    หลังจากที่ได้พบบันทึกจากลายพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดินีเล่มหนึ่ง ความจริงเกี่ยวกับความลับสุดยอดของรัชทายาทในราชวงศ์ก็กระจ่าง

        


    แท้จริงแล้วน้องสาวของเขาเป็น ‘น้องชาย’ ที่ถูกพระมารดากดดันให้สืบทอดบัลลังก์ตลอดมา
        



    ทั้งพฤติกรรมก้าวร้าว ทั้งการกระทำชั่วร้าย ล้วนเป็นผลพวงมาจากการตบตาของจิตใจที่อ่อนแออย่างที่สุดก็เท่านั้น ชุนฮยังหรือแทมินที่เป็นชื่อจริงไม่ได้ต้องการจะทำมันจากส่วนลึกเลยสักนิด

        


    คิดแล้วก็รู้สึกสมเพชในความไร้ค่าของตนเอง.....


     
       

    จงฮยอนเอาแต่โอนอ่อนไปตามสิ่งที่พระมารดาต้องการ จงฮยอนที่อ่อนแอและขี้ขลาด จงฮยอนที่นอกจากจะไม่ฉลาดแล้วยังไร้ประโยชน์

        

    .....เขาปล่อยให้น้องชายลำบากโดยที่ไม่เคยได้รับรู้สิ่งใดเลย

        


    “ขอโทษนะ”
         

    คิบอมยืนแอบมองภาพนั้นอยู่เพียงลำพัง ตัวเขาออกมาเดินเล่นนอกตำหนักได้สักพักใหญ่แล้วจึงรู้สึกอยากพักผ่อน แต่ก็ไม่นึกว่าพอกลับเข้ามาในตำหนักจะได้พบเหตุการณ์แบบนี้

        


    เขารู้แค่เรื่องขององครักษ์แทคยอน กับได้ยินเพียงคำขอโทษเบา ๆ ของจงอยอนแต่เพียงเท่านั้น

        
    แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...สองมือของคิบอมถึงอยากกอดปลอบแผ่นหลังแกร่งนั้นแน่น ๆ สักครั้ง





    .


    .


    .


    .


    .





    ริมสระบัวหลังตำหนักองค์ชายมักจะเป็นสถานที่พักผ่อนที่ยอดเยี่ยมสำหรับคิบอมเสมอ ตัวเฉลียงที่ยื่นออกไปเป็นท่าน้ำนั้นเป็นที่นั่งประจำของร่างบางมาตลอดเวลาที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งอากาศที่พัดผ่านเย็นสบายหรือจะเป็นร่มไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ไม่ไกล ต่างช่วยสงเสริมให้จิตใจสงบ



         
    เสียงพิณลอยวนเข้ามาในโสตประสาท...ขับขาน...ร้องก้อง




        
    “ไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าหม่อมฉันเป็นใคร มาจากไหน?”
        

    “จะต้องสงสัยในสิ่งที่ไม่จำเป็นไปทำไมเล่า?”
         
    ประโยคคำถามของคิบอมถูกตอกกลับอย่างรวดเร็วในแบบที่เขาเองก็ยังคาดไม่ถึง

         
    “หากหม่อมฉันเป็นนักฆ่าที่ต้องการชีวิตพระองค์ล่ะ?”
        

    “ข้าจะยิ้มให้ตราบจนวาระสุดท้ายที่เจ้าปลิดชีพ”
        
    ร่างบางหันกลับมาจ้องมองเจ้าของคำตอบอย่างไม่สบายใจในทันที เขาไม่ชอบให้อีกฝ่ายพูดอะไรไม่เสียดายชีวิตแบบนั้นเลย

        
    “.....”
         

    “อย่างไรเสีย...เจ้าก็แค่สมมติมิใช่หรือ?”
        
    ข้างในไหววูบ ก่อนรอยยิ้มของร่างโปร่งจะบดบังเมฆหมอกในหัวใจออกไปเสียสิ้น จงฮยอนเคลื่อนตัวเข้ามาประชิด ฉุดร่างของคิบอมขึ้นยืนเหยียดตรงก่อนนำไปทางพิณอีกตัวที่เขาสั่งในนางกำนัลจัดเตรียมไว้

       

     
    พิณไม้สักสลักเสลาลวดลายงดงามวิจิตร ตัวเครื่องดนตรีถูกขัดถูจนขึ้นเป็นเงาเงาวาบวับราวกับต้องการจะเชื้อเชิญให้นักดนตรี
    ชั้นสูงให้เข้าไปสัมผัส แต่ ณ ที่นี้มีเพียงคนเดียวที่จะได้เป็นเจ้าของ

          


    “มันเป็นของเจ้า”
        
    จงฮยอนผายมือไปทางพิณตัวงามก่อนจะกระซิบบอกว่าที่เจ้าของของมันเบา ๆ

         
    “แต่หม่อมฉันเล่นมันไม่เป็น...”
        

    “มันไม่ใช่ปัญหาหรอก”
        
    นิ้วเรียวแตะเข้าที่สายพิณเบา ๆ เกิดเสียงแหลม ๆ สะท้อนดังขึ้น แล้วก็เงียบไป

         
    “ทำไมต้องทรงเอาใจหม่อมฉันมากมายขนาดนี้ด้วย?”
        
    หัวใจของเขาเต้นแรง เหมือนภายในจะรับรู้ได้ถึงคำตอบ แต่อีกด้านก็ยังหวาดกลัว




         


    มากไปแล้ว.....
        
    ผู้ชายตรงหน้ามอบความสุขให้เขามากไปแล้ว






    “ไม่รู้จริง ๆ นะหรือ? เหตุผลของหัวใจข้า...”
        
    มือหนาเลื่อนเข้าไปกอบกุมมือเล็ก ตาคมทอดมองลึกซึ้งราวกับจะสื่อความรู้สึกทั้งหมดผ่านม่านตาของตนไปให้อีกฝ่ายอย่างไม
    ่ปิดบัง


         



    ‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
        
    ‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
        
    ‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
        

    เงาดำในความคิดเอ่ยเตือนสติ




         

    “มะ...หม่อมฉันขอประทานอภัย”
        
    คิบอมหลบสายตาพลางชักมือของตนกลับ สองขาพาร่างของตนก้าวไวกลับเข้าไปในตัวตำหนักอย่างสับสน

        



    หัวใจสั่นไหวอย่างน่ากลัว.....
        
    อย่าได้ใช่ความรักเลย...ได้โปรด

        



    จงฮยอนทอดมองพิณที่ตนตั้งใจมอบให้คิบอมอย่างเศร้าสร้อย

         
    “บางที...ข้าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเลือกสินะ”

        


    เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว เจ้าต้องรีบตัดสินใจนะ...คิบอม
        
    .....อย่าให้ข้าต้องตัดสินใจเอง





    ..........................................................................





        
    ครั้นวันเวลาผ่านไปได้ไม่นาน เมื่อฤดูใบไม้ผลิเวียนกลับมาเยือนคิวรยอนอีกครา ทั้งบรรดาพืชผลและพันธุ์ไม้ต่างเจริญงอกงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดก็ช่วงฤดูนี้ ประชาชนที่เริ่มกินอยู่สุขสบายขึ้นเริ่มคุ้นชินกับกฎความทัดเทียมที่ถูกบัญญัติขึ้นหลังมหากบฏกองโจรล้มล้างระบอบจักรพรรดินี ความสงบสุขในหมู่พสกนิกรหญิงชายหวนกลับมาสู่แผ่นดิน  
        

    ถึงแม้จะยังไม่มีใครพบตัวองค์รัชทายาทผู้สูญหาย คนส่วนใหญ่ก็พอใจกับการปกครองของผู้สำเร็จราชการอย่างองค์ชายจงฮยอนเป็นอย่างมาก
         
         


    ตัวจงฮยอนยังคงปฏิบัติกับคิบอมเช่นเดิมเสมอต้นเสมอปลาย แม้อาจมีหลายครั้งที่ต้องพานพบสถานการณ์อึกอัก แต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้

        

    แม้จะแค่เป็นวัน ๆ ไปก็ตาม.....

        

    ระยะนี้เขามักถูกปองร้ายบ่อยอย่างไร้สาเหตุ พอนำเรื่องเข้าไปปรึกษาที่ประชุม เหล่าขุนนางหลายรายก็เสนอประเด็นในเรื่องการปกครองแบบเลือกเฟ้นผู้แทนเพื่อความทัดเทียมขึ้นมาเป็นข้อสงสัยอันดับแรก
         

    คิวรยอนที่วุ่นวายหลังผ่านการกบฏครั้งใหญ่ไปได้ทำให้ประชาชนมีความคิดที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น พวกเขาใฝ่ศึกษาและคนบางกลุ่มเล็งเห็นว่าความทัดเทียมต้องเกิดขึ้นจากทุกชนชั้น ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นการก่อกำเนิดชุมนุมกลุ่มผู้นำประชาชน อันมุ่งหวังเรียกร้องสิทธิ์ให้ราชวงศ์ปลดอำนาจลงเพื่อความเท่าเทียมของทุกคนในแผ่นดิน

        


    เคราะห์ดันมาตกอยู่ที่การตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการอย่างองค์ชายจงฮยอน.....
        
        

    แน่นอนว่าศักดิ์ศรีราชวงศ์เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ อีกทั้งถ้าหากปล่อยดุลอำนาจให้ประชาชนไปในยามนี้ก็ดีแต่จะเป็นอันตราย กลุ่มชุมนุมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะดูแลแผ่นดิน ซ้ำร้ายเขาก็ยังตามหาชุนฮยังไม่พบ

        


    เหนื่อย.....
        
    .....ตอนนี้จงฮยอนรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน

        


    คิบอม...บางทีมันอาจถึงเวลาแล้ว





    .............................................................................



     
       
    “มันเป็นหนทางเดียว คิม คิบอม...”
        
    แสงไฟจากตะเกียงเล็กสว่างโชติช่วงในความมืดมิดยามค่ำคืน สองขาเร่งฝีเท้าให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องบรรทมขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ มือเล็กเปิดประตูพลางแทรกตัวผ่านเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ร่างบางสดับฟังเสียงลมหายใจแสนแผ่วเบาของเป้าหมายอย่างมีสมาธิ ทั้งหู ตา ประสาทตื่นตัว พร้อมลงมือ

        



    กึก!
        
    ฝีเท้าก้าวเข้าไปหยุดที่หน้าแท่นบรรทม ก่อนมือขวาจะหยิบมีดเงินขึ้นมากระชับเอาไว้มั่น.....

        




    .....คิบอมเงื้อมันขึ้นสุดแขน





    .


    .


    .


    .


    .
        




    “.....”
        

    “ฮึก...”
         
        



    ทำไม่ได้...เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาไม่อาจจำได้ แต่ที่รู้ดีอยู่แก่ใจคือเขาไม่อาจลงมือได้

        


    มีดพกเล่มงามถูกสอดเก็บกลับไปไว้ในสาบเสื้อ หยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากแก้วตาคู่สวยอย่างเงียบเชียบ ยิ่งเวลาเหลือน้อย เขายิ่งต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ฉะนั้นคิบอมจึงต้องจัดการลงมือในทุก ๆ คืน

         


    เพื่อเพียงหวังว่าจะตัดใจทำได้ในคืนสุดท้าย.....
        
    แต่บางทีมันอาจจะยิ่งทำให้หัวใจของเขารู้สึกย่ำแย่ลงไปทุกทีก็เป็นได้              

        


    แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่ล้นเอ่อเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจหันหลังกลับไปตั้งหลักที่ห้องนอนของตนเฉกเช่นทุกคืนที่ผ่านมา

        




    ทว่า.....

         


    หมับ! กึก!

        

    “อย่าเพิ่งไปสิ”
        

    “อ๊ะ!”
         
    แขนบางถูกฉุดไว้จากทางด้านหลังโดยร่างโปร่งสง่าของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเขามากที่สุดในขณะนี้
         
        


    “อะ...องค์ชายจงฮยอน”
         
    องค์ชายผู้สูงศักดิ์กำข้อมือของเขาแน่น ใบหน้าคมสันเรียบเฉย นัยน์ตาสุกใสนั้นแสนเย็นชา วินาทีนั้นคิบอมแทบไม่กล้าที่จะหายใจ

        




    ยิ่งกว่าขโมยที่ถูกจับได้...อึดอัด...ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ออกแรงทำร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย

        



    “ทำไมถึงไม่ลงมือเสียล่ะ”
        
    คำถามนั้นเหมือนคมมีด น้ำเสียงที่เคยเจือความอ่อนโยนไว้เสมอหายไป

        


    จงฮยอนจ้องลึกแล้ววาดยิ้ม.....


        

    “ตกใจสินะ...ตอนนี้กลัวข้ารึเปล่า?”
        
    ในยามที่สรรพเสียงรอบข้างเงียบสงบ ค่ำคืนมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟสาดส่องออกมาจากตะเกียงดวงเล็ก ร่างทั้งสองร่างกลับมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตายิ่งนัก ฉับพลันเดียวที่คิบอมกำลังสั่น แขนแกร่งของจงฮยอนก็ตวัดร่างบางทั้งร่างเข้ามาในอ้อมอก

        

    “บอกข้าได้ไหม? เหตุผลของเจ้าน่ะ”
        
    น้ำเสียงนั้นปรานีที่สุด อ่อนโยนที่สุด

        


    .....น้ำเสียงที่มีแต่องค์ชายจงฮยอนเท่านั้นที่เรียกเขา

        


    “.....”
        

    “ฮึก...”
         
    สองแขนบางสอดรับกอดของชายผู้เป็นที่รัก ก่อนดวงตาคู่สวยจะปลดปล่อยน้ำตาของตนให้ไหลริน

        




    ทำไมได้...ทำร้ายเขาไม่ได้
        
    แต่จะให้พูดออกไปก็ทำไม่ได้เช่นกัน

        
    ณ วินาทีนี้...เขาอยากจะตาย ๆ ไปเสียเหลือเกิน



        

    “จำได้ไหม? ที่องค์ชายเคยบอกมาเสมอว่าหม่อมฉันน่ะเป็นลูกแมวของพระองค์”
        
    ร่างบางกลั้นเสียงสะอื้นของตนอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่น้ำตายังคงรินไหล คิบอมสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยถามจงฮยอนออกมาอย่างยากเย็น

        

    ในอ้อมกอดที่แนบแน่นยิ่งขึ้น จงฮยอนพยักหน้าเบา ๆ        

        

    “จริง ๆ แล้วหม่อมฉันมันก็แค่จิ้งจอกจอมกลับกลอก คำหวานที่มอบให้พระองค์เป็นเพียงคำหลอกลวง องค์ชายเข้าใจใช่ไหม?”

    แขนแกร่งคลายอ้อมกอดออก นิ้วเรียวปาดเบา ๆ ที่ขอบตาสวย

        
    “แล้วเหตุใดเจ้าจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ต้องยืนร้องไห้เสียใจอยู่ทุกคืนวันด้วยเล่า? บอกข้าได้หรือไม่?”

    ฝ่ายจิ้งจอกนิ่งอึ้ง...คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงการกระทำของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้

        


    “ทำไมถึง...”
        

    “เจ้าเองก็ไม่ตอบคำถามข้า...งั้นข้าก็ไม่ตอบบ้างดีไหม?”
        
    ยิ้มละมุนแล้วเกลี่ยนิ้วเบา ๆ ที่แก้มนิ่ม

        




    แต่ยิ่งคิบอมจ้องลึกลงไปมากเท่าใด.....
        
    .....เขายิ่งพบความเศร้าโศกภายในดวงตาคู่นั้นเพิ่มขึ้น

        


    ผู้ชายตรงหน้าเหมือนจะเปิดเผย...แต่กลับลึกลับซับซ้อนเสียยิ่งกว่าใคร
        
    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...ความอ่อนโยนที่เข้าสัมผัสได้นั้นเป็นของจริง

        



    “เเต่หม่อมฉัน...หม่อมฉันน่ะ...ต้องฆ่าองค์ชาย”
        
    เสียงเล็กสั่นเครือ คิบอมหลบตา หัวใจเจ็บปวดทุกคราเมื่อต้องคิดถึงหน้าที่ของตน

        


    “ข้าให้สิทธิ์เจ้าเลือก...ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาคือตัวประกัน”
        
        


    “แต่เจ้าไม่อยากฆ่าข้าใช่ไหม?”
        

    “องค์ชายรู้...”
        

    “คิดว่าข้าเป็นใครกัน...หืม?”
        
    รอยยิ้มของจงฮยอนยังฉายชัด จนคิบอมรู้สึกใจสั่น

        



    คิดอะไรอยู่?
        
    พระองค์คิดสิ่งใดอยู่?

        


    “มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่มองไม่เห็นจิตใจข้า”

        







    ปัง!!!
        
    ไม่ทันได้พูดสิ่งใดต่อ ประตูไม้ลายสวยก็ถูกพังครืน พร้อมกับชายในชุดทหารพรางมากมายกรูเข้ารายล้อมองค์ชายจงฮยอนและคิบอม บุรุษเหล่านั้นต่างมีทั้งดาบและธนูเตรียมง้างในมือ

        




    “อย่าได้ริอาจเคลื่อนไหว!”

    คิบอมเบิกตาตื่นอย่างตกใจ ร่างบางสะดุ้ง ก่อนโดนองค์จงฮยอนรวบเอวเข้ามากอดไว้แนบอกอีกครั้ง ร่างโปร่งกระซิบเสียงเบาเป็นเชิงให้ไว้ใจเขา

        



    สายเลือดสีน้ำเงินฉายชัด...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงฮยอนก็ยังมีความใจเย็น รอบคอบ และเย่อหยิ่งเยี่ยงขัตติยราชอยู่เสมอ

        


    “คงไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ได้พบเหตุการณ์เหล่านี้กระมังพะยะค่ะ”
        
    เสียงแหบทุ้มดังขึ้นพร้อมร่างชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง ใบหน้าที่คมสันนั้นส่อแววเจ้าเล่ห์เพทุบายอยู่ไม่น้อย วาจาที่ใช้พูดก็จงใจแดกดันคนฟังเสียเต็มประดา
        

    “เพราะฉะนั้นข้าถึงได้เตรียมการทุกอย่างรอต้อนรับพวกเจ้าไว้อยู่แล้วยังไงล่ะ”
        
    จงฮยอนโต้ตอบอย่างสงบนิ่ง ครั้นพอเสียง ‘พรึบ!’ ดังขึ้น บรรดาทหารหาญในชุดราชองครักษ์กว่าครึ่งร้อยก็เข้ารายล้อมกลุ่มชายชุดทหารพรางไว้อีกชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว


        
    คิบอมมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ในหัวประมวลผลได้ทันทีว่าผู้ชายตรงหน้ายังมีอีกหลายด้านที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ พอเผลอมองเสี้ยวหน้าของร่างโปร่งก็ยิ่งพบรัศมีอำนาจที่แพร่กระจายออกมาอย่างไม่ปิดบัง

        

    “บัดซบ! เจ้านี่มัน...”
     
    ชายคนเดิมหลุดสบถอย่างคับแค้นในขณะที่จงฮยอนเริ่มเปิดบทสนทนาอย่างใจเย็น

         
    “เจ้าคงเป็นหัวหน้ากลุ่มประชาชนที่เชื่อมั่นในทฤษฎีความทัดเทียมของอาณาจักรสินะ”
        

    “ไม่เคยคิดบ้างหรือว่า อำนาจทุกอย่างที่ราชวงศ์มีล้วนมาจากประชาชน ฉะนั้นแท้จริงแล้วอำนาจควรจะมาจากประชาชนและควรถูกปกครองโดยประชาชนไม่ใช่หรือ? รู้บ้างหรือไม่ว่าทุกวันนี้พวกเราต้องทนทุกข์หวาดระแวงกับทิศทางการปกครองของราชวงศ์ ประชาชนไม่ใช่ของเล่นของพวกเจ้า เพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์ ความรู้สูงส่งเยี่ยงองค์ชายคงรู้ได้ถึงความหมายของสิ่งข้าพูดบ้างสินะ”
        
    เขาร่ายยาวมากมายจากความรู้สึกในส่วนลึกและจงฮยอนเองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี มือหนากำแพรผ้าของคิบอมแน่นเพียงชั่วครู่ องค์ชายผู้สูงศักดิ์มอบยิ้มปรานีให้อีกฝ่ายแล้วเอื้อนเอ่ย
        

    “แผ่นนี้ไม่ใช่ของข้าและตัวข้าไม่อาจทำนายอนาคตข้างหน้าได้...แต่ที่ข้ามั่นใจที่สุดในตอนนี้มีเพียงเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ทุกคนมีความสุขก็เท่านั้น นอกจากนั้นข้าไม่มีสิ่งใดที่ปรารถนาอีก”
        
    ชายฉกรรจ์ยิ้มเย้ย.....

        


    “หากท่านมุ่งหวังเช่นนั้น ก็มอบแผ่นดินคืนมาให้ประชาชนเสียสิ!”




    .


    .


    .


    .


    .



        
    มีเพียงความเงียบเข้าปกคลุมรอบพระตำหนัก บรรยากาศในยามนี้แสนหนักอึ้งชวนให้หายใจไม่ออก ใบหน้าของจงฮยอนเฉยชา สงบนิ่งดุจสายน้ำในฤดูหนาว

        


    “เงื่อนไขคือ...ชีวิตข้าสินะ”
        
    ครั้นได้ยินคำพูดนั้น คิบอมถึงกับขยุ้มชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่น

        


    “ไม่! ไม่นะ...มันไม่ใช่ทางออก...”
        
    ร่างบางเอ่ยค้านเสียงดังอย่างลืมตัว

        



    ณ เวลานี้...แค่เพียงคิดว่าจงฮยอนจะต้องตาย เขาก็ทนไม่ได้เสียแล้ว

        



    คำตอบของคำถามที่เขาเอ่ยถามตัวเองมาหลายวัน...คิบอมได้พบมันแล้ว
        
    “...ในวันสุดท้าย จะฆ่าเขาได้หรือไม่?...”
        


    ไม่มีวัน...เขาไม่มีวันฆ่าได้

        



    เพราะ.....
        
    .....คิบอมไม่อาจฆ่าหัวใจของตนเองได้



        




    “ไอผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครกัน?”
        
    ในช่วงจังหวะที่หลายฝ่ายต่างฉงนสงสัยในตัวของคิบอม ร่างบางผลักจงฮยอนออกจากตัวก่อนจะพุ่งเข้าหาผู้ชายคนเมื่อครู่ตามสัญชาตญาณ ตาเรียวเฉียบคม มีดพกถูกชักขึ้นมาอีกครั้งพร้อมด้วยรังสีฆ่าฟันที่เต็มเปี่ยม

        



    ‘เมื่อต้องปกป้องสิ่งสำคัญ...มนุษย์สามารถกลายเป็นสัตว์ป่าแสนดุร้ายได้เสมอ’

        

    .....ไม่ว่าใครหน้าไหนเขาก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมาได้

        



    เหล่าทหารต่างตื่นตระหนกในการกระทำของบุรุษร่างเล็กตรงหน้า ทั้งตกใจทั้งเงอะงะ ไม่สามารถลงมือทำสิ่งใดได้เพราะจงฮยอนไม่ได้สั่งไว้ เดิมทีก็แค่ถูกสั่งให้ดักทางพวกกบฏแล้วเจรจาอย่างสันติเฉย ๆ แต่เหตุการณ์ตอนนี้มันนอกเหนือกว่าที่ได้ถูกคำนวณเอาไว้

        


    “เก็บมันก่อนแล้วไปจับตัวองค์ชาย เร็วเข้า!”
        
    จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เข้าฟาดฟันกลุ่มกบฏตรงหน้าอย่างไร้สติ หยดเลือดมากมายสาดกระเซ็น ไม่มีใครพิชิตเขาได้ ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้

        





    นอกเสียจาก.....

        







    ฉึก!!

        



    “อึก...”
        
    เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ สรรพสิ่งรอบตัวเคลื่อนที่ไปเช่นไรคิบอมไม่อาจรับรู้ได้

        






    .....แต่ที่แจ่มชัดในโสตประสาทคือภาพของจงฮยอนพุ่งเข้ามาหามีดของเขา...ร่างโปร่งที่ถูกแทงทะลุ...โดยมีดเงินในมือของเขาเอง

        





    ยิ่งกว่าเลวร้าย.....
        

    ยิ่งกว่าถูกทรมานปางตาย.....
        

    มันคือความหวาดกลัวมาตลอดของ คิม คิบอม


        



    “จับ...พวกกบฏ...เอาไปคุมขังไว้ก่อน”
        
    น้ำเสียงของเขาขาดตอน แต่ยังชัดเจน เหล่าบรรดาทหารองครักษ์รีบปฏิบัติงานตามบัญชาอย่างรวดเร็ว เหล่ากบฏถูกเข้าจับกุมแล้วหามออกไป จงฮยอนยกมือห้ามทหารบางคนที่พยายามเข้ามาจับคิบอม เพียงไม่นานห้องทั้งห้องก็มีเพียงองค์ชายจงฮยอนกับ คิม คิบอม อีกครั้ง

        


    .....เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างพลันสลายไป

        
     
    ตากลมเบิกค้าง มือบางยังจับมั่นที่ด้ามมีด ไม่กล้าแม้จะไหวกาย

        



    “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ...ทุกอย่างล้วนเป็นความเห็นแก่ตัวของข้า”
        
    สองมือหนาประคองทาบที่แก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน เเต่ก็ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ สายธารอุ่น ๆ ก็ไหลรินจากแก้วตาของร่างบางอีกครา จงฮยอนใช้นิ้วโป้งของตนปาดเกลี่ยเบา ๆ ก่อนจะโน้มคอลงไปจูบซับที่เปลือกตา

        


    จูบนั้นนุ่มละมุ่น...เสียจนอีกฝ่ายอยากจะให้นี่เป็นเพียงฝัน

        



    “อย่า..ขยับนะ...”
        

    “เป็นไปไม่ได้หรอกคิบอม...ข้าเล็งไว้แล้วน่ะ”
        
    หวาดกลัวว่าจะรักษาไม่ได้ แต่ความหวังก็ถูกทำลายลงพร้อมกันกับรอยยิ้มแสนเศร้าของร่างโปร่งตรงหน้า

        
    “ฮึก...ทำไมต้องทำแบบนี้...ทำไมล่ะ?”
        
    มือขวากำผ้าที่ไหล่ของจงฮยอนแน่นอย่างเจ็บปวด

        



    ตาคมพร่าเลือน ขาเเกร่งโงนเงน
        



    “เจ้าเคยบอก..ว่าชอบฟังเพลง...ของข้า”

        
    “..แต่ที่นี่...ไม่มี..พิณ...เสียด้วยสิ...”
        
    เลือดสีสดไหลอาบแพรสีครีมเสียจนชุ่ม บางส่วนแห้งกรังติดผ้าไปบ้างแล้ว ทั้งหมดนั้นคิบอมรู้ดี สัมผัสได้ แต่มิอาจห้ามสิ่งใดได้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพยายามฝืนยิ้มให้มากเท่าไหร่ หัวใจของยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเป็นทวีคูณ

        



    “...พอเถอะนะ..อย่าพยายามฝืนยิ้มอีกเลย”
     
        



    ถึงจะถูกห้าม แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มต่อไป.....

       


    “เรียก...จงฮยอนสิ”
        
    หัวทุยซบเข้าที่ไหล่บางพร้อมเสียงกระซิบแผ่ว ร่างโปร่งทิ้งน้ำหนักลงเล็กน้อย ทั้งตัวสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด

        


    “จงฮยอน...จงฮยอน..ได้ยินรึเปล่า..ได้ยินใช่ไหม?”
        
    คิบอมลนลาน เขาหวาดกลัวว่าจะมีวินาทีใดวินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายหมดลม น้ำตายังคงไหลลงเป็นสายไม่หยุดหย่อน ตาสวยแดงช้ำ แต่ก็ยังเอื้อนเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างเข้มแข็ง

        






    “ทั้งหมด...เพราะรัก...ขอโทษ..นะ”
        
    จงฮยอนทรุดลงนิ่ง ทุกโสตประสาทหยุดเคลื่อนไหว ลมหายใจขาดหาย

        





    .....พร้อมกันกับหัวใจของคิบอมที่แน่นิ่ง

        





    “จงฮยอน..จงฮยอนอ่า...”
        

    “ถึงจะไม่มีพิณ..ข้าฟังแต่เสียงท่านก็ได้นะ”
        

    “.....”
        

    “ใจร้ายจริง...จงฮยอน”
        

    “ฮึก...ทำไมไม่รอฟังกันบ้าง...”
        
        



    มือนิ่มลูบเข้าที่แก้มเย็นชืด หยดน้ำตาร่วงหล่น.....
        


    “...คิบอมเอง..ก็รักจงฮยอนเหมือนกันนะ”





    ...............................................................................

        




    “ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
        
    “ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
        
    “ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”

        

    เมื่อคราหนึ่งทั้งแผ่นดินถูกย้อมด้วยสีดำขาว เหล่าราษฎรต่างร่ำไห้ให้กับสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้าย ทั้งขุนนางและบรรดาทหารรับราชโองการสุดท้ายขององค์ชายมาถือไว้มั่น ก่อนจะเปิดอ่านมันต่อหน้าสาธารณชนด้วยจิตใจที่หมองเศร้า เนื้อความในผ้าดิบขาวต่างพรรณนาไว้ซึ่งเจตจำนงที่มีแต่จะให้ประชาชนเข้าใจในเหตุผลและธำรงประเทศให้เป็นสุขต่อไปด้วยอำนาจแห่งประชาชน

        


    หนึ่งในผู้คนมากมายที่ยืนมองควันเพลิงพวยพุ่งอยู่ที่หน้าประตู่ราชวังนั้น มีบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสุดทีรักของจอมจักรพรรดิอยู่

        

    “.....”
        
    ถึงจะไม่เคยสถาปนาตน แต่บุคคลผู้นั้นได้กลายเป็นจักรพรรดิในใจทุกคนไปแล้ว




    .


    .


    .


    .


    .

        



    ในวันที่เขาได้รับอิสรภาพลวง ๆ จากองค์รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์ เขาไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือสุดยอดองครักษ์อย่าง อก แทคยอน และในยามที่ตัวเองได้กลายไปเป็นหมาจนตรอก ข้อเสนอที่แสนเหี่ยมโหดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

        

    “ถ้าเจ้าฆ่าองค์ชายจงฮยอนได้ ข้าจะปล่อยเจ้ากับครอบครัวของเจ้าไป”

        
        
    แค่หลับตานึกสภาพความน่าสมเพชของตัวเองในตอนนั้นก็รู้สึกอยากตายไปให้รู้แล้วรู้รอด

        


    นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับความรักและความทุกข์
        
    .....มันเป็นชะตากรรมของเขาใช่ไหม?



         



    คิบอมกำกระดาษบางสีขาวในมือแน่น.....



        
    ข้ามีหน้าปกป้องเจ้าจากความทุกข์ทั้งมวล บัดนี้ข้าได้คลายทุกข์ของเจ้าแล้ว จากนี้ไปจงยืนหยัดด้วยชีวิตที่ข้า
    มอบให้ หัวใจเจ้าข้าขอลักพา ตอบแทนหัวใจข้าที่เจ้าลักพาไป

                                


    จงปกป้องสิ่งที่เจ้าต้องปกป้อง
    บุรุษผู้เป็นที่รักของเจ้า

        

        



    “ไม่เคยรู้เลยสินะ...ว่าการเสียท่านเองก็เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าเช่นกัน”





    END





    TALK: เป็นฟิคที่หลอกลวงมาก..เน่ามาก..ดราม่ามาก..จนคนเเต่งยังเเอบผะอืดผะอมเล็ก ๆ
    เหมือนเดิมในเรื่องของราชาศััพท์ ไม่มีการเน้นมาก ใช้ให้พอดูเป็นอาณาจักรโบราณก็พอ หวังว่าก็พอจะเข้าใจกันเนอะ
    ในตอนที่เเต่งเรื่องนี้สารภาพนิดนึงคือว่าพลอตไว้สองทาง คือให้จงฮยอนตายกับให้ีคีย์ตาย มันจะพลิกไปได้ตามอารมณ์ในทันทีสุดท้ายก็นะ...ด้วยความที่เรามันเอฟซีจงฮยอนไง เลยเสนอให้ กร๊ากกกกก! (ลำเอียงก็บอก...นิสัย!) จริง ๆ เรื่องนี้เเต่งให้่จงฮยอนเป็นคนดีมากเลยนะ ดีกว่าทุกเรื่อง เเถมเป็นตั้งองค์ชาย *ยิ้มเเหย่* เเถมฉลาด..เเละโง่เเละบ้าบิ่นนิด ๆ อิมเมจผู้ชายในฝันฉันเลยนะ เเบบยิ้มเเล้วโลกลืมเนี่ย~ *0*/ (เป็นอะำไรมากกับจงฮยอนจริง ๆ) มาถึงน้องคีย์ที่เป็นเเมวของจงฮยอนกันบ้าง น้องน่ารักนะ เเ่ต่งไปเเล้วเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ๆ จริง ๆ อะ (ไหว้ล่ะเเม่ยกน้อง เรารักเราเอ็นดูนะคะ) เเละเเน่นอนว่ามันต้องมีสัญชาตญาณดิบกันบ้าง สงสารน้องนะ เเต่มาหามายด์เถอะค่ะ มายด์คือคู่เเท้ของน้องในเรื่องนี้ กร๊ากกกก! (ออกทะเล) จริง ๆ ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลที่เเตกต่างนะ เเต่ไม่ได้เลวไปทุกคนค่ะ มายด์มันมนุษย์กำกวม 555+ เรื่องนี้เเอบเสียดสีทัศนคติทางการปกครองนิด ๆ พอดีว่าสนใจเเนว ๆ นี้บ้างเลยอิน ก๊ากกกก~!

    #รู้สึกว่าน่าจะเเ่ต่งได้ดีกว่านี้ (เเต่เรื่องนี้ยาวเวอร์ 30 หน้า A4 คุณพระ!)
    ##ดราม่ามั้ย? =___=;; ตอนฮยอนจะสิ้นใจเเอบผะอืดผะอม...จะทำไงให้คนอื่นเศร้า? (ในเมื่อเราไม่เศร้าอะเหวยย~!) 
    ###ถ้าติดตามมาตั้งเเต่ KEIZERIN ก็ขอบคุณที่ยังให้ความสนใจซีรีย์บ้า ๆ นี้นะคะ


    ขอบคุณอย่างเเรงอะโว๊ะ!

    101112
    BUTTERFLY DESTIN
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×