ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [SF] KEIZER [JONGHYUN x KEY]
[b]SHINEE SHOT FICTION[/b]
[b]TITLE:[/b] KEIZER
[b]AUTHOR:[/b] BUTTERFLY DESTIN [B.D]
[b]COPLE:[/b] JONGKEY [JONGHYUN x KEY]
[b]RATE:[/b] PG
[b]WARNING:[/b] เรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นจินตนาการของผู้แต่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
[b]NOTE:[/b] 1 ใน K-SERIES ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เรื่อง คือ KEIZERIN, [b]KEIZER[/b], KNIGHT เีรื่องนี้ออกมาเป็นลำดับสองต่อจาก KEIZERIN ในพาร์ทเเรกซึ่งเป็น TRUEMIN อ่านเเต่ตัวนี้คงจะรู้เรื่อง(?) นะคะ 55+ ถ้าใครสงสัยถามเป็นคำถามไว้ได้ค่ะ จะตอบทุกข้อข้องใจ (เพื่อความเข้าใจที่เเจ่มเเจ้ง..เเนะำนำให้ไปอ่านพาร์ท KEIZERIN ค่ะ)
สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านพาร์ทก่อน >> KEIZERIN <<
#โปรดมีจิตศรัทธา อย่าอ่านเเล้วอย่าเเปะไว้เฉย ๆ เลยนะคะ
ในศักราชหนึ่งของราชอาณาจักรคิวรยอน บ้านเมืองเกิดวิกฤติสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มกบฏลือชื่อบุกเข้าลอบปลงพระชนม์มหารานี ซ้ำยังลักพาเอาตัวองค์รัชทายาทไปอย่างไรวี่แววที่จะพบเจอ ราชนิกุลเพียงหนึ่งเดียวจำต้องขึ้นครองราชย์แม้จะขัดกับกฎหมายที่มี เหล่าชาวเมืองสร้างความวุ่นวายเพราะระบบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทัน บรรดาสตรีทั้งหลายต่างพากันประท้วงสิทธิ์ของตนในขณะที่ชายหนุ่มทั่วแผ่นดินต่างโห่ร้องดีใจ
แต่ใครจะไปรู้กันเหล่าว่าสถานการณ์ในวังหลวงปั่นป่วนเพียงไร?
“ทูลองค์ชาย...กระหม่อมเป็นรักษาการณ์หัวหน้าฝ่ายกบฏกองโจร ควอน พยองซอก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”
รอบประตูวังถูกควบคุมโดยทหารของเหล่ากองโจร ตำหนักพระจักรพรรดินีถูกเผาทำลายเสียหาย ตำหนักรัชทายาทเองก็ไม่ต่างกัน บรรดาขุนนางสาวหลายคนถูกจองจำให้อยู่ในจวนเรือน ทหารชายของราชวังถูกบีบบังคับให้ทำตามคำสั่งของกลุ่มกบฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตำหนักของจงฮยอนเองก็ถูกล้อมกรอบไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยการปรากฏตัวของของผู้ชายที่ชื่อ ควอน พยองซอก
“จะเอาอย่างไรก็ว่ามา”
องค์ชายจงฮยอนในชุดทรงลำลองสีขาวพิสุทธิ์นั่งเกร็งตัวนิ่ง หยดเหงื่อไหลซึมตามง่ามนิ้วและไรผมอย่างกดดัน สิ่งที่เขากังวลนั้นไม่ใช่ราชวงศ์หรือชีวิตของตน
ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสักสองสามสัปดาห์ก่อนหน้า เขาจะไม่รีรอเลยที่จะปลิดชีพตามบรรพชน
.....หากทว่าในตอนนี้เขามีสิ่งที่จะต้องปกป้อง
“ได้โปรดลงพระนามขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแล้วบริหารบ้านเมือง ปรับเปลี่ยนกฎหมาย สร้างสิทธิ์ให้ชายเช่นพวกเราเสีย แล้วท่านจะพัฒนาอะไรอย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่านจะต้องการ แต่ทางเราจะส่งขุนนางมาสอดส่องความเป็นไปสักสองสามคน ยุติธรรมดีหรือไม่พะยะค่ะ?”
พยองซอกเอ่ยสบาย ๆ พร้อมกับยื่นเอกสารลงพระนามไปไว้เบื้องหน้า
ปลายพู่กันตวัดไหวเป็นลายพระหัตถ์แสนงดงาม โจรหนุ่มแย้มยิ้มก่อนจะนำราชสารที่องค์ชายจงฮยอนเพิ่งได้ลงนามไปเมื่อสักครู่ขึ้นมาม้วนเก็บให้เรียบร้อย
“ขอบพระทัยที่ทรงให้ความร่วมมือ มันอาจจะลำบากอยู่สักหน่อยสำหรับการเมืองในช่วงนี้ แต่กระหม่อมคิดว่าตัวพระองค์เองก็คงได้รับการฝึกฝนมาบ้าง”
“.....”
“ยังไงก็หวังว่าจะได้เห็นองค์จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์จักรพรรดินีนะพะยะค่ะ"
......................................................................
เหล่ากบฏพลิกผันสถานการณ์ทุกอย่างให้เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาชั่วข้ามคืน เอกสารที่เขาลงนามไปนั้นถูกเชิญเข้าที่ประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น สตรีทั่วทั้งแผ่นดินแทบจะตราหน้าว่าเขาเป็นจอมทรราช ในขณะที่บรรดาชายหนุ่มต่างสรรเสริญเยินยอตัวเขาอย่างไม่จบไม่สิ้น
“เราจะขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปชั่วคราวก่อน ทั้งนี้จะปรับเปลี่ยนกฎหมายบางส่วนตามที่ประชาชนได้ยื่นเงื่อนไขเข้ามา แต่งขุนนางขึ้นใหม่บางส่วนและถอดขุนนางเก่าบางส่วนให้เป็นข้าราชการบำนาญ หวังว่าทุกท่านจะรับทราบโดยทั่วกัน”
“ไม่เถลิงราชย์ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิเสียเลยล่ะเพคะ จะได้ทำอะไรให้มันสะดวกกว่าเดิม”
ขุนนางสตรีผู้หนึ่งเอ่ยแดกดัน ในขณะที่จงฮยอนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาสีหน้าและอปกิริยาให้สงบเสงี่ยมและใจเย็
นอย่างที่สุด
“ขออภัยท่านขุนนางคง กรุณาแยกกิจกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันด้วยเถิด ที่นี่คือที่ประชุม มิใช่จวนของท่าน อีกทั้งผู้ที่ท่านกำลังเอ่ยถึงอยู่นั้นเป็นผู้ที่มีศักดิ์มากกว่า ยิ่งไม่ควรหมิ่นประมาทเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าท่านจะพิจารณาความเหมาะสมทั้งมวลได้ด้วยตนเอง”
ขุนนางชายผู้หนึ่งที่ทางกลุ่มกบฏส่งมาเอ่ยขัด ก่อนที่บรรยายกาศรอบตำหนักราชการจะเย็นเยียบลงไปมากกว่าเดิม
"หากมีข้อสงสัยให้เขียนสารมาไถ่ถามได้ทุกเวลา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มเติม เราขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้”
ระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามสร้างความกดดันมหาศาลให้กับเขาขนาดนี้เลยหรือ?
.
.
.
.
.
“สีหน้าไม่ดีแบบนี้ เกิดเรื่องไม่ดีสินะ”
ร่างบางในชุดแพรสีม่วงอ่อนเอ่ยถามทันทีที่เขาย่างเท้าเข้ามาในตำหนัก หลังจากที่โดนกักบริเวณซ้ำยังไม่ได้พบหน้าจงฮยอนมาหลายวัน วันนี้เป็นวันแรกที่คิบอมได้ออกมาจากห้องนอนของตน
ไม่อาจหลอกตนเองได้ว่าไม่คิดถึงร่างโปร่งขององค์ชายตรงหน้า
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาทุกข์กับข้าหรอก หลายวันมานี้เจ้าคงเบื่อ ให้ข้าเล่นพิณให้เจ้าฟังดีไหม?”
ประกายความเหนื่อยล้าหายไปเสียสิ้นยามได้ทอดมองลูกแมวตัวเล็กของตน จงฮยอนวาดยิ้มบางให้คิบอมก่อนจะสั่งให้นางกำนัลที่ประจำอยู่หยิบพิณเข้ามาในโถงเล็กของตำหนัก
“เเต่องค์ชาย...วันนี้หม่อมฉันนอนมาทั้งวันแล้ว ยังจะทรงกล่อมให้หม่อมฉันหลับไปอีกคราหรือ?”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทั้งน่ารัก ทั้งใสซื่อยิ่งนักในสายตาของจงฮยอน
ชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะได้พบคิบอมนั้นช่างมืดมัวและเต็มไปด้วยความเหงา.....
มารดาผู้ให้กำเนิดเอาแต่สนใจน้องสาวผู้เย่อหยิ่งและจองหอง หมางเมินตัวเขาเพียงเพราะเกิดมาเป็นชาย ตำแหน่งองค์ชายที่แบกไว้ช่างไร้ค่าไร้ราคา ทั่วทั้งแผ่นดินรู้ดีว่าตัวเขาเป็นเพียงหมากที่เกินมาของราชวงศ์ ซึ่งเขาก็เลือกที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาเสมอ
แต่ก็ไม่อาจทนนิ่งงันได้นาน.....
ด้วยความโหดเหี่ยมไร้หัวใจของน้องสาวก็ดี หรือจะเป็นโลกในอุดมคติที่แสนจะไร้ความยุติธรรมของพระมารดาก็ดี ทำให้เขาไม่อาจทำตัวเป็นตุ๊กตาองค์ชายอีกต่อไป
จงฮยอนตัดสินใจรับอุปการะกลุ่มเด็กชายจรจัดในเมือง จัดตั้งเป็นสมาคมเล็ก ๆ ขึ้นและคอยสนับสนุนด้านการเงินและการศึกษาอยู่อย่างลับ ๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้
เพียงไม่นานน้องสาวผู้ชั่วร้ายของเขาก็ก่อปัญหาขึ้นมาอีกครา.....
ทั้งที่ปกติก็ชอบรังแกพสกนิกรชายในแผ่นดินอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ชุนฮยังกลับทำร้ายจิตใจนักโทษโดยการจัดการแข่งขันแบบฆ่าฟันขึ้นมาอีก ทั้งเพื่อผลประโยชน์และเพื่อความภิรมย์ส่วนตัว ครั้นพอได้ยินดังนั้น จงฮยอนก็หมายมาดจะไปหักห้ามการกระทำนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกบรรดาทหารของน้องสาวกักกันไว้ไม่ให้ออกจากตำหนัก ทำได้แค่เพียงสงบนิ่งไว้อาลัย กลายเป็นเพียงตุ๊กตาองค์ชายผู้ไร้ประโยชน์อีกครา
“โง่จริง ๆ จงฮยอน..เจ้ามันแสนโง่เสียเหลือเกิน”
ทำได้แค่เพียงด่าทอตนเองเบา ๆ เท่านั้น
แต่เหตุการณ์สำคัญ มักจะเกิดขึ้นในยามที่หัวใจท้อถอยบ่อย ๆ เสมอ.....
ตุบ!
อัก!
เสียงวัตถุขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหล่นดังมาจากหลังตำหนัก ในบริเวณที่จงฮยอนยืนไว้อาลัยอยู่นั้นเป็นเฉลียงที่ยื่นออกมาใกล้สระบัว จึงได้ยินเสียงนั้นชัดเจนยิ่งนัก ด้วยความนึกฉงน องค์ชายใหญ่แห่งคิวรยอนจึงไม่รอช้า ร่างโปร่งแหวกควานพงหญ้ารกชัฏบริเวณด้านหลังสระบัว จนพบว่ามีร่างหนึ่งนอนหายใจหอบอยู่ที่ปลายเท้าตน
“เจ้า...”
“ได้โปรด..พาขาออกไปจากที่นี่...ได้โปรด..ช่วย..”
ไม่ทันได้พูดสิ่งใด ร่างบางที่บาดเจ็บก็สลบไสลไปเสียก่อน เล่นเอาจงฮยอนตกใจเสียยกใหญ่ แขนแกร่งรีบสอดเข้าอุ้มทั้งร่างของหนุ่มน้อยนิรนามขึ้นมาแล้วพากลับเข้าไปที่ตำหนักในทันที
.
.
.
.
.
หลังจากที่ให้หมอประจำตนมาตรวจรักษาได้ไม่นาน ร่างบางก็ฟื้นตื่นขึ้นจากนิทรา.....
“ท่าน...”
“เราจงฮยอน...องค์ชายจงฮยอนแห่งคิวรยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
สีหน้าของจงฮยอนนั้นช่างอ่อนโยน ราวกับต้องการปลอบประโลมทุกข์ทุกสิ่งในโลก แค่เพียงได้สบตาในคราแรก คิบอมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้สามารถพึ่งพาได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
“ข้า..เอ่อ..หม่อมฉัน ชื่อ คิม คิบอม”
ร่างบางหลบตาคมแล้วเอื้อนเอ่ย หัวใจยังหวาดหวั่นและไม่ละซึ่งความระแวง ถึงแม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะดูน่าไว้ใจสักเพียงไร ประสบการณ์สอนให้เขาจดจำจนขึ้นใจเสมอว่าดวงหน้าไม่เคยส่อถึงสันดาน ดังเช่นผู้หญิงใจมารที่หลอกลวงเขาคนนั้นได้หรอก
“ข้าไม่ถือตัวขนาดนั้นหรอก ไม่ต้องเกรงนะ ข้าไม่คิดร้ายต่อเจ้า”
สัมผัสอ่อนโยนแตะเข้าที่กลุ่มผมนุ่ม มือใหญ่ลูบขึ้นลงอย่างทะนุถนอมราวกับตัวเขาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังบาดเจ็บหนัก
ผู้ชายตรงหน้าเป็นนักบวชรึเปลานะ?
ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเหนื่อยอ่อน เพราะงั้นถึงทุกอย่างจะดำเนินไปเช่นไรก็ตาม เขาเลือกที่จะละทิ้งมัน.....
.....เพราะความรู้สึกบางอย่างเชื่อมั่นว่า องค์ชายผู้อ่อนโยนคนนี้จะไม่มีทางทำร้ายเขา
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จวบจนย่างเข้าวันที่สองแล้วที่คิบอมยังอาศัยอยู่ในตำหนักจงฮยอนในฐานะแขกพิเศษ ครั้นพอเอ่ยถามองค์ชายตัวดีว่าองค์ราชินีจะไม่สงสัยหรือก็กลับได้รับเสียงหัวเราะน้อ
ย ๆ พร้อมคำตอบที่เจ้าตัวพร้อมไหวไหล่ประกอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าก็แค่ตุ๊กตาองค์ชาย ความสำคัญหรือก็แค่แบกยศไปวัน ๆ ก็เท่านั้น คนใหญ่คนโตระดับองค์จักรพรรดินีคงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจหรอก”
แม้น้ำเสียงของร่างโปร่งจะเรียบลื่นไม่มีสะดุดราวกับมันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวแสนจะเค
ยชินกับมันก็ตาม แต่หากมองลึกเข้าไปในสายตานั้นแล้ว คิบอมกลับพบความอ้างว้างมหาศาลซุกซ่อนอยู่
อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดใจตามอีกฝ่ายไปด้วย.....
“องค์ชายคงจะผ่านเรื่องราวปวดร้าวมามากสินะพะยะค่ะ”
มือใหญ่เอื้อมเข้าไปกอบกุมมือเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ
“นั่นมันก็เป็นแค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว สำหรับตอนนี้ข้ามีความสุข เจ้าน่ะเป็นเหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ ของข้า ลูกแมวที่ทำให้ชีวิตของข้าพบพานความสุข พบพานรอยยิ้มที่แท้จริงของตนเองอีกครั้งนะ เจ้ารู้หรือไม่?”
เสียงนั้นแหบพร่าทว่านุ่มละมุน เรียกเอาความร้อนทั้งหลายทั้งแหล่มากองสุมที่ใบหน้าของคิบอมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พวงแก้มงามสุกปลั่งด้วยสีเลือดฝาดเจือจางพร้อมทั้งกำลังจะขยายอาณาเขตเข้าไปถึงใบหูอ
ย่างรวดเร็ว
“พระองค์ทรงคิดว่าหม่อมฉันเป็นแมวจริง ๆ หรือ?”
คิบอมเสตามองไปอีกด้านก่อนจะเอ่ยถามองค์ชายผู้สูงศักดิ์ จงฮยอนคลี่ยิ้มกว้างพลางเอ่ยกระซิบตอบข้อข้องใจของร่างบางเบา ๆ ที่ข้างหู
“แมวของข้าเท่านั้นนะ”
การเกี้ยวพาไม่ใช่เรื่องถนัดของจงฮยอน ทว่ายามนี้เขากลับทำได้ดี
“คุยเรื่องอื่นเถิด เพราะเห็นทีหม่อมฉันจะรับมือกับพระองค์ไม่ไหว”
อีกคนเหมือนรู้ดีว่าตนกำลังถูกเกี้ยว จึงรีบห้ามอีกฝ่ายไว้โดยไวเสียก่อน มิฉะนั้นเขาอาจเสียทีทั้งวาจาทั้งหัวใจ
เพราะรักนั้น...หากก่อตัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว มันช่างยากเหลือเกินที่จะถอดถอน
ยิ่งกับบุรุษตรงหน้าด้วยแล้ว...มันคงไม่มีวันเป็นไปได้
.
.
.
.
.
ครั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเพียงสามวัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น.....
ถึงจะได้ยินมาหนาหูถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับ ‘กบฏกองโจร’ ผู้ยิ่งใหญ่ แต่คิบอมก็ไม่เคยนึกฝันเลยว่ากลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์จากหน้า
มือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ ถึงตัวเขาจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนที่จงฮยอนจัดไว้ให้อย่างจำใจก็ตาม แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงข่าวสารทั้งหมด ผ่านนางกำนัลบ้าง ต้นห้องบ้าง ในวันที่พระตำหนักถูกโจมตี ความวุ่นวายทั้งหลายก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้
แต่ก็ควร ‘แสร้ง’ ทำเป็นไม่รู้เพื่อให้องค์ชายจงฮยอนสบายใจ
จนถึงตอนนี้เขาคือแมวที่ดีของจงฮยอน.....
“พิณเพคะ”
หลังจากที่นั่งจิบชารอมาได้สักครู่ นางกำนัลก็ยกพิณขึ้นมาวางตั้ง จงฮยอนส่งยิ้มให้พร้อมคำขอบใจ บางทีนี่อาจเป็นเล็ก ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เหล่านางกำนัลในตำหนักนี้ซื่อสัตย์ต่อเขาเสมอมา
องค์ชายผู้นี้ช่างอ่อนโยน ใจดี และอารีต่อผู้อื่นเสมอ
“จริง ๆ แล้ว..ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งหน่อย คงไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าเช่นหลายวันที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าหากเจ้าเบื่อหน่าย ก็ไปนั่งเขียนหนังสือหรือเดินเล่นที่สวนด้านหลังได้นะ”
ร่างโปร่งเลื่อนพิณเข้ามาไว้ด้านหน้าตัว สบตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะเอ่ยเริ่มบทสนทนาอย่างไม่สบายใจ
.....ที่จริงแล้วความไม่สบายของเขาคือการที่ต้องห่างจากคิบอมต่างหาก
“หม่อมฉันมิบังอาจรบกวนเวลา อันที่จริงแค่ได้ที่พักอาศัยสุขสบายกับอาหารดี ๆ ในทุกมื้อก็เป็นพระคุณล้นพ้นแล้ว หม่อมฉัน.....”
“ชี่!...”
นิ้วเรียวแนบเข้าที่ริมฝีปากบางเบา ๆ ใบหน้าของร่างโปร่งห่างจากเจ้าของกลีบปากไม่ถึงคืบ ก่อนที่ฝ่ายจงฮยอนจะทิ้งรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ แล้วถอยร่นกลับไปยังที่นั่งตน
“หากเจ้ามาสำนึกบุญคุณข้าแบบนี้ข้าก็เสียใจแย่ เหมือนข้าทำแล้วหวังผลเลย”
ทั้งตกใจ เขินอาย และงุนงงในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกหลากหลายก่อเกิดขึ้นมาเพราะดวงหน้าคมคายตรงหน้าเขาแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ได้...จะคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่ได้นะคิบอม!
จิกเล็บเข้าเนื้อตัวเองเพื่อเตือนใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดมองบุรุษสูงศักดิ์อีกครั้ง
“อย่าคิดมากเลยนะ มาฟังเพลงจากข้าดีกว่า”
มือใหญ่เริ่มร่ายนิ้วกรีดกรายดีดดึง เสียงสดใสและไพเราะดังขึ้นในเวลาต่อมา ปากหนาเปล่งทำนองคำร้องเสนาะขึ้นควบคู่กันไป ในขณะที่ผู้ฟังนั่งสดับนิ่ง หลับตาพริ้ม
.....ถ้อยความหมายของบทเพลงที่แสนหวานกำลังซึมซับเข้าสู่หัวใจ
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
เสียงนั้นดังก้องในส่วนลึกแทบจะทุกวินาที
จะทำเช่นใดต่อ?...จะห้ามตัวเองได้อย่างไรกัน?
.
.
.
.
.
“ตามหาแทคยอนเจอหรือไม่?”
ผู้สำเร็จราชการหนุ่มคนปัจจุบันแห่งคิวรยอน องค์ชายจงฮยอน เอ่ยถามสายสืบของราชวงศ์อย่างร้อนรน ในหัวใจคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากได้เบาะแสของสุดยอดองครักษ์อย่างแทคยอนความหวังที่เขาจะตามหาชุนฮยังเจออาจจะพอมีขึ้นมาบ้าง
[i]ทว่า.....[/i]
“มีชาวบ้านรายงานว่าพบบุคคลลักษณะเช่นท่านราชองครักษ์ แต่ก็ค้นหาแหล่งที่อยู่ไม้ได้พะยะค่ะ”
หลังจากที่ได้พบบันทึกจากลายพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดินีเล่มหนึ่ง ความจริงเกี่ยวกับความลับสุดยอดของรัชทายาทในราชวงศ์ก็กระจ่าง
แท้จริงแล้วน้องสาวของเขาเป็น ‘น้องชาย’ ที่ถูกพระมารดากดดันให้สืบทอดบัลลังก์ตลอดมา
ทั้งพฤติกรรมก้าวร้าว ทั้งการกระทำชั่วร้าย ล้วนเป็นผลพวงมาจากการตบตาของจิตใจที่อ่อนแออย่างที่สุดก็เท่านั้น ชุนฮยังหรือแทมินที่เป็นชื่อจริงไม่ได้ต้องการจะทำมันจากส่วนลึกเลยสักนิด
คิดแล้วก็รู้สึกสมเพชในความไร้ค่าของตนเอง.....
จงฮยอนเอาแต่โอนอ่อนไปตามสิ่งที่พระมารดาต้องการ จงฮยอนที่อ่อนแอและขี้ขลาด จงฮยอนที่นอกจากจะไม่ฉลาดแล้วยังไร้ประโยชน์
.....เขาปล่อยให้น้องชายลำบากโดยที่ไม่เคยได้รับรู้สิ่งใดเลย
“ขอโทษนะ”
คิบอมยืนแอบมองภาพนั้นอยู่เพียงลำพัง ตัวเขาออกมาเดินเล่นนอกตำหนักได้สักพักใหญ่แล้วจึงรู้สึกอยากพักผ่อน แต่ก็ไม่นึกว่าพอกลับเข้ามาในตำหนักจะได้พบเหตุการณ์แบบนี้
เขารู้แค่เรื่องขององครักษ์แทคยอน กับได้ยินเพียงคำขอโทษเบา ๆ ของจงอยอนแต่เพียงเท่านั้น
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...สองมือของคิบอมถึงอยากกอดปลอบแผ่นหลังแกร่งนั้นแน่น ๆ สักครั้ง
.
.
.
.
.
ริมสระบัวหลังตำหนักองค์ชายมักจะเป็นสถานที่พักผ่อนที่ยอดเยี่ยมสำหรับคิบอมเสมอ ตัวเฉลียงที่ยื่นออกไปเป็นท่าน้ำนั้นเป็นที่นั่งประจำของร่างบางมาตลอดเวลาที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งอากาศที่พัดผ่านเย็นสบายหรือจะเป็นร่มไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ไม่ไกล ต่างช่วยสงเสริมให้จิตใจสงบ
เสียงพิณลอยวนเข้ามาในโสตประสาท...ขับขาน...ร้องก้อง
“ไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าหม่อมฉันเป็นใคร มาจากไหน?”
“จะต้องสงสัยในสิ่งที่ไม่จำเป็นไปทำไมเล่า?”
ประโยคคำถามของคิบอมถูกตอกกลับอย่างรวดเร็วในแบบที่เขาเองก็ยังคาดไม่ถึง
“หากหม่อมฉันเป็นนักฆ่าที่ต้องการชีวิตพระองค์ล่ะ?”
“ข้าจะยิ้มให้ตราบจนวาระสุดท้ายที่เจ้าปลิดชีพ”
ร่างบางหันกลับมาจ้องมองเจ้าของคำตอบอย่างไม่สบายใจในทันที เขาไม่ชอบให้อีกฝ่ายพูดอะไรไม่เสียดายชีวิตแบบนั้นเลย
“.....”
“อย่างไรเสีย...เจ้าก็แค่สมมติมิใช่หรือ?”
ข้างในไหววูบ ก่อนรอยยิ้มของร่างโปร่งจะบดบังเมฆหมอกในหัวใจออกไปเสียสิ้น จงฮยอนเคลื่อนตัวเข้ามาประชิด ฉุดร่างของคิบอมขึ้นยืนเหยียดตรงก่อนนำไปทางพิณอีกตัวที่เขาสั่งในนางกำนัลจัดเตรียมไว้
พิณไม้สักสลักเสลาลวดลายงดงามวิจิตร ตัวเครื่องดนตรีถูกขัดถูจนขึ้นเป็นเงาเงาวาบวับราวกับต้องการจะเชื้อเชิญให้นักดนตรี
ชั้นสูงให้เข้าไปสัมผัส แต่ ณ ที่นี้มีเพียงคนเดียวที่จะได้เป็นเจ้าของ
“มันเป็นของเจ้า”
จงฮยอนผายมือไปทางพิณตัวงามก่อนจะกระซิบบอกว่าที่เจ้าของของมันเบา ๆ
“แต่หม่อมฉันเล่นมันไม่เป็น...”
“มันไม่ใช่ปัญหาหรอก”
นิ้วเรียวแตะเข้าที่สายพิณเบา ๆ เกิดเสียงแหลม ๆ สะท้อนดังขึ้น แล้วก็เงียบไป
“ทำไมต้องทรงเอาใจหม่อมฉันมากมายขนาดนี้ด้วย?”
หัวใจของเขาเต้นแรง เหมือนภายในจะรับรู้ได้ถึงคำตอบ แต่อีกด้านก็ยังหวาดกลัว
มากไปแล้ว.....
ผู้ชายตรงหน้ามอบความสุขให้เขามากไปแล้ว
“ไม่รู้จริง ๆ นะหรือ? เหตุผลของหัวใจข้า...”
มือหนาเลื่อนเข้าไปกอบกุมมือเล็ก ตาคมทอดมองลึกซึ้งราวกับจะสื่อความรู้สึกทั้งหมดผ่านม่านตาของตนไปให้อีกฝ่ายอย่างไม
่ปิดบัง
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
เงาดำในความคิดเอ่ยเตือนสติ
“มะ...หม่อมฉันขอประทานอภัย”
คิบอมหลบสายตาพลางชักมือของตนกลับ สองขาพาร่างของตนก้าวไวกลับเข้าไปในตัวตำหนักอย่างสับสน
หัวใจสั่นไหวอย่างน่ากลัว.....
อย่าได้ใช่ความรักเลย...ได้โปรด
จงฮยอนทอดมองพิณที่ตนตั้งใจมอบให้คิบอมอย่างเศร้าสร้อย
“บางที...ข้าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเลือกสินะ”
เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว เจ้าต้องรีบตัดสินใจนะ...คิบอม
.....อย่าให้ข้าต้องตัดสินใจเอง
ครั้นวันเวลาผ่านไปได้ไม่นาน เมื่อฤดูใบไม้ผลิเวียนกลับมาเยือนคิวรยอนอีกครา ทั้งบรรดาพืชผลและพันธุ์ไม้ต่างเจริญงอกงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดก็ช่วงฤดูนี้ ประชาชนที่เริ่มกินอยู่สุขสบายขึ้นเริ่มคุ้นชินกับกฎความทัดเทียมที่ถูกบัญญัติขึ้นหลังมหากบฏกองโจรล้มล้างระบอบจักรพรรดินี ความสงบสุขในหมู่พสกนิกรหญิงชายหวนกลับมาสู่แผ่นดิน
ถึงแม้จะยังไม่มีใครพบตัวองค์รัชทายาทผู้สูญหาย คนส่วนใหญ่ก็พอใจกับการปกครองของผู้สำเร็จราชการอย่างองค์ชายจงฮยอนเป็นอย่างมาก
ตัวจงฮยอนยังคงปฏิบัติกับคิบอมเช่นเดิมเสมอต้นเสมอปลาย แม้อาจมีหลายครั้งที่ต้องพานพบสถานการณ์อึกอัก แต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้
แม้จะแค่เป็นวัน ๆ ไปก็ตาม.....
ระยะนี้เขามักถูกปองร้ายบ่อยอย่างไร้สาเหตุ พอนำเรื่องเข้าไปปรึกษาที่ประชุม เหล่าขุนนางหลายรายก็เสนอประเด็นในเรื่องการปกครองแบบเลือกเฟ้นผู้แทนเพื่อความทัดเทียมขึ้นมาเป็นข้อสงสัยอันดับแรก
คิวรยอนที่วุ่นวายหลังผ่านการกบฏครั้งใหญ่ไปได้ทำให้ประชาชนมีความคิดที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น พวกเขาใฝ่ศึกษาและคนบางกลุ่มเล็งเห็นว่าความทัดเทียมต้องเกิดขึ้นจากทุกชนชั้น ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นการก่อกำเนิดชุมนุมกลุ่มผู้นำประชาชน อันมุ่งหวังเรียกร้องสิทธิ์ให้ราชวงศ์ปลดอำนาจลงเพื่อความเท่าเทียมของทุกคนในแผ่นดิน
เคราะห์ดันมาตกอยู่ที่การตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการอย่างองค์ชายจงฮยอน.....
แน่นอนว่าศักดิ์ศรีราชวงศ์เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ อีกทั้งถ้าหากปล่อยดุลอำนาจให้ประชาชนไปในยามนี้ก็ดีแต่จะเป็นอันตราย กลุ่มชุมนุมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะดูแลแผ่นดิน ซ้ำร้ายเขาก็ยังตามหาชุนฮยังไม่พบ
เหนื่อย.....
.....ตอนนี้จงฮยอนรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
คิบอม...บางทีมันอาจถึงเวลาแล้ว
“มันเป็นหนทางเดียว คิม คิบอม...”
แสงไฟจากตะเกียงเล็กสว่างโชติช่วงในความมืดมิดยามค่ำคืน สองขาเร่งฝีเท้าให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องบรรทมขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ มือเล็กเปิดประตูพลางแทรกตัวผ่านเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ร่างบางสดับฟังเสียงลมหายใจแสนแผ่วเบาของเป้าหมายอย่างมีสมาธิ ทั้งหู ตา ประสาทตื่นตัว พร้อมลงมือ
กึก!
ฝีเท้าก้าวเข้าไปหยุดที่หน้าแท่นบรรทม ก่อนมือขวาจะหยิบมีดเงินขึ้นมากระชับเอาไว้มั่น.....
.....คิบอมเงื้อมันขึ้นสุดแขน
.
.
.
.
.
“.....”
“ฮึก...”
ทำไม่ได้...เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาไม่อาจจำได้ แต่ที่รู้ดีอยู่แก่ใจคือเขาไม่อาจลงมือได้
มีดพกเล่มงามถูกสอดเก็บกลับไปไว้ในสาบเสื้อ หยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากแก้วตาคู่สวยอย่างเงียบเชียบ ยิ่งเวลาเหลือน้อย เขายิ่งต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ฉะนั้นคิบอมจึงต้องจัดการลงมือในทุก ๆ คืน
เพื่อเพียงหวังว่าจะตัดใจทำได้ในคืนสุดท้าย.....
แต่บางทีมันอาจจะยิ่งทำให้หัวใจของเขารู้สึกย่ำแย่ลงไปทุกทีก็เป็นได้
แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่ล้นเอ่อเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจหันหลังกลับไปตั้งหลักที่ห้องนอนของตนเฉกเช่นทุกคืนที่ผ่านมา
ทว่า.....
หมับ! กึก!
“อย่าเพิ่งไปสิ”
“อ๊ะ!”
แขนบางถูกฉุดไว้จากทางด้านหลังโดยร่างโปร่งสง่าของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเขามากที่สุดในขณะนี้
“อะ...องค์ชายจงฮยอน”
องค์ชายผู้สูงศักดิ์กำข้อมือของเขาแน่น ใบหน้าคมสันเรียบเฉย นัยน์ตาสุกใสนั้นแสนเย็นชา วินาทีนั้นคิบอมแทบไม่กล้าที่จะหายใจ
ยิ่งกว่าขโมยที่ถูกจับได้...อึดอัด...ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ออกแรงทำร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงไม่ลงมือเสียล่ะ”
คำถามนั้นเหมือนคมมีด น้ำเสียงที่เคยเจือความอ่อนโยนไว้เสมอหายไป
จงฮยอนจ้องลึกแล้ววาดยิ้ม.....
“ตกใจสินะ...ตอนนี้กลัวข้ารึเปล่า?”
ในยามที่สรรพเสียงรอบข้างเงียบสงบ ค่ำคืนมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟสาดส่องออกมาจากตะเกียงดวงเล็ก ร่างทั้งสองร่างกลับมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตายิ่งนัก ฉับพลันเดียวที่คิบอมกำลังสั่น แขนแกร่งของจงฮยอนก็ตวัดร่างบางทั้งร่างเข้ามาในอ้อมอก
“บอกข้าได้ไหม? เหตุผลของเจ้าน่ะ”
น้ำเสียงนั้นปรานีที่สุด อ่อนโยนที่สุด
.....น้ำเสียงที่มีแต่องค์ชายจงฮยอนเท่านั้นที่เรียกเขา
“.....”
“ฮึก...”
สองแขนบางสอดรับกอดของชายผู้เป็นที่รัก ก่อนดวงตาคู่สวยจะปลดปล่อยน้ำตาของตนให้ไหลริน
ทำไมได้...ทำร้ายเขาไม่ได้
แต่จะให้พูดออกไปก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ณ วินาทีนี้...เขาอยากจะตาย ๆ ไปเสียเหลือเกิน
“จำได้ไหม? ที่องค์ชายเคยบอกมาเสมอว่าหม่อมฉันน่ะเป็นลูกแมวของพระองค์”
ร่างบางกลั้นเสียงสะอื้นของตนอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่น้ำตายังคงรินไหล คิบอมสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยถามจงฮยอนออกมาอย่างยากเย็น
ในอ้อมกอดที่แนบแน่นยิ่งขึ้น จงฮยอนพยักหน้าเบา ๆ
“จริง ๆ แล้วหม่อมฉันมันก็แค่จิ้งจอกจอมกลับกลอก คำหวานที่มอบให้พระองค์เป็นเพียงคำหลอกลวง องค์ชายเข้าใจใช่ไหม?”
แขนแกร่งคลายอ้อมกอดออก นิ้วเรียวปาดเบา ๆ ที่ขอบตาสวย
“แล้วเหตุใดเจ้าจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ต้องยืนร้องไห้เสียใจอยู่ทุกคืนวันด้วยเล่า? บอกข้าได้หรือไม่?”
ฝ่ายจิ้งจอกนิ่งอึ้ง...คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงการกระทำของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้
“ทำไมถึง...”
“เจ้าเองก็ไม่ตอบคำถามข้า...งั้นข้าก็ไม่ตอบบ้างดีไหม?”
ยิ้มละมุนแล้วเกลี่ยนิ้วเบา ๆ ที่แก้มนิ่ม
แต่ยิ่งคิบอมจ้องลึกลงไปมากเท่าใด.....
.....เขายิ่งพบความเศร้าโศกภายในดวงตาคู่นั้นเพิ่มขึ้น
ผู้ชายตรงหน้าเหมือนจะเปิดเผย...แต่กลับลึกลับซับซ้อนเสียยิ่งกว่าใคร
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...ความอ่อนโยนที่เข้าสัมผัสได้นั้นเป็นของจริง
“เเต่หม่อมฉัน...หม่อมฉันน่ะ...ต้องฆ่าองค์ชาย”
เสียงเล็กสั่นเครือ คิบอมหลบตา หัวใจเจ็บปวดทุกคราเมื่อต้องคิดถึงหน้าที่ของตน
“ข้าให้สิทธิ์เจ้าเลือก...ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาคือตัวประกัน”
“แต่เจ้าไม่อยากฆ่าข้าใช่ไหม?”
“องค์ชายรู้...”
“คิดว่าข้าเป็นใครกัน...หืม?”
รอยยิ้มของจงฮยอนยังฉายชัด จนคิบอมรู้สึกใจสั่น
คิดอะไรอยู่?
พระองค์คิดสิ่งใดอยู่?
“มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่มองไม่เห็นจิตใจข้า”
ปัง!!!
ไม่ทันได้พูดสิ่งใดต่อ ประตูไม้ลายสวยก็ถูกพังครืน พร้อมกับชายในชุดทหารพรางมากมายกรูเข้ารายล้อมองค์ชายจงฮยอนและคิบอม บุรุษเหล่านั้นต่างมีทั้งดาบและธนูเตรียมง้างในมือ
“อย่าได้ริอาจเคลื่อนไหว!”
คิบอมเบิกตาตื่นอย่างตกใจ ร่างบางสะดุ้ง ก่อนโดนองค์จงฮยอนรวบเอวเข้ามากอดไว้แนบอกอีกครั้ง ร่างโปร่งกระซิบเสียงเบาเป็นเชิงให้ไว้ใจเขา
สายเลือดสีน้ำเงินฉายชัด...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงฮยอนก็ยังมีความใจเย็น รอบคอบ และเย่อหยิ่งเยี่ยงขัตติยราชอยู่เสมอ
“คงไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ได้พบเหตุการณ์เหล่านี้กระมังพะยะค่ะ”
เสียงแหบทุ้มดังขึ้นพร้อมร่างชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง ใบหน้าที่คมสันนั้นส่อแววเจ้าเล่ห์เพทุบายอยู่ไม่น้อย วาจาที่ใช้พูดก็จงใจแดกดันคนฟังเสียเต็มประดา
“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้เตรียมการทุกอย่างรอต้อนรับพวกเจ้าไว้อยู่แล้วยังไงล่ะ”
จงฮยอนโต้ตอบอย่างสงบนิ่ง ครั้นพอเสียง ‘พรึบ!’ ดังขึ้น บรรดาทหารหาญในชุดราชองครักษ์กว่าครึ่งร้อยก็เข้ารายล้อมกลุ่มชายชุดทหารพรางไว้อีกชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
คิบอมมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ในหัวประมวลผลได้ทันทีว่าผู้ชายตรงหน้ายังมีอีกหลายด้านที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ พอเผลอมองเสี้ยวหน้าของร่างโปร่งก็ยิ่งพบรัศมีอำนาจที่แพร่กระจายออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“บัดซบ! เจ้านี่มัน...”
ชายคนเดิมหลุดสบถอย่างคับแค้นในขณะที่จงฮยอนเริ่มเปิดบทสนทนาอย่างใจเย็น
“เจ้าคงเป็นหัวหน้ากลุ่มประชาชนที่เชื่อมั่นในทฤษฎีความทัดเทียมของอาณาจักรสินะ”
“ไม่เคยคิดบ้างหรือว่า อำนาจทุกอย่างที่ราชวงศ์มีล้วนมาจากประชาชน ฉะนั้นแท้จริงแล้วอำนาจควรจะมาจากประชาชนและควรถูกปกครองโดยประชาชนไม่ใช่หรือ? รู้บ้างหรือไม่ว่าทุกวันนี้พวกเราต้องทนทุกข์หวาดระแวงกับทิศทางการปกครองของราชวงศ์ ประชาชนไม่ใช่ของเล่นของพวกเจ้า เพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์ ความรู้สูงส่งเยี่ยงองค์ชายคงรู้ได้ถึงความหมายของสิ่งข้าพูดบ้างสินะ”
เขาร่ายยาวมากมายจากความรู้สึกในส่วนลึกและจงฮยอนเองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี มือหนากำแพรผ้าของคิบอมแน่นเพียงชั่วครู่ องค์ชายผู้สูงศักดิ์มอบยิ้มปรานีให้อีกฝ่ายแล้วเอื้อนเอ่ย
“แผ่นนี้ไม่ใช่ของข้าและตัวข้าไม่อาจทำนายอนาคตข้างหน้าได้...แต่ที่ข้ามั่นใจที่สุดในตอนนี้มีเพียงเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ทุกคนมีความสุขก็เท่านั้น นอกจากนั้นข้าไม่มีสิ่งใดที่ปรารถนาอีก”
ชายฉกรรจ์ยิ้มเย้ย.....
“หากท่านมุ่งหวังเช่นนั้น ก็มอบแผ่นดินคืนมาให้ประชาชนเสียสิ!”
.
.
.
.
.
มีเพียงความเงียบเข้าปกคลุมรอบพระตำหนัก บรรยากาศในยามนี้แสนหนักอึ้งชวนให้หายใจไม่ออก ใบหน้าของจงฮยอนเฉยชา สงบนิ่งดุจสายน้ำในฤดูหนาว
“เงื่อนไขคือ...ชีวิตข้าสินะ”
ครั้นได้ยินคำพูดนั้น คิบอมถึงกับขยุ้มชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่น
“ไม่! ไม่นะ...มันไม่ใช่ทางออก...”
ร่างบางเอ่ยค้านเสียงดังอย่างลืมตัว
ณ เวลานี้...แค่เพียงคิดว่าจงฮยอนจะต้องตาย เขาก็ทนไม่ได้เสียแล้ว
คำตอบของคำถามที่เขาเอ่ยถามตัวเองมาหลายวัน...คิบอมได้พบมันแล้ว
“...ในวันสุดท้าย จะฆ่าเขาได้หรือไม่?...”
ไม่มีวัน...เขาไม่มีวันฆ่าได้
เพราะ.....
.....คิบอมไม่อาจฆ่าหัวใจของตนเองได้
“ไอผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครกัน?”
ในช่วงจังหวะที่หลายฝ่ายต่างฉงนสงสัยในตัวของคิบอม ร่างบางผลักจงฮยอนออกจากตัวก่อนจะพุ่งเข้าหาผู้ชายคนเมื่อครู่ตามสัญชาตญาณ ตาเรียวเฉียบคม มีดพกถูกชักขึ้นมาอีกครั้งพร้อมด้วยรังสีฆ่าฟันที่เต็มเปี่ยม
‘เมื่อต้องปกป้องสิ่งสำคัญ...มนุษย์สามารถกลายเป็นสัตว์ป่าแสนดุร้ายได้เสมอ’
.....ไม่ว่าใครหน้าไหนเขาก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมาได้
เหล่าทหารต่างตื่นตระหนกในการกระทำของบุรุษร่างเล็กตรงหน้า ทั้งตกใจทั้งเงอะงะ ไม่สามารถลงมือทำสิ่งใดได้เพราะจงฮยอนไม่ได้สั่งไว้ เดิมทีก็แค่ถูกสั่งให้ดักทางพวกกบฏแล้วเจรจาอย่างสันติเฉย ๆ แต่เหตุการณ์ตอนนี้มันนอกเหนือกว่าที่ได้ถูกคำนวณเอาไว้
“เก็บมันก่อนแล้วไปจับตัวองค์ชาย เร็วเข้า!”
จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เข้าฟาดฟันกลุ่มกบฏตรงหน้าอย่างไร้สติ หยดเลือดมากมายสาดกระเซ็น ไม่มีใครพิชิตเขาได้ ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้
นอกเสียจาก.....
ฉึก!!
“อึก...”
เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ สรรพสิ่งรอบตัวเคลื่อนที่ไปเช่นไรคิบอมไม่อาจรับรู้ได้
.....แต่ที่แจ่มชัดในโสตประสาทคือภาพของจงฮยอนพุ่งเข้ามาหามีดของเขา...ร่างโปร่งที่ถูกแทงทะลุ...โดยมีดเงินในมือของเขาเอง
ยิ่งกว่าเลวร้าย.....
ยิ่งกว่าถูกทรมานปางตาย.....
มันคือความหวาดกลัวมาตลอดของ คิม คิบอม
“จับ...พวกกบฏ...เอาไปคุมขังไว้ก่อน”
น้ำเสียงของเขาขาดตอน แต่ยังชัดเจน เหล่าบรรดาทหารองครักษ์รีบปฏิบัติงานตามบัญชาอย่างรวดเร็ว เหล่ากบฏถูกเข้าจับกุมแล้วหามออกไป จงฮยอนยกมือห้ามทหารบางคนที่พยายามเข้ามาจับคิบอม เพียงไม่นานห้องทั้งห้องก็มีเพียงองค์ชายจงฮยอนกับ คิม คิบอม อีกครั้ง
.....เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างพลันสลายไป
ตากลมเบิกค้าง มือบางยังจับมั่นที่ด้ามมีด ไม่กล้าแม้จะไหวกาย
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ...ทุกอย่างล้วนเป็นความเห็นแก่ตัวของข้า”
สองมือหนาประคองทาบที่แก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน เเต่ก็ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ สายธารอุ่น ๆ ก็ไหลรินจากแก้วตาของร่างบางอีกครา จงฮยอนใช้นิ้วโป้งของตนปาดเกลี่ยเบา ๆ ก่อนจะโน้มคอลงไปจูบซับที่เปลือกตา
จูบนั้นนุ่มละมุ่น...เสียจนอีกฝ่ายอยากจะให้นี่เป็นเพียงฝัน
“อย่า..ขยับนะ...”
“เป็นไปไม่ได้หรอกคิบอม...ข้าเล็งไว้แล้วน่ะ”
หวาดกลัวว่าจะรักษาไม่ได้ แต่ความหวังก็ถูกทำลายลงพร้อมกันกับรอยยิ้มแสนเศร้าของร่างโปร่งตรงหน้า
“ฮึก...ทำไมต้องทำแบบนี้...ทำไมล่ะ?”
มือขวากำผ้าที่ไหล่ของจงฮยอนแน่นอย่างเจ็บปวด
ตาคมพร่าเลือน ขาเเกร่งโงนเงน
“เจ้าเคยบอก..ว่าชอบฟังเพลง...ของข้า”
“..แต่ที่นี่...ไม่มี..พิณ...เสียด้วยสิ...”
เลือดสีสดไหลอาบแพรสีครีมเสียจนชุ่ม บางส่วนแห้งกรังติดผ้าไปบ้างแล้ว ทั้งหมดนั้นคิบอมรู้ดี สัมผัสได้ แต่มิอาจห้ามสิ่งใดได้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพยายามฝืนยิ้มให้มากเท่าไหร่ หัวใจของยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเป็นทวีคูณ
“...พอเถอะนะ..อย่าพยายามฝืนยิ้มอีกเลย”
ถึงจะถูกห้าม แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มต่อไป.....
“เรียก...จงฮยอนสิ”
หัวทุยซบเข้าที่ไหล่บางพร้อมเสียงกระซิบแผ่ว ร่างโปร่งทิ้งน้ำหนักลงเล็กน้อย ทั้งตัวสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด
“จงฮยอน...จงฮยอน..ได้ยินรึเปล่า..ได้ยินใช่ไหม?”
คิบอมลนลาน เขาหวาดกลัวว่าจะมีวินาทีใดวินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายหมดลม น้ำตายังคงไหลลงเป็นสายไม่หยุดหย่อน ตาสวยแดงช้ำ แต่ก็ยังเอื้อนเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างเข้มแข็ง
“ทั้งหมด...เพราะรัก...ขอโทษ..นะ”
จงฮยอนทรุดลงนิ่ง ทุกโสตประสาทหยุดเคลื่อนไหว ลมหายใจขาดหาย
.....พร้อมกันกับหัวใจของคิบอมที่แน่นิ่ง
“จงฮยอน..จงฮยอนอ่า...”
“ถึงจะไม่มีพิณ..ข้าฟังแต่เสียงท่านก็ได้นะ”
“.....”
“ใจร้ายจริง...จงฮยอน”
“ฮึก...ทำไมไม่รอฟังกันบ้าง...”
มือนิ่มลูบเข้าที่แก้มเย็นชืด หยดน้ำตาร่วงหล่น.....
“...คิบอมเอง..ก็รักจงฮยอนเหมือนกันนะ”
“ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
“ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
“ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
เมื่อคราหนึ่งทั้งแผ่นดินถูกย้อมด้วยสีดำขาว เหล่าราษฎรต่างร่ำไห้ให้กับสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้าย ทั้งขุนนางและบรรดาทหารรับราชโองการสุดท้ายขององค์ชายมาถือไว้มั่น ก่อนจะเปิดอ่านมันต่อหน้าสาธารณชนด้วยจิตใจที่หมองเศร้า เนื้อความในผ้าดิบขาวต่างพรรณนาไว้ซึ่งเจตจำนงที่มีแต่จะให้ประชาชนเข้าใจในเหตุผลและธำรงประเทศให้เป็นสุขต่อไปด้วยอำนาจแห่งประชาชน
หนึ่งในผู้คนมากมายที่ยืนมองควันเพลิงพวยพุ่งอยู่ที่หน้าประตู่ราชวังนั้น มีบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสุดทีรักของจอมจักรพรรดิอยู่
“.....”
ถึงจะไม่เคยสถาปนาตน แต่บุคคลผู้นั้นได้กลายเป็นจักรพรรดิในใจทุกคนไปแล้ว
.
.
.
.
.
ในวันที่เขาได้รับอิสรภาพลวง ๆ จากองค์รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์ เขาไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือสุดยอดองครักษ์อย่าง อก แทคยอน และในยามที่ตัวเองได้กลายไปเป็นหมาจนตรอก ข้อเสนอที่แสนเหี่ยมโหดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
“ถ้าเจ้าฆ่าองค์ชายจงฮยอนได้ ข้าจะปล่อยเจ้ากับครอบครัวของเจ้าไป”
แค่หลับตานึกสภาพความน่าสมเพชของตัวเองในตอนนั้นก็รู้สึกอยากตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับความรักและความทุกข์
.....มันเป็นชะตากรรมของเขาใช่ไหม?
คิบอมกำกระดาษบางสีขาวในมือแน่น.....
ข้ามีหน้าปกป้องเจ้าจากความทุกข์ทั้งมวล บัดนี้ข้าได้คลายทุกข์ของเจ้าแล้ว จากนี้ไปจงยืนหยัดด้วยชีวิตที่ข้า
มอบให้ หัวใจเจ้าข้าขอลักพา ตอบแทนหัวใจข้าที่เจ้าลักพาไป
จงปกป้องสิ่งที่เจ้าต้องปกป้อง
บุรุษผู้เป็นที่รักของเจ้า
“ไม่เคยรู้เลยสินะ...ว่าการเสียท่านเองก็เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าเช่นกัน”
TALK: เป็นฟิคที่หลอกลวงมาก..เน่ามาก..ดราม่ามาก..จนคนเเต่งยังเเอบผะอืดผะอมเล็ก ๆ
เหมือนเดิมในเรื่องของราชาศััพท์ ไม่มีการเน้นมาก ใช้ให้พอดูเป็นอาณาจักรโบราณก็พอ หวังว่าก็พอจะเข้าใจกันเนอะ
ในตอนที่เเต่งเรื่องนี้สารภาพนิดนึงคือว่าพลอตไว้สองทาง คือให้จงฮยอนตายกับให้ีคีย์ตาย มันจะพลิกไปได้ตามอารมณ์ในทันทีสุดท้ายก็นะ...ด้วยความที่เรามันเอฟซีจงฮยอนไง เลยเสนอให้ กร๊ากกกกก! (ลำเอียงก็บอก...นิสัย!) จริง ๆ เรื่องนี้เเต่งให้่จงฮยอนเป็นคนดีมากเลยนะ ดีกว่าทุกเรื่อง เเถมเป็นตั้งองค์ชาย *ยิ้มเเหย่* เเถมฉลาด..เเละโง่เเละบ้าบิ่นนิด ๆ อิมเมจผู้ชายในฝันฉันเลยนะ เเบบยิ้มเเล้วโลกลืมเนี่ย~ *0*/ (เป็นอะำไรมากกับจงฮยอนจริง ๆ) มาถึงน้องคีย์ที่เป็นเเมวของจงฮยอนกันบ้าง น้องน่ารักนะ เเ่ต่งไปเเล้วเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ๆ จริง ๆ อะ (ไหว้ล่ะเเม่ยกน้อง เรารักเราเอ็นดูนะคะ) เเละเเน่นอนว่ามันต้องมีสัญชาตญาณดิบกันบ้าง สงสารน้องนะ เเต่มาหามายด์เถอะค่ะ มายด์คือคู่เเท้ของน้องในเรื่องนี้ กร๊ากกกก! (ออกทะเล) จริง ๆ ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลที่เเตกต่างนะ เเต่ไม่ได้เลวไปทุกคนค่ะ มายด์มันมนุษย์กำกวม 555+ เรื่องนี้เเอบเสียดสีทัศนคติทางการปกครองนิด ๆ พอดีว่าสนใจเเนว ๆ นี้บ้างเลยอิน ก๊ากกกก~!
#รู้สึกว่าน่าจะเเ่ต่งได้ดีกว่านี้ (เเต่เรื่องนี้ยาวเวอร์ 30 หน้า A4 คุณพระ!)
##ดราม่ามั้ย? =___=;; ตอนฮยอนจะสิ้นใจเเอบผะอืดผะอม...จะทำไงให้คนอื่นเศร้า? (ในเมื่อเราไม่เศร้าอะเหวยย~!)
###ถ้าติดตามมาตั้งเเต่ KEIZERIN ก็ขอบคุณที่ยังให้ความสนใจซีรีย์บ้า ๆ นี้นะคะ
ขอบคุณอย่างเเรงอะโว๊ะ!
101112
BUTTERFLY DESTIN
[b]TITLE:[/b] KEIZER
[b]AUTHOR:[/b] BUTTERFLY DESTIN [B.D]
[b]COPLE:[/b] JONGKEY [JONGHYUN x KEY]
[b]RATE:[/b] PG
[b]WARNING:[/b] เรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นจินตนาการของผู้แต่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
[b]NOTE:[/b] 1 ใน K-SERIES ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เรื่อง คือ KEIZERIN, [b]KEIZER[/b], KNIGHT เีรื่องนี้ออกมาเป็นลำดับสองต่อจาก KEIZERIN ในพาร์ทเเรกซึ่งเป็น TRUEMIN อ่านเเต่ตัวนี้คงจะรู้เรื่อง(?) นะคะ 55+ ถ้าใครสงสัยถามเป็นคำถามไว้ได้ค่ะ จะตอบทุกข้อข้องใจ (เพื่อความเข้าใจที่เเจ่มเเจ้ง..เเนะำนำให้ไปอ่านพาร์ท KEIZERIN ค่ะ)
สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านพาร์ทก่อน >> KEIZERIN <<
#โปรดมีจิตศรัทธา อย่าอ่านเเล้วอย่าเเปะไว้เฉย ๆ เลยนะคะ
ในศักราชหนึ่งของราชอาณาจักรคิวรยอน บ้านเมืองเกิดวิกฤติสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มกบฏลือชื่อบุกเข้าลอบปลงพระชนม์มหารานี ซ้ำยังลักพาเอาตัวองค์รัชทายาทไปอย่างไรวี่แววที่จะพบเจอ ราชนิกุลเพียงหนึ่งเดียวจำต้องขึ้นครองราชย์แม้จะขัดกับกฎหมายที่มี เหล่าชาวเมืองสร้างความวุ่นวายเพราะระบบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทัน บรรดาสตรีทั้งหลายต่างพากันประท้วงสิทธิ์ของตนในขณะที่ชายหนุ่มทั่วแผ่นดินต่างโห่ร้องดีใจ
แต่ใครจะไปรู้กันเหล่าว่าสถานการณ์ในวังหลวงปั่นป่วนเพียงไร?
“ทูลองค์ชาย...กระหม่อมเป็นรักษาการณ์หัวหน้าฝ่ายกบฏกองโจร ควอน พยองซอก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”
รอบประตูวังถูกควบคุมโดยทหารของเหล่ากองโจร ตำหนักพระจักรพรรดินีถูกเผาทำลายเสียหาย ตำหนักรัชทายาทเองก็ไม่ต่างกัน บรรดาขุนนางสาวหลายคนถูกจองจำให้อยู่ในจวนเรือน ทหารชายของราชวังถูกบีบบังคับให้ทำตามคำสั่งของกลุ่มกบฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตำหนักของจงฮยอนเองก็ถูกล้อมกรอบไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยการปรากฏตัวของของผู้ชายที่ชื่อ ควอน พยองซอก
“จะเอาอย่างไรก็ว่ามา”
องค์ชายจงฮยอนในชุดทรงลำลองสีขาวพิสุทธิ์นั่งเกร็งตัวนิ่ง หยดเหงื่อไหลซึมตามง่ามนิ้วและไรผมอย่างกดดัน สิ่งที่เขากังวลนั้นไม่ใช่ราชวงศ์หรือชีวิตของตน
ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสักสองสามสัปดาห์ก่อนหน้า เขาจะไม่รีรอเลยที่จะปลิดชีพตามบรรพชน
.....หากทว่าในตอนนี้เขามีสิ่งที่จะต้องปกป้อง
“ได้โปรดลงพระนามขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแล้วบริหารบ้านเมือง ปรับเปลี่ยนกฎหมาย สร้างสิทธิ์ให้ชายเช่นพวกเราเสีย แล้วท่านจะพัฒนาอะไรอย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่านจะต้องการ แต่ทางเราจะส่งขุนนางมาสอดส่องความเป็นไปสักสองสามคน ยุติธรรมดีหรือไม่พะยะค่ะ?”
พยองซอกเอ่ยสบาย ๆ พร้อมกับยื่นเอกสารลงพระนามไปไว้เบื้องหน้า
ปลายพู่กันตวัดไหวเป็นลายพระหัตถ์แสนงดงาม โจรหนุ่มแย้มยิ้มก่อนจะนำราชสารที่องค์ชายจงฮยอนเพิ่งได้ลงนามไปเมื่อสักครู่ขึ้นมาม้วนเก็บให้เรียบร้อย
“ขอบพระทัยที่ทรงให้ความร่วมมือ มันอาจจะลำบากอยู่สักหน่อยสำหรับการเมืองในช่วงนี้ แต่กระหม่อมคิดว่าตัวพระองค์เองก็คงได้รับการฝึกฝนมาบ้าง”
“.....”
“ยังไงก็หวังว่าจะได้เห็นองค์จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์จักรพรรดินีนะพะยะค่ะ"
......................................................................
เหล่ากบฏพลิกผันสถานการณ์ทุกอย่างให้เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาชั่วข้ามคืน เอกสารที่เขาลงนามไปนั้นถูกเชิญเข้าที่ประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น สตรีทั่วทั้งแผ่นดินแทบจะตราหน้าว่าเขาเป็นจอมทรราช ในขณะที่บรรดาชายหนุ่มต่างสรรเสริญเยินยอตัวเขาอย่างไม่จบไม่สิ้น
“เราจะขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปชั่วคราวก่อน ทั้งนี้จะปรับเปลี่ยนกฎหมายบางส่วนตามที่ประชาชนได้ยื่นเงื่อนไขเข้ามา แต่งขุนนางขึ้นใหม่บางส่วนและถอดขุนนางเก่าบางส่วนให้เป็นข้าราชการบำนาญ หวังว่าทุกท่านจะรับทราบโดยทั่วกัน”
“ไม่เถลิงราชย์ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิเสียเลยล่ะเพคะ จะได้ทำอะไรให้มันสะดวกกว่าเดิม”
ขุนนางสตรีผู้หนึ่งเอ่ยแดกดัน ในขณะที่จงฮยอนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาสีหน้าและอปกิริยาให้สงบเสงี่ยมและใจเย็
นอย่างที่สุด
“ขออภัยท่านขุนนางคง กรุณาแยกกิจกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันด้วยเถิด ที่นี่คือที่ประชุม มิใช่จวนของท่าน อีกทั้งผู้ที่ท่านกำลังเอ่ยถึงอยู่นั้นเป็นผู้ที่มีศักดิ์มากกว่า ยิ่งไม่ควรหมิ่นประมาทเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าท่านจะพิจารณาความเหมาะสมทั้งมวลได้ด้วยตนเอง”
ขุนนางชายผู้หนึ่งที่ทางกลุ่มกบฏส่งมาเอ่ยขัด ก่อนที่บรรยายกาศรอบตำหนักราชการจะเย็นเยียบลงไปมากกว่าเดิม
"หากมีข้อสงสัยให้เขียนสารมาไถ่ถามได้ทุกเวลา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มเติม เราขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้”
ระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามสร้างความกดดันมหาศาลให้กับเขาขนาดนี้เลยหรือ?
.
.
.
.
.
“สีหน้าไม่ดีแบบนี้ เกิดเรื่องไม่ดีสินะ”
ร่างบางในชุดแพรสีม่วงอ่อนเอ่ยถามทันทีที่เขาย่างเท้าเข้ามาในตำหนัก หลังจากที่โดนกักบริเวณซ้ำยังไม่ได้พบหน้าจงฮยอนมาหลายวัน วันนี้เป็นวันแรกที่คิบอมได้ออกมาจากห้องนอนของตน
ไม่อาจหลอกตนเองได้ว่าไม่คิดถึงร่างโปร่งขององค์ชายตรงหน้า
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาทุกข์กับข้าหรอก หลายวันมานี้เจ้าคงเบื่อ ให้ข้าเล่นพิณให้เจ้าฟังดีไหม?”
ประกายความเหนื่อยล้าหายไปเสียสิ้นยามได้ทอดมองลูกแมวตัวเล็กของตน จงฮยอนวาดยิ้มบางให้คิบอมก่อนจะสั่งให้นางกำนัลที่ประจำอยู่หยิบพิณเข้ามาในโถงเล็กของตำหนัก
“เเต่องค์ชาย...วันนี้หม่อมฉันนอนมาทั้งวันแล้ว ยังจะทรงกล่อมให้หม่อมฉันหลับไปอีกคราหรือ?”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ทั้งน่ารัก ทั้งใสซื่อยิ่งนักในสายตาของจงฮยอน
ชีวิตก่อนหน้าที่เขาจะได้พบคิบอมนั้นช่างมืดมัวและเต็มไปด้วยความเหงา.....
มารดาผู้ให้กำเนิดเอาแต่สนใจน้องสาวผู้เย่อหยิ่งและจองหอง หมางเมินตัวเขาเพียงเพราะเกิดมาเป็นชาย ตำแหน่งองค์ชายที่แบกไว้ช่างไร้ค่าไร้ราคา ทั่วทั้งแผ่นดินรู้ดีว่าตัวเขาเป็นเพียงหมากที่เกินมาของราชวงศ์ ซึ่งเขาก็เลือกที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาเสมอ
แต่ก็ไม่อาจทนนิ่งงันได้นาน.....
ด้วยความโหดเหี่ยมไร้หัวใจของน้องสาวก็ดี หรือจะเป็นโลกในอุดมคติที่แสนจะไร้ความยุติธรรมของพระมารดาก็ดี ทำให้เขาไม่อาจทำตัวเป็นตุ๊กตาองค์ชายอีกต่อไป
จงฮยอนตัดสินใจรับอุปการะกลุ่มเด็กชายจรจัดในเมือง จัดตั้งเป็นสมาคมเล็ก ๆ ขึ้นและคอยสนับสนุนด้านการเงินและการศึกษาอยู่อย่างลับ ๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้
เพียงไม่นานน้องสาวผู้ชั่วร้ายของเขาก็ก่อปัญหาขึ้นมาอีกครา.....
ทั้งที่ปกติก็ชอบรังแกพสกนิกรชายในแผ่นดินอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ชุนฮยังกลับทำร้ายจิตใจนักโทษโดยการจัดการแข่งขันแบบฆ่าฟันขึ้นมาอีก ทั้งเพื่อผลประโยชน์และเพื่อความภิรมย์ส่วนตัว ครั้นพอได้ยินดังนั้น จงฮยอนก็หมายมาดจะไปหักห้ามการกระทำนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกบรรดาทหารของน้องสาวกักกันไว้ไม่ให้ออกจากตำหนัก ทำได้แค่เพียงสงบนิ่งไว้อาลัย กลายเป็นเพียงตุ๊กตาองค์ชายผู้ไร้ประโยชน์อีกครา
“โง่จริง ๆ จงฮยอน..เจ้ามันแสนโง่เสียเหลือเกิน”
ทำได้แค่เพียงด่าทอตนเองเบา ๆ เท่านั้น
แต่เหตุการณ์สำคัญ มักจะเกิดขึ้นในยามที่หัวใจท้อถอยบ่อย ๆ เสมอ.....
ตุบ!
อัก!
เสียงวัตถุขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหล่นดังมาจากหลังตำหนัก ในบริเวณที่จงฮยอนยืนไว้อาลัยอยู่นั้นเป็นเฉลียงที่ยื่นออกมาใกล้สระบัว จึงได้ยินเสียงนั้นชัดเจนยิ่งนัก ด้วยความนึกฉงน องค์ชายใหญ่แห่งคิวรยอนจึงไม่รอช้า ร่างโปร่งแหวกควานพงหญ้ารกชัฏบริเวณด้านหลังสระบัว จนพบว่ามีร่างหนึ่งนอนหายใจหอบอยู่ที่ปลายเท้าตน
“เจ้า...”
“ได้โปรด..พาขาออกไปจากที่นี่...ได้โปรด..ช่วย..”
ไม่ทันได้พูดสิ่งใด ร่างบางที่บาดเจ็บก็สลบไสลไปเสียก่อน เล่นเอาจงฮยอนตกใจเสียยกใหญ่ แขนแกร่งรีบสอดเข้าอุ้มทั้งร่างของหนุ่มน้อยนิรนามขึ้นมาแล้วพากลับเข้าไปที่ตำหนักในทันที
.
.
.
.
.
หลังจากที่ให้หมอประจำตนมาตรวจรักษาได้ไม่นาน ร่างบางก็ฟื้นตื่นขึ้นจากนิทรา.....
“ท่าน...”
“เราจงฮยอน...องค์ชายจงฮยอนแห่งคิวรยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
สีหน้าของจงฮยอนนั้นช่างอ่อนโยน ราวกับต้องการปลอบประโลมทุกข์ทุกสิ่งในโลก แค่เพียงได้สบตาในคราแรก คิบอมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้สามารถพึ่งพาได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
“ข้า..เอ่อ..หม่อมฉัน ชื่อ คิม คิบอม”
ร่างบางหลบตาคมแล้วเอื้อนเอ่ย หัวใจยังหวาดหวั่นและไม่ละซึ่งความระแวง ถึงแม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะดูน่าไว้ใจสักเพียงไร ประสบการณ์สอนให้เขาจดจำจนขึ้นใจเสมอว่าดวงหน้าไม่เคยส่อถึงสันดาน ดังเช่นผู้หญิงใจมารที่หลอกลวงเขาคนนั้นได้หรอก
“ข้าไม่ถือตัวขนาดนั้นหรอก ไม่ต้องเกรงนะ ข้าไม่คิดร้ายต่อเจ้า”
สัมผัสอ่อนโยนแตะเข้าที่กลุ่มผมนุ่ม มือใหญ่ลูบขึ้นลงอย่างทะนุถนอมราวกับตัวเขาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังบาดเจ็บหนัก
ผู้ชายตรงหน้าเป็นนักบวชรึเปลานะ?
ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเหนื่อยอ่อน เพราะงั้นถึงทุกอย่างจะดำเนินไปเช่นไรก็ตาม เขาเลือกที่จะละทิ้งมัน.....
.....เพราะความรู้สึกบางอย่างเชื่อมั่นว่า องค์ชายผู้อ่อนโยนคนนี้จะไม่มีทางทำร้ายเขา
...........................................................
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จวบจนย่างเข้าวันที่สองแล้วที่คิบอมยังอาศัยอยู่ในตำหนักจงฮยอนในฐานะแขกพิเศษ ครั้นพอเอ่ยถามองค์ชายตัวดีว่าองค์ราชินีจะไม่สงสัยหรือก็กลับได้รับเสียงหัวเราะน้อ
ย ๆ พร้อมคำตอบที่เจ้าตัวพร้อมไหวไหล่ประกอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าก็แค่ตุ๊กตาองค์ชาย ความสำคัญหรือก็แค่แบกยศไปวัน ๆ ก็เท่านั้น คนใหญ่คนโตระดับองค์จักรพรรดินีคงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจหรอก”
แม้น้ำเสียงของร่างโปร่งจะเรียบลื่นไม่มีสะดุดราวกับมันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวแสนจะเค
ยชินกับมันก็ตาม แต่หากมองลึกเข้าไปในสายตานั้นแล้ว คิบอมกลับพบความอ้างว้างมหาศาลซุกซ่อนอยู่
อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดใจตามอีกฝ่ายไปด้วย.....
“องค์ชายคงจะผ่านเรื่องราวปวดร้าวมามากสินะพะยะค่ะ”
มือใหญ่เอื้อมเข้าไปกอบกุมมือเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ
“นั่นมันก็เป็นแค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว สำหรับตอนนี้ข้ามีความสุข เจ้าน่ะเป็นเหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ ของข้า ลูกแมวที่ทำให้ชีวิตของข้าพบพานความสุข พบพานรอยยิ้มที่แท้จริงของตนเองอีกครั้งนะ เจ้ารู้หรือไม่?”
เสียงนั้นแหบพร่าทว่านุ่มละมุน เรียกเอาความร้อนทั้งหลายทั้งแหล่มากองสุมที่ใบหน้าของคิบอมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พวงแก้มงามสุกปลั่งด้วยสีเลือดฝาดเจือจางพร้อมทั้งกำลังจะขยายอาณาเขตเข้าไปถึงใบหูอ
ย่างรวดเร็ว
“พระองค์ทรงคิดว่าหม่อมฉันเป็นแมวจริง ๆ หรือ?”
คิบอมเสตามองไปอีกด้านก่อนจะเอ่ยถามองค์ชายผู้สูงศักดิ์ จงฮยอนคลี่ยิ้มกว้างพลางเอ่ยกระซิบตอบข้อข้องใจของร่างบางเบา ๆ ที่ข้างหู
“แมวของข้าเท่านั้นนะ”
การเกี้ยวพาไม่ใช่เรื่องถนัดของจงฮยอน ทว่ายามนี้เขากลับทำได้ดี
“คุยเรื่องอื่นเถิด เพราะเห็นทีหม่อมฉันจะรับมือกับพระองค์ไม่ไหว”
อีกคนเหมือนรู้ดีว่าตนกำลังถูกเกี้ยว จึงรีบห้ามอีกฝ่ายไว้โดยไวเสียก่อน มิฉะนั้นเขาอาจเสียทีทั้งวาจาทั้งหัวใจ
เพราะรักนั้น...หากก่อตัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว มันช่างยากเหลือเกินที่จะถอดถอน
ยิ่งกับบุรุษตรงหน้าด้วยแล้ว...มันคงไม่มีวันเป็นไปได้
.
.
.
.
.
ครั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเพียงสามวัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น.....
ถึงจะได้ยินมาหนาหูถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับ ‘กบฏกองโจร’ ผู้ยิ่งใหญ่ แต่คิบอมก็ไม่เคยนึกฝันเลยว่ากลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์จากหน้า
มือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ ถึงตัวเขาจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนที่จงฮยอนจัดไว้ให้อย่างจำใจก็ตาม แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงข่าวสารทั้งหมด ผ่านนางกำนัลบ้าง ต้นห้องบ้าง ในวันที่พระตำหนักถูกโจมตี ความวุ่นวายทั้งหลายก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้
แต่ก็ควร ‘แสร้ง’ ทำเป็นไม่รู้เพื่อให้องค์ชายจงฮยอนสบายใจ
จนถึงตอนนี้เขาคือแมวที่ดีของจงฮยอน.....
“พิณเพคะ”
หลังจากที่นั่งจิบชารอมาได้สักครู่ นางกำนัลก็ยกพิณขึ้นมาวางตั้ง จงฮยอนส่งยิ้มให้พร้อมคำขอบใจ บางทีนี่อาจเป็นเล็ก ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เหล่านางกำนัลในตำหนักนี้ซื่อสัตย์ต่อเขาเสมอมา
องค์ชายผู้นี้ช่างอ่อนโยน ใจดี และอารีต่อผู้อื่นเสมอ
“จริง ๆ แล้ว..ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งหน่อย คงไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าเช่นหลายวันที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าหากเจ้าเบื่อหน่าย ก็ไปนั่งเขียนหนังสือหรือเดินเล่นที่สวนด้านหลังได้นะ”
ร่างโปร่งเลื่อนพิณเข้ามาไว้ด้านหน้าตัว สบตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะเอ่ยเริ่มบทสนทนาอย่างไม่สบายใจ
.....ที่จริงแล้วความไม่สบายของเขาคือการที่ต้องห่างจากคิบอมต่างหาก
“หม่อมฉันมิบังอาจรบกวนเวลา อันที่จริงแค่ได้ที่พักอาศัยสุขสบายกับอาหารดี ๆ ในทุกมื้อก็เป็นพระคุณล้นพ้นแล้ว หม่อมฉัน.....”
“ชี่!...”
นิ้วเรียวแนบเข้าที่ริมฝีปากบางเบา ๆ ใบหน้าของร่างโปร่งห่างจากเจ้าของกลีบปากไม่ถึงคืบ ก่อนที่ฝ่ายจงฮยอนจะทิ้งรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ แล้วถอยร่นกลับไปยังที่นั่งตน
“หากเจ้ามาสำนึกบุญคุณข้าแบบนี้ข้าก็เสียใจแย่ เหมือนข้าทำแล้วหวังผลเลย”
ทั้งตกใจ เขินอาย และงุนงงในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกหลากหลายก่อเกิดขึ้นมาเพราะดวงหน้าคมคายตรงหน้าเขาแต่เพียงผู้เดียว
ไม่ได้...จะคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่ได้นะคิบอม!
จิกเล็บเข้าเนื้อตัวเองเพื่อเตือนใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดมองบุรุษสูงศักดิ์อีกครั้ง
“อย่าคิดมากเลยนะ มาฟังเพลงจากข้าดีกว่า”
มือใหญ่เริ่มร่ายนิ้วกรีดกรายดีดดึง เสียงสดใสและไพเราะดังขึ้นในเวลาต่อมา ปากหนาเปล่งทำนองคำร้องเสนาะขึ้นควบคู่กันไป ในขณะที่ผู้ฟังนั่งสดับนิ่ง หลับตาพริ้ม
.....ถ้อยความหมายของบทเพลงที่แสนหวานกำลังซึมซับเข้าสู่หัวใจ
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
เสียงนั้นดังก้องในส่วนลึกแทบจะทุกวินาที
จะทำเช่นใดต่อ?...จะห้ามตัวเองได้อย่างไรกัน?
.
.
.
.
.
“ตามหาแทคยอนเจอหรือไม่?”
ผู้สำเร็จราชการหนุ่มคนปัจจุบันแห่งคิวรยอน องค์ชายจงฮยอน เอ่ยถามสายสืบของราชวงศ์อย่างร้อนรน ในหัวใจคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากได้เบาะแสของสุดยอดองครักษ์อย่างแทคยอนความหวังที่เขาจะตามหาชุนฮยังเจออาจจะพอมีขึ้นมาบ้าง
[i]ทว่า.....[/i]
“มีชาวบ้านรายงานว่าพบบุคคลลักษณะเช่นท่านราชองครักษ์ แต่ก็ค้นหาแหล่งที่อยู่ไม้ได้พะยะค่ะ”
หลังจากที่ได้พบบันทึกจากลายพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดินีเล่มหนึ่ง ความจริงเกี่ยวกับความลับสุดยอดของรัชทายาทในราชวงศ์ก็กระจ่าง
แท้จริงแล้วน้องสาวของเขาเป็น ‘น้องชาย’ ที่ถูกพระมารดากดดันให้สืบทอดบัลลังก์ตลอดมา
ทั้งพฤติกรรมก้าวร้าว ทั้งการกระทำชั่วร้าย ล้วนเป็นผลพวงมาจากการตบตาของจิตใจที่อ่อนแออย่างที่สุดก็เท่านั้น ชุนฮยังหรือแทมินที่เป็นชื่อจริงไม่ได้ต้องการจะทำมันจากส่วนลึกเลยสักนิด
คิดแล้วก็รู้สึกสมเพชในความไร้ค่าของตนเอง.....
จงฮยอนเอาแต่โอนอ่อนไปตามสิ่งที่พระมารดาต้องการ จงฮยอนที่อ่อนแอและขี้ขลาด จงฮยอนที่นอกจากจะไม่ฉลาดแล้วยังไร้ประโยชน์
.....เขาปล่อยให้น้องชายลำบากโดยที่ไม่เคยได้รับรู้สิ่งใดเลย
“ขอโทษนะ”
คิบอมยืนแอบมองภาพนั้นอยู่เพียงลำพัง ตัวเขาออกมาเดินเล่นนอกตำหนักได้สักพักใหญ่แล้วจึงรู้สึกอยากพักผ่อน แต่ก็ไม่นึกว่าพอกลับเข้ามาในตำหนักจะได้พบเหตุการณ์แบบนี้
เขารู้แค่เรื่องขององครักษ์แทคยอน กับได้ยินเพียงคำขอโทษเบา ๆ ของจงอยอนแต่เพียงเท่านั้น
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...สองมือของคิบอมถึงอยากกอดปลอบแผ่นหลังแกร่งนั้นแน่น ๆ สักครั้ง
.
.
.
.
.
ริมสระบัวหลังตำหนักองค์ชายมักจะเป็นสถานที่พักผ่อนที่ยอดเยี่ยมสำหรับคิบอมเสมอ ตัวเฉลียงที่ยื่นออกไปเป็นท่าน้ำนั้นเป็นที่นั่งประจำของร่างบางมาตลอดเวลาที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งอากาศที่พัดผ่านเย็นสบายหรือจะเป็นร่มไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ไม่ไกล ต่างช่วยสงเสริมให้จิตใจสงบ
เสียงพิณลอยวนเข้ามาในโสตประสาท...ขับขาน...ร้องก้อง
“ไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าหม่อมฉันเป็นใคร มาจากไหน?”
“จะต้องสงสัยในสิ่งที่ไม่จำเป็นไปทำไมเล่า?”
ประโยคคำถามของคิบอมถูกตอกกลับอย่างรวดเร็วในแบบที่เขาเองก็ยังคาดไม่ถึง
“หากหม่อมฉันเป็นนักฆ่าที่ต้องการชีวิตพระองค์ล่ะ?”
“ข้าจะยิ้มให้ตราบจนวาระสุดท้ายที่เจ้าปลิดชีพ”
ร่างบางหันกลับมาจ้องมองเจ้าของคำตอบอย่างไม่สบายใจในทันที เขาไม่ชอบให้อีกฝ่ายพูดอะไรไม่เสียดายชีวิตแบบนั้นเลย
“.....”
“อย่างไรเสีย...เจ้าก็แค่สมมติมิใช่หรือ?”
ข้างในไหววูบ ก่อนรอยยิ้มของร่างโปร่งจะบดบังเมฆหมอกในหัวใจออกไปเสียสิ้น จงฮยอนเคลื่อนตัวเข้ามาประชิด ฉุดร่างของคิบอมขึ้นยืนเหยียดตรงก่อนนำไปทางพิณอีกตัวที่เขาสั่งในนางกำนัลจัดเตรียมไว้
พิณไม้สักสลักเสลาลวดลายงดงามวิจิตร ตัวเครื่องดนตรีถูกขัดถูจนขึ้นเป็นเงาเงาวาบวับราวกับต้องการจะเชื้อเชิญให้นักดนตรี
ชั้นสูงให้เข้าไปสัมผัส แต่ ณ ที่นี้มีเพียงคนเดียวที่จะได้เป็นเจ้าของ
“มันเป็นของเจ้า”
จงฮยอนผายมือไปทางพิณตัวงามก่อนจะกระซิบบอกว่าที่เจ้าของของมันเบา ๆ
“แต่หม่อมฉันเล่นมันไม่เป็น...”
“มันไม่ใช่ปัญหาหรอก”
นิ้วเรียวแตะเข้าที่สายพิณเบา ๆ เกิดเสียงแหลม ๆ สะท้อนดังขึ้น แล้วก็เงียบไป
“ทำไมต้องทรงเอาใจหม่อมฉันมากมายขนาดนี้ด้วย?”
หัวใจของเขาเต้นแรง เหมือนภายในจะรับรู้ได้ถึงคำตอบ แต่อีกด้านก็ยังหวาดกลัว
มากไปแล้ว.....
ผู้ชายตรงหน้ามอบความสุขให้เขามากไปแล้ว
“ไม่รู้จริง ๆ นะหรือ? เหตุผลของหัวใจข้า...”
มือหนาเลื่อนเข้าไปกอบกุมมือเล็ก ตาคมทอดมองลึกซึ้งราวกับจะสื่อความรู้สึกทั้งหมดผ่านม่านตาของตนไปให้อีกฝ่ายอย่างไม
่ปิดบัง
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
‘อย่าได้ลืมสิ่งที่เจ้าต้องปกป้องเสียล่ะ.....คิม คิบอม’
เงาดำในความคิดเอ่ยเตือนสติ
“มะ...หม่อมฉันขอประทานอภัย”
คิบอมหลบสายตาพลางชักมือของตนกลับ สองขาพาร่างของตนก้าวไวกลับเข้าไปในตัวตำหนักอย่างสับสน
หัวใจสั่นไหวอย่างน่ากลัว.....
อย่าได้ใช่ความรักเลย...ได้โปรด
จงฮยอนทอดมองพิณที่ตนตั้งใจมอบให้คิบอมอย่างเศร้าสร้อย
“บางที...ข้าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเลือกสินะ”
เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว เจ้าต้องรีบตัดสินใจนะ...คิบอม
.....อย่าให้ข้าต้องตัดสินใจเอง
..........................................................................
ครั้นวันเวลาผ่านไปได้ไม่นาน เมื่อฤดูใบไม้ผลิเวียนกลับมาเยือนคิวรยอนอีกครา ทั้งบรรดาพืชผลและพันธุ์ไม้ต่างเจริญงอกงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดก็ช่วงฤดูนี้ ประชาชนที่เริ่มกินอยู่สุขสบายขึ้นเริ่มคุ้นชินกับกฎความทัดเทียมที่ถูกบัญญัติขึ้นหลังมหากบฏกองโจรล้มล้างระบอบจักรพรรดินี ความสงบสุขในหมู่พสกนิกรหญิงชายหวนกลับมาสู่แผ่นดิน
ถึงแม้จะยังไม่มีใครพบตัวองค์รัชทายาทผู้สูญหาย คนส่วนใหญ่ก็พอใจกับการปกครองของผู้สำเร็จราชการอย่างองค์ชายจงฮยอนเป็นอย่างมาก
ตัวจงฮยอนยังคงปฏิบัติกับคิบอมเช่นเดิมเสมอต้นเสมอปลาย แม้อาจมีหลายครั้งที่ต้องพานพบสถานการณ์อึกอัก แต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้
แม้จะแค่เป็นวัน ๆ ไปก็ตาม.....
ระยะนี้เขามักถูกปองร้ายบ่อยอย่างไร้สาเหตุ พอนำเรื่องเข้าไปปรึกษาที่ประชุม เหล่าขุนนางหลายรายก็เสนอประเด็นในเรื่องการปกครองแบบเลือกเฟ้นผู้แทนเพื่อความทัดเทียมขึ้นมาเป็นข้อสงสัยอันดับแรก
คิวรยอนที่วุ่นวายหลังผ่านการกบฏครั้งใหญ่ไปได้ทำให้ประชาชนมีความคิดที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น พวกเขาใฝ่ศึกษาและคนบางกลุ่มเล็งเห็นว่าความทัดเทียมต้องเกิดขึ้นจากทุกชนชั้น ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นการก่อกำเนิดชุมนุมกลุ่มผู้นำประชาชน อันมุ่งหวังเรียกร้องสิทธิ์ให้ราชวงศ์ปลดอำนาจลงเพื่อความเท่าเทียมของทุกคนในแผ่นดิน
เคราะห์ดันมาตกอยู่ที่การตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการอย่างองค์ชายจงฮยอน.....
แน่นอนว่าศักดิ์ศรีราชวงศ์เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ อีกทั้งถ้าหากปล่อยดุลอำนาจให้ประชาชนไปในยามนี้ก็ดีแต่จะเป็นอันตราย กลุ่มชุมนุมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะดูแลแผ่นดิน ซ้ำร้ายเขาก็ยังตามหาชุนฮยังไม่พบ
เหนื่อย.....
.....ตอนนี้จงฮยอนรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
คิบอม...บางทีมันอาจถึงเวลาแล้ว
.............................................................................
“มันเป็นหนทางเดียว คิม คิบอม...”
แสงไฟจากตะเกียงเล็กสว่างโชติช่วงในความมืดมิดยามค่ำคืน สองขาเร่งฝีเท้าให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องบรรทมขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ มือเล็กเปิดประตูพลางแทรกตัวผ่านเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ร่างบางสดับฟังเสียงลมหายใจแสนแผ่วเบาของเป้าหมายอย่างมีสมาธิ ทั้งหู ตา ประสาทตื่นตัว พร้อมลงมือ
กึก!
ฝีเท้าก้าวเข้าไปหยุดที่หน้าแท่นบรรทม ก่อนมือขวาจะหยิบมีดเงินขึ้นมากระชับเอาไว้มั่น.....
.....คิบอมเงื้อมันขึ้นสุดแขน
.
.
.
.
.
“.....”
“ฮึก...”
ทำไม่ได้...เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาไม่อาจจำได้ แต่ที่รู้ดีอยู่แก่ใจคือเขาไม่อาจลงมือได้
มีดพกเล่มงามถูกสอดเก็บกลับไปไว้ในสาบเสื้อ หยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากแก้วตาคู่สวยอย่างเงียบเชียบ ยิ่งเวลาเหลือน้อย เขายิ่งต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ฉะนั้นคิบอมจึงต้องจัดการลงมือในทุก ๆ คืน
เพื่อเพียงหวังว่าจะตัดใจทำได้ในคืนสุดท้าย.....
แต่บางทีมันอาจจะยิ่งทำให้หัวใจของเขารู้สึกย่ำแย่ลงไปทุกทีก็เป็นได้
แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่ล้นเอ่อเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจหันหลังกลับไปตั้งหลักที่ห้องนอนของตนเฉกเช่นทุกคืนที่ผ่านมา
ทว่า.....
หมับ! กึก!
“อย่าเพิ่งไปสิ”
“อ๊ะ!”
แขนบางถูกฉุดไว้จากทางด้านหลังโดยร่างโปร่งสง่าของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเขามากที่สุดในขณะนี้
“อะ...องค์ชายจงฮยอน”
องค์ชายผู้สูงศักดิ์กำข้อมือของเขาแน่น ใบหน้าคมสันเรียบเฉย นัยน์ตาสุกใสนั้นแสนเย็นชา วินาทีนั้นคิบอมแทบไม่กล้าที่จะหายใจ
ยิ่งกว่าขโมยที่ถูกจับได้...อึดอัด...ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ออกแรงทำร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงไม่ลงมือเสียล่ะ”
คำถามนั้นเหมือนคมมีด น้ำเสียงที่เคยเจือความอ่อนโยนไว้เสมอหายไป
จงฮยอนจ้องลึกแล้ววาดยิ้ม.....
“ตกใจสินะ...ตอนนี้กลัวข้ารึเปล่า?”
ในยามที่สรรพเสียงรอบข้างเงียบสงบ ค่ำคืนมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟสาดส่องออกมาจากตะเกียงดวงเล็ก ร่างทั้งสองร่างกลับมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตายิ่งนัก ฉับพลันเดียวที่คิบอมกำลังสั่น แขนแกร่งของจงฮยอนก็ตวัดร่างบางทั้งร่างเข้ามาในอ้อมอก
“บอกข้าได้ไหม? เหตุผลของเจ้าน่ะ”
น้ำเสียงนั้นปรานีที่สุด อ่อนโยนที่สุด
.....น้ำเสียงที่มีแต่องค์ชายจงฮยอนเท่านั้นที่เรียกเขา
“.....”
“ฮึก...”
สองแขนบางสอดรับกอดของชายผู้เป็นที่รัก ก่อนดวงตาคู่สวยจะปลดปล่อยน้ำตาของตนให้ไหลริน
ทำไมได้...ทำร้ายเขาไม่ได้
แต่จะให้พูดออกไปก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ณ วินาทีนี้...เขาอยากจะตาย ๆ ไปเสียเหลือเกิน
“จำได้ไหม? ที่องค์ชายเคยบอกมาเสมอว่าหม่อมฉันน่ะเป็นลูกแมวของพระองค์”
ร่างบางกลั้นเสียงสะอื้นของตนอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่น้ำตายังคงรินไหล คิบอมสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยถามจงฮยอนออกมาอย่างยากเย็น
ในอ้อมกอดที่แนบแน่นยิ่งขึ้น จงฮยอนพยักหน้าเบา ๆ
“จริง ๆ แล้วหม่อมฉันมันก็แค่จิ้งจอกจอมกลับกลอก คำหวานที่มอบให้พระองค์เป็นเพียงคำหลอกลวง องค์ชายเข้าใจใช่ไหม?”
แขนแกร่งคลายอ้อมกอดออก นิ้วเรียวปาดเบา ๆ ที่ขอบตาสวย
“แล้วเหตุใดเจ้าจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ต้องยืนร้องไห้เสียใจอยู่ทุกคืนวันด้วยเล่า? บอกข้าได้หรือไม่?”
ฝ่ายจิ้งจอกนิ่งอึ้ง...คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงการกระทำของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้
“ทำไมถึง...”
“เจ้าเองก็ไม่ตอบคำถามข้า...งั้นข้าก็ไม่ตอบบ้างดีไหม?”
ยิ้มละมุนแล้วเกลี่ยนิ้วเบา ๆ ที่แก้มนิ่ม
แต่ยิ่งคิบอมจ้องลึกลงไปมากเท่าใด.....
.....เขายิ่งพบความเศร้าโศกภายในดวงตาคู่นั้นเพิ่มขึ้น
ผู้ชายตรงหน้าเหมือนจะเปิดเผย...แต่กลับลึกลับซับซ้อนเสียยิ่งกว่าใคร
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...ความอ่อนโยนที่เข้าสัมผัสได้นั้นเป็นของจริง
“เเต่หม่อมฉัน...หม่อมฉันน่ะ...ต้องฆ่าองค์ชาย”
เสียงเล็กสั่นเครือ คิบอมหลบตา หัวใจเจ็บปวดทุกคราเมื่อต้องคิดถึงหน้าที่ของตน
“ข้าให้สิทธิ์เจ้าเลือก...ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาคือตัวประกัน”
“แต่เจ้าไม่อยากฆ่าข้าใช่ไหม?”
“องค์ชายรู้...”
“คิดว่าข้าเป็นใครกัน...หืม?”
รอยยิ้มของจงฮยอนยังฉายชัด จนคิบอมรู้สึกใจสั่น
คิดอะไรอยู่?
พระองค์คิดสิ่งใดอยู่?
“มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่มองไม่เห็นจิตใจข้า”
ปัง!!!
ไม่ทันได้พูดสิ่งใดต่อ ประตูไม้ลายสวยก็ถูกพังครืน พร้อมกับชายในชุดทหารพรางมากมายกรูเข้ารายล้อมองค์ชายจงฮยอนและคิบอม บุรุษเหล่านั้นต่างมีทั้งดาบและธนูเตรียมง้างในมือ
“อย่าได้ริอาจเคลื่อนไหว!”
คิบอมเบิกตาตื่นอย่างตกใจ ร่างบางสะดุ้ง ก่อนโดนองค์จงฮยอนรวบเอวเข้ามากอดไว้แนบอกอีกครั้ง ร่างโปร่งกระซิบเสียงเบาเป็นเชิงให้ไว้ใจเขา
สายเลือดสีน้ำเงินฉายชัด...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงฮยอนก็ยังมีความใจเย็น รอบคอบ และเย่อหยิ่งเยี่ยงขัตติยราชอยู่เสมอ
“คงไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ได้พบเหตุการณ์เหล่านี้กระมังพะยะค่ะ”
เสียงแหบทุ้มดังขึ้นพร้อมร่างชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง ใบหน้าที่คมสันนั้นส่อแววเจ้าเล่ห์เพทุบายอยู่ไม่น้อย วาจาที่ใช้พูดก็จงใจแดกดันคนฟังเสียเต็มประดา
“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้เตรียมการทุกอย่างรอต้อนรับพวกเจ้าไว้อยู่แล้วยังไงล่ะ”
จงฮยอนโต้ตอบอย่างสงบนิ่ง ครั้นพอเสียง ‘พรึบ!’ ดังขึ้น บรรดาทหารหาญในชุดราชองครักษ์กว่าครึ่งร้อยก็เข้ารายล้อมกลุ่มชายชุดทหารพรางไว้อีกชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
คิบอมมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ในหัวประมวลผลได้ทันทีว่าผู้ชายตรงหน้ายังมีอีกหลายด้านที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ พอเผลอมองเสี้ยวหน้าของร่างโปร่งก็ยิ่งพบรัศมีอำนาจที่แพร่กระจายออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“บัดซบ! เจ้านี่มัน...”
ชายคนเดิมหลุดสบถอย่างคับแค้นในขณะที่จงฮยอนเริ่มเปิดบทสนทนาอย่างใจเย็น
“เจ้าคงเป็นหัวหน้ากลุ่มประชาชนที่เชื่อมั่นในทฤษฎีความทัดเทียมของอาณาจักรสินะ”
“ไม่เคยคิดบ้างหรือว่า อำนาจทุกอย่างที่ราชวงศ์มีล้วนมาจากประชาชน ฉะนั้นแท้จริงแล้วอำนาจควรจะมาจากประชาชนและควรถูกปกครองโดยประชาชนไม่ใช่หรือ? รู้บ้างหรือไม่ว่าทุกวันนี้พวกเราต้องทนทุกข์หวาดระแวงกับทิศทางการปกครองของราชวงศ์ ประชาชนไม่ใช่ของเล่นของพวกเจ้า เพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์ ความรู้สูงส่งเยี่ยงองค์ชายคงรู้ได้ถึงความหมายของสิ่งข้าพูดบ้างสินะ”
เขาร่ายยาวมากมายจากความรู้สึกในส่วนลึกและจงฮยอนเองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี มือหนากำแพรผ้าของคิบอมแน่นเพียงชั่วครู่ องค์ชายผู้สูงศักดิ์มอบยิ้มปรานีให้อีกฝ่ายแล้วเอื้อนเอ่ย
“แผ่นนี้ไม่ใช่ของข้าและตัวข้าไม่อาจทำนายอนาคตข้างหน้าได้...แต่ที่ข้ามั่นใจที่สุดในตอนนี้มีเพียงเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ทุกคนมีความสุขก็เท่านั้น นอกจากนั้นข้าไม่มีสิ่งใดที่ปรารถนาอีก”
ชายฉกรรจ์ยิ้มเย้ย.....
“หากท่านมุ่งหวังเช่นนั้น ก็มอบแผ่นดินคืนมาให้ประชาชนเสียสิ!”
.
.
.
.
.
มีเพียงความเงียบเข้าปกคลุมรอบพระตำหนัก บรรยากาศในยามนี้แสนหนักอึ้งชวนให้หายใจไม่ออก ใบหน้าของจงฮยอนเฉยชา สงบนิ่งดุจสายน้ำในฤดูหนาว
“เงื่อนไขคือ...ชีวิตข้าสินะ”
ครั้นได้ยินคำพูดนั้น คิบอมถึงกับขยุ้มชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่น
“ไม่! ไม่นะ...มันไม่ใช่ทางออก...”
ร่างบางเอ่ยค้านเสียงดังอย่างลืมตัว
ณ เวลานี้...แค่เพียงคิดว่าจงฮยอนจะต้องตาย เขาก็ทนไม่ได้เสียแล้ว
คำตอบของคำถามที่เขาเอ่ยถามตัวเองมาหลายวัน...คิบอมได้พบมันแล้ว
“...ในวันสุดท้าย จะฆ่าเขาได้หรือไม่?...”
ไม่มีวัน...เขาไม่มีวันฆ่าได้
เพราะ.....
.....คิบอมไม่อาจฆ่าหัวใจของตนเองได้
“ไอผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครกัน?”
ในช่วงจังหวะที่หลายฝ่ายต่างฉงนสงสัยในตัวของคิบอม ร่างบางผลักจงฮยอนออกจากตัวก่อนจะพุ่งเข้าหาผู้ชายคนเมื่อครู่ตามสัญชาตญาณ ตาเรียวเฉียบคม มีดพกถูกชักขึ้นมาอีกครั้งพร้อมด้วยรังสีฆ่าฟันที่เต็มเปี่ยม
‘เมื่อต้องปกป้องสิ่งสำคัญ...มนุษย์สามารถกลายเป็นสัตว์ป่าแสนดุร้ายได้เสมอ’
.....ไม่ว่าใครหน้าไหนเขาก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมาได้
เหล่าทหารต่างตื่นตระหนกในการกระทำของบุรุษร่างเล็กตรงหน้า ทั้งตกใจทั้งเงอะงะ ไม่สามารถลงมือทำสิ่งใดได้เพราะจงฮยอนไม่ได้สั่งไว้ เดิมทีก็แค่ถูกสั่งให้ดักทางพวกกบฏแล้วเจรจาอย่างสันติเฉย ๆ แต่เหตุการณ์ตอนนี้มันนอกเหนือกว่าที่ได้ถูกคำนวณเอาไว้
“เก็บมันก่อนแล้วไปจับตัวองค์ชาย เร็วเข้า!”
จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เข้าฟาดฟันกลุ่มกบฏตรงหน้าอย่างไร้สติ หยดเลือดมากมายสาดกระเซ็น ไม่มีใครพิชิตเขาได้ ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้
นอกเสียจาก.....
ฉึก!!
“อึก...”
เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ สรรพสิ่งรอบตัวเคลื่อนที่ไปเช่นไรคิบอมไม่อาจรับรู้ได้
.....แต่ที่แจ่มชัดในโสตประสาทคือภาพของจงฮยอนพุ่งเข้ามาหามีดของเขา...ร่างโปร่งที่ถูกแทงทะลุ...โดยมีดเงินในมือของเขาเอง
ยิ่งกว่าเลวร้าย.....
ยิ่งกว่าถูกทรมานปางตาย.....
มันคือความหวาดกลัวมาตลอดของ คิม คิบอม
“จับ...พวกกบฏ...เอาไปคุมขังไว้ก่อน”
น้ำเสียงของเขาขาดตอน แต่ยังชัดเจน เหล่าบรรดาทหารองครักษ์รีบปฏิบัติงานตามบัญชาอย่างรวดเร็ว เหล่ากบฏถูกเข้าจับกุมแล้วหามออกไป จงฮยอนยกมือห้ามทหารบางคนที่พยายามเข้ามาจับคิบอม เพียงไม่นานห้องทั้งห้องก็มีเพียงองค์ชายจงฮยอนกับ คิม คิบอม อีกครั้ง
.....เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างพลันสลายไป
ตากลมเบิกค้าง มือบางยังจับมั่นที่ด้ามมีด ไม่กล้าแม้จะไหวกาย
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ...ทุกอย่างล้วนเป็นความเห็นแก่ตัวของข้า”
สองมือหนาประคองทาบที่แก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน เเต่ก็ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ สายธารอุ่น ๆ ก็ไหลรินจากแก้วตาของร่างบางอีกครา จงฮยอนใช้นิ้วโป้งของตนปาดเกลี่ยเบา ๆ ก่อนจะโน้มคอลงไปจูบซับที่เปลือกตา
จูบนั้นนุ่มละมุ่น...เสียจนอีกฝ่ายอยากจะให้นี่เป็นเพียงฝัน
“อย่า..ขยับนะ...”
“เป็นไปไม่ได้หรอกคิบอม...ข้าเล็งไว้แล้วน่ะ”
หวาดกลัวว่าจะรักษาไม่ได้ แต่ความหวังก็ถูกทำลายลงพร้อมกันกับรอยยิ้มแสนเศร้าของร่างโปร่งตรงหน้า
“ฮึก...ทำไมต้องทำแบบนี้...ทำไมล่ะ?”
มือขวากำผ้าที่ไหล่ของจงฮยอนแน่นอย่างเจ็บปวด
ตาคมพร่าเลือน ขาเเกร่งโงนเงน
“เจ้าเคยบอก..ว่าชอบฟังเพลง...ของข้า”
“..แต่ที่นี่...ไม่มี..พิณ...เสียด้วยสิ...”
เลือดสีสดไหลอาบแพรสีครีมเสียจนชุ่ม บางส่วนแห้งกรังติดผ้าไปบ้างแล้ว ทั้งหมดนั้นคิบอมรู้ดี สัมผัสได้ แต่มิอาจห้ามสิ่งใดได้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพยายามฝืนยิ้มให้มากเท่าไหร่ หัวใจของยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเป็นทวีคูณ
“...พอเถอะนะ..อย่าพยายามฝืนยิ้มอีกเลย”
ถึงจะถูกห้าม แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มต่อไป.....
“เรียก...จงฮยอนสิ”
หัวทุยซบเข้าที่ไหล่บางพร้อมเสียงกระซิบแผ่ว ร่างโปร่งทิ้งน้ำหนักลงเล็กน้อย ทั้งตัวสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด
“จงฮยอน...จงฮยอน..ได้ยินรึเปล่า..ได้ยินใช่ไหม?”
คิบอมลนลาน เขาหวาดกลัวว่าจะมีวินาทีใดวินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายหมดลม น้ำตายังคงไหลลงเป็นสายไม่หยุดหย่อน ตาสวยแดงช้ำ แต่ก็ยังเอื้อนเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างเข้มแข็ง
“ทั้งหมด...เพราะรัก...ขอโทษ..นะ”
จงฮยอนทรุดลงนิ่ง ทุกโสตประสาทหยุดเคลื่อนไหว ลมหายใจขาดหาย
.....พร้อมกันกับหัวใจของคิบอมที่แน่นิ่ง
“จงฮยอน..จงฮยอนอ่า...”
“ถึงจะไม่มีพิณ..ข้าฟังแต่เสียงท่านก็ได้นะ”
“.....”
“ใจร้ายจริง...จงฮยอน”
“ฮึก...ทำไมไม่รอฟังกันบ้าง...”
มือนิ่มลูบเข้าที่แก้มเย็นชืด หยดน้ำตาร่วงหล่น.....
“...คิบอมเอง..ก็รักจงฮยอนเหมือนกันนะ”
...............................................................................
“ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
“ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
“ขอองค์ชายทรงกลับสู่สรวงสวรรค์ชั้นสงสุด!”
เมื่อคราหนึ่งทั้งแผ่นดินถูกย้อมด้วยสีดำขาว เหล่าราษฎรต่างร่ำไห้ให้กับสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้าย ทั้งขุนนางและบรรดาทหารรับราชโองการสุดท้ายขององค์ชายมาถือไว้มั่น ก่อนจะเปิดอ่านมันต่อหน้าสาธารณชนด้วยจิตใจที่หมองเศร้า เนื้อความในผ้าดิบขาวต่างพรรณนาไว้ซึ่งเจตจำนงที่มีแต่จะให้ประชาชนเข้าใจในเหตุผลและธำรงประเทศให้เป็นสุขต่อไปด้วยอำนาจแห่งประชาชน
หนึ่งในผู้คนมากมายที่ยืนมองควันเพลิงพวยพุ่งอยู่ที่หน้าประตู่ราชวังนั้น มีบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสุดทีรักของจอมจักรพรรดิอยู่
“.....”
ถึงจะไม่เคยสถาปนาตน แต่บุคคลผู้นั้นได้กลายเป็นจักรพรรดิในใจทุกคนไปแล้ว
.
.
.
.
.
ในวันที่เขาได้รับอิสรภาพลวง ๆ จากองค์รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์ เขาไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือสุดยอดองครักษ์อย่าง อก แทคยอน และในยามที่ตัวเองได้กลายไปเป็นหมาจนตรอก ข้อเสนอที่แสนเหี่ยมโหดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
“ถ้าเจ้าฆ่าองค์ชายจงฮยอนได้ ข้าจะปล่อยเจ้ากับครอบครัวของเจ้าไป”
แค่หลับตานึกสภาพความน่าสมเพชของตัวเองในตอนนั้นก็รู้สึกอยากตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับความรักและความทุกข์
.....มันเป็นชะตากรรมของเขาใช่ไหม?
คิบอมกำกระดาษบางสีขาวในมือแน่น.....
ข้ามีหน้าปกป้องเจ้าจากความทุกข์ทั้งมวล บัดนี้ข้าได้คลายทุกข์ของเจ้าแล้ว จากนี้ไปจงยืนหยัดด้วยชีวิตที่ข้า
มอบให้ หัวใจเจ้าข้าขอลักพา ตอบแทนหัวใจข้าที่เจ้าลักพาไป
จงปกป้องสิ่งที่เจ้าต้องปกป้อง
บุรุษผู้เป็นที่รักของเจ้า
“ไม่เคยรู้เลยสินะ...ว่าการเสียท่านเองก็เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าเช่นกัน”
END
TALK: เป็นฟิคที่หลอกลวงมาก..เน่ามาก..ดราม่ามาก..จนคนเเต่งยังเเอบผะอืดผะอมเล็ก ๆ
เหมือนเดิมในเรื่องของราชาศััพท์ ไม่มีการเน้นมาก ใช้ให้พอดูเป็นอาณาจักรโบราณก็พอ หวังว่าก็พอจะเข้าใจกันเนอะ
ในตอนที่เเต่งเรื่องนี้สารภาพนิดนึงคือว่าพลอตไว้สองทาง คือให้จงฮยอนตายกับให้ีคีย์ตาย มันจะพลิกไปได้ตามอารมณ์ในทันทีสุดท้ายก็นะ...ด้วยความที่เรามันเอฟซีจงฮยอนไง เลยเสนอให้ กร๊ากกกกก! (ลำเอียงก็บอก...นิสัย!) จริง ๆ เรื่องนี้เเต่งให้่จงฮยอนเป็นคนดีมากเลยนะ ดีกว่าทุกเรื่อง เเถมเป็นตั้งองค์ชาย *ยิ้มเเหย่* เเถมฉลาด..เเละโง่เเละบ้าบิ่นนิด ๆ อิมเมจผู้ชายในฝันฉันเลยนะ เเบบยิ้มเเล้วโลกลืมเนี่ย~ *0*/ (เป็นอะำไรมากกับจงฮยอนจริง ๆ) มาถึงน้องคีย์ที่เป็นเเมวของจงฮยอนกันบ้าง น้องน่ารักนะ เเ่ต่งไปเเล้วเหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ๆ จริง ๆ อะ (ไหว้ล่ะเเม่ยกน้อง เรารักเราเอ็นดูนะคะ) เเละเเน่นอนว่ามันต้องมีสัญชาตญาณดิบกันบ้าง สงสารน้องนะ เเต่มาหามายด์เถอะค่ะ มายด์คือคู่เเท้ของน้องในเรื่องนี้ กร๊ากกกก! (ออกทะเล) จริง ๆ ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลที่เเตกต่างนะ เเต่ไม่ได้เลวไปทุกคนค่ะ มายด์มันมนุษย์กำกวม 555+ เรื่องนี้เเอบเสียดสีทัศนคติทางการปกครองนิด ๆ พอดีว่าสนใจเเนว ๆ นี้บ้างเลยอิน ก๊ากกกก~!
#รู้สึกว่าน่าจะเเ่ต่งได้ดีกว่านี้ (เเต่เรื่องนี้ยาวเวอร์ 30 หน้า A4 คุณพระ!)
##ดราม่ามั้ย? =___=;; ตอนฮยอนจะสิ้นใจเเอบผะอืดผะอม...จะทำไงให้คนอื่นเศร้า? (ในเมื่อเราไม่เศร้าอะเหวยย~!)
###ถ้าติดตามมาตั้งเเต่ KEIZERIN ก็ขอบคุณที่ยังให้ความสนใจซีรีย์บ้า ๆ นี้นะคะ
ขอบคุณอย่างเเรงอะโว๊ะ!
101112
BUTTERFLY DESTIN
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น