คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 | กองคาราวาน
TALK: เเหม่...มาต่อช้าไปหน่อย ฮรู~
ตอนที่ 3
“กองคาราวาน”
แพขนตาหนาขยับเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมกับความรู้สึกปวดแปลบไปทั่วตัว ครั้นพอจะเอ่ยปากเค้นเสียงออกไปทั่วทั้งลำคอก็แห้งผากไร้ซึ่งกำลังจะเปล่งออก ทั้งริมฝีปากเกรอะไปด้วยเศษหนังที่แตกพร่าชวนให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดคาว ๆ ของตนที่ซึมออกมาเพราะพยายามที่ขยับมัน แทมินรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างกายหนักอึ้ง เขาไม่อาจขยับส่วนใดได้นอกจากกลอกตามองเพดานที่มีลักษณะคล้ายกระโจมสีขาวขุ่นไปมาเท่านั้น ครั้นพอคิดย้อนไปถึงชั่ววินาทีที่เขาสิ้นสติ ด๊อกเตอร์ หนุ่มได้แต่ภาวนาให้ทุกคนปลอดภัย ให้ทุกคนรอดพ้นจากพายุทะเลทราย และสิ่งที่เขาภาวนาก็เป็นผลสำเร็จ ตอนนี้แทมินรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ และเขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าอีกสี่คนที่เหลือก็ต้องรอดชีวิตเช่นกัน
ฉะนั้น สิ่งที่จะทำให้เขาแน่ใจคือการได้เห็นด้วยตาว่าทุกคนยังอยู่ แทมินพยายามยกตัวขึ้นเอียงมองรอบข้าง แม้จะเจ็บและลำบากแต่เขาก็ยังพยายาม เสียงเตียงดังเลื่อนเอียดอ๊าดตามน้ำหนักที่ถูกกดทับ หัวใจแทมินหายวาบ
รอบข้างเขาไม่มีใครสักคน
.....ที่กระโจมหลังเล็กนี้มีเตียงของเขาเพียงคนเดียว
‘กลัว’
สำหรับเขาแล้ว...ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการอยู่คนเดียว คนสี่คนที่เหลืออยู่ที่ไหน? ทำอะไรอยู่? เป็นอย่างไรบ้าง?
ร่างบอบบางนี้ขยับตัวไปไหนไม่ได้ดั่งใจเลย ทั่วทั้งลำคอของเขารู้สึกแห้งผากไปเสียหมด อยากได้น้ำสักแก้วมาล้างคอเสียจริง แต่แค่จะขยับตัวนิดหน่อยยังปวดไปหมดแบบนี้เห็นทีจะยาก
“เราจะไปดูคนป่วยข้างใน ไปตามหมอมาด้วย”
นอนนิ่งอย่างสิ้นหวังอยู่เพียงครู่ หูของด๊อกเตอร์หนุ่มก็ได้ยินเสียงภาษาท้องถิ่นที่คุ้นเคยอย่างภาษาอารบิกดังขึ้นจากนอกกระโจม เสียงทุ้มต่ำของชายหลายคนคุยกันรวดเร็วก่อนจะเป็นเสียงย่ำเท้าของคนกลุ่มหนึ่งที่เดินจากไป เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างชายสูงโปร่งคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในกระโจม
แทมินเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งเพื่อพิจารณาร่างสูงที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง เตียงเล็กของเขา บุรุษหนุ่มผู้สวมชุดประจำถิ่นที่จงฮยอนเคยบอกไว้ว่าชื่อดิชดัชชาห์หรืออะไร สักอย่างตัวยาวสีขาวบริสุทธิ์ ทับด้วยเสื้อคลุมสีดำบาง ๆ ที่ขอบมีลวดลายสีทองและพู่ห้อยสีเดียวกันดูหรูหราสวยงาม กลอกตาขึ้นมองไปอีก ก็สบให้กับดวงตากลมลึกสีดำสนิทรับกันดีกับสันจมูกโด่งสวยและริมฝีปากหนาอิ่ม ผิวพรรณบนใบหน้าที่เหมือนจะขาวแบบอาหรับเหนือติดริ้วเข้มอยู่บ้างอาจเป็นเพราะฤทธิ์แดดในทะเลทราย ความนวลเนียนนั้นถูกปกคลุมโดยไรขนที่ขึ้นเป็นเคราสั้น ๆ ไปทั่วสันกรามและล่างจมูก แต่ถึงกระนั้นคนป่วยก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขาต้องเรียกได้ว่าเป็นคนที่ ‘หล่อเหลา’ ของที่นี่แน่ ๆ
“ฟื้นแล้วนี่หน่า”
ภาษาอังกฤษสำเนียงดีถูกส่งมาทักทายจากผู้ชายที่เขานึกชมรูปร่างหน้าตาไว้ในใจ แทมินผงกหัวเบา ๆ พร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้อีกฝ่ายที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าใจง่าย เขารุดเข้ามาช่วยพยุงกายบางอย่างรวดเร็ว ลำแขนแกร่งโอบพยุงแทมินขึ้นมาพิงที่อกตนก่อนที่มืออีกข้างจะจัดการรินน้ำใส่ แก้วพร้อมทั้งยกมาจรดริมฝีปากให้อย่างรู้ใจ
“อึก...”
น้ำสะอาดค่อย ๆ ไหลผ่านลำคอลงไปดับกระหายและคลายความแห้งเหือดในร่างกายให้ดีขึ้น แทมินรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างได้รับการเยียวยา ความเจ็บปวดที่หนักหนาในครั้งแรกที่รู้สึกตัวเริ่มหายไปบ้าง แก้วที่สองถูกยื่นเข้ามาจ่อปากต่อทันทีที่แก้วแรกหมดไป แทมินใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจในการดื่มน้ำสี่แก้วใหญ่ ๆ อย่างหิวกระหายโดยพักร่างกายอ่อนเพลียเข้าพิงที่อกแกร่งของคนที่แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก กว่าจะรู้สึกตัวว่าท่าทางมันดูหมิ่นเหม่และไม่เหมาะสม เขาก็พิงพักมันมาได้ครู่ใหญ่เสียแล้ว
“อะ...เอ่อ..ขอบคุณ”
นั่นเป็นเสียงแหบแห้งเสียงแรกที่เปล่งออกมาได้ คนตัวเล็กพยายามยกร่างของตนออกห่างจากอกนั้นที่เหมือนจะค้างอยู่ในท่ากลาย ๆ ว่านั่งตักกันมานานแล้วอย่างไว้ตัว แต่แขนแกร่งที่โอบไหล่ไว้กลับรั้งตัวแน่นพร้อมทั้งกระซิบบอกคนป่วยเบา ๆ อย่างเต็มใจว่าไม่เป็นไร แทมินจึงนึกวางใจและคิดว่าคนตรงหน้าคงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไร ครั้นพอพักนิ่ง ๆ ไปได้สักพัก สมองก็เริ่มจัดการทำงานได้เป็นปกติ ร่างบางลอบสังเกตทั่วกระโจมตามวิสัยตนทันที กระโจมสีขาวขุ่นนี้ถูกตั้งเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กพอให้มีเตียง ตู้ และโต๊ะตั้งได้นิดหน่อย ไม่มีช่องหน้าต่างแต่จากแสงที่ลอดออกมาตามช่องประตูและคานตั้งพอจะทำให้แทมินเข้าใจว่าช่วงนี้คงเป็นช่วงเวลายามกลางวัน เขาก้มลงมองชุดคลุมยาวแปลกตาที่คลุมอยู่บนร่างรวมไปถึงสำรวจทั่วร่างกายที่ พอจะมองเห็นได้ ผิวแดง ๆ นั้นพอจะสรุปเอาเองได้ว่าโดนแดดเผาแน่นอน ยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าก็ยังเกลี้ยงเกลาแสดงว่าคงไม่มีอะไร ที่ยังหลงเหลือคงจะเป็นความรู้สึกแสบ ๆ และปวดแปลบตามร่างกายบางส่วน และเหมือนพฤติกรรมของคนตัวเล็กจะเตะตาของร่างสูงเข้า คนตัวใหญ่จึงพึมพำออกมาเป็นเชิงอธิบายอย่างไม่ต้องถาม
“ท่านโดนพายุทรายพัดมา ชุดเสื้อผ้าของนักท่องเที่ยวไม่รัดกุมเท่าคนในท้องถิ่น ผิวขาว ๆ ของท่านเลยโดนแดดเผา ร่างกายของท่านขาดน้ำเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งแรงหมุนคงทำให้กระดูกท่านร้าวบางส่วน เราให้หมอช่วยดูแลส่วนนั้นให้แล้ว นี่ก็วันที่สามแล้วที่ท่านพักอยู่กับเรา”
ท่อนแขนทั้งสองของชายหนุ่มเจ้าถิ่นค่อย ๆ พยุงร่างของแทมินขึ้นพิงกับหมอนที่เขาตั้งไว้ที่หัวเตียง ก่อนร่างสูงจะผุดลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป ทว่ากลับถูกแขนเล็กรั้งชายเสื้อไว้เสียก่อน
“คุณเจอคนอื่นนอกจากผมไหม? ผู้ชายอีกสี่คนที่มากับผม ตัวขาว ๆ โปร่ง ๆ คนหนึ่ง เล็ก ๆ หนา ๆ คนหนึ่ง แล้วก็...”
“เราไม่พบใครนอกจากท่านและม้าพันธุ์ผสมอีกตัวหนึ่ง...เดี๋ยวเราจะไปตามหมอมาดูแลท่าน รอสักหน่อยแล้วกัน”
“ดะ..เดี๋ยวคุณ ช่วยหาพวกเขาที พวกเขาเป็นเพื่อนผม คุณครับ...”
ร่างบางยังคงเหนี่ยวรั้งชายแปลกหน้าไว้พลางเว้าวอน เขากลัวเหลือเกินว่าอีกสี่คนที่เหลือจะเป็นอะไรไป ยิ่งกับคิบอมและจงฮยอน เขายิ่งเป็นห่วงหนักเข้าไปใหญ่
“หากคนที่เหลือใช้อูฐเป็นยานพาหนะพวกเขาจะปลอดภัย สัตว์ประจำทะเลทรายมีสัญชาตญาณในการปกป้องนายของมันให้รอดพ้น แต่ม้าพันธุ์ผสมมันไม่ใช่ ที่ท่านรอดมาได้ต้องขอบคุณเราที่ไปเจอท่านก่อนที่ท่านจะแห้งตาย ตอนนี้ท่านควรปล่อยเราไปตามหมอได้แล้ว ไว้หลังจากที่หมอรักษาท่านเรียบร้อยเราจะให้ท่านถามทุกข้อสงสัย โอเคไหม?”
ร่างสูงอธิบายพร้อมกุมมือบอบบางไว้ราวกับต้องการให้เชื่อใจ เขาส่งยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนปลดมือที่รั้งชายเสื้อตัวยาวไว้อย่างสุภาพแล้วเดินออกไปเรียกหมอข้างนอกด้วยภาษาอารบิกที่แทมินไม่เข้าใจ ครู่เดียวชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋ายาและลูกมืออายุ ใกล้เคียงกันอีกคน
บุรุษปริศนาคนเดิมยังคงยืนมองดูเขาอยู่ที่ปลาย เตียงพร้อมส่งยิ้มอบอุ่นให้รู้สึกสบายใจ แทมินสบตาคมเข้าให้ก่อนจะคิดย้อนไปถึงฝันประหลาดที่เคยประสบ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าเริ่มเห่อร้อน และสายตาเอาแต่จดจ้องไปที่เจ้าของร่างสูงสมส่วนที่ปลายเตียงอย่างไม่อยาก เชื่อ
‘คล้ายมาก’
แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่า.....ในฝันของเขาประกายตานั้นเต็มไปด้วยความโหยหาและเจ็บปวดกับการรอคอย
คุณหมอชาวอาหรับเข้ามาฉีดยาและเปลี่ยนน้ำเกลือให้ แทมินจึงเพิ่งรู้สึกได้ว่ามือข้างหนึ่งที่เจ็บอยู่นั้นเจาะสายน้ำเกลือไว้ ช่วงเวลาที่เขากำลังสนใจกับแขนของตนเองอยู่นั้นทั้งคุณหมอและผู้ช่วยต่างก้มลงโค้งให้ชายหนุ่มที่ปลายเตียงแล้วเดินออกนอกกระโจมไป ร่างสูงจึงสาวเท้าเข้ามาทรุดนั่งกับขอบเตียงอีกครั้ง
“ท่านเจ็บ?”
มือใหญ่เอื้อมเข้าไปจับเบา ๆ แล้วไถ่ถาม แทมินผุดยิ้มบางแล้วส่ายหน้า
“แค่ไม่ทันสังเกตน่ะ สงสัยเพลียมากจนไม่ได้สังเกตอะไรสักอย่าง ว่าแต่ตอนนี้ผมถามคุณได้รึยัง?”
ชายหนุ่มรูปหล่อพยักหน้าเบา ๆ มือหนายังคงสัมผัสวนเวียนอยู่ที่ข้อมือบางชวนให้แทมินรู้สึกจักกะจี้เล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดรังเกียจอะไร ในหัวของด๊อกเตอร์หนุ่มมีแต่คำถามที่ตั้งใจจะถามอีกฝ่ายมากกว่า
“คุณชื่ออะไร?”
“มินโฮ ดิฮาน ชื่อเต็ม ๆ มินโฮ ดิฮาน มาฮาราญ ดิฮาน จารัล บิน มูอาส”
แทบจะต้องจดชื่อเต็มไว้ในสมุดบันทึกเลยกระมัง? แทมินนึกไว้ในใจ ก่อนจะสะดุดได้กับชื่อต้นที่คับคล้ายคับคลาว่าจะเหมือนภาษาเกาหลีอย่าง ‘มินโฮ’ คนตัวเล็กเลยหลุดถามไปอย่างไม่คิด
“มินโฮ...เป็นลูกครึ่งเกาหลีรึเปล่า?”
ครั้นพอหลุดถามไปแล้วก็เพิ่งจะมารู้ตัวว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะถามละลาบละล้วง ถึงชาติกำเนิดสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน ร่างบางจึงเอามือปิดปากแน่น ก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษไปให้อีกฝ่าย
“ขอโทษนะ”
มินโฮยิ้มบางส่ายหัวไปเชิงไม่ถือสา แทมินจึงนึกอุปโลกน์ไปเองว่าคงไม่มีเชื้อสายอะไรเกี่ยวข้อง คำถามจึงถูกเปลี่ยนเรื่องออกไป
“เออคือ...ผมอยากจะรู้ว่า พวกเราอยู่ส่วนไหนของโลกเหรอ?”
รู้สึกเหมือนการใช้ภาษาอังกฤษของตัวเองโก๊ะแตกไปมากขึ้นทุกทีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ แทมินเสตามองไปรอบ ๆ กระโจม เป็นเชิงว่าเขาไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้
“เราอยู่ทางตอนใต้ของจอร์แดน ในเขตทะเลทรายอาหรับที่ติดต่อกันกับซาอุดิอาระเบีย เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดน่าจะเป็นอะคะบะต์ ห่างจากอัมมานมากพอสมควร ถ้าท่านเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเพตราหรือทะเลทรายวาดิรัม ท่านโดนพัดมาไกลมากทีเดียว”
แทมินรู้สึกว่าตนเองโชคดีมากที่ได้มาเจอกับมินโฮและคณะ เพราะนอกจากจะโชคดีที่รอดตายแล้ว คนตรงหน้ายังช่วยยืนยันได้ว่าเพื่อนเขามีโอกาสที่จะรอดชีวิตมากกว่าเขา ทั้งยังช่วยรักษาเขาให้หาย และมียิ้มอบอุ่นที่ชวนให้วางใจ พระคุณนี้ไม่รู้ว่าจะตอบแทนด้วยอะไรแทมินจึงจะรู้สึกว่าเหมาะสม
เขาซาบซึ้งผู้ชายอาหรับคนนี้เหลือเกิน
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จากใจผม...คุณเป็นคนดีมาก ขอบคุณที่ช่วยนะครับ ผมจะตอบแทนคุณทุก ๆ ทางที่จะช่วยได้”
ด๊อกเตอร์หนุ่มเอ่ยขอบคุณพร้อมจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาเขย่า ยิ้มหวานถูกส่งไปตามธรรมชาติ ทั้งยังน้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มใจอีก มินโฮจุดยิ้มบางที่มุมปากพลางยกนิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยหยดน้ำตาที่คลออยู่ที่ ปลายหางตาของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม สัมผัสอบอุ่นที่ทำให้แทมินรู้สึกแปลกใจแต่เขาก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด รู้เพียงว่าตนไม่รังเกียจมัน และรู้สึกชอบมันเสียด้วยซ้ำ
“พวกเราเป็นเบดูอิน คนเบดูมีกฎว่าต้องต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณไปหรอก...ตอนนี้ท่านพักเถอะ เดี๋ยวเย็น ๆ เราจะพาไปทานอาหารข้างนอก คงมีคนอยากรู้จักท่านเยอะ”
ร่างบางเอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่หมอให้เมื่อครู่ มินโฮหยัดกายตัวเองขึ้นยืนมองร่างบอบบางของอีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มกริ่ม ภาษาอารบิกประโยคหนึ่งถูกพึมพำออกมาแผ่วเบา
“เจ้าคงไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า ‘อย่าไว้ใจทะเลทราย’ สินะ เด็กน้อย”
กว่าหลายพันปีที่เบดูอินทั้งหลายต่างร่วมกันครอบครองพื้นที่ที่เรียกว่าขุมทรัพย์แห่งทะเลทรายเอาไว้ ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ รวมไปถึงสายแร่นานาชนิด ทั้งหมดล้วนเป็นการค้นพบของชนเผ่าชาวเบดูทั้งนั้น กลุ่มคนที่ร่อนเร่ในทะเลทรายอันร้อนระอุ เรือนกายที่ตรากตรำสั่งสมประสบการณ์ตำนานและประเพณีให้ลูกหลานได้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ร้อยปีที่ผ่านมา ด้วยโลกที่เปลี่ยนแปลง แหล่งมหาอำนาจย้ายฝั่งไปอยู่ที่แดนตะวันตก ทิ้งเอาความรุ่งเรืองของแดนตะวันออกกลางไว้เพียงแหล่งสินแร่และน้ำมันอันมั่งคั่ง วัฒนธรรมถูกลืมเลือนและไร้ซึ่งการใส่ใจจากชาวโลก ชาวเบดูรุ่นใหม่รวมตัวกันตั้งอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในนามยูเออี ผันตัวจากอาชีพร่อนเร่ในทะเลทรายไปสร้างราชวงศ์รวมไปถึงกลายตนเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยจากกองทรัพยากรเลอค่าที่ตนได้พบเจอ
มีเพียงชนเผ่าเดียวในสิบชนเผ่าดั่งเดิม ‘โจฮาราญ’ เผ่ายิ่งใหญ่ถูกมองว่าเป็นหัวอนุรักษ์ดักดานเพราะหัวหน้าเผ่าไม่เห็นด้วยในการก่อตั้งยูเออี โจฮาราญเนรเทศตนเองขึ้นไปอยู่ทางตอนเหนือ สร้างเมืองเล็ก ๆ กลางทะเลทรายอันรกร้าง ก่อรากฐานและราชวงศ์ขึ้นมาเป็นหลักแหล่งโดยยังคงมีส่วนรับผลประโยชน์จากยูเออีอยู่ ท่ามกลางการใช้ชีวิตในแบบเร่ร่อนตามกฎประเพณี ศาสนาไม่มีผลกับชนเผ่าอิสระ พวกเขาอยู่กันอย่างปกปิดมิดชิด ไม่เปิดเผยออกไปและไม่รับอะไรเข้ามามากเกินจำเป็น
.....จวบจนรัชกาลปัจจุบัน
โจฮาราญยังคงทำการติดต่อกับยูเออีในฐานะหุ้นส่วนของประเทศ ในขณะที่รัฐอื่น ๆ โจฮาราญจะติดต่อเป็นครั้งคราว ที่สนิทสนมกับมากหน่อยก็จะมีแค่จอร์แดนที่ให้พื้นที่พวกเขาอยู่อาศัยตามกฎหมายเท่านั้น
‘ชีค มินโฮ ดิฮาน มาฮาราญ ดิฮาน จารัล บิน มูอาส’ เขาคือผู้นำเผ่าคนปัจจุบันของโจฮาราญ
ด้วยความเป็นคนหนุ่มกำลังดี โจฮาราญรุ่งเรืองขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น ชีคหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีพรั่งพร้อมด้วยรูปลักษณ์ความรู้และประสบการณ์มากมาย แม้จะไม่ค่อยได้เป็นที่เห็นชัดเจนในสาธารณะแต่ชีคมินโฮก็เป็นหนึ่งในเชื้อ พระวงศ์ฝ่ายชายที่ได้รับความสนใจมากสำหรับประเทศในตะวันออกกลางด้วยกัน
ตามธรรมเนียมโบราณของโจฮาราญ เชื้อพระวงศ์จะต้องรักษาฐานประเพณีแบบเบดูโดยการออกร่อนเร่ทุก ๆ เดือนครั้งละห้าวัน ห้ามมากไปกว่านั้นหรือน้อยไปกว่านั้น เป็นการบูชาเทพแห่งทะเลทรายและเป็นการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันของผืนทรายและมนุษย์
.....และในช่วงเวลานี้ก็เช่นกัน
“ฝ่าบาท! พบศพนักท่องเที่ยวไม่ทราบชื่อระหว่างเส้นทางกลับโจฮาราญพะยะค่ะ”
ม้าอาหรับตัวใหญ่ถูกยื้อบังเหียนให้หยุดชะงักพร้อมร่างสูงโปร่งของชีคหนุ่มที่กระโดดลงมาย่ำพื้นทรายอย่างชำนาญ ตาคมที่ลอดผ่านจากผ้าคลุมสีดำสบเข้ากับทหารเป็นการสั่งการให้นำทางไปหาแหล่งข่าวตามที่ได้รับรายงานเมื่อครู่ เหล่าองครักษ์เข้ามายืนประชิดทันทีตามหน้าที่ ชายฉกรรจ์มากมายสาวเท่าตามทหารหนุ่มชำนาญทาง จวบจนกระทั้งฝ่ายนำหยุด พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ร่างของชายหนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บน ผืนทรายที่จมตัวเขาไปแล้วกว่าครึ่ง ผิวขาว ๆ แดงจัดด้วยฤทธิ์แดดที่เผากาย ดูจากสภาพภายนอกน่าจะอยู่ค้างคืนมามากกว่าสิบชั่วโมง
…..ไม่น่าจะรอด
ไม่รู้ว่าทำไมยามที่เขาได้เพ่งสายตามองร่างบอบบางของนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จะเป็นหรือตายคนนั้นนิ่ง ๆ หัวใจรู้สึกเต้นแรงอย่างประหลาด อะไรบางอย่างดึงดูดให้ขาต้องก้าวเข้าไปหา ความรู้สึกร้อนรน หวั่นใจ
“ไม่ต้องตามเข้ามา”
ขาทั้งคู่ก้าวเข้าไปตามใจสั่ง มินโฮวาดมือห้ามองครักษ์ไม่ให้ตามเข้ามา ก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ ร่างที่จมลงไปในผืนทรายเกือบครึ่งนั้น สัมผัสใบหน้าที่แดงจัด ก่อนจะย้ายไปตรวจชีพจรที่คอ แล้วชีคหนุ่มก็ตะโกนเรียกทหาร
“ตั้งกระโจม! ผู้ชายคนนี้ยังไม่ตาย ให้หมอเตรียมการรักษาเขาเดี๋ยวนี้!”
กว่าสามวันที่เฝ้ารักษาและให้ความดูแลเป็นพิเศษอยู่ไม่ห่าง ร่างกายบอบบางนั้นฟื้นตัวเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งช่วยให้มินโฮโล่งใจ ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกถูกใจใบหน้าสวยหวานนั้นอย่างประหลาด ทั้งที่ได้รับรายงานมาแน่ชัดว่าร่างบางตรงหน้าเป็นผู้ชาย ทว่าเขากลับไม่อาจลดความเสน่หาลงได้เลย
เพราะอะไรกัน?
ค่ำคืนที่หลับฝัน หรือนั่นคือร่างของคนที่เขาเคยเรียกหาในฝัน
สมมติฐานจากสัญชาตญาณ เขาเคยมองเห็นใครสักคนในฝัน และรู้ได้ว่าคล้ายคลึงกับบุรุษตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ก็นั่นแหละ...จะใช่หรือไม่...ไม่ว่าสิ่งใดที่เขาถูกใจ 'เขาต้องได้มันมา' ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือกลก็ตาม
…...................................................
ครั้นพอตกเย็นเจียนค่ำ ลูกมือของหมอประจำกองคาราวานก็เข้ามาปลุกคนขี้เซาให้ลุกตื่น แทมินเบิกตาตามแรงเขย่าเบา ๆ ที่แขนพลางส่งยิ้มขอบคุณให้ อีกฝ่ายจึงเข้ามาช่วยพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นดี ๆ ดูจากท่าทีที่ดูสุภาพกว่าคุณมินโฮจึงทำให้เขาพอเดาออกได้ว่าคุณมินโฮน่าจะ เป็นคนใหญ่คนโตพอสมควรในคาราวานนี้ ไม่แน่เขาคนนั้นอาจจะเป็นพ่อค้าร่อนเร่ผู้ร่ำรวยคนหนึ่งในเขตทะเลทรายก็เป็นได้
"ฝ่า...เอ่อ...ท่านมินโฮให้ผมเตรียมชุดมาให้ท่าน อาจจะหลวมบ้างเล็กน้อย แต่เป็นชุดที่หาได้ดีที่สุดเเล้วในยามนี้ ส่วนเรื่องห้องน้ำเดี๋ยวผมจะเป็นคนนำไป เดินไหวไหมครับ?"
ในขณะที่สมองกำลังคิดจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ชายหนุ่มผิวเข้มก็เอ่ยเเนะนำทุกอย่างเสียเสร็จสรรพ ถึงจะเหม่อลอยเเต่ก็พอได้ฟังบ้าง แทมินจึงพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตกลงก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายช้า ๆ ให้กล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวตามความรู้ที่พอได้เรียนมาเเล้ว ออกเดินตามชายเมื่อครู่ไปที่ห้องน้ำ ใกล้ ๆ กับกระโจม
ครั้นพอออกมาสูดอากาศนอกกระโจมได้บ้าง สายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ ตามลักษณะนิสัยคนช่างสังเกต คาราวานกลุ่มเล็ก ๆ แห่งนี้ประกอบไปด้วยกระโจมหกกระโจมล้อมรอบกองไฟขนาดย่อมตรงกลาง มีสามกระโจมเป็นกระโจมใหญ่ ๆ สองกระโจมเป็นกระโจมขนาดกลางเเละกระโจมที่เล็กที่สุดคือกระโจมของแทมิน ที่มีกระโจมย่อย ๆ เเยกเป็นห้องน้ำออกมาต่างหาก ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเเทมินก็ยังสังเกตเห็นคอกม้า คอกอูฐ เเละคอกเเพะที่อยู่ติด ๆ กันอีกด้วย ดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจเเละแทบปิดสีหน้าอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหว แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้สึกติดใจอะไรมาก ในสมองตอนนี้มีเเต่คำถามเเละความเป็นห่วงที่ผูกติดกับเพื่อนสนิททั้งสองคอย ภาวนาอยู่ทุกนาทีให้ทุกคนปลอดภัยเสียมากกว่า
"นี่เสื้อผ้าครับ ผมเตรียมน้ำกับเครื่องประทินไว้ให้เสร็จสรรพเเล้ว หากขาดเหลือหรือต้องการให้ช่วยอะไรก็เรียกผมได้นะครับ ผมจะยืนรอท่านอยู่ด้านนอกนี้...เชิญครับ"
ชายหนุ่มส่งเสื้อผ้าพร้อมผายมือให้อย่างสุภาพจนเเทมินรู้สึกปฏิบัติตัวไม่ถูก เขาพยักหน้าเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนเดินเข้าไปทำกิจธุระตามปกติ ภายในห้องอาบน้ำเองก็ดูเเปลกตาผิดกับที่คิดไว้ ทั้งส้วมหลุมก็ไม่ได้เเปลกใจ เเต่ถังไม้ใส่น้ำอุ่นโรยกลีบดอกไม้หอมนี่มันอะไรกัน นี่เขาคงไม่ได้หลงมาถึงเเคมป์เบดูอินก่อนเพื่อนใช่ไหม?
เเต่คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ร่างบางปลดเปลื้องเสื้อผ้าพลางปีนบันไดเล็กลงไปเเช่น้ำอุ่นในอ่างไม้ที่คล้ายถังนั้นอย่างชื่นอกชื่นใจ หลังจากรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาเสียนาน ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเพลิดเพลินอยู่ในนั้นก่อนจะจัดการสวมดิชดัชชาห์สีดำให้เรียบร้อยเเล้วเดินออกมาหาผู้ดูเเลที่ยืนรอตนอยู่
"สวย...เอ้ย!...สง่าเหมือนที่นายท่านคิดไว้เลยนะครับ ท่านเหมาะกับชุดสีดำมาก"
แทมินหมุนคิ้วเล็กน้อยยามได้ยินประโยคภาษาอังกฤษที่ตนไม่ชอบดังออกมาจากปากชาย หนุ่ม เขารู้ดีเเก่ใจว่าทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะโดยรวมของตนเองมักทำให้หลายคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้งว่าเขาเป็นผู้หญิง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะห้ามหรือจะเลือกเกิดได้ คิดในเเง่ดีเสียว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ยังเป็นผู้หญิงสวยก็เเล้วกัน
"ใครคือนายท่าน?"
ร่างบางเบี่ยงประเด็นในเรื่องรูปลักษณ์ของตนเองออกไปโดยตั้งคำถามจากประโยคเมื่อครู่ขึ้นมา ชายผิวสีจึงจุดยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยเริ่มสนทนาเเนะนำนายของตนอย่างเทิดทูน
"คุณมินโฮคือนายท่านของคาราวานนี้ครับ นายท่านดูแลจัดการทุกเรื่องในคาราวาน ท่านเป็นคนดี เมตตา รักพวกพ้องเเละมีน้ำใจมาก ๆ ครับ"
ยิ่งมองไปดอกเตอร์หนุ่มก็อดยิ้มตามไม่ได้ สีหน้าของลูกน้องที่เอ่ยถึงเจ้านายด้วยความรักเเละเคารพนั้นยิ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความดีของผู้ชายที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้จริง ๆ
"เจ้านายของคุณเป็นคนดีมากจริง ๆ แล้วเราจะต้องไปไหนกันต่อไหมครับ? เหมือนช่วงกลางวันคุณมินโฮบอกว่าผมจะได้รับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น ๆ ในมื้อเย็น"
"ครับ...งั้นผมจะนำท่านไปที่ลานเลย"
แทมินสวมรองเท้าเเตะสานพร้อมทั้งจัดเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินตามชายอาหรับที่เดินนำอ้อมกระโจนใหญ่หลังหนึ่งไป ด้วยความที่กระโจมเล็กของเขาตั้งอยู่หลังกระโจมใหญ่โดยเว้นช่องให้พอเห็นลานกองไฟเพียงเล็กน้อยเขาจึงไม่ได้สังเกตอะไรได้ชัดเจนตั้งเเต่ครั้งเเรกที่เดินออกมา ฉะนั้นคราวนี้ร่างบางจึงตั้งอกตั้งใจจะเก็บรายละเอียดรอบตัวให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังจะกลับไปเขียนบทความส่งนิตยสารท่องเที่ยวสักเรื่อง
"รอตรงนี้นะครับ ประเดี๋ยวท่านมินโฮคงจะประชุมเสร็จ"
ครู่เดียวก็เดินมาหยุดอยู่หน้ากองไฟขนาดย่อม เเทมินปรายสายตามองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณพร้อมส่งยิ้มให้ผู้คนที่จ้องมองเขาอย่างเป็นมิตร ที่รอบ ๆ กองไฟนั้นมีบริเวณที่ตั้งของซุ้มอาหารกลางเเจ้ง เเต่ผู้คนที่มีก็ยังนับว่าบางตา ส่วนใหญ่จะเป็นชายฉกรรจ์ในชุดสีน้ำตาลที่เข้ามาจัดเตรียมอาหารเเละเปิดกระโจมใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ กันให้เป็นส่วนของพื้นที่ลานร่มไว้ใช้รับประทานอาหารเสียมากกว่า ร่างบางเหลียวมองข้างตัวหมายจะถามชายหนุ่มผู้ดูเเลเมื่อครู่ทว่าเจ้าตัวก็ไม่อยู่เสียเเล้ว ดอกเตอร์หนุ่มจึงตัดสินใจย่อตัวลงนั่งกับลังเเข็ง ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อพักเมื่อยและเริ่มสังเกตสิ่งรอบตัวให้เพลิดเพลินเล่น
จากที่เห็นมาในกองคาราวานไม่มีสตรีสักคน เเทมินนึกนับถือชายอาหรับทั้งหลายอยู่ในใจว่ารู้จักจัดการเรื่องต่าง ๆ เองได้ดี ทั้งเสื้อผ้าเเพรพรรณนอกเหนือจากคุณมินโฮเเล้วทั้งหมดล้วนใส่ดิชดัชชาห์สีน้ำตาลคลุมดำ งั้นก็เเสดงว่าที่หนุ่มผู้ดูเเลคนนั้นพูดคงไม่ผิด เจ้าของกองคาราวานคงเป็นคุณมินโฮ
ที่จะสงสัยก็มีเเต่....เขาเป็นใครกันเเน่?
"ใส่เเค่วีซาร์กับดิชดัชชาห์เปล่า ๆ ตัวเดียวเเบบนี้เดี๋ยวก็หนาวเเย่"
ขณะที่กำลังคิดไปเพลิน ๆ ร่างบางก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่ม ๆ จากด้านหลัง เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ถูกทาบทับลงมาพาดที่ไหล่ทั้งสองพร้อมประโยคเสียงทุ้มจากเจ้าของคาราวานที่เขากำลังคิดถึงเมื่อครู่ ใบหน้าขาว ๆ ระเรื่อสีจางน้อย ๆ เพราะไม่เคยถูกปฏิบัติจากคนอื่นเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าหล่อเหลาหันมาส่งยิ้มสุภาพให้พลางย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ กัน แทมินสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ใส่เพียงเสื้อด้านในที่น่าจะเรียกว่าวีซาร์ กับเสื้อนอกดิชดัชชาห์สีดำตัวเดียวเช่นกัน สงสัยเสื้อคลุมตัวนี้คงจะเป็นของเขา ร่างบางจึงทำท่าจะถอดคืนให้
"คุณเก็บไว้ใส่เถอะครับ ถอดมาให้ผมใส่คุณก็หนาวเหมือนกัน"
ชั่ววินาทีที่รับส่งปฏิเสธกันนั้น มือทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ ความอบอุ่นอย่างประหลาดเเล่นเข้าจู่โจมเสียจนหัวใจดอกเตอร์แทมินต้องเต้นเเรง
โชคชะตาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...มันถูกกำหนดมาเเล้วตั้งเเต่ต้น
"ไม่เป็นไร เราคุ้นชินกับอากาศในทะเลทรายมากกว่าท่าน อีกอย่างร่างกายท่านบอบบางซ้ำยังเพิ่งหายดีจากอาการป่วย จะให้ป่วยต่อคงเป็นเราที่ลำบาก ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจหรอก"
สบตาโตลึกนั้นได้เพียงครู่เเทมินก็ต้องเสตามองไปทางอื่นอย่างหวั่นไหว ตัวเขาไม่เคยเจอผู้ชายที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเเบบนี้มาก่อน รวมทั้งไม่สามารบรรยายความรู้สึกเเปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้ได้เลย ทุกอย่างมันจึงรวนไปเสียหมด มือไม้ที่ถูกสัมผัสค้างถูกดึงกลับมาที่ตัวพร้อมกางเสื้อคลุมห่อตัวเองให้เรียบร้อย มินโฮจึงยิ้มตามปฏิกิริยาที่วุ่นวายนั้นอย่างพอใจ
"คนครัวคงจัดการเตรียมมื้อค่ำเสร็จเเล้ว คราวนี้ท่านจะได้กินข้าวพร้อมกับกองคาราวานของเราพร้อมหน้าเสียที...ไปกันเถอะ"
ว่าปุ๊บก็จัดการฉวยมือนิ่มให้ลุกขึ้นเดินไปพร้อมกัน เเทมินยิ่งทำตัวไม่ถูก จากดอกเตอร์คนฉลาดจึงกลับกลายเป็นเด็กน้อยที่ว่าง่ายไปโดยปริยาย
ที่ลานรับประทานอาหารบัดนี้ถูกจัดเเบ่งเป็นโต๊ะเครื่องเคียง อาหารหลัก เครื่องดื่ม เเละเตาย่างแพะขนาดใหญ่เป็นสัดส่วน กระโจมหนังหลังใหญ่ถูกเปิดกางหันหน้าเข้าหาลาน ด้านในมีโต๊ะไม้เตี้ย ๆ บนพรมสีพื้นกับเบาะรอง บนโต๊ะมีช้อนส้อมและผ้าถูกจัดวางเรียบง่ายทว่าชวนให้รู้สึกหรูหรากว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ตรงหัวโต๊ะมีวัตถุรูปร่างเเปลก ๆ คล้ายคนโทมีสายสีทองเหลืองตั้งเด่นอยู่ทุกโต๊ะเรียกสายตาให้ต้องหยุดพินิจอย่างสนใจ
"ชิชาห์น่ะ เเถบตะวันออกหรือตะวันออกเฉียงใต้จะเรียกว่าบารากู เป็นเครื่องสูบยาชนิดหนึ่งที่ชาวอาหรับนิยมกัน...ไม่ได้สูบสารเสพติดหรอกนะ ส่วนใหญ่จะใช้สูบยาชูกำลังหรือยาช่วยล้างสารพิษ เเต่พวกตะวันตกก็เอาไปประยุกต์กับสารเสพติดก็มี"
คนตัวสูงย่อตัวลงไปหยิบท่อดูดขึ้นมาสาธิตวิธีการเสพเล่น ๆ พร้อมอธิบายให้เเทมินฟังเสร็จสรรพ คนตัวเล็กยืนนิ่งเอานิ้วลูบคางอย่างใช้ความคิด ก่อนจะร้องอ้อขึ้นมาเสียงดัง เรียกสายตาทุกคู่ให้จ้องมาที่เขาเเละมินโฮที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างสนใจ
"อะ...เออ ..ดูเหมือนจะดังไปหน่อย ขอโทษนะครับ...คือผมจะบอกว่าเคยเห็นเเบบที่คล้าย ๆ กันที่คลับในอเมริกาเหมือนกันน่ะครับ เเต่ตอนนั้นก็คิดว่าน่าจะเป็นเครื่องสูบรูปร่างเเปลก ๆ ทั่วไป"
มินโฮลอบกวาดสายตานิ่ง ๆ ไปรอบ ๆ เพื่อเตือนบริวารในกองคาราวานไม่ให้เเสดงกริยาสนอกสนใจจนเกินงามเเล้วจัดการเบนความสนใจของร่างบางโดยการแนะนำอาหารท้องถิ่นที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารแทน พูดไปพลางชวนตักชิมไปพลางราวกับตนเป็นไกด์หนุ่มในแคมป์เบดูอิน
"อร่อยไหม?"
"ใช้ได้เลยครับ"
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มร่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็ยิ่งรู้สึกอิ่มเอมอย่างประหลาด
"นายท่าน โต๊ะจัดเตรียมไว้พร้อมเเล้ว จะรับประทานอาหารเลยไหมครับ?"
ฝ่ายร่างสูงหันมาพยักหน้าให้ลูกน้องตนเบา ๆ พลางผายมือเชิญเเทมินให้เข้าไปนั่งที่เบาะตัวในสุด โต๊ะอาหารของพวกเขาถูกจัดให้ดูหรูหราเป็นพิเศษ มินโฮหันมากระซิบให้แทมินนั่งรออยู่นิ่ง ๆ ก่อนจะลุกเดินออกไปทางโซนเครื่องดื่ม
"นายท่านต้องการอะไรครับ?"
"เราจะชงกาเเฟ ไปหาเเก้วที่สวยที่สุดมาให้เราหน่อย ถึงจะไม่มีของดีมากเเต่ก็เอาที่ดูสะอาดไม่มีรอยบิ่นก็เเล้วกัน"
สิ้นคำสั่งของร่างสูง บุรุษหนุ่มในชุดสีน้ำตาลหลายคนเบิกตากว้างอย่างตกใจ คนถูกสั่งถึงกับต้องหมุนคิ้วสงสัยใหญ่ เเต่คำตอบที่ได้กลับคืนมามีเเค่ท่าทางสบาย ๆ เเละรอยยิ้มเย็น ๆ จากเจ้านายพร้อมเสียงกำชับเบา ๆ ให้รีบปฏิบัติตามคำสั่งตนเพียงเท่านั้น
"นายท่าน..."
"เราไม่ชอบรอนาน เจ้าก็รู้"
มินโฮเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมแก้วกาเเฟทรงสวยหนึ่งเเก้ว ร่างสูงยื่นมันมาให้เเทมินพร้อมทั้งยิ้มหวานอย่างตั้งใจ ท่ามกลางสายตานับสิบที่จ้องมองแทมินราวกับการกระทำของมินโฮเป็นการขอเเต่งงานก็ไม่ปาน
"อ่ะ...เอ่อ"
พอถูกจ้องเเบบนี้ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ดอกเตอร์หนุ่มรู้ดีว่าตนเองเป็นคนเเปลกหน้าสำหรับกองคาราวาน เเต่ก็นั่นเเหละ เจ้าของกองคาราวานผู้ยิ่งใหญ่ลดตัวมาชงกาเเฟให้เขา มันคงจะเป็นอะไรที่เเปลกสำหรับเหล่าลูกน้องกระมัง
"จะรับไปได้รึเปล่า?"
"อะ...ขอบคุณครับ"
เเทมินจะรู้บ้างไหมนะ...ว่าชั่ววินาทีที่รับแก้วนั้นมาไว้ในมือเเล้วนั้น ชะตาของเขาทั้งสองเสมือนถูกผูกกันตามประเพณีโดยสมบูรณ์
เสียงถอนหายใจดังขึ้นทั่วอาณาบริเวณ พร้อมเสียงดีดนิ้วเริงร่า แล้วเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองก็เริ่มบรรเลง พร้อมมื้อค่ำที่เริ่มต้น อาหารมากมายถูกตักเเบ่งให้ลิ้มรสไม่ขาดสาย แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเเปลกประหลาดไปบ้าง เเต่แทมินรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาเลือกกินเหมือนตอนที่อยู่กับพ่อหรือเพื่อน ร่างบางจึงชิมเอาอย่างละนิดละหน่อยอย่างระมัดระวัง เเล้วเขาก็พบว่าอาหารพื้นเมืองมันอร่อยกว่าที่คิดอยู่มาก
"ไปย่อยอาหารกันหน่อยไหม?"
ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหู ริมฝีปากหนาของอีกฝ่ายสัมผัสโดนใบหูของเเทมินโดยไม่ได้ตั้งใจ เรียกบรรยากาศร้อน ๆ ให้รื่นขึ้นฉับพลัน
"อะ...หา?...เออ...ว่าไงนะครับ"
เห็นท่าทางกึ่งเขินกึ่งงงของอีกฝ่ายมินโฮก็ยิ่งยิ้มชอบใจ ร่างสูงเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ดอกเตอร์หนุ่มอีกนิด ใกล้ชนิดที่ว่าสันจมูกคมเเทบจะชนกับเเก้มนุ่มนิ่มของร่างบางเข้าเสียเเล้ว ก่อนเสียงเเผ่วจะถูกเปล่งออกมาให้ดังขึ้นกว่าเดิม
"เราช่วยท่านไปย่อยอาหาร เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นเพของเราสักหน่อยเป็นไร?"
ว่าพลางชี้ไปที่ลานกว้างด้านหน้า เหล่าบุรุษอาหรับทั้งหลายต่างกำลังสนุกสนานครื้นเครงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ชายหลายคนจับคู่เต้นคล้องเเขนถือขวดสุรารื่นเริง และโดยไม่รอให้ได้คำตอบ มินโฮชักข้อมือบางขึ้นลุกเเล้วพาเข้าไปในวงที่ถูกเเหวกทางไว้ให้พวกเขาโดย เฉพาะ
"คะ...คุณ ผมเต้นไม่เป็นครับ"
"ฟังจังหวะเเล้วเต้นไปตามใจเราก็พอ"
นิ้วทั้งห้าของเเทมินถูกรวบเข้าประสานกับนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่าย สัมผัสที่เหมือนมือน้อยของตนถูกครอบคลุมไว้ในอุ้งมือใหญ่นั้นชวนให้อบอุ่นใน ยามที่อากาศหนาวเหน็บ เท้าทั้งสี่เคลื่อนตัวไปตามจังหวะเพลงอย่างสอดประสานไม่ติดขัด
ใกล้ชิดมากขึ้น...มากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้มากเท่าไหร่ อี เเทมิน เหมือนยิ่งเสียความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไปเท่านั้น
คุณมินโฮ...คุณเป็นใครกันเเน่?
เวลาผ่านพ้นไปเอื่อยเรื่อย งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ครั้นพอเห็นว่าดึกมากเเล้ว มินโฮจึงจัดการสั่งให้ลูกน้องเก็บลานเเล้วเตรียมเข้านอน อนึ่งเพราะจะต้องออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
"เราจะพาท่านไปส่งที่กระโจมแล้วกัน?"
มินโฮกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ก่อนหันไปเรียกร่างบางที่เหมือนจะรู้ดีว่าต้องทำอะไรต่อ แทมินเพียงพยักหน้าเบา ๆ รับคำ เเต่ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินจากไปนั้น ชายสูงอายุคนหนึ่งกลับเดินเข้ามาขวางพลางก้มหัวให้มินโฮอย่างนอบน้อมเสียก่อน
"นายท่าน..."
"มีอะไรเรยาล? ถ้าเป็นเรื่องนั้นเราจะคุยกับเจ้าทีหลัง..."
"ถึงนายท่านจะไม่ประสงค์ให้กระผมพูดต่อหน้าเเขก เเต่อย่างไรเสีย...ตามกฎของเผ่าเรา เราไม่อาจดูเเลรับรองเเขกได้เกินสองวัน ซ้ำนี่ยังเข้าวันที่ห้าของการเดินทางเเล้ว ตามกำหนดการเราต้องถึงโจฮาราญก่อนเย็นนี้ เเต่นี่เราก็ยังต้องพัก...ผิดกฎทั้งสองข้อเเบบนี้ นายท่านจะว่าอย่างไร?"
มินโฮมีสีหน้ายุ่งยากใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงชักหน้ากลับไปมองเเทมินสลับกับลูกน้องก่อนจะเอามือสางผมลวก ๆ แทมินที่จับความจากประโยคภาษากลางเมื่อครู่เข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นมาทันที สาเหตุที่ทุกคนเอาเเต่มองเขาหรือปฏิกิริยาเเปลก ๆ จากบรรดาบริวารของร่างสูงข้างตัว
เพราะเขาเป็นต้นเหตุให้คุณมินโฮต้องทำผิดกฎสินะ
"ผม...คือ...ผมขอโทษครับ"
รู้ตัวว่าพูดไปก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมา เเต่ในผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่เเห่งนี้ หากเขาไม่พึ่งคนเหล่านี้ เขาเองก็ไม่รู้จะกลับไปที่จอร์เเดนได้อย่างไร ที่ทำได้ก็มีเเค่หวังจะกลับไปให้ได้เร็วที่สุดเพื่อหาทางตอบเเทนเท่านั้น
"ท่านไม่..."
"ผมรู้ดีว่าทำตัวเป็นตัวถ่วงให้พวกคุณ เเต่ถ้าหากผมได้กลับไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่ช่วยได้ ผมจะช่วยสุดความสามารถ เพราะงั้น..."
"เเต่อย่างไรเสียนายท่านก็ต้องกลับโจฮาราญก่อน จนกว่าจะถึงกำหนดการเดินทางในเดินถัดไป ซ้ำยังมีเพียงที่โจฮาราญเท่านั้นที่จะส่งข่าวไปในอัมมานได้ เราไม่อาจเสียเวลาอยู่ในทะเลทรายนาน ๆ ได้อีกเเล้ว นายท่านเองก็รู้ดี"
เเม้มินโฮจะพยายามหันไปส่ายหน้าให้แทมินมากเเค่ไหน ดอกเตอร์หนุ่มตัวเล็กกลับไม่ยอมหยุดที่จะทำการขอโทษ ยิ่งถูกชายที่ชื่อเรยาลย้ำถึงสถานภาพของกองคาราวาน เเทมินยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก ร่างบางกำหมัดเเน่นอย่างเจ็บใจ พยายามจะใช้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองคิดเเล้วคิดอีก เขาก็ยังหาทางเเก้ไขปัญหานี้ให้ตัวเองไม่ได้เลย
"ผมจะช่วย...ทุกอย่าง...เท่าที่จะทำให้ได้ในตอนนี้ พอจะมีทางไหนให้ผมช่วยได้ไหมครับ?"
ร่างบางยืดตัวขึ้นตรงพร้อมจ้องไปที่นัยน์ตาโตลึกอย่างเเน่วเเน่
"จริง ๆ มันก็มีวิธีนะ..."
เอกสารฉบับหนึ่งถูกยื่นมาวางไว้ตรงหน้าหลังจากทั้งสามพากันเดินกลับเข้าไปในกระโจม ใหญ่อีกหลังที่เป็นส่วนของกระโจมที่ประชุม เเทมินถูกจัดให้นั่งตรงหน้าเอกสาร ข้าง ๆ กันมีมินโฮที่นั่งนิ่งอยู่ ตรงข้ามคือเรยาลที่เพิ่งเอาเอกสารชุดนั้นมาให้
"นี่เป็นใบอนุญาตเข้าเมือง เพียงท่านเซ็นเอกสารฉบับนี้ท่านจะเดินทางเข้าโจฮาราญได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย เพราะมีท่านมินโฮคอยรับรองให้ พอเข้าเมืองได้เราจะพาท่านไปติดต่อกับทางราชการเพื่อทำการติดต่อไปยังเพื่อนของท่านเเละเมื่อครบกำหนดออกร่อนเร่ในเดือนถัดไป เราก็จะพาท่านไปส่งที่อะคะบะห์"
"....."
"ไม่มีเอกสารที่เป็นภาษาอังกฤษเหรอครับ?"
ร่างบางหยิบเอกสารที่เต็มไปด้วยตัวอักษรเขียนในภาษาอารบิกขึ้นมาพินิจดูพลางยิงคำถามไปทางเรยาลผู้จัดการที่ยังตีสีหน้าคร่ำเคร่ง
"โจฮาราญเป็นรัฐอิสระที่คงความเป็นเอกเทศเเละมีความเป็นส่วนตัวสูง จึงไม่เเปลกที่ชาวต่างชาติจะไม่รู้จักบ้านเมืองเรา อีกทั้งด้วยกลัวภัยคุกคามจากจากภายนอก กฎกติกาการเข้าออกรัฐจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คนต่างชาติที่จะมีสิทธิ์เข้าโจฮาราญได้จะต้องได้รับการรับรองจากประชาชนโจฮาราญตั้งเเต่ชนชั้นกลางขึ้นไปพร้อมเซ็นต์ลงนามในเอกสารที่ท่านเห็นอยู่นี้ ที่สำคัญที่สุดคือชาวต่างชาติผู้นั้นจะต้องมีทักษะในหมวดภาษาอารบิกด้วยจึงจะมีคุณสมบัติครบถ้วน"
ชายชราเอ่ยเสริมให้เข้าใจ ในขณะที่เเทมินมองตัวอักษรยึกยือตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างจงฮยอนจะอ่านออกได้
อ่า...ถ้ามีพวกนายอยู่ที่นี่ก็คงดีนะ คิบอม จงฮยอน
คิดถึงเเล้วกระบอกตาก็เริ่มร้อนผ่าวเหมือนเด็กขี้เเย เเทมินเชิดหน้าขึ้นหวังกลั้นทำนบน้ำตาให้กลับคืนไป ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นต์ตามจุดที่เรยาลทำตำเเหน่งไว้ให้อย่างมั่นใจ เเล้วยื่นไปให้มินโฮที่นั่งอยู่ข้างกันพร้อมรอยยิ้ม
"ผม อี เเทมิน จากนี้ไปรบกวนด้วยนะครับคุณมินโฮ"
มินโฮกระตุกยิ้มบางที่มุมปากเเล้วหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นต์ชื่อใกล้ ๆ กัน
เจ้าหลงกลเเล้วล่ะ...เด็กน้อย
"ไว้ใจเถอะ เราจะดูเเลท่านให้ดีที่สุด"
จะให้เจ้าได้ถูกดูแลอยู่ในอ้อมเเขนเราไปตลอดชีวิตเลยเชียวล่ะ อี เเทมิน
— ♦ TBC ♦ —
TBC TALK: ตอนสี่รอไม่นานจ่ะ เอิ๊กกกกกกกก~!
ความคิดเห็น