คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 | ต้องมนต์วาดิรัม
ตอนที่ 2
“ต้องมนต์วาดิรัม”
เขาไม่รู้ว่าตัวเองปล่อยใจไปตามบรรยากาศเงียบสงบของที่นี่นานเท่าไหร่ แค่เมื่อรู้สึกตัวอีกที จากเสียงเคาะประตูของคิบอมก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงตะโกนเรียกของคิบอมไปเสียแล้ว
“แทมินอ่า! เป็นอะไรรึเปล่า? ตอบฉันหน่อย!”
น้ำเสียงแสนห่วงนั้นทำเอาร่างบางต้องรีบกลับเข้ามาพร้อมปิดม่านอย่างเร่งรีบ แทมินเปิดประตูพร้อมขานรับเพื่อนสนิท ก่อนเงยหน้ามองคิบอมที่กำลังหมุนคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล
“เปิดประตูช้าจัง ทำอะไรอยู่ฮึ?”
“อ้อ...เมื่อกี้เผลอหลับลึกไปหน่อยน่ะ โทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่จะมาบอกว่าจงฮยอนกลับมาแล้ว เราลงไปกินข้าวเย็นกัน”
ค่ำวันนั้นอาหารฝรั่งมื้อง่าย ๆ ถูกจัดการตั้งโต๊ะโดยแม่บ้านชาวจอร์แดนประจำคฤหาสน์ รสมือของเธอค่อนข้างหนักไปทางอาหารรสจัดจึงทำให้บรรดาอาหารต่างชาติดูแปลกแยกและแตกต่างจากที่แทมินและคิบอมเคยทานมามากนัก แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาในการเจริญอาหารแต่อย่างใด ทั้งสามจัดการอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมทั้งหยิบยกเรื่องราวมากมายมาเล่าสู่กันฟังรวมไปถึงนัดแนะเรื่องสถานที่ทัวร์เที่ยวที่จะเริ่มต้นตั้งแต่พรุ่งนี้กันอย่างออกรส มื้ออาหารจบลงในอีกสักพักใหญ่ หลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกกันไปพักผ่อนอีกครั้ง
คืนนั้นเป็นคืนแสนธรรมดาที่แทมินรู้สึกหลับสบายเสียเหลือเกิน
“แทมินอ่า...รีบไปอาบน้ำเร็ว จงฮยอนรอพวกเราทานข้าวอยู่ข้างล่างแล้วนะ”
เสียงปลุกพร้อมแรงเขย่าของคิบอมรับเข้าสู่ประสาททั้งตัวของคนตัวเล็กในเช้าวันรุ่งขึ้น แทมินสะดุ้งตัวตื่นทั้งยังงัวเงียอยู่ ตาหวานปรือปรอยมองเพื่อนสนิทข้างเตียงที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกั๊กเนื้อดีสีเข้มกว่าเล็กน้อย คิบอมส่งยิ้มรับยามเช้าให้พร้อมกับยื่นแขนที่มีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่มาขวางตรงหน้า แทมินเสยผมสีสวยของตนลวก ๆ อย่างนึกรำคาญก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่เพื่อนเสนอมาให้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
“งั้นฉันลงไปรอข้างล่างนะ เสร็จแล้วก็รีบลงไปล่ะ”
“อื้อ”
สิ้นเสียงประตูห้องน้ำปิด คิบอมก็เดินออกไปทิ้งให้เพื่อนตัวดีได้จัดการกับกิจธุระยามเช้าตามสะดวก เพียงไม่นานแทมินก็จัดการแต่งตัวเรียบร้อยเดินหาววอด ๆ ลงมา แม้เมื่อคืนเขาจะรู้สึกนอนสบายสักแค่ไหน แต่วิสัยตื่นเช้ามาก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเคยชินของคนอย่าง อี แทมินอยู่ดี ร่างบางสาวเท้าเอื่อยเรื่อยเข้ามาหาโต๊ะอาหารก่อนจะฉีกยิ้มรับอรุณให้เพื่อนทั้งสองแบบเนื่อย ๆ ทีหนึ่ง
“นอนน้อยรึไง?”
เป็นจงฮยอนที่ทักทายด้วยน้ำเสียงยียวนเฉกเช่นเคย แทมินส่ายหน้ารับประโยคคำถามเบา ๆ
“อึ๊! หลับสบายดี แต่ไม่ได้ตื่นเช้านานเลยไม่ชินน่ะ ว่าแต่โปรแกรมวันนี้มีอะไรบ้างล่ะ?”
“เที่ยวสองวัน อาจจะนอนที่วาดิรัม ดูก่อนว่ากลับมาอัมมานทันไหม?”
“ให้กลับมาทันเถอะ เตียงที่นี่น่าจะสบายสุดแล้ว”
จัดแจงรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยอาเหม็ดก็จัดการยกกระเป๋าใบเล็กขึ้นไว้หลังรถจิ๊ปสีเขียวขี้ม้า มันดูเก่าแต่จงฮยอนรับรองว่าสมบุกสมบันและเป็นรถที่อาเหม็ดคุ้นมือที่สุด แทมินกับคิบอมจึงเลือกความปลอดภัยมากกว่าความสะดวกสบาย ครั้นพอตกลงกันเสร็จสิ้น เครื่องโฟร์วิลคันงามก็ถูกสตาร์ทก่อนแล่นฉิวไปตามถนนหนทางอย่างรวดเร็ว
“ที่ ๆ เราจะไปเป็นที่แรกคือเมืองจะรัช อยู่ไกลจากอัมมานไม่เท่าไหร่ ออกแนวเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ ค่อนข้างน่าสนใจมากนะ เพราะเป็นมรดกของพวกกรีกโรมันที่ทิ้งไว้เมื่อครั้งตอนที่ขยายอาณาเขตมาถึง” จงฮยอนเปรย ๆ ถึงสถานที่แรกให้ฟัง
ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงดีรถจิฟคันถึกก็จอดลงที่โบราณสถานแห่งเมืองจะรัช แทมินหยิบสมุดบันทึกเล่มโปรดขึ้นมาเตรียมจดรายละเอียดข้อมูลที่น่าสนใจตามแบบฉบับนิสัยด๊อกเตอร์ ส่วนคิบอมก็หยิบเอากล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมาถ่ายกับจงฮยอนก่อนเป็นอย่างแรก ด้วยความที่คนทั้งสามไม่มีปัญหาในเรื่องของภาษาอังกฤษ จงฮยอนจึงเสนอให้อาเหม็ดเจ้าถิ่นตัวจริงเป็นไกด์พาเที่ยว หนุ่มเลือดเบดูอินเก่ายิ้มแย้มเต็มใจก่อนนำชมโบราณสถานพร้อมทั้งอธิบายประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งอดีตก่อนพวกกรีกโรมันมาครอบครองจนถึงการบูรณะในปัจจุบันอย่างคล่องแคล่ว แต่พวกเขาก็อยู่เดินชมที่จะรัชเพียงไม่นาน อาเหม็ดก็เสนอให้ไปที่อื่นต่อเพราะจะรัชมีสิ่งน่าสนใจน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับเมืองที่เหลือที่พวกเขากำลังจะไปเที่ยวชม
“เมืองต่อไปเป็นเมืองมะดะบะครับ เป็นเมืองโบราณที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มาก ที่นั่นมีภูเขาเนโบที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังศพของโมเสสรวมถึงมีชื่อเสียงในสถาปัตยกรรมโมเสค มีตั้งแต่เครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ อย่างพวงกุญแจไปถึงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ อย่างชุดโต๊ะรับแขกก็มีนะครับ”
ภาษาอังกฤษเร็ว ๆ ถูกพ่นออกมาจากปากไกด์หนุ่มชาวอาหรับไม่หยุด อาเหม็ดเลี้ยวรถลงจอดที่หน้าโบสถ์เซนต์จอร์จของเมืองมะดะบะแล้วพาพวกเขาเดินเที่ยวอีกครั้ง คราวนี้สถานที่ใหม่ดูถูกใจคิบอมและแทมินอยู่มากหน่อยเพราะแทมินเป็นพวกติดจะชอบเรื่องของศาสนานิด ๆ ในขณะที่คิบอมสนใจในจิตรกรรมและสถาปัตยกรรมที่สวยงามของโมเสคจนจงฮยอนต้องจำใจเซ็นสั่งชุดรับแขกราคาสี่ร้อยเหรียญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“จงฮยอนอ่า...อย่าทำหน้าเบื่อแบบนั้นสิ”
“ซื้อจากที่นี่มันแพงมากนะคิบอม แล้วซื้อไปก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ไหนด้วย หรือจะส่งกลับไปให้คุณพ่อคุณแม่ที่เกาหลีรึไงหืม?”
สองคนรักกระเง้ากระหงอดกันไปได้สักพัก จงฮยอนก็ยิ้มออกหลังจากที่แฟนหนุ่มคนสวยกระซิบสัญญาลับให้ฟังที่ข้างหูเบา ๆ ใบหน้าคิบอมระเรื่อสีชมพูจาง ๆ อย่างขวยเขิน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครรับรู้ความลับของคนสองคนนั้นหรอก
“ฉันว่าเรารีบไปที่อื่นเถอะอาเหม็ด ขึ้นอยู่ต่อท่านทูตของนายคงจะได้เสียเงินเพิ่มเป็นแน่”
แทมินส่ายหน้ามองคู่รักที่ยอกันไปยอกันมาอย่างระอา เขาส่งอาเหม็ดเข้าไปขัดจังหวะสองคนนั้นพลางเดินดุ่ม ๆเข้าไปรอในรถ ครู่เดียวอีกสามชีวิตก็ตามมา แล้วคณะเดินทางของท่านทูตแห่งเกาหลีก็เริ่มออกเดินทางต่อ
ท่ามกลางแสงตะวันที่ส่องจ้าเด่นหราอยู่กลางศีรษะ อาเหม็ดขับรถเรื่อย ๆ มาตามทางลูกรังแถบชานเมือง แน่นอนว่าพื้นที่ที่เป็นถนนดี ๆ นั้นมีอยู่แต่พ่อหนุ่มอาหรับยังคงยืนยันให้ใช้เส้นทางลัดเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เรียกเอาของเก่าของแทมินแทบจะรื่นขึ้นมาจุกรวมที่คอพร้อมเตรียมขย่อนออกอยู่ได้ตลอดเวลา จะพูดจะบ่นก็ทำไม่ได้เพราะหากโวยวายออกมาเขาคงโดนไอคุณท่านทูตจงฮยอนแขวะว่าเป็นยอดคุณหนูเข้าให้อีกเป็นแน่
“เราจะพักกินข้าวที่ร้านดานากันก่อน แล้วผมจะพาไปชมแกรนด์แคนยอนของจอร์แดนนะครับ”
ครั้นพอรถเทียบลงจอดที่ร้านอาหารไม่ทันสนิทดี แทมินก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูหาห้องน้ำทันทีเป็นอย่างแรก จงฮยอนที่ลงตามมาหัวเราะขำ ๆ ก่อนจะสะกิดคิบอมให้ตามเพื่อนสนิทเข้าไป ส่วนตนจะไปจัดการเรื่องโต๊ะกับอาเหม็ด สองหนุ่มหน้าสวยพากันเดินออกมานั่งโต๊ะพร้อมลงมือจัดการอาหารอีกครั้ง แน่นอนว่าถึงจะพยายามกันตัวเองไว้สุดตัวแล้วก็ตาม สิ่งที่แทมินคาดไว้ก็ไม่เคยผิดไปจากที่คิด จงฮยอนแขวะใส่เขาทันทีที่เขาหย่อนก้นลงนั่ง ศึกปะทะคารมน้อย ๆ จึงผุดขึ้นมากลางโต๊ะอาหารอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นคนกลางคนเดิมที่สลายไป อาเหม็ดที่นั่งเงียบอยู่นานแทรกขึ้นกับจงฮยอนว่ากว่าจะถึงเพตราก็คงค่ำ ๆ เขาแนะนำให้พักที่กะรักก่อน คิบอมชักนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะลงความเห็นว่าสมควรอย่างที่อาเหม็ดว่า ทุกคนจึงตกลงว่าจะหาที่พักที่เมืองกะรักหลังจากเที่ยวชมวาดิมูลิบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“งั้นคุณแทมินไหวนะครับ เส้นทางที่จะไปวาดิมูลิบมันค่อนข้างคดเคี้ยวมากหน่อย แต่ถนนดีครับผมจะพยายามไม่ขับเร็วมาก”
อาเหม็ดเอ่ยถามแทมินอย่างเป็นห่วง จงฮยอนหลุดขำพรืดออกมาก่อนเจ้าคนน่าเป็นห่วงจะตวัดสายตาจิกวูบ แล้วพยักหน้าให้อาเหม็ด
“ฉันพกยาแก้เมามาด้วย เพิ่งกินไปเมื่อครู่ คิดว่าน่าจะดีขึ้นนะ”
หลังจากจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายที่ร้านอาหารแล้ว ทั้งสี่ก็กลับเข้ามาอยู่ในเจ้าพาหนะแสนสมบุกสมบันอีกครั้ง อาเหม็ดสตาร์ทแล้วออกวิ่งต่อ แต่คราวนี้สารถีร่างใหญ่ผ่อนความเร็วลงมากอย่างที่ว่าไว้ เส้นทางคดเคี้ยวชวนเวียนหัวกว่าที่แทมินคิดนิดหน่อยแต่ด๊อกเตอร์หนุ่มยังพออดทนได้ อีกสองชั่วโมงถัดมาพวกเขาถึงวาดิมูลิบในที่สุด ลักษณะของเทือกเขาที่ถูกสายน้ำกัดเซาะราวกับแกรนด์แคนยอนขนาดย่อมนั้นดูยิ่งใหญ่ อาเหม็ดอธิบายให้ชัดเจนอีกทีว่าพวกแม่น้ำเหล่านี้ล้วนไหลลงสู่เดดซีทั้งสิ้น และหากลองส่องกล้องหรือมองไปไกล ๆ อีกหน่อยจะเห็นวิวทะเลสาบเดดซีอยู่ลิบ ๆ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดพวกเขาจะได้ไปเยือนที่นั่นในวันรุ่งขึ้น
ถัดจากที่วาดิมูลิบแล้วอาเหม็ดยังแอบพาทั้งสามไปเที่ยวชมปราสาทครูเสดโซบัคอีกเป็นที่สุดท้ายของวัน อากาศยามเย็นเริ่มส่อแววหนาวสะท้าน จงฮยอนหยิบโค้ทตัวใหญ่สวมให้คิบอมอย่างห่วงใยพลางหยิบโค้ทอีกตัวยื่นให้เพื่อนสนิทอีกคน แทมินครางขอบคุณเบา ๆ แล้วรีบหยิบเข้ามาห่อตัวทันที พวกเขาลงมาเดินดูปราสาทเก่าแก่ได้เพียงครู่อาเหม็ดก็พากลับ จิ๊ปสีเขียวแล่นเข้าสู่ตัวเมืองกะรัก ก่อนคณะทัวร์จะจัดการหาที่พักแล้วเข้าพักกันชั่วคราวต่อไป
“นอนไม่หลับเหรอ?”
ร่างสูงโปร่งของเพื่อนสนิทสืบเท้าเข้ามาใกล้ตัวแทมินอย่างเงียบเชียบ คิบอมในชุดคลุมอาบน้ำที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จกำลังตั้งใจยีหัวที่หมาดน้ำของตนให้แห้งโดยเร็ว
หลังจากที่พักทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของเมืองกะรัก คณะทัวร์ท่านทูตเลือกพักโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเท่าไหร่เป็นที่พัก พวกเขาแยกคณะนอนกันสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นของคิบอมกับแทมินส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นของจงฮยอนและอาเหม็ด สองหนุ่มผู้คุ้นถิ่นนัดแนะให้สองหนุ่มหน้าสวยมาพบกันช่วงเช้าที่ล๊อบบี้เพื่อเตรียมทัวร์วันที่สองที่เดดซี เพตราและวาดิรัม สามสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจอร์แดน
“ว่าไง หืม?”
จากที่เดินเรื่อยเข้ามาหากลายเป็นมายืนหยุดตัวอยู่ข้าง ๆ ร่างบอบบางของด๊อกเตอร์หนุ่ม คิบอมทอดมองเพื่อนสนิทที่เหม่อมองม่านฟ้ายามราตรีไปแสนไกล ไม่อาจรู้ได้ว่าในใจอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ แต่สิ่งที่เห็นพ้องต้องคิดคือความงามของพื้นฟ้ายามราตรีในเมืองแห่งทะเลทรายนั้นช่างวิจิตรหาใดเปรียบ
ผืนทรายที่เงียบสงบ อากาศที่แสนอบอ้าวในกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นหนาวสะท้านในกลางคืน ดวงจันทร์ดวงงามที่คล้อยเด่นเรืองรองในท้องฟ้าสีนิลสนิท ดวงดาวไร้เมฆหมอกบดบังพราวระยับวิบวับอยู่เต็มนภาที่แสนวังเวง ยิ่งอยู่ใกล้มากเท่าไหร่ เสียงเรียกของชายในฝันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในความทรงจำแสนอันเลือนรางของแทมินมากขึ้นเท่านั้น ร่างบางไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ไม่รู้เลยว่าฝันแห่งทะเลทรายนั้นจะตามหลอกหลอนเขาไปจนถึงเมื่อไหร่ แต่เพียงแค่ไม่ได้ฝันถึงเพียงคืนเดียว หัวใจกลับคิดถึงนัยน์ตาวาวแสนดึงดูดคู่นั้นอย่างไม่อาจห้ามใจ
โซ่ตรวนนั้นกำลังคืบคลานเข้ามา...เสียงแห่งโชคชะตากำลังชักพาให้พรหมลิขิตดลบัลดาลให้พบกัน
แทมินไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า เจ้าของนัยน์ตาอันน่าหลงใหลนักหนานั้นจะเปลี่ยนชีวิตตน...จะเป็นคนที่ช่วงชิงเอาทั้งร่างกายและหัวใจให้พลัดพรากจากโลกแห่งความจริงไปตลอดกาล
“คิบอมอ่า...”
เจ้าของดวงหน้าหวานหลับตาพริ้มพลางเรียกเพื่อนสนิทข้างตัวเสียงผะแผ่ว ความรู้สึกหวาดกลัวถึงอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจเสียจนหวั่นประหม่า แทมินยืนนิ่งผ่อนลมหายใจเชื่องช้าก่อนจะหันมาสบตาเพื่อนรักแน่วแน่
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้...บนแผ่นดินนี้ นายอย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวนะ”
มือเรียวที่กระชับผ้าขนหนูผืนบางซับหยาดน้ำบนหัวอยู่หยุดชะงัก คิบอมไม่เข้าใจอารมณ์ของแทมินสักเท่าไหร่ แต่ร่างบางก็นึกอุปโลกน์ไปเองว่าเพื่อนตัวเล็กคงเกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านและเหงาหงอยขึ้นมาจนกลัวว่าจะต้องอยู่คนเดียว ในสถานที่ที่รู้สึกไม่คุ้นเคย ยิ้มหวานปนเอ็นดูถูกวาดขึ้นที่ริมฝีปากเป็นกระจับสวย ก่อนมือเย็นจะเอื้อมเข้าไปขยี้เบา ๆ ที่หัวทุยของเด็กคิดมาก
“ชีวิตฉันมีแค่ครอบครัว นายแล้วก็จงฮยอน ฉันขาดสามสิ่งนี้ไม่ได้หรอก...ถึงแม้ฉันกับจงฮยอนจะเป็นแฟนกันก็ตาม เขาไม่เคยสำคัญไปกว่านาย ฉันรักนายทั้งสองคนนะ...ถึงจะคนละความหมายก็เถอะ เรื่องนี้จงฮยอนเองก็คงรู้สึกเหมือนกัน”
“ขอบคุณนะ...ขอบคุณ”
ความรู้สึกอบอุ่นสบายใจถูกถมแทนช่องว่างแห่งความหวาดหวั่น แทมินระบายยิ้มบางก่อนจะชวนให้คิบอมกลับเข้าไปในห้องเพราะดูท่าหากอยู่อย่างนี้นานเข้าอีกหน่อยทั้งเขาและอีกฝ่ายคงได้เป็นหวัดรับอรุณในวันพรุ่งนี้เป็นแน่
‘อีกไม่นานแล้ว...อีกไม่นาน...เราจะได้พบกันเสียที’
ฟุบ!
“แทมินอ่า...นายควรจะไปอาบน้ำได้แล้วนะ”
คิบอมจัดการดึงผ้านวมผืนหนาออกจากตัวเพื่อนด้วยแรงทั้งหมดที่มี แทมินกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างงัวเงีย คนขี้เซาพึมพำขอผ้าห่มแต่คนปลุกใจแข็งพอที่จะไม่สงสารท่าทางออดอ้อนแบบง่วงงุนนั้น คิบอมยืดตัวตรงกอดอกนิ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่นึกหาวิธีการลากผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตตรงหน้าให้ตื่นขึ้นไปอาบน้ำเสียที
“อย่าให้ฉันต้องใช้กำลังนะแทมิน...อ๊ะ! มีแมลงสาบอยู่บนเตียงนาย!!”
“เฮ้ย!!”
ร่างกายสั่งการให้สะดุ้งตัวขึ้นโดดเหยงโดยอัตโนมัติ ภาพด๊อกเตอร์คนเก่งในสภาวะที่หวาดกลัวแมลงสุดขีดนั้นเรียกเสียงหัวเราะใส ๆ จากเพื่อนร่วมห้องได้มากโข คิบอมยิ้มสนุกก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวใส่หัวอีกฝ่ายที่รู้สึกตัวแล้วว่าโดนแกล้ง
“เล่นอะไรแผลง ๆ อีกแล้ว นิสัยเสียแบบนี้นายติดจงฮยอนมารึไงกันนะ?”
แทมินดึงเจ้าผ้าขนหนูที่วางแหมะอยู่บนหัวลงมาพาดไหล่ก่อนจะเดินมึน ๆ เข้าไปในห้องน้ำอย่างง่วง ๆ
“เมื่อไหร่จะเลิกตื่นสายซะทีฮึ?”
จงฮยอนทักทายเพื่อนสนิทด้วยประโยคคำถามเป็นประโยคแรกของวัน ร่างโปร่งรวบช้อนที่เพิ่งใช้จัดการมื้อเช้าเสร็จไปเมื่อครู่ให้เรียบร้อย บริกรหนุ่มชาวจอร์แดนรุดเข้ามาหยิบมันออกไปพร้อมเสิร์ฟกาแฟให้ แทมินตวัดสายตามองท่านทูตเพียงครู่ก่อนทำท่าจะจัดการมื้อเช้าชุดใหญ่ตรงหน้าด้วยความกระตือรือร้น ทว่าไม่ทันจะได้หยิบจับอะไรเป็นกิจจะลักษณะ อาเหม็ดก็เอ่ยเตือนร่างบางของด๊อกเตอร์หนุ่มไว้เสียก่อน
“อย่าทานเยอะนะครับ เดี๋ยวพอถึงตอนนั่งรถแล้วจะแย่เอา”
แทมินชักสีหน้ายุ่งยากแต่มือก็ยั้งการตักพาสต้าไว้แล้วเปลี่ยนไปตักฮอทดอกคอกเทลไก่กับไข่ดาวสุก ๆ แทน ทางคิบอมเองก็กวักมือเรียกบริกรให้เสริมน้ำส้มให้เพื่อนตนอย่างรู้ใจ
“เราจะกลับเมื่อไหร่กันจงฮยอน?”
“วันนี้เราคงนอนกันแถววาดิรัมนั่นแหละ ถ้าแคมป์เบดูอินไม่เต็ม ฉันคิดว่าเส้นฉันน่าจะไหวอยู่ พอดีลืมบอกที่สถานทูตให้จองไว้ให้ล่วงหน้า พวกเราเลยต้องไปหาตามมีตามเกิด”
ท่านทูตบอกสบาย ๆ แทมินพยักหน้าหงึกงักพลางยกน้ำส้มแก้วสุดท้ายขึ้นดื่ม อาเหม็ดเข้ามาตามพอดี ทั้งสามจึงลุกขึ้นเตรียมออกเดินทางต่อ
“พ่อหนุ่ม!”
ภาษาอารบิกแหบแหลมของหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของรุ่งเช้า มือเหี่ยวย่นของหล่อนยื้อแขนเสื้อของแทมินเอาไว้เป็นการบอกกลาย ๆ ว่าคนที่ต้องการจะพูดด้วยคือเขา ด๊อกเตอร์หนุ่มหันไปมองทั้งหญิงชราทั้งเพื่อนสนิทอย่างงุนงง แล้วก็เป็นจงฮยอนที่พ่นภาษาอารบิกไฟแล่บออกมาเป็นล่ามแทนเพื่อนตน
“พอดีว่าเขาเป็นคนต่างชาติ...ไม่ทราบว่าคุณยายมีอะไรจะบอกเพื่อนของผมเหรอครับ?”
หญิงชราพร่ำต่อโดยไม่แม้แต่จะสบตาจงฮยอน หล่อนจดจ้องที่ใบหน้าของแทมินอย่างมุ่งมั่น มือที่แขนเสื้อขยับขึ้นไปกำที่ท่อนแขนแน่น เสียงของหล่อนสั่นเทิ้มอย่างที่ทุกคนไม่อาจเข้าใจ
“อย่า...มนต์แห่งวาดิรัมกำลังล่อลวงเจ้า อย่าไป...ข้ามองเห็นชะตาชีวิตที่มืดมัวของเจ้า อนาคตที่มองไม่เห็น เคราะห์กรรมใหญ่หลวงที่จะเปลี่ยนชีวิตของเจ้าไปตลอดกาล”
คนที่ฟังไม่ออกขมวดคิ้วเป็นปมไม่เข้าใจ ในขณะที่คนฟังออกเหงื่อตกอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง ประสบกับเป็นจังหวะที่อาเหม็ดเดินเข้ามาตามพวกเขาอีกครั้งพอดี จงฮยอนจึงพยักเพยิดให้ทุกคนรีบออกเดินทางด้วยกัน แทมินพยายามปลดมือของหญิงชราอย่างสุภาพก่อนโค้งเป็นเชิงขอบคุณแล้วรุดเดินตามอีกสามคนไป
“เมื่อกี้เค้าว่ายังไงวะจงฮยอน?”
ครั้นพอจิ๊ปสีเขียวเดินเครื่องอีกครั้ง แทมินที่นั่งเงียบมาได้ไม่นานก็เอ่ยซักเพื่อนสนิททันที ทางด้านคิบอมก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ทั้งเขาและแทมินต่างฟังภาษาอารบิคไม่ได้ทั้งคู่ แน่นอนว่าต้องอย่างรู้เป็นธรรมดา
“เมื่อกี้เขาทักนาย ฉันก็บอกไปว่านายไม่รู้ภาษาอารบิค มีอะไรจะบอกกับนายรึเปล่า? แต่คุณยายท่านไม่ได้มองฉัน เขาก็ยังมองหน้านายแล้วพูดเป็นทำนองทายทักเหมือนหมอดูประมาณว่ามนต์แห่งวาดิรัมจะล่อ
ลวงนาย ชีวิตนายจะมืดมัว เคราะห์จะเปลี่ยนชีวิตนาย ประมาณนี้แหละ ฉันเลยคิดว่าคงเป็นแค่พวกหมอดูแก่ ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปเลยชวนพวกนายออกมา”
ด้วยความที่คนทั้งสามเป็นเด็กรุ่นใหม่และค่อนข้างจะยึดถือหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าความเชื่องมงายโบราณ ประเด็นของคุณยายหมอดูจึงถูกปัดตกไปอย่างไม่ใส่ใจ จงฮยอนหยิบมือถือขึ้นมาส่งให้คิบอมกับแทมินที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ดูภาพที่ท่านทูตคนเก่งถ่ายเดดซีและเพตราไว้ตั้งแต่สมัยตอนที่เพิ่งมาอยู่ที่จอร์แดนแรก ๆ แม้จะไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนไกลมากนัก แต่ช่วงแรก ๆ เขาก็ได้มีโอกาสมาเยือนเดดซีและเพตราก่อนเป็นการนำร่อง นับว่าเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจและ คิม จงฮยอนเองก็คิดไว้มานานแล้วว่าจะต้องพาเพื่อนและคนรักมาเที่ยวที่นั่นด้วยกันอีกให้ได้
“ตอนนั้นไปกับคณะทัวร์ของที่สถานทูต เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ห้าวันเอง ช่วงนั้นหลังจากเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีปุ๊บ ฉันก็โดนล็อคไปแพลนเที่ยวปั๊บเลย แต่ไม่ได้ไล่เที่ยวเป็นเมือง ๆ อย่างที่เราเที่ยวกันหรอกนะ ขับดิ่งตรงมาที่เดดซีแล้วพักคืนหนึ่งก่อนที่จะไปต่อที่เพตราอีกวัน พักแคมป์เบดูอินที่วาดิรัมแล้วกลับในอีกวัน เป็นทัวร์ที่ค่อนข้างรวบรัด แต่สนุกดี”
เจ้าของประสบการณ์เอ่ยเสริมในขณะที่คิบอมกับแทมินเอาแต่หัวเราะและพูดคุยนินทาระยะเผาขนให้จงฮยอนได้ยินกันอย่างไม่เกรงกลัว
“ส่งรูปนั้นให้ฉันด้วยคิบอม จงฮยอนในชุดโต๊ปตลกชะมัด”
“ที่นี่เรียกว่าดิชดัชชาห์หรอกแทมิน”
“เรียกไม่เหมือนกันหรอกเหรอ?”
“ที่ยูเออีเรียกกันดูร่า ที่ซาอุฯเรียกโต๊ปอย่างที่นายเข้าใจ ส่วนที่อาหรับเหนือเขาเรียกว่า ดิชดัชชาห์”
“ช่างเถอะ! จะมีกี่ชื่อ ๆ มันก็คือ ๆ กันนี่หน่า...ว่าแต่หน้าแกไม่ตะวันออกกลางสักนิดเลยอะจงฮยอน ถ้าไม่นับเรื่องรูจมูกบานเหมือนอูฐละก็นะ ฮะฮะฮะ!”
คนถูกนินทำได้แต่ส่ายหัวระอาให้กับคุณด๊อกเตอร์เพื่อนสนิทที่ทำตัวไม่รู้จักโตเสียทีอย่าง อี แทมิน เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังต่อไปได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าของเสียงก็มีอันได้นั่งเงียบหน้าซีดเพราะแรงโยกของรถคันเก่ง อาการคลื่นไส้เริ่มกลับมาทว่าวันนี้แทมินรู้สึกได้ว่าตนเองทนทานได้ดีกว่าเมื่อวาน
รถของพวกเขาจอดลงที่เดดซีในอีกไม่กี่อึดใจ เบื้องหน้าของบุรุษทั้งสี่คือทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในโลกและเค็มที่สุดในโลก ผืนน้ำสีเขียวอมฟ้าสวยสดงดงามยามสะท้อนกันกับแสงอาทิตย์ยามสาย อาเหม็ดแนะเสริมว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่มิสิ่งมีชีวิตใด ๆ สามารถอาศัยอยู่ได้ และถ้าหากเขาสนใจ สามารถลงไปว่ายน้ำซึ่งไกด์หนุ่มสะดุดไว้ที่คำนั้นและชี้นิ้วให้ดูภาพฝรั่งชาวตะวันตกคนหนึ่งนอนลอยเล่นอยู่เหนือผืนน้ำท่ามกลางแสงแดดที่แม้นจะไม่แรงมากแต่ทั้งแทมินและคิบอมกลับรู้สึกแสบผิวแทน
“ไม่ดีกว่านะ...ถ้าต้องไปนอนแบบนั้น”
คิบอมพึมพำแผ่วเบา จงฮยอนยกยิ้มบางให้คนรักที่กำลังเพ่งมองสภาพการกระทำอันร้ายกาจต่อผิวที่หลายคนกำลังทำอยู่ ก่อนจะเริ่มเอ่ยเสริมให้กระจ่าง
“จริง ๆ การลอยตัวที่เดดซีเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตมาก ๆ นะ แต่อีกหนึ่งอย่างที่สุดยอดไม่แพ้กันคือหมักโคลนเดดซี ถ้าคิบอมสนใจล่ะก็...”
“ไปสิ”
ขอให้เป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพผิวและได้ทำอะไรที่แปลกใหม่น่าสนใจ คิบอมเป็นต้องรีบตกปากรับคำทันทีไปเสียทุกครั้ง จงฮยอนรู้นิสัยข้อนี้ดี
“เฮ้ยเดี๋ยวดิ! ฉันไปตกลงตอนไหน อ๊ะ! คิบอมอย่าลากไปสิเพิ่งหายเมานะเว้ย!”
จงฮยอนและอาเหม็ดเดินนำพาสองคู่หูนักเรียนนอกมาชิมลางการหมักโคลนเดดซีเป็นครั้งแรก ด้วยเรือนร่างที่เปื้อนโคลนปิดบังผิวขาวให้ดำเขรอะทำให้สองหนุ่มไม่พลาดโอกาสยอมลอยตัวในทะเลไปโดยปริยาย
เสร็จจากที่มื้อกลางวันที่เดดซีทั้งสี่เริ่มมีไฟลุยต่อเพราะตรงหน้าคือไฮไลท์ที่โดดเด่นที่สุดในจอร์แดนขณะนี้ ‘เพตรา’ มหานครสีกุหลาบในหินผาที่ห้อมล้อมรอบกรอบไปด้วยทะเลทราย
“ถึงแล้วล่ะเพตรา”
แทมินแทบจะตะกายร่างออกมาจากรถคันใหญ่แทบจะไม่ทัน เพราะรอบนี้อาเหม็ดเร่งความเร็วมากเสียเหลือเกิน ครั้นจะเอ่ยขอให้ลดลงหน่อยปากก็หนักเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใดได้ ร่างบางจึงจำใจนั่งทำสมาธินับเลขในใจรอไป จนเมื่อเท้าของตนได้แตะพื้นดินแดนเพตราเท่านั้น น้ำเสียงห่วงใยของโชเฟอร์หนุ่มก็ดังขึ้นทันที
“ขออภัยคุณแทมินด้วยนะครับ ผมกับคุณจงฮยอนคิดว่าถ้ามาถึงเร็วเราอาจจะได้เที่ยวเพตรานานหน่อย เพราะยังไงเราก็ต้องไปพักแคมป์เบดูอินที่วาดิรัม หากชักช้าจะไม่มีเวลาชมเพตรานาน ๆ”
แทมินพยักหน้าเข้าใจ จงฮยอนกับคิบอมพอเข้าไปจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมเสร็จก็รีบกลับมาดูอาการเขาอย่างเป็นห่วง ยิ่งคิบอมที่พอได้ยินจากจงฮยอนว่าอาจจะได้นั่งอูฐก็ยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่าเหตุผลหลักไม่ใช่เพราะใคร มันต้องเป็นเพราะ อี แทมินที่กำลังยืนซีดอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นแน่แท้อยู่แล้ว
“ฉันก็ล้อเล่นไปอย่างนั้นแหละคิบอม ฉันรู้ดีว่าแทมินคงยอมกัดลิ้นตายแน่ถ้าต้องนั่งอูฐจริง ๆ”
เจ้าหน้าที่นำทางเข้ามาอธิบายถึงเส้นทางที่จะต้องเข้าไปเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วพร้อมแจกใบแผนที่เสร็จสรรพ โดยมีคณะเดินทางทั้งสี่นั่งฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับคณะเดินทางอื่น ๆ ที่เข้ามาในเวลาเดียวกัน ม้าหลากหลายสายพันธุ์ถูกเตรียมพร้อมไว้เพื่อออกเดินทางจากจุดชมแรกไปสู่จุดอื่น ๆ จงฮยอนกับอาเหม็ดเลือกม้าสีน้ำตาลเข้มรูปร่างกะทัดรัดในขณะที่แทมินเลือกเจ้าม้าสีน้ำตาลอ่อนที่เขาออกตัวว่าน่าไว้ใจที่สุด ส่วนคิบอมจับเลือกเจ้ามาพันธุ์ผสมสีเทาเป็นม้าคู่ใจ การเดินทางถูกนำโดยเจ้าหน้าที่โดยมีกลุ่มคณะเดินทางหลายกลุ่มต่อแถวเรียงรายกันเข้าไปก่อนจะแยกชมจุดชมกันตามความสนใจ
คณะของจงฮยอนหรูหราด้วยมีเจ้าหน้าที่หนึ่งคนเข้ามาควบคุมเป็นพิเศษตามแบบฉบับสิทธิพิเศษของท่านทูต เจ้าม้าก้าวเดินอุ้ยอ้ายให้ผู้เป็นนายชั่วคราวได้ทอดสายตามองไปรอบ ๆ บรรยากาศของโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ของจอร์แดนอย่างตื่นเต้น
“จากตรงนี้เราต้องเดินผ่านเอ็ดซิกเข้าไปเองครับ”
เจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุด ก่อนจะหันกลับมาอธิบายให้ฟังพลางชี้ไปที่ช่องเขาขาดตรงหน้าที่มีชื่อว่า ‘เอ็ดซิก’ ตามที่ได้อธิบายไว้ก่อนออกเดินทาง คณะเดินทางทั้งสี่ปลดตัวลงจากม้าจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ร่างผอมเข้าไป ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรเรียกเหงื่อให้คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังบ่อยนักอย่างคิบอมกับแทมินได้มาก แต่ทั้งสองก็ยังรู้สึกดีที่ได้เดินดูรูปสลักแปลก ๆ ที่เริ่มเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่ในซิก
“นี่คือ ‘อัลคัชนีย์’ พระคลังสมบัติแห่งเพตราครับ”
สิ้นเสียงแนะนำ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของคณะเดินทางทุกคนคือวิหารหินสลักขนาดใหญ่ที่หาใช่เพียงการสลักหินแต่เป็นปะติมากรรมจากการขุดเจาะผาหิน ทางเจ้าหน้าที่รีบอธิบายรายละเอียดให้ฟังถึงประวัติความเป็นมาโดยคร่าวแล้วศิลปะที่เห็นเด่นชัด ก่อนจะปล่อยให้บรรดานักท่องเที่ยวถ่ายรูปตามใจชอบ
“เมื่อก่อนที่นี่เหมือนจะนับถือไอซิสเลยสลักรูปพระนางไว้ตรงกลางอย่างที่เห็น จริง ๆ อัลคัชนีย์ก็ไม่ต่างอะไรกับพีระมิดในอียิปต์นั่นแหละครับ”
อาเหม็ดเสริมเข้าไปให้กระจ่างขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แทมินพยักหน้าพลางสอดสายตาดูเจ้าสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่อย่างนับถือในความสามารถ สมุดเล่มเล็กของด๊อกเตอร์หนุ่มถูกใช้ไปเกือบครึ่งในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้อมูลมากมายเหลือเกินที่เขาไม่เคยรู้ทำให้ความรู้สึกในเชิงบวกกับประเทศในแถบตะวันออกกลางมีมากขึ้น
“มาถ่ายรูปสิแทมิน!”
คิบอมตะโกนเรียกแทมินจากอีกมุมหนึ่งในขณะที่ตนเองถูกจงฮยอนดึงเข้าไปโอบเสียชิดก่อนจ
ะกดชัตเตอร์โพลรารอยด์ตัวใหม่ที่เพิ่งถอยมาก่อนจะมาที่จอร์แดนได้ไม่นานอย่างมีความสุข แทมินหย่อนสมุดบันทึกของตนลงในกระเป๋าสะพายหนังก่อนจะรุดเข้าไปหาเพื่อนสนิทเพื่อถ่ายรูปด้วยกัน
พวกเขาสนุกสนานกับการเที่ยวชมได้เพียงไม่นาน...เวลาแห่งความทรงจำดี ๆ ก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่เดินชมมหานครประวัติศาสตร์ได้ต่อเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น อาเหม็ดก็เตือนบอกให้ทุกคนรุดไปที่ทะเลทรายวาดิรัมเป็นแห่งสุดท้ายก่อน เพราะหากชักช้ากว่านี้ฟ้าจะมืดและเป็นปัญหากับทั้งการเดินทางและการเข้าสู่ที่พัก ทั้งแทมินและคิบอมจึงได้แต่พ่นเสียงรำพึงอย่างเสียดาย
“ไว้วันหลังถ้ามีวันหยุดเราค่อยมาเที่ยวใหม่ก็ได้”
นั่นเป็นคำปลอบเดียวจากจงฮยอนที่หยุดเสียงบ่นหึ่งของเพื่อนและคนรักของตนลงได้ จิ๊ปคันเดิมหมุนล้ออีกครั้งด้วยความเร็วไม่เร่งไม่รีบนัก แทมินดูจะคุ้นชินกับอาการผะอืดผะอมของตัวเองมากแล้ว สีหน้าเจือน ๆ จึงเก็บอาการไว้ได้ดีกว่าเดิม อาเหม็ดสลับทั้งเร่งทั้งผ่อนความเร็วไปตามลักษณะถนน จวบจนกระทั่งรถผ่านเข้าไปในเขตกำแพงหินของทะเลทรายวาดิรัม อาเหม็ดก็ทั้งดริฟท์ทั้งเหวี่ยงโดยไม่แม้แต่จะเตือนกันสักนิด จงฮยอนที่ดูเหมือนจะเคยชินอยู่บ้างจับที่จับข้างตัวแน่นในขณะที่แทมินรู้สึกเหมือนโลกหมุน คิบอมเรียนรู้ไวจึงยึดที่จับข้างตัวตามแบบจงฮยอน มืออีกข้างก็ยึดเพื่อนตัวเองไว้ อาเหม็ดจบโชว์ในเวลาไม่กี่อึดใจในขณะที่แทมินรู้สึกเหมือนตัวเองแทบจะจบชีวิต
“ขอโทษคุณแทมินด้วยนะครับที่ทำโดยไม่บอก พอดีว่ามันเคยชินเวลาที่รถมันแตะพื้นทรายน่ะครับ ได้ดริฟท์ได้เหวี่ยงสักหน่อยมันมีความสุขมาก ฮาๆ”
ภาษาอังกฤษไว ๆ สะท้อนเข้ามาในหูของชายหนุ่มทันทีที่คิบอมลากเขาลงมาจากรถได้ในสภาพที่ตาลอยไปแล้ว จงฮยอนรีบส่งน้ำให้ดื่มก่อนเป็นอย่างแรกในขณะที่คิบอมเอาแต่ถามเขาว่าจะอ้วกไหม เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลทองส่ายหัวไวตอบทันที แทมินพยายามหลับตานิ่ง ๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเปิดตาเต็มที่มองบรรยากาศรอบตัวที่ตอนนี้เริ่มบ่ายออกคล้อยเย็น
“นี่ถึงแล้วใช่ไหม?”
“ครับ...ที่นี่คือทะเลทรายวาดิรัม ทะเลทรายที่สวยที่สุดของจอร์แดน และโดยส่วนตัวผมคิดว่าสวยที่สุดในโลก”
อาเหม็ดส่งผ้าเย็นให้ด๊อกเตอร์หนุ่มเช็ดหน้าเช็ดตา พร้อมทั้งเอ่ยตอบคำถามที่ไม่รู้ว่าถามใครเมื่อครู่ แทมินมองรอยล้อรถที่ลากยาวเป็นเส้นโค้ดสลับตรงมากมาย เขาเข้าใจความสุขของอีกฝ่ายขึ้นมานิดหนึ่ง บางทีอาเหม็ดก็คงอยากจะมีอารมณ์แข่งปารีสดาการ์ดูบ้างกระมัง
“สวยนะ”
“อื้อ...สวย”
“ทะเลทรายกว้างจัง...ฉันอยากขี่อูฐ ตรงโน้นมีบริการให้ขี่ด้วย พาฉันไปขี่หน่อยสิจงฮยอนอ่า”
แทมินเบะปากมองคู่รักที่ออดอ้อนกันกลางทะเลทรายอย่างหมันไส้ ร่างบางพิงร่างของตนกับรถคู่กรณีที่เพิ่งทำเอาเขาแทบอยากตายไปเมื่อครู่อย่างปลดปล่อยอารมณ์ มองย้อนไปจากตั้งแต่ประตูกำแพงทางเข้าทะเลทรายจะมีซุ้มอยู่ประปรายให้เห็นพร้อมทั้งสัตว์พาหนะบริการ ตาสวยจิกใส่บรรดาเจ้าอูฐหลายขนาดนั่นทันที สัญญากับตัวเองไว้ขึ้นใจว่าเขาไม่มีทางจะยอมขึ้นมันเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ
“แทมินอ่า! ไปขี่อูฐกันเถอะ เราต้องขี่อูฐไปที่แคมป์เบดูอินใกล้ ๆ นี้นะ”
ช่วยอยากไปคนเดียวไม่ได้รึไงกัน คิม คิบอม?
หากจะให้จัดอันดับคนที่รื่นเริงแสนสุขกับการทัวร์ในครั้งนี้มากที่สุด แทมินยอมฟันธงเลยว่าต้องเป็น คิม คิบอมว่าที่เลขานุการของเอกอัครราชทูตประเทศเกาหลีประจำจอร์แดนอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะได้จับจ่ายของถูกใจหลายอย่างแล้ว ยังได้มีโอกาสมาดูสิ่งของสวย ๆ งาม ๆ และแปลกตาอย่างทะเลทรายที่แม้ล่าสุดจะไปอิยิปต์มาอีกฝ่ายก็ยังไม่สาใจอีก ส่วนที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือได้มาเดทกับจงฮยอนอีกครั้งหลังจากที่ร้างการเดทมานาน
เป็นปี
“ฉันไม่ขี่อูฐนะ ให้ฉันขี่ม้าเอาแล้วกัน โอเคไหม?”
“ก็ได้”
ยกข้อเสนอส่งให้อีกฝ่ายพร้อมรับคำตอบรับมาอย่างว่องไว ทั้งสี่ทิ้งรถไว้แล้วเดินเข้าไปหาสัตว์พาหนะในซุ้ม ทั้งจงฮยอน คิบอม และอาเหม็ดเลือกอูฐเป็นพาหนะมีเพียงแทมินที่เลือกม้า ทางหัวหน้าซุ้มเข้ามาตกลงกับอาเหม็ดเป็นภาษาอังกฤษกับเรื่องเส้นทางที่จะพานำไปและกฎข้อห้ามเวลานั่งสัตว์ พวกเข้ารับทราบแล้วเริ่มออกเดินทางโดยเรียงลำดับเรียบร้อยที่ คนนำทาง แทมิน จงฮยอน คิบอม และอาเหม็ด อูฐสี่ตัวถูกเตรียมไว้พร้อมม้าอีกหนึ่ง
การเดินทางเริ่มต้น...ลมประหลาดค่อย ๆ พัดผ่านแช่มช้า อย่างไม่มีใครรู้สึก
หัวหน้าซุ้มเกริ่นกับคณะเดินทางว่าจะพาไปชมจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกดินสวยที่สุด ยี่สิบขาพากันย่ำเดินไปตามไหล่ทรายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ราวกับต้องการให้บรรดานักท่องเที่ยวได้ซึมซับบรรยากาศที่เริ่มหนาวเย็นและแผ่นดินทะเลทรายอันแสนเงียบสงบ
ที่บางทีก็รู้สึกได้ว่า.....เงียบเกินไป
อาเหม็ดนิ่วหน้าขมวดคิ้วมุ่น พร้อม ๆ กับเสียงสัญญาณสั่งให้หยุดของหัวหน้าซุ้มสัตว์ สัญชาตญาณเบดูอินกำลังกระซิบบอกพวกเขาว่า ‘อันตรายกำลังมา’
ชายเลือดอาหรับทั้งสองต่างไม่เข้าใจ มีเพียงความหวาดกลัวลึก ๆ เท่านั้นที่รู้สึกสำหรับพวกเขาในยามนี้ อาทิตย์ดวงโตที่กำลังคล้อยต่ำเหมือนยิ่งเร่งเร้าให้ความกังวลพูนทวี
“ผม...รู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น...ผมคิดว่านี่น่าจะเป็น...”
ฟู่! ครืน!
“พายุทราย!”
เสียงตะโกนดังลั่นนั้นเป็นของหัวหน้าซุ้มสัตว์ สิ้นกันพอดีกับที่อาเหม็ดพยายามอธิบายความรู้สึกของตน เม็ดทรายหมุนวนลอยขึ้นบดบังทัศนียภาพของทุกชีวิตให้มองไม่เห็นกันและกัน ลมแรงพัดให้ต่างคนต่างตกลงจากสัตว์พาหนะของตนเอง ซ้ำยังโดนเม็ดทรายเล่นงานเข้าทั้งปากและจมูก พายุคลั่งยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางสรรพเสียงที่ไม่มีใครแยกออกว่ามาจากไหน แทมินปิดตาและจมูกตามสัญชาตญาณ ร่างทั้งร่างรู้สึกได้ว่ากำลังลอยอยู่เหนือพื้นทรายแต่ก็โดนทรายด้วยกันห้อมล้อมอยู่ ในหูได้ยินเพียงเสียงภาษาอารบิกคำหนึ่งที่เขารู้สึกว่าเคยได้ฟังจากหญิงชราที่เมืองกะรัก
‘มนต์แห่งวาดิรัม’
แล้วสติที่พร่าเลือนก็ทำให้แทมินไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใดอีก
— ♦ TBC ♦ —
TALK: ตอนสองมาเสิร์ฟไวกว่าที่คิดใช่ม้า? ฮาาาาา!! สปอยว่าตอนหน้าจะได้เจอพระเอกเเล้วค่า เขาจะเป็นใครโปรดติดตามต่อไป โฮโฮ~ แล้วก็ติดตาม Q&A เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บางคนอาจยังไม่ทราบเเละไม่เข้าใจในตอนของ Q&A นะคะ จะตามมาเสิร์ฟต่อจากตอนนี้เเหละค่า...ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่สนับสนุนน้า (ช่วยกระจายข่าวว่าไรเตอร์ยังมีชีวิตอยู่ด้วยก็ดีน้า...~)
110327
BUTTERFLY DESTIN [B.D]
ความคิดเห็น