คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 9 | แผนการของพระชายาเเทมิน [100%]
ตอนที่ 9
"แผนการของพระชายาเเทมิน"
ไกลออกไปในเขตทะเลทรายอันกว้างใหญ่ กองคาราวานขนาดย่อมของชีคหนุ่มเเห่งนครโจฮาราญหยุดตั้งแคมป์พักเเรมที่เพิงหินใกล้โอเอซิสเล็กๆ กระโจมสามกระโจมตั้งขึ้นว่องไวพร้อมกระโจมเล็กสำหรับอาบน้ำ มินโฮเดินตรวจตราการตั้งกระโจมของเหล่าทหารไปด้วยสนทนากับเรยาลไปด้วย เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาการขาดเเคลนน้ำเเละการสำรวจโอเอซิสสำคัญ
หลังจากวันที่ทะเลาะกับเเทมิน ด้วยเเรงโทสะทำให้มินโฮเอ่ยสั่งให้เรยาลเลื่อนกำหนดวันออกเดือนที่อุตส่าห์ได้งดเว้นในเดือนราชอภิเษกให้เข้ามาเป็นวันพรุ่งอย่างเร่งด่วน เพราะเขาไม่อยากเห็นหน้าตาเด๋อด๋าของพระชายาผู้อารี สีหน้าที่เหนือกว่าของสตรีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเเม่เลี้ยง หรือคำอ้อนวอนจากพระชายาเด็กที่ไม่รู้จักเติบโตเสียที
'จะเรียกว่าหนีปัญหาก็ได้...เพราะเขาคิดว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น'
"ไกลออกไปอีกสิบไมล์ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรให้ข้อมูลมาว่าพบเเหล่งโอเอซิสใหญ่ที่ถือว่าเป็นโอซิสในครอบครองของเรา เเต่สองสามเดือนมานี้มีกองกำลังเร่ร่อนเข้าไปยึดพื้นที่ทำมาหากินตรงจุดนั้น กระหม่อมไม่ทราบชื่อเผ่า เเต่พรุ่งนี้จะจัดกำลังคนเข้าไปสำรวจตรวจตราดูสักหน่อยพะยะค่ะ"
เรยาลอ่านรายงานบันทึกประจำวันให้นายเหนือหัวของตนฟัง มินโฮพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะจับจ้องไปยังแผนที่เพื่อระบุพิกัดบันทึก วันต่อมาพวกเขาทิ้งเเคมป์ไว้กับคนส่วนหนึ่งเเล้วออกเดินทางไปยังพิกัดโอเอซิสดังกล่าวโดยมีนายทหารเจนพื้นที่นำทางไป
"ถึงเเล้วพะยะค่ะฝ่าบาท"
มินโฮยื้อบังเหียนม้าตัวเก่งของตนไว้ ก่อนหรี่ตามองภาพลางๆ เบื้องหน้า พวกเข้าอยู่ห่างจากเเหล่งโอเอซิสประมาณครึ่งไมล์ได้ จึงมองเห็นเป็นลักษณะครอบคลุมเกือบทั้งหมด บ่อน้ำขนาดใหญ่มหึมาพอจะเลี้ยงกองคาราวานประมาณสามร้อยคนได้อย่างสบาย ทั้งยังอุดมด้วยพืชพันธุ์ไม้ เเสดงว่ายังคงหมุนเวียนใช้ได้ไปอีกหลายปี ข้างๆ บ่อน้ำมีกระโจมมากกว่าสิบกระโจมตั้งอยู่ประปราย ตรงกลางมีกระโจมที่ดูใหญ่กว่าใครเพื่อนหนึ่งกระโจม ใกล้กันนั้นมีเขตกั้นกักอูฐเเละม้าอาหรับจำนวนหนึ่ง
เเต่ไม่มีวี่เเววของชาวเบดูในกองคาราวานนั้นเลย
"แปลก"
ร่างสูงลดกล้องส่องทางไกลลง หลังจากที่หยิบมันขึ้นมาส่องเพราะต้องการมองหาคนท้องถิ่นที่น่าจะมีออกมาเดินวิ่งให้เห็นบ้าง เเต่เบื้องหน้ากลับวังเวงว่างเปล่า มินโฮหลุบตานิ่งคิดก่อนหันไปกระซิบบอกเรยาลที่ยืนอยู่ข้างกัน
"ไม่ต้องบอกว่าเราเป็นใคร ทำเเบบทุกที...เป็นเเค่หัวหน้ากองคาราวานเร่ร่อน เเล้วเข้าไปสำรวจด้านในกัน...อย่าประมาท เราไม่วางใจเท่าไหร่"
ครั้นพอทุกคนพยักหน้าเข้าใจ กองคาราวานขนาดเล็กของชีคหนุ่มก็ย่างเข้าไปในเขตโอเอซิส เมื่อม้าเเละอูฐก้าวมาถึงหน้าหมู่บ้านขนาดย่อม มินโฮที่เป็นผู้นำก็ให้สัญญาณกับทุกคนให้ลงจากสัตว์พาหนะของตนได้ เเละเพียงชั่ววินาทีที่คนทั้งหมดกระโดดลงนั่นเอง เงาไว้จากทุกทิศทุกทางก็เข้ามาล้อมกองคาราวานไว้ เหล่าชายฉกรรจ์ชักหน้าไม้พร้อมเล็งยิง ทหารทั้งหมดเข้าล้อมกั่นมินโฮทันที
"พวกเเกเป็นใคร? มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ เเถบนี้!" เสียงหนึ่งจากวงล้อมนอกดังขึ้น
"พวกเราเเค่ผ่านมา...เพิ่งเคยเห็นโอเอซิสเเถบนี้เป็นครั้งเเรก อารามว่าสงสัยเลยลองเข้ามาดู"
ทหารสูงวัยตอบไปอย่างใจเย็น มือข้างหนึ่งกำปืนสั้นที่ซ่อนไว้ด้านหลังนิ่ง สถานการณ์ค่อนข้างจะเลวร้ายกว่าที่คิด แต่ยังไงก็ต้องเจรจาดีๆ ไว้ก่อน พวกคาราวานพวกนี้อาจเป็นพวกเดนตายเร่ร่อนเเละทารุณก็เป็นได้
"จริงรึ? เเต่ท่าทางของพวกเเกไม่ได้ดูเป็นมิตรเลยสักนิด บอกมาว่าต้องการอะไร!? ถ้าจะเเย่งชิงพื้นที่นี้ไปต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน"
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างเต็มไปด้วยโทสะ มินโฮกระซิบรหัสทางการทหารเสียงต่ำ ไม่ช้าทหารทุกนายก็ละมือจากอาวุธของตน ยืนนิ่งจ้องหน้าผู้คิดอริอย่างไม่วางใจ เสียงเซ็งเเซ่ดังขึ้นทันที ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นเพียงชาวบ้านที่ป้องกันตนเองธรรมดาไม่มีพิษสงอะไร
"รอท่านดูฮาห์เถอะ พวกมันดูจะไม่มีอะไร"
"ไม่ได้...มันอาจจะหลอกพวกเราก็ได้"
"ท่านดูฮาห์ไม่ให้เข่นฆ่าโดยไม่จำเป็น"
"เเล้วผู้หญิงกับเด็กล่ะ?"
"บอกให้อยู่ในกระโจมไปก่อน!"
เหล่าชาวบ้านลดหน้าไม้ลงหลังจากตกลงกันได้ เเต่พวกเขาก็ยังไม่เดินไปไหน คนที่ดูมีอายุที่สุดสั่งให้พวกของมินโฮนั่งลงนิ่งๆ โดยมีพวกเขานั่งล้อมอีกที ทั้งสองฝ่ายจ้องหน้ากันเขม็ง เท่าที่จับได้ลางๆ เหมือนพวกชาวบ้านจะรอท่านดูฮาห์อะไรนั่นอยู่ จากความคาดการณ์ของมินโฮ ชีคหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายคงเป็นหัวหน้าของกองคาราวานเเห่งนี้
"ท่านดูฮาห์กลับมาเเล้ว"
ชาวบ้านมีสีหน้าดีขึ้นทันตาเห็น ไม่ช้าคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา มินโฮมองเห็นอีกฝ่ายไม่ถนัดนักเพราะคนทั้งกลุ่มล้วนสวมชุดคลุมสำหรับสำรวจที่ปิดหน้าปิดตามิดชิดเช่นเดียวกับเขา
เเต่สายตาของชายที่เดินนำมานั้นช่างประหลาด
'มันเหมือนใครสักคนที่เขารู้จัก'
"ท่านดูฮาห์ครับ คนพวกนี้มาด่อมๆ มองๆ หมู่บ้านของเรา ฮัชฮีที่ออกไปเดินรอบอาณาเขตตอนเช้าเห็นเข้า เราเลยตั้งรับไว้ได้ทันเเละล้อมจับได้โดยละม่อมครับ"
ตาคมที่มินโฮเเสนสงสัยนั้นตวัดกลับมาจ้องมองเขา คราเมื่อทั้งสองฝ่ายสบสายตากัน ความรู้สึกสงสัยบางอย่างก็เเล่นเข้าสู่กันเเละกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทั้งคู่รู้สึกเพียงว่ามันเป็นความคุ้นเคย เเต่อธิบายไม่ถูก
"ทำได้ดีฮัชฮี...เอาล่ ะ ดูจากที่ไม่ได้มีการปะทะกันคงพอเดาได้ว่าพวกคุณไม่ได้มีเจตนาเข้ามาเเย่งชิงพื้นที่ เเล้วพวกคุณบุกรุกพื้นที่ของพวกเราทำไม?"
ดูฮาห์เอ่ยถาม เเต่ในขณะที่เรยาลทำท่าจะตอบ มินโฮก็ยื้อผู้เฒ่าไว้เเล้วเอ่ยตอบกลับไปเสียเอง
"เดิมที่พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้เป็นของผู้ใด อีกทั้งมันยังอยู่ในเขตปกครองของนครรัฐอิสระโจฮาราญ เราเดินทางผ่านมาไม่บ่อยนักเพราะเเถบนี้เเล้งกว่าเเถบอื่น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีโอเอซิสตั้งอยู่ด้วยเลยเข้ามาสำรวจ ไม่ได้ตั้งใจจะละเมิดพื้นที่ของท่าน"
ตาของดูฮาห์ลุกวาวอยู่ครู่หนึ่งยามได้ยินชื่อนครหลุดจากปากของมินโฮ ถ้อยคำที่ดูเหมือนจะตอบอย่างนอบน้อมนั้นเเฝงไปด้วยความต้องการจะเสียดสี ชีคหนุ่มสบสายตาของผู้นำกองคาราวานของอีกฝ่ายอย่างท้าทาย ในขณะเดียวกันดูฮาห์เองก็ไม่ยอมเเพ้
"งั้นทางกองคาราวานของเราก็ต้องขอโทษด้วยที่ล่วงเกินพวกคุณ ไม่ทราบว่ามีธุระอื่นใดอีกหรือไม่...หากไม่ เรายินดีจะต้อนรับด้วยน้ำที่เราพอมีเป็นการตอบเเทนที่เสียมารยาท"
ดูฮาห์เสนอการต้อนรับ เเต่มินโฮกลับส่ายหน้าปฎิเสธ เขาลุกขึ้นก่อนสั่งให้ทหารของเขาลุกตาม
"ไม่เป็นไร...ขอเเค่พวกท่านยอมปล่อยพวกเรากลับที่ตั้งกระโจมของเราอย่างปลอดภัยเป็นเพียงพอ"
ครั้นเห็นว่าไมตรีจะไม่ได้ผลเท่าใดนัก ดูฮาห์ก็นึกหัวเราะหึอยู่ในใจ ก่อนจะผายมือเเละก้มหัวให้อีกฝ่ายได้กลับไปตามที่ขอ
"ขอให้พวกคุณเดินทางปลอดภัย"
เสียงนั้นยังตรึงอยู่ในหูของมินโฮ เเม้กระทั่งเมื่อเขากลับมาถึงกระโจมของตนเเล้ว
ในกระโจมใหญ่มีการจัดประชุมเร่งด่วน เรยาลติติงเหล่าทหารยกใหญ่ที่ถูกเจอเเล้วยังไม่รู้ตัว ลามไปถึงการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวม ประเด็นเรื่องโอเอซิสก็ไม่ได้สำรวจต่อ มินโฮยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของดูฮาห์ จนเรยาลต้องเอ่ยเรียกเสียงดัง
"ฝ่าบาทพะยะค่ะ!"
"อ้อ...อืม...ว่าไง? เจ้าจบเรื่องทั่วไปรึยัง?"
"กระหม่อมอยากทูลถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องกองคาราวานนั้นเเละผู้นำที่ชื่อดูฮาห์นั่น น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นใบหน้า จะได้ระมัดระวังไว้" มินโฮลูบคางสากพลางพยักหน้าเข้าใจ
"ไม่เป็นไรหรอก...เพราะเราเองก็เผยเเค่ดวงตาเหมือนเขา ถือเสียว่าเท่าๆ กันไป หากถามความเห็น เราคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำสูงอยู่พอตัว พรุ่งนี้เราจะส่งหน่วยหาข่าวไปลอบสืบดู เอาเเค่พอรู้ลักษณะคร่าวๆ ของหมู่บ้าน ไม่ต้องเข้าไปด้านในก็ได้"
เรยาลพยักหน้าพลางเรียกทหารที่อยู่ไม่ไกลสองสามนายมาอบรมเรื่องเเผนการ
ถึงจะผ่านมาหลายวันเเล้วหลังจากที่เขาจากเมืองหลวงมาโดยทิ้งให้เเทมินอยู่ที่นั่นโดยไม่มีเขา ชีคหนุ่มกลัดกลุ้มเสมอ นับว่าเป็นความโกรธชั่ววูบจริงๆ ที่ทำให้เขาหุนหันสั่งการออกมาออกเดือน ทั้งๆ ที่เพิ่งเเต่งงาน เเทมินที่ยังไม่คุ้นชินจะรู้สึกอย่างไร? จะมีคนเอาไปว่าให้รึเปล่า? ที่สำคัญ...เขาเป็นห่วงกลัวว่าสองพี่น้องสาวนั่นจะคิดทำอะไรต่อไปไหม? ด้วยความที่อยู่ไกลสายตา เขาคงได้เเต่ต้องหวังพึ่งโฮริญาคอยช่วยเหลือ
"คิดถึงพระชายาใหม่รึพะยะค่ะ?"
เรยาลที่คร้านจะเรียกเหนือหัวเป็นครั้งที่สามเอ่ยถาม เรียกมินโฮให้ตื่นจากภวังค์เหม่อ
"เราเเค่เหม่อน่ะ" มินโฮตอบไม่สบตา ชายชราจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยบอก
"พระองค์เป็นเเบบนี้ไม่บ่อย ตั้งเเต่สมัยเพิ่งโตเป็นหนุ่มก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันถวายการรับใช้มานาน จะดูไม่ออกได้อย่างไร"
"จะบอกว่าเราชอบเขามากงั้นรึ?"
"อาจจะมากกว่าที่พระองค์คิดไว้พะยะค่ะ"
"ตอนนี้เราชักไม่เเน่ใจเหมือนกัน ว่าที่เราคิดไว้มันมากเท่าไหร่"
ตอนนี้ในใจเขาหายโกรธลงไปมากแล้ว แทมินอาจไม่รู้ด้วยนิสัยของสองพี่น้องแห่งตระกูลรอฮิมดาน เขาเองก็ด่วนใจร้อนโมโหมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นมินโฮสังหรณ์ใจประหลาด เขารู้สึกว่าต้องรีบกลับวัง รู้สึกว่ามีลางร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา
ดวงตาของดูฮาห์แว่บเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
“รีบจัดการเรื่องโอเอซิสนั้นให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เราจะล่วงหน้ากลับวังก่อนพวกสาย รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีชอบกล”
ชีคหนุ่มเปรยบอกผู้เฒ่า เรยาลก้มหน้ารับคำสั่ง
“ทุกอย่างจะเรียบร้อยพะยะค่ะ”
..................................................
“แผนที่ว่าคืออะไรครับ?”
จินกิเลิกคิ้วบางพลางเอ่ยถามพระชายาหนุ่ม แทมินยิ้มย่องก่อนเอ่ยบอกเสียงรื่น
“ผู้ชายสองคนในรูปเป็นเพื่อนของผม ผมคิดว่าเขาน่าจะระแคะระคายเรื่องที่ผมไม่ยอมกลับไปหาพวกเขา เลยมาตามสืบ ที่เขาปลอมตัวผมคิดว่าคงเป็นเพราะชีคบ้านั่นต้องขัดขวางไม่ให้เข้าเมืองแน่ๆ แต่จงฮยอนมันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ผมรู้ดี เอาเป็นว่าคุณช่วยดูแลพวกเขาให้ผมหน่อย ถ้าพวกเขาอยู่กับคุณ ผมจะได้ติดต่อกับพวกเขาได้ และเราจะได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับแผนการ คุณคงพอจะช่วยผมได้นะ”
แทมินนิ่งรอคำตอบ ไม่นานจินกิก็ผุดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวเก่ง พลางยื่นเอกสารเกี่ยวกับคนทั้งสองพร้อมรูปถ่ายให้แทมิน
“ในคอมพิวเตอร์ผมสามารถดึงข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ครับ คุณเก็บเอกสารเกี่ยวกับเพื่อนของคุณไว้ดีกว่า จะได้ศึกษาเผื่อในอนาคตมีปัญหาหากชีคระแคะระคาย ส่วนเรื่องเพื่อนของคุณ ผมจะรับอาสาดูแลให้ ผมจะอ้างว่าพวกเขาเป็นพนักงานรับจ้างทำงานที่นี่ คุณเองถ้าหากอยากพบพวกเขาก็ติดต่อผ่านผมหรือมาที่นี่ได้ครับ”
แล้วแทมินก็ค่อยๆ ผลิยิ้ม ใบหน้าสวยมีน้ำตาคลอ เขาดึงมือจินกิเข้าไปเขย่าๆ อย่างยินดี ปากบางพึมพำว่า ‘ขอบคุณ ขอบคุณ’ ไม่หยุด คนทำคุณก็เอาแต่ยิ้มตาหยี ไม่ได้ท้วงติงในอากัปกิริยาดีใจของอีกฝ่าย
“ผมจะไม่ลืมคุณนี้ไปตลอดชีวิต หากคุณต้องการความช่วยเหลืออะไร บอกผมนะ บอก อี แทมิน คนนี้ได้เลย ต่อให้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด ผมก็จะช่วยคุณให้ได้”
“ฮะฮะ...อย่าสัญญาแบบนั้นสิครับ ผมเต็มใจช่วยนะ ก็คนประเทศเดียวกันนี่หน่า”
จินกิยิ้มน้อยๆ เขาเอ่ยบอกร่างบางอย่างไม่จริงจัง เพราะเขาเองไม่ได้เชื่อในสัญญงสัญญาสักเท่าไหร่
“ไม่หรอก...ผมพูดจริงๆ นะ ผมสัญญา” แต่แทมินกลับรับปากด้วยสีหน้าจริงจัง จินกิจึงผงกหัวยอมรับทั้งรอยยิ้ม
“ครับ...หวังว่าจะมีโอกาสให้คุณได้ทดแทนคุณในสักวันนะครับ”
กินเวลานานพอควรจากร้านของจินกิ แทมินถูกมีอุสโทรมาขัดจังหวะเขาที่กำลังนั่งพูดคุยทำความรู้จักกับนักธุรกิจหนุ่มที่รับปากจะช่วยเหลือเขาจนแทมินต้องขอตัวกลับอย่างนึกเสียดาย จินกิเป็นคนคุยสนุก เขาตลกและยิ้มง่าย ดูๆ ไปให้ความรู้สึกว่าเป็นเหมือนพี่ชาย ครั้นพอเดินไปสมทบกับมีอุสที่จัตุรัสหน้าวัง แทมินก็นึกถึงเรื่องนี้ตลอดมา พอเขานึกถึงจินกิทีไร ภาพชีคจอมเจ้าเล่ห์ก็ผุดพรายเข้ามาเปรียบเทียบในหัวตลอด
‘คนที่ไม่ควรคิดถึงที่สุด....แทมินกลับคิดถึงได้ง่ายดายราวกับแค่หายใจ’
ภาพของผู้ชายที่ดูแลเขาในกระโจมวันนั้นยังฝังลึกในสมองไม่หลุดหายไปไหน ถึงปากเขาจะเปรียบคนนับพันว่าดีกว่ามินโฮ แต่ใจเขากลับฉายภาพผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียวอยู่ในใจ แทมินไม่อยากวินิจฉัยความรู้สึกนี้เลย เขากลัวที่จะรู้ผลของมัน กลัวที่รู้ว่าตัวเองนั้น...
“พระชายาเพคะ”
มีอุสต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนออกเสียงเรียกพระชายาเป็นรอบที่สาม แทมินจึงหลุดจากภวังค์
“หือ?!” ตากลมเบิกโพลงตกใจ ราวกับกลัวว่าใครอาจกำลังอ่านใจเขาอยู่
“หม่อมฉันเห็นพระองค์นิ่งไปเลยเอ่ยเรียก นี่ก็เย็นมากแล้วเรากลับเข้าที่ตำหนักเลยดีกว่าเพคะ”
“นี่มีอุส...”
มีอุสที่ทำท่าจะเดินนำกลับหยุดฝีเท้าตามเสียงเรียก หญิงวัยกลางคนหันมาเป็นเชิงถามในความประสงค์ของนาย
“มิน...ไม่สิ...ชีคน่ะ จะกลับมาเมื่อไหร่?”
แทมินรู้ดีว่าตัวเองกำลังถามอะไรแปลกๆ แต่เขาแค่อยากรู้ ร่างบางคิดว่าอีกฝ่ายคงโกรธเขาอยู่มากถึงได้หนีไปแบบนั้น มันคาใจที่ถูกห่วงแล้วไม่ได้ขอบคุณ เขาเพิ่งมาเข้าใจมินโฮเพราะมีอุสอธิบายให้ฟังถึงเหตุผล แต่พอคิดจะขอโทษก็ไม่ทันคนใจร้อนเสียแล้ว
“ปกติแล้วออกเดือนของฝ่าบาทไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรอกเพคะ นี่ก็ไปได้หลายวันแล้ว พรุ่งนี้มะรื่นคงกลับแหละเพคะ”
แทมินพยักหน้ารับก่อนเบือนหน้าไปมองทางอื่น เขาไม่กล้าสบตานางกำนัลใหญ่เพราะกลัวอีกฝ่ายจะล้อเลียนเหมือนนางกำนัลเด็กคนอื่นๆ ในตำหนัก ซึ่งก็จริงที่ใบหน้าของมีอุสตอนนี้ยิ้มพราย หล่อนเก็บความขบขันไว้ในใจก่อนเอ่ยชวนพระชายาปากแข็งให้กลับวังด้วยกันโดยไม่พูดล้ออะไรต่อ
โดยไม่รู้ตัว แทมินและบรรดานางกำนัล เดินสวนกับจงฮยอนและคิบอมที่หันไปอีกด้านอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาต้องคลาดกัน
“จงฮยอน...เราเดินทั่วเมืองมาค่อนวันแล้ว ทำไมยังไม่เจอแทมินอีกล่ะ?”
คิบอมหย่อนกายนั่งยองลงกับพื้นพลางบ่นอุบอิบ ท่าทางน่ารักนั้นทำเอาแฟนหนุ่มคนเก่งถึงกับส่ายหน้าระอา เขาดันแว่นสายตาแล้วหันไปพิจารณากระดาษข้อมูลสถานที่ที่ได้มา จงฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่
‘วันนี้พวกเขาคงต้องคว้าน้ำเหลวกลับห้องสินะ’ ท่านทูตหนุ่มนึกในใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน อย่าพึ่งกังวลจนเกินไปเลย”
เขาย่อตัวลงนั่งเสมอคิบอมก่อนตบไหล่เล็กเป็นเชิงปลอบ ทั้งคู่ตัดสินใจกลับที่พักในเวลาต่อมา
หลังจากที่ผ่านด่านตรวจคนมาได้อย่างไม่ถูกสงสัย พวกเขาสามารถอยู่ในโจฮาราญได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นตามกฎหมาย จงฮยอนวางแผนตามหาแทมินให้เจอก่อนเป็นอย่างแรก โดยทั้งคู่ได้รับแผนที่และข้อมูลบางส่วนจากสถานทูตและฮารัดคนนำทาง โจฮาราญเองก็ไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังไม่เจอแทมินอยู่ดี
ลางสังหรณ์ของจงฮยอนรู้สึกได้ว่ามันแปลก
“คุณ ปาร์ค จงชิค ครับ”
พอเดินกลับมาถึงที่พัก ภาษาอังกฤษสำเนียงเปร่งๆ ของพนักงานต้อนรับก็ดังเข้าหูมาก่อนเป็นอย่างแรก ชื่อที่ถูกเรียกเป็นชื่อปลอมที่จงฮยอนใช้ในการปลอมแปลงเอกสารเข้าเมือง เขาเหลียวหลังไปยังต้นเสียง ยกกุญแจห้องให้คิบอมขึ้นไปรอบนห้องก่อน
“ครับ”
“มีจดหมายถึงคุณครับ” พนักงานต้อนรับยื่นซองจดหมายสีขาวปลอดให้
ท่านทูตหนุ่มฉงนใจเล็กน้อย แม้เขาจะทิ้งให้อาเหม็ดคอยเป็นสายข่าวอยู่นอกเมือง แต่เมื่อสองสามวันก่อนอาเหม็ดเพิ่งส่งจดหมายมารายงาน ไม่น่าจะส่งมาอีกในเวลากระชันชิดขนาดนี้
“แปลกจริง...”
ร่างโปร่งกลับมาถึงห้อง พอดีกันกับที่คิบอมกำลังจะเข้าไปอาบน้ำ เลขาหนุ่มจ้องมองจดหมายในมือของจงฮยอนอย่างสงสัย
“จดหมายอะไรน่ะ?” เขาถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน”
ว่าเสร็จก็ฉีกซองออก จงฮยอนกวาดสายตามองข้อความในกระดาษครู่หนึ่งก่อนย่นคิ้วยู่ จนคิบอมต้องดึงเอากระดาษไปอ่านบ้าง
ถึง คุณ คิม จงฮยอนและคุณ คิม คิบอม
ผมได้รับมอบหมายจากคุณ อี แทมิน ให้เป็นผู้ดูแลคุณขณะที่อยู่ที่นครโจฮาราญ หลังจากที่ได้รับจดหมายนี้ ผมขอให้คุณทั้งสองเก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ และใช้แผนที่ด้านล่างเดินทางมาหาผมที่ร้านอินเตอร์เน็ตที่ชื่อ ‘JOHARANN INTERNET CENTER’ บอกชื่อปลอมของพวกคุณกับพนักงานชั้นบนสุด เขาจะเข้าใจเอง
ปล.ผมชื่อ อี จินกิ เป็นคนเกาหลีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
“หมายความว่ายังไง? ที่บอกว่าได้รับมอบหมายมาจากแทมิน”
เมื่ออ่านเสร็จร่างบางก็เอ่ยถามแฟนหนุ่ม แต่จงฮยอนก็ทำได้เพียงส่ายหน้า
“เขารู้ประวัติของเราแน่ๆ แถมยังต้องรู้จักแทมินด้วย...คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปหาเขาตามที่จดหมายนัด”
คิบอมสางผมอย่างหัวเสีย จงฮยอนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิด คนรักของเขาไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ แต่เขาก็มองไม่เห็นทางอื่น ท่านทูตหนุ่มได้แต่หวังว่าฝ่ายที่ส่งจดหมายมาให้เขาจะไม่ใช้ผู้ประสงค์ร้าย
“ช่างเถอะ...จะร้ายดีเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้”
แล้วร่างบางก็สรุปจบใจความทั้งหมดด้วยประโยคข้างต้น
.............................................................
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ร้ายกับแทมินในวันนั้น ชาริฟาถูกสั่งกักบริเวณทันที มินโฮที่โกรธจัดไม่แม้แต่จะยอมมาเหลียวแลพระชายาลำดับสี่ที่พร่ำขอจังหวะเพื่ออธิบายเรื่องราวทุกอย่าง ชาริฟาร่ำไห้เศร้าโศกเพียงลำพังอยู่ในตำหนักของหล่อน นางกำนัลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ถูกลงโทษ กลายเป็นเหล่าทหารและนางกำนัลชั้นผู้ใหญ่จากตำหนักกลางที่มาเฝ้าหล่อนแทน ชามิลลาห์เองก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย โดยหล่อนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในฐานะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะยังไม่ได้ถูกกักบริเวณ แต่ก็ถูกห้ามไปมาหาสู่กับน้องสาวโดยเด็ดขาดหากคดียังไม่จบ
เหมือนเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายไปบ้างสำหรับพระชายาที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างหล่อน แต่ชีคแห่งโจฮาราญนั้น บทจะเด็ดขาดก็เด็ดขาดจนน่ากลัว
“พระชายาเพคะ...โต๊ะกลางวันจัดเสร็จแล้วเพคะ เชิญเสด็จ...”
“ไม่! จะไปไหนก็ไปไกลๆ เลยนะ!!”
ร่างบางขดกายอยู่บนเตียงใหญ่ ผมยาวที่มักจะถูกจัดทรงไว้อย่างเรียบร้อย ยามนี้สยายยาวยุ่งเหยิง ที่หมอนมีคราบน้ำตาเป็นรอยยาว ชาริฟาดึงผ้าห่มผืนใหญ่คลุมกายแล้วสะบัดหน้าหนีนางกำนัลชรา คนแก่สบถในใจอย่างนึกรำคาญ แก่ปูนนี้แล้วยังต้องมาดูแลเด็กไม่รู้จักโต หล่อนล่ะเอือมระอาเหลือทน นี่หากไม่ใช่เพราะชีคให้ความไว้วางใจ หล่อนไม่มีทางยอมตบปากรับคำหัวหน้านางกำนัลอย่างมีอุสเข้ามาดูแลเด็กเอาแต่ใจคนนี้แน่นอน
ว่าในใจเสร็จก็ข่มอารมณ์กล่าวต่อ
“พระองค์ไม่ได้เสวยอะไรมาตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว เสวยหน่อยเถอะเพคะ”
“นี่เรากลายเป็นนักโทษไปแล้วรึไงถึงต้องตื่นมากินตามเวลา? ถ้าจะบังคับสู้พาเราไปนอนในคุกด้วยเลยก็ได้!”
ร่างบางผุดจากผ้าห่มขึ้นมาสบตานางกำนัลขึงขัง เสียงเล็กตวาดก้อง ดวงหน้าขาวซูบซีดและเหนื่อยโทรม ที่จริงชาริฟาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ หล่อนใช้กำลังไปกับการร่ำไห้และระบายอารมณ์กับข้าวของที่ตอนนี้ถูกจัดเก็บเข้าที่โดยนางกำนัลที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ด้วยความทระนง หล่อนจะไม่มีทางยอมง่อร้องขอสิ่งใดเด็ดขาด
“แต่นี่เป็นคำสั่งจากฝ่าบาทนะเพคะ” นางกำนัลยกชีคขึ้นมาอ้าง แต่ชาริฟากลับส่งเสียงขึ้นจมูกเป็นเชิงเย้ยหยัน
“ฝ่าบาทเคยสนใจเรารึไง? ป่านนี้คงนั่งปลอบพระชายาองค์ใหม่อยู่ในตำหนักกลางโน่น...สู้เจ้าไปบอกให้ลงอาญาเราให้เร็วหน่อยเถอะ จะประหัตประหารหรืออย่างไรก็ว่ามาเลยดีกว่า”
“พระองค์ไม่ควรประชดประชันเช่นนี้”
“หุบปาก! เราจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่เกี่ยวกับเจ้า ไปให้ไกลเลยนะ ออกไป!”
ชาริฟาปาหมอนไล่นางกำนัลชรา ที่ตอนนี้หมดความอดทนกับหล่อนพอดี หญิงแก่ชักสีหน้าไม่พอใจเธอปัดหมอนทิ้งก่อนรีบเดินออกไปจากห้อง ชาริฟาดึงขาขึ้นชันเข่า ซบหน้าร้องไห้อีกครั้ง แม้เสียงและแรงกายจะแทบไม่เหลือ
“ทั้งๆ ที่หม่อมฉันมาก่อน...ทำไมเพคะ?...เพราะหม่อมฉันเด็กหรือ? พระองค์ถึงไม่เคยเหลียวแลหม่อมฉันสักนิด”
พระชายาลำดับสี่ได้แต่เฝ้าถามกับตนเองทั้งน้ำตา
ไม่กี่วันต่อมา กว่าการยื่นคำร้องขอถอนคดีของแทมินจะถูกดำเนินการเรียบร้อย ชาริฟาก็ถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะร่างกายที่อ่อนแอเนื่องจากการอดอาหาร ทั้งยังไม่รวมเรื่องสภาพจิตใจที่ดูเหมือนจะเยียวยายากยิ่งกว่า เมื่อคดีถูกถอดถอน ชามิลลาห์ก็ไม่ถูกกีดกันเรื่องการพบปะกับน้องสาวอีกต่อไป ผู้เป็นพี่รีบรุดไปที่โรงพยาบาลในทันที
อดีตพระชายากุมมือน้องสาวที่หลับสนิทบนเตียงนิ่ง ในใจนึกแค้นจนแทบสั่น หล่อนจำสายตาของชีคจองหองนั้นได้ดี ในวันก่อนเดินทางของเขาเป็นวันเดียวกันกับวันที่ชาริฟาอดอาหาร หล่อนยอมเสียหน้าเดินไปหาเขาถึงตำหนักกลางเพียงเพื่อขอให้เขาไปเยี่ยมน้องสาวของหล่อน จิตใจของชาริฟาย่ำแย่มาก ทว่าพอหล่อนเอ่ยปากขอ เขากลับตอบกลับเรียบๆ ราวกับต้องการตอกหน้าหล่อน
“มีคนเคยพูดไว้ว่า ใครทำสิ่งดี ผู้นั้นย่อมได้สิ่งดีตอบแทน เช่นเดียวกันกับใครที่ทำสิ่งร้าย ผู้นั้นก็ย่อมต้องได้สิ่งร้ายตอบแทน ไม่มีคนผิดที่ไม่ถูกลงโทษในโจฮาราญ แม้แต่หม่อมฉันที่เป็นชีคเอง หากทำผิด ย่อมไม่มีข้องดเว้นในการลงโทษเช่นกัน”
เสี่ยวหน้าหล่อคมนั้นฉาบความเย็นชาไว้แนบสนิท แก้วตาสีนิลมองผ่านหล่อนไปราวกับหล่อนเป็นเพียงอากาศธาตุ ชีคมินโฮไม่แม้แต่จะโค้งคำนับหล่อนด้วยซ้ำ เขาเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ ออกเดินทางไปทั้งๆ ที่สถานการณ์ในวังยังวุ่นวาย
“...ฮือ..พี่...พี่ชาร์ล ช่วยน้องที...พี่...พี่คะ” เสียงเพ้อของชาริฟาปลุกผู้เป็นพี่สาวจากภวังค์
“พี่อยู่นี่ชาร์ฟ...เป็นยังไงบ้าง?”
เปลือกตาคล้ำค่อยๆ เปิดออก ชาริฟาหลั่งน้ำตาทันทีที่เห็นหน้าพี่สาวชัดถนัดตา ผู้เป็นพี่ก้มลงกอดน้องสาวแน่น ชามิลลาห์ลูบหัวน้องสาวปลอบประโลม
“น้องแค้น...แค้นจนกระอัก ผู้ชายหน้าด้านอย่างมัน...อี แทมินนั่น! มันไม่เอาผิดน้องเพราะต้องการเอาใจชีคแน่ๆ ชาร์ล...น้องเกลียดมันเหลือเกิน”
ชาริฟาพร่ำพรรณนา แม้ใจพี่สาวอยากจะพูดออกไปว่าแท้จริงแล้วเป็นมินโฮต่างหากที่ไร้เยื่อใย แต่หล่อนก็กลั่นใจไม่พูด เพราะชามิลลาห์รู้ดีว่าหากหล่อนพูดออกไป ชาริฟาต้องเสียสติแน่ๆ น้องสาวของหล่อนหลงรักชีคจนเลอะเลือน
และความแค้นจะทำให้หล่อนเข้มแข็งขึ้น
“พี่เข้าใจ...พี่เข้าใจดี...”
“ฮึก....ฮือ”
“เจ้าต้องเข้มแข็งชาร์ฟ...เราจะลุกขึ้นยืนใหม่...แล้วสู้ด้วยกัน พี่สัญญาว่าพี่จะทุ่มแรงทั้งหมดกำจัดมันให้ได้”
ทั้งที่ยังร้องไห้ ชาริฟาพยักหน้าพลางยึดแขนเสื้อพี่สาวนิ่ง ทุกอย่างได้ผล แววตาแข็งกร้าวของพระชายาลำดับสี่กลับมาฉายชัดอีกครั้ง ชามิลลาห์จุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก แสดงความพอใจในท่าทีของน้องสาว ก่อนจะแปรกลับมาเป็นใบหน้าเรียบเฉยดั่งเช่นปกติ
“ตอนนี้เจ้ารักษาตัวก่อนเถอะ คนที่อ่อนแอย่อมถูกรังแกได้ง่าย เจ้าคงไม่อยากแพ้ผู้ชายคนนั้นใช่ไหม?”
“อื้อ” พอชาริฟาพยักหน้าอีก ผู้เป็นพี่สาวก็ลูบหัวให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน
และแม้ท่าทีอ่อนโยนนั้นจะดูงดงาม...แต่ในใจของอดีตพระชายานั้นกลับน่าสะพรึงยิ่งกว่า
‘บางที...โจฮาราญอาจไม่ต้องการแผ่นดินที่มีชีคอีกต่อไป’
……………………50%……………………
ม้าอาหรับตัวเก่งเร่งฝีเท่าพามินโฮกลับมาถึงวังในช่วงสายของวันถัดมา โฮริญาที่มักได้ข่าวก่อนใครมายืนรอมินโฮตามปกติ ครั้นพอเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเดินเอื่อยมาหา หล่อนก็ปรี่เข้ามาผลักอกเข้าไปที แววตาหาเรื่องของพระชายาเอกสร้างความงุนงงให้กับชีคแห่งโจฮาราญอย่างมาก
“ผลักทำไม?”
“อยากจะทำแรงกว่านั้นด้วยซ้ำ นี่เป็นชีคประสาอะไรมิทราบ? พอหงุดหงิดก็หนีปัญหา...แล้วไหนว่าถูกใจนักหนา พอได้มาคิดจะทิ้งขว้างเลยรึไง พระชายาองค์ใหม่น่ะ?”
โฮริญาตวาดใส่อย่างโกรธเคือง แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มินโฮหนีปัญหา แต่คราวนี้มันกระทบต่อคนหลายฝ่ายอยู่ ความหุนหันพลันแล่นนี้แหละที่เป็นจุดบอดของเขา
“...คือ” มินโฮเกิดอาการอ้ำอึ้งขึ้นมาทันที
“ว่าไง?”
“อยู่กันมาตั้งนานแล้ว...ยังไม่รู้นิสัยเราอีกเหรอ?” ร่างสูงเริ่มตีหน้าขึงขังกลบเกลื่อน
“หึ...ก็ไม่ใช่เพราะรู้รึไง ถึงได้หงุดหงิดน่ะ”
“แทมินเป็นยังไงบ้าง?”
แล้วมินโฮก็เปลี่ยนบทสนทนาโดยการถามคำถามที่อยากรู้ที่สุดในใจออกไป โฮริญายิ้มขำทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม
“แล้วทำไมไม่ไปถามเจ้าตัวเองล่ะ?” หล่อนกวน
“ที่หงุดหงิดก็เพราะเขานั่นแหละ ก่อนจะไปก็โกรธแรงอยู่ ทีนี้จะให้เราเข้าหน้าเขาติดได้ยังไง?”
ได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็ถอนหายใจทิ้ง เรื่องกลัวเสียหน้าเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ชายที่ไหนก็ช่างให้ความสำคัญเสียเหลือเกิน และเพราะเหตุนั้นแหละถึงได้ดูงี่เง่า
"ฝ่ายเเทมินก็ดูเหมือนจะรู้สึกผิดอยู่ ถ้าเข้าไปคุยดีๆ ตอนนี้อาจจะคืนดีได้ไม่ยาก ที่เเนะนำให้เพราะไม่อยากวุ่นวายหรอกนะ รีบๆ ไปจัดการซะ"
หล่อนแนะนำอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก เพราะด้วยความที่เข้ากับคนอื่นยากและคุยไม่เก่ง โฮริญาจึงไม่ค่อยได้ชวนแทมินพูดคุยกันสักเท่าไหร่ ได้แต่ฝากให้มีอุสช่วยดูแลพระชายามือใหม่ที่นับวันจะยิ่งดูเฉาลงเพราะปรารถนาอิสระและเพื่อนคุย หากจะพูดกันตามตรง มินโฮนับได้ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าหาและรู้จักแทมินมากที่สุด เพราะงั้นหากมินโฮไม่สนใจ แทมินจะกลายเป็นพระชายาที่น่าสงสารที่สุด ดั่งที่หล่อนเคยรู้สึกมาก่อน
“หลายวันมานี้...เขาคงเหงามาก”
ชีคหนุ่มเปรยเสียงเบา ก่อนที่พระชายาเอกจะจบบทสนทนาด้วยการพยักหน้าเบาๆ
“รีบไปหาเข้าสิ”
มินโฮส่งยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณเพื่อนคู่คิด ก่อนขายาวจะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารีบเร่งไปยังจุดมุ่งหมายที่เฝ้าคิดถึงตั้งแต่วันจาก โดมสีทองที่กักเก็บนกน้อยแสนงามของจ้าวแห่งโจฮาราญเอาไว้
“ถ้าไม่ขอโทษล่ะก็...จะกอดจนกว่าสำนึกผิดเลยคอยดูเถอะ”
ที่ชั้นลอยของตำหนักกลางตอนนี้ยังไม่มีใครรับรู้ข่าวเกี่ยวกับจ้าวตำหนักที่เพิ่งกลับมาถึง แทมินผู้มีศักดิ์ใหญ่ที่สุดในตำหนักยังคงนั่งกลิ้งนอนกลิ้งอยู่บนเตียงหรูของตน เขาเพิ่งได้รับข่าวดีจากจินกิว่าอีกฝ่ายติดต่อกับเพื่อนทั้งสองของเขาได้แล้ว เเละถ้าหากสุดสัปดาห์นี้เเทมินว่าง พวกเขาก็จะได้นัดพบกันเพื่อตระเตรียมเเผน
"ขอให้พระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้ไอ้ชีคนั่นติดพายุทรายหรืออะไรก็ได้ เอาให้กลับมาอาทิตย์หน้าเลย หรือนานๆ กว่านั้นก็ยิ่งดี"
เสียงหวานพึมพำพร่ำขอพระผู้เป็นเจ้า โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าขณะที่ร่างบางกำลังหันข้างภาวนาอยู่กับหัวเตียงที่หาความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นั้น ร่างสูงเพรียวของชีคหนุ่มเจ้าของคำถูกเเช่งกำลังยืนจังก้าอยู่ที่ขอบเตียงอีกฝั่ง
ชีคมินโฮจ้องมองนกน้อยที่กำลังหลับตาภาวนาอย่างหมั่นเขี้ยวเสียเต็มประดา จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาปรับความเข้าใจดีๆ สงสัยเขาคงต้องเล่นอะไรให้ตกใจกันสักหน่อย
"อะ..เเฮ่ม!" เมื่อคิดได้ดังนั้น เสียงกระเเอมทุ้มก็ดังขึ้น
เเทมินสะดุ้งเล็กๆ ร่างบางค่อยๆ เบิกตาอย่างเกียจคร้านหวังจะหันไปถามนางกำนัลเนือยๆ เเบบที่ชอบทำปกติ ทว่าพอหัวทุยเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น เรือนผมสีน้ำตาลไหม้ก็ลู่ลงมาเเตะโดนเเก้มให้จักจี้เล่นพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างจากปลายจมูกของตนเองเเค่คืบ พอนึกจะเอาแขนทั้งสองยกขึ้นมากั้นร่างของตนเขาก็พบว่าแขนใหญ่กว่ากดซ้อนลงบนเตียง กางสกัดความพยายามเขาไว้หมดแล้ว
"เสียใจด้วยนะที่ไม่มีพายุทราย เเละพระเจ้าอะไรนั่นก็ทำอะไรเราไม่ได้"
ไอ้ระยะใกล้ชิดจนเเทบจะสะกดให้หัวใจหยุดเต้นนี้ เจอทีไร...หัวใจก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้ทุกที
"อะ...เอ่อ...เข้ามาเเล้วทำไมไม่บอก..."
เสียงภาษากลางตะกุกตะกักนั้นเรียกความขำขันในใจของชีคหนุ่ม เเต่มินโฮก็ยังไม่ได้เเสดงมันออกมาอย่างออกหน้าออกตานัก เขาตีหน้าขึงขัง ก่อนกดใบหน้าลงไปเสียจนจมูกโด่งของตนสัมผัสกันกับผิวเเก้มนิ่มของอีกฝ่ายที่เเม้พยายามจะร่นหนีเเต่ก็ขยับอะไรได้ไม่มาก
“เจ้าลืมอะไรไปรึเปล่า?”
เสียงกระซิบนั้นชวนให้รู้สึกจักจี้เล็กๆ เพราะใบหน้าที่ใกล้กันเกินไป แทมินกลอกตาไปมาเป็นเชิงใช้ความคิด และก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มเล่นอะไรเกินเลย เสียงหวานก็หลุดออกมาสั้นๆ
“ขะ...ขอโทษ..ที่ทำให้เป็นห่วง”
มินโฮหยุดสันจมูกที่กำลังจะไล่ลงซุกไซร้ตามสันกรามของดอกเตอร์หนุ่ม เขาเบิกตาขึ้นมองพลางเลิกคิ้ว
“เอ่อ...โอ้ย...ออกไปก่อนได้ไหม ผมขอล่ะ”
หัวใจมันเต้นจนแทบจะระเบิดได้แล้ว
ชีคหนุ่มหัวเราะ ร่างสูงยอมละร่างของตนขึ้นมาแต่โดยดี และแทบจะทันทีเช่นกันที่แทมินรีบเด้งตัวจากเตียงใหญ่วิ่งไปยังประตูห้อง ดวงตาลุกลี้ลุกลนนั้นรีบมองหาทางหนีทีไล่ราวกับหนูตัวเล็กๆ
“นั่นคิดจะไปไหนไม่ทราบ?” เจ้าของดวงหน้าคมติดเค้าดุขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ไปไหน”
ดอกเตอร์หนุ่มพยายามแสร้งทำตัวปกติ เขาท่องขอให้หัวใจสงบตัวลงเร็วๆ เช่นกันกับเร่งคลายเลือดฝาดที่เจืออยู่บนใบหน้าขาวๆ ของตนเอง ตาหวานจับจ้องร่างสูงที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีสบายๆ อยู่บนเตียง ไรหนวดเขียวครึ้มและดวงหน้าที่ซีดไปกว่าเดิมมากแสดงให้เห็นชัดเจนถึงการตรากงานหนักของเจ้านครหนุ่ม ตลอดหลายวันมานี้มินโฮคงลำบากไม่ใช่น้อย จะมีเวลาคิดถึงเขารึเปล่า?
‘หืม...คิดถึงเขา?’ พระชายาหนุ่มรีบปัดเอาความคิดชั่ววูบของตนออกไปโดยเร็ว
“เราไม่อยู่หลายวัน...คนในวังดูแลเจ้าดีรึเปล่า?”
คนอายุมากกว่าเอ่ยถาม แทมินที่ยืนเกือบจะเหม่อเลิกตาตื่น มินโฮไม่กล้าที่จะถามออกไปตรงๆ ว่าอีกฝ่ายคิดถึงเขารึไม่? ปากหนาจึงได้แต่ถามเลียบๆ เคียงๆ อย่างจนจะหาสิ่งใดมาพูด
‘เขาอยากอยู่กับแทมินนานๆ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรให้อีกฝ่ายพอใจ’
“อ่า...อืม...ได้ออกไปข้างบ้าง แต่ไม่ค่อยชินกับการที่ต้องมีผู้หญิงห้อมล้อม”
การได้ออกไปหาหนทางที่จะหนีออกไปได้ ก็นับว่าเป็นอะไรที่เรียกว่าดีนั่นแหละ
"อยากมีเพื่อนคุยบ้างรึเปล่า...คนที่ไม่ใช่นางกำนัล...เลขาอะไรทำนองนั้น"
ชีคหนุ่มเอ่ยเสนอ เขาไม่อยากให้เเทมินต้องเหงาและโดดเดี่ยว ชีวิตในวังสำหรับคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาเรียนรู้เป็นชีวิตที่โหดร้าย กำเเพงที่ปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ทุกด้าน อิสระทางพฤติกรรมถูกควบคุมด้วยเกียรติเเละศักดิ์ศรี อิสระทางความคิดต้องอาศัยการพิจารณาจนถี่ถ้วนจากหลายฝ่าย เเม้เดิมทีเเทมินจะมีมีอุสเเต่อีกฝ่ายก็คงลำบากใจที่ต้องคุยกับคนที่อายุมากกว่ามากทั้งยังเป็นผู้หญิง มันคงจะดีกว่าถ้าเขามีบ่าวชายสักคนไว้ค่อยเป็นเพื่อนคุย
"เพื่อนคุยงั้นเหรอ...เพื่อน..."
เเทมินรำพึง ก่อนดอกเตอร์หนุ่มคนฉลาดจะยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากอย่างเเนบเนียน
'เขาคิดเเผนดีๆ ออกเเล้ว'
ครั้นพอบอกตนเองในใจดังนั้น ดวงหน้าหวานก็หงอลง แทมินเเสร้งชักสีหน้าเศร้าสลด แต่ในใจระริกรื่นจะแย่
“แต่...คุณจะยอมเหรอ? ผมอยากได้คนเกาหลี...อยากได้ผู้ชายที่คุยกันได้ถูกคอ ที่จริงอยากได้คนคุ้มกันด้วย เอาแบบที่คุยกันรู้เรื่อง ติดตามผมไปได้ทุกที่ จะได้ไม่ต้องให้มีอุสเหนื่อย”
ทำท่าเหมือนจะเกรงใจพอเป็นพิธี แต่ก็เรียกคุณสมบัติรัดกุมมาเป็นชุด มินโฮส่ายหัวระอากับความคิดของพระชายาหนุ่ม ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีแทมินนั้นพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหาทางหนี แต่เพราะเขามั่นใจว่าวิธีล่ามอีกฝ่ายของเขาเเกร่งพอ และเขาจะไม่ยอมให้ชายหนุ่มหลุดมือไปได้โดยง่ายไม่ว่าจะต้องจัดการด้วยวิธีใดก็ตาม
“ได้...เราจะจัดพิธีคัดเลือกคนของเจ้าในเทศกาลบูชาเจ้าทะเลทรายอาทิตย์หน้า”
เทศกาลบูชาเจ้าทะเลทรายเป็นเทศกาลรื่นเริงที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นเทศกาลสำคัญที่ชาวเมืองส่วนใหญ่จะบูชาทรายด้วยการสร้างปราสาทหรือรูปปั้นจากทรายหน้าบ้านหรือเขตบ้านของตน ในช่วงเช้าถึงบ่ายและเข้าร่วมเทศกาลกินดื่มในช่วงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน แต่สำหรับปีนี้มีพิธีที่เพิ่มใหม่เข้ามาในช่วงบ่ายคือพิธีการคัดเลือกผู้ติดตามส่วนพระองค์ของพระชายาลำดับห้าที่เป็นที่โจษจันท์ไปทั่วเมืองว่ากำลังเป็นองค์โปรดของชีค
“ผมจะส่งพวกคุณเข้าร่วมพิธีคัดเลือกนี้ด้วย”
อีจินกิเอ่ยพลางส่งเอกสารที่เเปลเป็นภาษาเกาหลีแล้วให้กับสองอาคันตุกะหนุ่มที่กำลังเบิกตากว้างแทบหลุดจากเบ้าเมื่อเห็นเงื่อนไขคุณสมบัติสุดโหดที่ทางการระบุไว้
“รับตำแหน่งเลขาส่วนพระองค์แค่ตำแหน่งเดียว อีกตำแหน่งคือองครักษ์ส่วนพระองค์ แถมคุณสมบัติองครักษ์ก็โหดสุดๆ”
คิบอมกลืนน้ำลายเฮือกยามมองกลับไปหาจงฮยอนที่รู้ตัวดีว่าจะต้องลงสมัครในตำแหน่งไหน พิธีคัดเลือกดังกล่าวแจ้งให้ผู้เข้าร่วมหาคู่มาสมัครพร้อมกันแต่ทั้งสองจะแยกกันทำการทดสอบ กฎดูเปร่งๆ กึ่งจะดีกึ่งจะไม่ดี คงเป็นผลมาจากการระบุคุณสมบัติร่วมกันระหว่างพระชายาองค์โปรดและชีคผู้อนุมัติ
“คุณแทมินเองก็พยายามอำนวยความสะดวกให้พวกคุณอย่างเต็มที่ หวังว่าพวกคุณคงจะช่วยตัวเองได้นะครับ”
ชายหนุ่มเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตยิ้มตาหยีพลางยื่นปากกาสองแท่งไปให้ทั้งสองคนลงชื่อ
“องครักษ์...ไหวเหรอ?”
คิบอมหันไปมองหน้าแฟนหนุ่มนักการทูตที่ดูยังไงก็ไร้เซ้นส์ด้านการต่อสู้ ตัวเขาน่ะไม่มีทางลงตำแหน่งองครักษ์อยู่แล้ว จึงเป็นที่แน่นอนว่าจงฮยอนไม่มีสิทธิ์เลือกและต้องลงตำแหน่งนี้แทน แต่เขาก็อดห่วงอีกฝ่ายนิดๆ ไม่ได้
“เคยเรียนยิงปืน...แต่ก็ไม่ได้เก่งอะไรนัก เทควันโดสายดำแดงตอนเด็ก...แต่ไม่ได้เล่นมาสิบสองปีแล้ว”
ท่านทูตหนุ่มยิ้มเห่ย ดูท้อเสียจนอีจินกิต้องเดินเข้ามาตบไหล่ล่ำนั้นเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“อย่าเครียดไปเลยครับ คะแนนส่วนใหญ่จะเป็นความพึงพอใจของพระชายา...ไม่สิ...คุณแทมิน ซึ่งเขาพร้อมจะเทให้พวกคุณโดยไม่ต้องแสดงความสามารถใดอยู่แล้ว แค่พยายามผ่านการทดสอบไปได้แบบไม่น่าอายก็พอ”
ในที่สุดเช้าวันเริ่มเทศกาลสำคัญก็มาถึง รอบๆ จัตุรัสโจนส์เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายที่ออกมาตั้งแผงตั้งชุดเก้าอี้เรียกลูกค้า มีเวทีใหญ่และกระโจมหลวงสามหลังตั้งขวางทางที่ทอดยาวไปยังประตูวังอันโอ่อ่าของโจฮาราญ บ้านเรือนน้อยใหญ่เต็มไปด้วยกองทรายที่ถูกประดิดประดอยให้เป็นปะติมากรรมทรายน่าอัศจรรย์ เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงเพลงดังครึกครื้น ผู้คนขวักไขว่เนืองแน่นทุกถนนที่เชื่อมมาสู่จัตุรัส
ทว่ามันกลายเป็นเทศกาลที่น่าหฤหรรษ์สำหรับดอกเตอร์อีแทมินอีกครั้ง เพราะการออกงานพิธีการนั้นเท่ากับว่าเขาต้องสวมชุดแบบอิสตรี มีอุสตื่นตั้งแต่ไก่โห่เพื่อมาขุดร่างเขาออกจากเตียงนุ่มบนพระตำหนักชั้นลอยไปแต่งองค์ทรงเครื่องในชุดไหมสีขาวปักดิ้นทองที่เมื่อรวมกันกับเครื่องประดับมากมายเต็มตัวแล้วก็หนักอยู่พอควร
“ลดกำไลไปสักสามสี่ชิ้นไม่ได้เหรอ?”
“มันมาเข้าชุดเพคะ”
“สร้อยนี่มีที่เบาและรุงรังน้อยกว่านี้รึเปล่า?”
“หาตอนนี้คงไม่ทันการแน่เพคะ”
แทมินส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจพลางตวัดสายตากลับไปมองทางมีอุสที่ยังคงแย้มยิ้มไม่สะทกสะท้าน เห็นอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งทำให้ร่างเล็กรู้สึกปลง เขาคงต้องอดทนให้จบวันไปในชุดรุงรังรุ่มร่ามนี้ให้ได้ เพื่อที่เขาจะได้เจอคิบอมและจงฮยอน ก่อนร่วมกันสานแผนการหาหนทางสู้การหลบหนีออกจากโจฮาราญให้สำเร็จ
“ฝ่าบาทต้องไปทำพิธีช่วงเช้าที่หอบูชากับพระชายาโฮริญา ประเดี๋ยวพอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หม่อมฉันจะนำพระองค์เสด็จที่โต๊ะใหญ่นะเพคะ”
“วันนี้มีโต๊ะใหญ่ด้วยเหรอ?” พระชายาหนุ่มหันไปถามอย่างสงสัย
“ใช่เพคะ...โอกาสพิเศษย่อมมีการชุมนุมครอบครัว”
“แล้ว...ชาริฟา...”
“อย่าได้ทรงเป็นกังวลเลยเพคะ พระนางไม่ใช่หญิงอ่อนแออย่างที่พระองค์คิด”
มีอุสยิ้มบางแต่ไม่บอกรายละเอียดอะไรมากไปกว่านั้นก่อนจะออกเดินนำทำหน้าที่ต่อ ถึงในใจจะไม่ชอบชาริฟาเลยสักนิด แต่แทมินก็อดเป็นห่วงยัยเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์คนนั้นไม่ได้ ถึงแม้เปลือกของหล่อนจะเป็นผู้หญิงแข็งกร้าวที่ดูแกร่งเกินวัย แต่เขาก็เห็นผู้หญิงหลายคนเสียสติเพราะความรักมามาก
“แล้วพิธีคัดเลือกคนของผมล่ะ? ให้ผมจัดการเองก็ได้นะ...”
“ใครจะปล่อยให้พระชายาองค์โปรดต้องลำบากอยู่ลำพังล่ะหืม?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดประโยคสนทนาระหว่างมีอุสและแทมิน มินโฮและโฮริญาเดินเคียงกันมาจากอีกด้าน ฉลองพระองค์ของชีคและพระชายาลำดับหนึ่งงามสง่าด้วยสีทองตัดขาว ดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก พอคิดเห็นดังนั้นหน้าก็รู้สึกตึงๆ พิกลอยู่ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็หงุดหงิดใจขึ้นมา
“เสร็จโต๊ะใหญ่แล้วเราจะไปที่กระโจมประรำพิธีด้วยกัน”
โดยไม่ทันให้ปฏิเสธ แขนยาวก็วาดเกี่ยวเอวคอดเข้ามาแนบกายอย่างไม่นึกจะเกรงใจพระชายาอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่อีกข้างเลยสักนิด แทมินดิ้นขลุกขลัก เขามองโฮริญาหวังขอความช่วยเหลือกึ่งจะปฏิเสธไปในตัวด้วยว่าเขาไม่ได้เต็มใจจะอยู่ในท่าทางนี้ แม่หงส์ขาวอันดับหนึ่งทำเพียงยกหลังมือขึ้นปิดรอยยิ้ม เจ้าหล่อนเดินนำลิ้วเข้าไปยังตัวห้องที่คุ้นตา ปล่อยให้พระสวามีหยอกเอิ้นกับพระชายาจอมพยศเต็มที่
“นี่! ไม่คิดเกรงใจท่านโฮริญาบ้างรึไง? ไร้มารยาท!”
“ทุกคนก็เป็นคนของเราทั้งนั้น เรามีสิทธิ์แสดงความรักต่อใครก็ได้อย่างเต็มที่”
ชีคหนุ่มตอบหน้าตาย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะสะโพกอีกฝ่ายอยู่จนเดินเหินไม่สะดวก แทมินนิ่งไปกับประโยคนั้น ประโยคที่ทำให้เขารู้สึกแย่ไปฉับพลัน ประโยคที่ย้ำชัดกับตัวเขาว่าอีแทมินไม่ได้มีความพิเศษต่างอะไรจากใคร ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าผู้ชายประหลาดที่ได้เข้ามาเป็นพระชายากำมะลอสนองตัณหาผู้ชายมากเล่ห์ข้างกายคนนี้
อย่าเต้นแรงอีกเลยหัวใจ...อย่าได้ยอมอ่อนข้อเปิดประตูให้ใครคนนั้น
“เป็นอะไร?”
“ไม่เป็นไร...แต่เป็นคน!”
ดอกเตอร์หนุ่มเลิกขืนร่างที่ถูกเกี่ยวไว้ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเอ่ยถามผละตัวออกจากแรงเกาะ แอบทิ้งน้ำหนักเหยียบเท้ามินโฮแล้วรีบเดินลิ่วเข้าห้องโต๊ะใหญ่ไป ทิ้งให้ร่างสูงยืนมองแผ่นหลังงามนั้นอย่างเจ็บใจแกมเอ็นดูในอารมณ์ที่เปลี่ยนไวกว่าอากาศของอีกฝ่าย
พยศของอีแทมินนั้นปราบไม่ง่ายเลยเขารู้ดี แต่แทนที่จะเบื่อ มินโฮกลับรู้สึกเพลินกับการได้มองอากัปทั้งหลายของร่างเล็กนั้น ในใจได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะยอมเปิดใจให้เขา ซึ่งหากวันนั้นมาถึง การถูกออดอ้อนจากเจ้านกน้อยตัวนั้นคงจะพาลพาให้เขาสำลักความสุขตายเข้าแน่ๆ
“อีแทมินนะอีแทมิน...สงสัยเราต้องจัดอบรมพิเศษให้เจ้าเสียกระมัง”
โต๊ะใหญ่ในวันนี้ดูสงบน่าภิรมย์เพราะไม่มีสองพี่น้องตัวปัญหา ชาริฟายังไม่ยอมออกนอกตำหนักจนกว่ามินโฮจะไปเอ่ยปากอนุญาตหล่อนด้วยตนเอง ส่วนชามิลลาห์เป็นห่วงน้องสาวทั้งยังชังหน้าชีคนักจึงปฏิเสธการเข้าร่วมโต๊ะใหญ่ซึ่งมินโฮก็เข้าใจและไม่นึกขัด
“ฝ่าบาทเพคะ...ถึงเรื่องที่ชาริฟาทำจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสากัน แต่ยังไงนางก็ยังเด็กนัก หม่อมฉันคิดว่า...”
“คิดว่าเจ้าเป็นคนแรกที่บอกกับเราแบบนั้นรึไง? หาไม่เลยยูรียาล...เราบอกทุกคนหลายครั้งแล้วว่าโจฮาราญมีกฎหมายอยู่เหนือมงกุฎ ที่จริงชาริฟาต้องถูกถอดยศและจับขังด้วยซ้ำ การลงโทษแค่กักบริเวณมันเทียบไม่ได้เลยกับจิตใจที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่นถึงชีวิต”
แทมินแอบถอนหายใจเฮือก เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่คนทั่วไปหยิบยกประเด็นของเขากับยัยแม่มดขึ้นมาสนทนา บรรยากาศบนโต๊ะกร่อยสนิทจนไม่เจริญอาหาร แทมินเตะขามินโฮใต้โต๊ะเป็นเชิงสะกิดให้อีกฝ่ายเลิกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียที
“อ่อ...นั่นสิ นี่ก็คงจะใกล้เวลาคัดเลือกคนสนิทของเจ้าแล้ว...ยูรียาล จูมาน พวกเจ้าอย่าลืมไปทำพิธีที่หอบูชาเสียล่ะ”
เมื่อสองพระชายายก้มหน้าเป็นเชิงรับคำสั่งดังกล่าวแล้ว มินโฮก็ลุกขึ้นเป็นเชิงบอกเลิกมื้อเช้าของโต๊ะใหญ่ แทมินรีบผุดลุกตามไปทันทีอย่างไม่รอช้า พอพ้นอาณาเขตห้องอันศักดิ์สิทธิ์ ขาเรียวก็ก้าวไวนำไปอย่างไม่นึกจะสนใจชีคหนุ่มที่เดินตามมาติดๆ มินโฮดึงแขนแทมินให้หยุดชะงัก รวบตัวเข้ามาแล้วใช้แขนแกร่งล็อกไว้ที่สะโพกให้แนบติดอยู่ข้างกัน พอคนตัวเล็กกว่าเริ่มดิ้น เสียงทุ้มก็เอ่ยขู่
“ถ้าดื้อแบบนี้จะล้มพิธีคัดเลือกคนสนิทให้หมดเลยดีไหม?”
“ไอ้เผด็จการ!”
“แค่รู้จักใช้อำนาจที่มีต่างหาก”
ด้านจงฮยอนกับคิบอมมาเข้าร่วมการทดสอบตั้งแต่เช้า ถือเป็นโชคดีของคิบอมที่การสอบของเลขาส่วนพระองค์นั้นเป็นการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษและเกาหลี เนื่องด้วยเพราะแทมินไม่รู้ภาษาอารบิกเลย เลขาที่ทำการรับใช้ส่วนตัวจึงไม่มีความจำเป็นต้องรู้ อันที่จริงแล้วตำแหน่งเลขานี้ก็เป็นแค่เพื่อนเล่นให้พระชายาหนุ่มเท่านั้น แต่การเรียกให้ดูเป็นเลขานั้นมีไว้เพื่อที่จะอำพรางความลับต่อสาธารณะชนเรื่องที่แทมินเป็นผู้ชาย ส่วนตำแหน่งองครักษ์นั้นมีการทดสอบที่โหดกว่ามาก ทั้งสมรรถภาพทางกาย ทักษะทางภาษาทั้งเกาหลี อังกฤษและอารบิกเพราะต้องประสานงานกับหน่วยทหารเป็นบางครั้ง จงฮยอนจึงผ่านครึ่งเช้ามาได้ชนิดที่หืดขึ้นคอ
“โชคดีที่คุณจินกิเป็นคนสัมภาษณ์ทั้งสองตำแหน่ง คงจะช่วยเรื่องคะแนนสัมภาษณ์ได้มากอยู่”
“โชคดีแต่นายน่ะสิ ฉันรู้สึกเหมือนเข้าไปเกณฑ์ทหารใหม่ยังไงก็ไม่รู้”
จงฮยอนบ่นอีดออดพลางบิดตัวไปมาคลายอาการปวดเมื่อยตามตัว พอเห็นอย่างนั้นคิบอมก็เลยส่งยิ้มปลอบใจไปให้ มืออีกข้างบีบไหล่เบาๆ กึ่งจะออดอ้อนและช่วยนวดไปพร้อมกัน ไม่นานเสียงผู้ดูแลการคัดเลือกก็เรียกตัวทั้งสองให้ออกไปเตรียมตัวรับการทดสอบสุดท้ายที่รออยู่
แทมินยืนข้างมินโฮที่กระโจมรับรองเพื่อรอผู้ดูแลกล่าวเปิดพิธีคัดเลือก เบื้องหน้าคือลานยกสูงเหมือนเวทีมีแนวเหล็กกั้นชวนให้ดอกเตอร์หนุ่มผวากลับไปถึงเหตุการณ์ในกรงเหยี่ยว ไม่นานเหล่าผู้เข้าร่วมการคัดเลือกก็ออกมายืนอีกฟากหนึ่งของลาน ตรงข้ามกันกับแทมินและมินโฮพอดี พระชายาหนุ่มรีบสอดส่ายสายตาหาเพื่อนรักทั้งคู่ ไม่นานก็พบผมสีทองของคิมคิบอมและแฟนหนุ่มนักการทูตที่ตกอยู่ในสภาพเลอะเทอะผิดวิสัยช่างเนี้ยบ
“คิบอม...จงฮยอน”
แทมินเอ่ยออกมาเสียงเบา น้ำตาเหมือนจะรื้นขึ้นมาที่ขอบตาเอาเสียเฉยๆ ในหัวของเขาตอนนี้รู้สึกตื้อไปหมด เป็นคิบอมกับจงฮยอนจริงๆ การได้เห็นเพื่อนทั้งสองปลอดภัย ได้รับรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรทั้งคนก็จะหาทางช่วยเหลือและจะไม่ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวทำให้หัวใจของแทมินอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
มินโฮปรายตามองคนข้างตัว สัมผัสได้ถึงความสุขที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็รู้สึกดีที่แทมินมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
“เราจะใช้ลานนี้ทดสอบฝีมือองครักษ์ ส่วนเลขานั้นเราจะให้เจ้ารับผิดชอบสัมภาษณ์อีกฝ่ายด้วยตัวเองหลังการทดสอบองครักษ์เสร็จสิ้น”
ร่างเล็กพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนพุ่งสายตาไปยังร่างของเพื่อนทั้งสองที่ยังไม่สังเกตเห็นเขาเพราะคุยกันอยู่ ทางด้านจงฮยอนกับคิบอมกำลังคิดหนักถึงการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ คู่แข่งของพวกเขามีไม่มากนัก เนื่องด้วยถูกตัดออกไปจากคุณสมบัติทางด้านภาษาแต่ไอ้เวทีโล่งกลางแจ้งที่ดูเหมือนลานต่อสู้นี่สิที่ดูน่าหวั่นใจ
“เขาคงจะไม่ให้จับสลากขึ้นไปสู้ตัวต่อตัวแบบแพ้คัดออกหรอกใช่ไหม?”
จงฮยอนกลืนน้ำลาย มองคู่แข่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตนเอง แต่ไหนแต่ไรมาก็อยู่สายบุ่นมาตลอด ไม่คิดฝันเลยว่าจะได้มาบู๋เต็มคราบเพราะเพื่อนสนิท
“นั่นแทมินรึเปล่า?”
คิบอมพยายามเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้แฟนหนุ่มเครียดจนเกินไปนัก จงฮยอนละสายตาจากไอ้ลานน่าสงสัยไปยังกระโจมใหญ่ ตาคมเห็นร่างสูงของผู้ชายที่ดูหรูหราน่าเกรงข้าม ข้างๆ กันนั้นมีสตรี(?)แต่งตัวงดงามยืนเคียงกัน ทว่าพอพินิจใบหน้าหวานหยดนั้นให้ดี เขาก็จำได้ทันทีว่าสตรีคนนั้นคือเพื่อนสนิทของเขาที่กำลังจ้องกลับมาหาอยู่เช่นกัน
“ใช่แน่...หมอนั่นก็เห็นพวกเราอยู่เหมือนกัน”
“นี่ต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงสนองตัณหาไอ้ชีควิปริตนั่นด้วยเหรอ? น่าสงสารจริง...”
“ให้โดนเสียบ้างเถอะ! คอยดูนะถ้าช่วยกลับไปได้ฉันจะเอาไปล้อให้หาแฟนไม่ได้เลย”
ท่านทูตหนุ่มผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้างเมื่อได้คาดโทษเพื่อนสนิทที่คงผะอืดผะอมกับชีวิตแต่งหญิงอยู่มากแน่ๆ เสียงบรรยายภาษาอารบิกจบลงพร้อมร่างสูงสง่าของชีคหนุ่มที่เดินออกมายังแท่นกล่าวเปิดงาน มินโฮเอ่ยทักทายประชาชนและผู้ร่วมคัดเลือกทั้งภาษาอารบิกและอังกฤษ เขาเรียกให้ทหารคนหนึ่งนำถุงมือหนังขนาดใหญ่เข้ามาให้ สวมใส่แล้วผิวปากเสียงดัง เสียงกระพือปีกสุดสยองดังเข้ามาในโสตประสาทของแทมิน แล้วเหยี่ยวตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมาเกาะที่แขนของมินโฮอย่างนุ่มนวล
“คอชคือเหยี่ยวประจำตัวของเรา มันแข็งแรงและรวดเร็วมาก ซึ่งในวันนี้ผู้เข้าร่วมคัดเลือกตำแหน่งองครักษ์จะได้ชื่นชมกับความแข็งแกร่งของมันอย่างใกล้ชิด...”
แทมินสังหรณ์ใจไม่ดี รู้สึกคล้ายกับว่าเหตุการณ์ตอนที่ชาริฟายื่นเงื่อนไขต่อรองกับเขาได้วนกลับมาฉายอีกครั้งในรูปแบบของตัวแสดงแทนอื่น เขารู้ดีถึงความรู้สึกดิ้นรนในลานน่าสะพรึงนั้น และไม่ต้องการจะให้เพื่อนสนิทของเขาต้องมาตกอยู่ในอันตรายแบบเขาอีก
“มินโฮ!”
ร่างเล็กตะโกนเรียกชีคหนุ่มจากในกระโจม แต่เสียงเขาหรือจะสู้กับเสียงฮือฮาของเหล่าปวงชน
“และนี่คือเกมที่ทุกคนรู้จักดีว่าเป็นตำนานของโจฮาราญ ‘ท้าเหยี่ยว’ คอชจะทำหน้าที่ล่าส่วนผู้เข้าร่วมทุกท่านจะต้องทำหน้าที่หนี ภายในเวลาสิบห้านาที หากใครต่อสู้ได้ดีที่สุดจากสายตาของพระชายา...คนนั้นก็จะได้เป็นองครักษ์”
เสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบพร้อมกับสัญญาณให้ผู้เข้าคัดเลือกทุกคนเข้าไปจับสลากลำดับและเตรียมที่จะขึ้นมาประลองกับคอชที่บินไปเกาะรออยู่บนคานเหล็กด้านบน
“ป่าเถื่อน! มันอันตรายมากนะ นายก็เห็นอยู่แล้วจากที่ฉันเคยโดน”
แทมินเหวใส่ทันทีที่ร่างสูงเดินกลับมาในกระโจม
“นั่นเพราะเจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่เคยรู้จักเหยี่ยว ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่กับมัน แถมอุชน่ะเป็นเหยี่ยวอารมณ์ร้ายกว่าคอชมาก พวกทหารส่วนใหญ่ในวังคุ้นเคยกับเหยี่ยวทั้งนั้น แค่หลบการโจมตีของเหยี่ยวน่ะเป็นเรื่องที่ง่ายและสบายมาก ทั้งยังฝึกสัญชาติญาณการเอาตัวรอดไปด้วยในตัว”
ชีคหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น แต่แขนเสื้อก็ยังถูกพระชายาคนโปรดดึงเอาไว้อย่างเอาเรื่อง แต่เหมือนทุกอย่างจะห้ามไม่ทันแล้วเมื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกคนแรกเข้าไปประจำที่ในกรงแบบเปิดขนาดย่อม เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมท่าเตรียมพร้อมของชายชาวโจฮาราญคนแรก คอชพุ่งโจมตีรวดเร็วราวกับจงใจสำแดงฤทธิ์เดชขู่ เวลาสิบหานาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะแทมินทำใจดูสภาพของคนที่ตกเป็นเหยื่อในแบบเดียวกับที่ตนเองโดนไม่ได้ เสียงผู้ดูแลในสนามขานเรียกลำดับต่อไป และต่อไปเรื่อยๆ
“อ่า...ไม่ยักรู้ว่ามีคนเกาหลีเข้าร่วมคัดเลือกด้วย”
แทมินหันขวับทันที่ที่ได้ยินเสียงเปรยจากคนข้างตัวที่ดูสนุกสนานกับการรับชมการคัดเลือก บนลานมรณะนั่น ร่างโปร่งของคิมจงฮยอนกำลังเดินขึ้นไปยืนรอสัญญาณเริ่มจับเวลาด้วยสีหน้ากึ่งกล้ากึ่งกลัว จากผู้เข้าร่วมการคัดเลือกทั้งหมดสิบคน เขาเป็นคนที่หก และเป็นคนเชื้อชาติเกาหลีเพียงคนเดียวในนี้
“ระวังตัวนะ” คิบอมกระซิบเบาๆ พลางกระชับมืออีกฝ่ายเป็นเชิงให้กำลังใจ
อันที่จริงคิมคิบอมเองกังวลมากเสียยิ่งกว่าจงฮยอนอีก เขาอยากจะให้คนรักถอนตัวออกจากการคัดเลือกทันทีที่ได้ยินกฎกติกาสุดโหดนั่น เหล่าบรรดาผู้แข่งขันคนอื่นๆ ที่ขึ้นไปล้วนมีประสบการณ์กับสัตว์นักล่ากลางหาว แต่ก็ยังได้แผลกลับมาไม่น้อย
แล้วคิมจงฮยอนที่ทำงานนั่งโต๊ะในห้องติดแอร์อย่างหรูมาตลอดล่ะ?
“ไอ้บ้าเอ้ย...นี่มันกราดิเอเตอร์รึไงวะ?...อีแทมินนะอีแทมิน...ถ้าช่วยกลับไปได้ล่ะก็...นายตายแน่!”
สิ้นสัญญาณ เหยี่ยวตัวใหญ่โฉบลงมาด้วยความเร็วสูง แต่จงฮยอนอาศัยสัญชาติญาณหลบไปได้ในครู่ที่กรงเล็บนั้นกางออก แต่ที่แก้มขาวของนักการทูตหนุ่มก็ได้รอยเลือดกลับมาอยู่ดี สิบห้านาทีระทึกค่อยๆ ผ่านไปช้าๆ แทมินกำหมัดแน่น ตาจ้องเขม่งไปยังลานที่มีเพื่อนสนิทวิ่งหลบเหยี่ยวโหดเหมือนคนบ้า เสียงกระดิ่งดังขึ้นในจังหวะสุดท้ายที่คอชตั้งใจจะโฉบเข้าไปเกี่ยวหน้านักการทูตที่หมดแรงพอดิบพอดี จงฮยอนทรุดตัวลงอย่างหมดแรง สภาพแย่กว่าผู้เข้าร่วมคัดเลือกทุกคนก่อนหน้าอย่างชัดเจน
“ไอ้บ้าเอ้ย...”
แทมินสบถน้ำตาคลอ ในใจไม่เคยรู้สึกผิดกับจงฮยอนมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเห็นคิบอมที่รีบกุลีกุจอไปรับร่างนั้นมาจากผู้ดูแลในลานแล้วก็ยิ่งเจ็บปวดที่ตนเองทำได้เพียงนั่งมองเพื่อนเผชิญอันตรายเพื่อช่วยตน
“โลกแห่งความจริงน่ะโหดร้ายยิ่งกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า...สัตว์น่ะไม่ฉลาดเท่ามนุษย์หรอก ฉะนั้นการที่เราให้มันมาสู้ดีกว่าให้มนุษย์สู้กันเองแล้ว...เชื่อเถอะ”
มินโฮเอ่ยโดยไม่มองคนข้างกาย สายตาเด็ดเดี่ยวพุ่งจับไปยังร่างสง่างามของเหยี่ยวตัวโปรดที่ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม การคัดเลือกถูกดำเนินไปจนถึงคนสุดท้าย มือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กกว่าของพระชายาหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าเหม่อเบาๆ ในยามที่หัวใจหดหู่แบบนี้ แทมินสิ้นฤทธิ์จะต้านความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ ได้แต่ยอมลุกขึ้นเดินเคียงไปกับอีกฝ่ายราวกับตุ๊กตาในอุ้งมือเจ้าของ
“ด่านสุดท้ายแล้ว...เจ้าต้องเป็นผู้ตัดสินใจนะว่าจะเลือกใคร...ไม่มีกฎบังคับใดๆ นอกเหนือไปจากความพอใจของเจ้า”
ข้อดีอย่างเดียวสำหรับการคัดเลือกนี้คือการที่มินโฮยอมตามใจและให้การตัดสินสุดท้ายอยู่ในมือเขา แทมินค่อยๆ เดินไปยังร่างของจงฮยอนที่หมดสติอยู่ ข้างๆ มีคิมคิบอมที่มองเห็นเพื่อนสนิทของตนเองชัดถนัดตาแต่ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าส่งยิ้มทั้งน้ำตาคลอให้
“มีความพยายามอย่างที่ไม่เคยได้เห็นจากใครมาก่อนทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักเหยี่ยวดี ยินดีด้วยท่านองครักษ์”
ทั้งเสียงโห่เสียงเฮดังขึ้นโดยรอบทันทีที่เสียงดัดแบบกึ่งแหบกึ่งหวานเอ่ยจบ แทมินบีบเข้าที่ไหล่มอมแมมของคนหมดสติอย่างขอบคุณ ใจจริงอยากจะดึงเจ้านักการทูตขี้แกล้งเข้ามากอดพร้อมคิบอมด้วยซ้ำ แต่พวกเขายังต้องเล่นละครต่อไป
“ยินดีด้วยนะ”
มินโฮเดินเข้ามาใกล้พร้อมส่งยิ้มเอ่ยแสดงความยินดีไปให้คิบอมที่เป็นพาร์ทเนอร์แทนคนหมดสติ ยังผลให้คิบอมกับแทมินต้องรีบละสายตาออกจากกันทันที ร่างเล็กหมุนตัวกลับตั้งใจจะไปยังกระโจมเพราะไม่อยากให้มินโฮจับผิดอะไรได้มากไปกว่านี้
“เดี๋ยวผมต้องเตรียมสัมภาษณ์ต่อ...คุณก็จะไปไหนก็ไปได้แล้ว”
“อ้าว...”
“สมใจคนป่าเถื่อนอย่างคุณแล้วนี่ สนุกไหมล่ะดูคนดิ้นรนทรมานน่ะ...ที่จริงคุณเองก็ไม่ต่างอะไรกับชาริฟาหรอก...”
ในกระโจมส่วนพระองค์สำหรับเตรียมตัวสัมภาษณ์ของพระชายาลำดับห้า แทมินเอ่ยไล่เจ้านครที่ทำตัวเกาะแกะเขาตั้งแต่เช้าอย่างหงุดหงิด ด้วยอารมณ์ที่แย่มากอยู่แล้วจากการคัดเลือกองครักษ์เมื่อครู่ แทมินตัดสินใจเทเอาความโกรธทั้งหมดไปกับมินโฮ ดอกเตอร์หนุ่มให้เหตุผลกับตนเองว่าการกระทำเหล่านั้นป่าเถื่อนและดูไม่ใช่สมองเอาเสียเลย ยังไงคนต้นคิดก็ต้องผิด หรือก็คือชีคมินโฮก็ต้องผิดอยู่ดี
“เราไม่ให้เขาขึ้นมาสู้แบบแพ้คัดออกก็ดีแล้วนี่...”
“ยังไงก็ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม ประเทศแถบตะวันออกกลางเป็นแบบนี้ทุกประเทศเลยรึไง? รากฐานป่าเถื่อน! ก็สมควร...อ๊ะ!”
ประโยคนั้นถูกหยุดไปเพราะไหล่ทั้งสองถูกบีบล็อกให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับมินโฮในระยะประชิด นัยน์ตาที่วาวโรจน์เต็มไปด้วยความโกรธที่สยบปากแทมินให้หยุดพูดได้สำเร็จ และนั่นก็ยังช่วยให้ดอกเตอร์หนุ่มได้กลับมาใช้ความคิดอย่างรอบคอบมีสติ คิดย้อนไปถึงคำพูดที่ตนเผลอพูดออกมาโดยไม่คิดเมื่อครู่
“อย่าพูดอะไรเหมือนคนไม่มีการศึกษาดอกเตอร์อีแทมิน...อย่าได้ใช้ปากของเจ้าตัดสินสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้จักดี เพราะหากคนที่เจ้าพูดอยู่ด้วยไม่ใช่เราแล้ว...เจ้าอาจจะถูกรังเกียจจากคนที่นี่ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”
แรงบีบที่ไหล่ทำเอาแทมินรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก มินโฮจริงจังและดูน่ากลัวกว่าเคย ร่างสูงคลายแรงบีบออกเพราะเห็นเจ้าของไหล่ขบฟันแน่นทนแรงเจ็บ ชีคแห่งโจฮาราญถอนหายใจยาว ดูจากสีหน้าที่รู้สึกผิดและไม่ต่อว่าที่เขาใส่อารมณ์ไปก็แสดงว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้
“ผมขอโทษ” แทมินก้มหน้าไม่สบตา แต่ก็เอ่ยคำขอโทษออกมา
“จำที่เราบอกไว้แล้วกัน เพราะเป็นเรา ทุกอย่างที่เจ้าทำถึงให้อภัยได้...แต่ต่อไปต้องคิดให้มากก่อนพูด เจ้าเป็นคนฉลาดนี่ รู้ดีอยู่แล้วว่าเราอยากจะบอกอะไร”
บรรยากาศเริ่มดีขึ้นเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยประโยคสบายๆ กึ่งๆ จะเกี้ยวอีกฝ่ายไปในตัวอีกต่างหาก แทมินเงยหน้าบึ้งที่แอบแปลงขึ้นมากลบรอยยิ้มในชั่วครู่ขึ้นสบตา เสียงสัญญาณจากด้านนอกดังขึ้นเป็นเชิงบอกให้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกทุกคนไปรอเข้ารับการสัมภาษณ์ คนตัวเล็กมองจิกชีคหนุ่มนิดหน่อยก่อนจะเดินออกไปจากกระโจมพร้อมสมุดที่เตรียมบทการสัมภาษณ์เอาไว้
เสียงกรุ๊งกริ้งของกระดิ่งข้อเท้าดังจับหัวใจเจ้านครโจฮาราญนัก...แต่มินโฮกลับรู้สึกว่าความวุ่นวายใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นต่อจากนี้
'ความวุ่นวายที่แท้จริงจากพระชายาองค์โปรดของเขานี่แหละ'
TBC
TALK: สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน...กว่าหนึ่งปีแล้วที่หายไป ไม่มีอะไรแก้ตัวค่ะนอกจากไม่มีอารมณ์เขียนเลยหายไป 555555 แต่กลับมาละ พร้อมกับอารมณ์จากพี่ตุ้ยของชารีฟของเรา ฟ้าจรดทราย เรียกฟีลกลับมาให้เราอีกครั้ง เฮ้!!!!!! ถึงละครจะไม่ค่อยโดนอะไรมาก แต่พี่ตุ้ยโดนเสมอ เฮร้! เราจะค่อยๆ เขียนไปเรื่อยๆ ตามสไตล์เราละกัน ถ้ายังมีคนรออ่านอยู่จะยินดีมากๆ เลยค่ะ ยังไงก็ขอโทษจริงๆ ที่หายไปนานนะคะ ขอให้สนุกกับฟิคนะ จะพยายามรักษาอารมณ์เขียนไปเรื่อยๆ มันจะต้องจบแน่นอน สู้!
130826
ขอบคุณที่รักและติดตามเรื่องนี้มาเสมอนะคะ
BD
ความคิดเห็น