ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC : SHINee] Desert Affair [2MIN ft.JONGKEY]

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 8 | ทางหนี

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 55


     ตอนที่ 8

    "ทางหนี"

     


     
     



                    แสงแดดอ่อนๆ สะท้อนผ่านม่านมุ้งบางกระทบร่างเเละใบหน้าขาวนวลของดอกเตอร์หนุ่มชาวเกาหลี ที่ตอนนี้กลายเป็นพระชายาองค์ล่าสุดของจ้าวนครทะเลทราย

    เปลือกตาที่บวมจากการร้องไห้เมื่อคืนค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างงัวเงีย เเทมินรู้สึกเมื่อยเเละหนัก ร่างบางชักมือขึ้นขยี้ตาก่อนพลิกตัวไปอีกข้างหลบเเสงเเดดที่เเยงเข้ามาในตาตน เเต่เเล้วดอกเตอร์หนุ่มก็ต้องเป็นอันผงะไป เมื่อเห็นผู้ร่วมหลับนอนอีกคนที่เกี่ยวกระหวัดเอวเขาไว้

    ใบหน้าหล่อเหลากำลังหลับสนิท มิชลาห์ตัวนอกถูกถอดออกเหลือเพียงดิชดัชชาห์สีขาวบางที่ไร้วีซาร์ด้านใน คอเสื้อเเหวกลึกเผยผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนอยู่วับๆ ชีคหนุ่มเเห่งโจฮาราญที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา

                    เเทมินพินิจร่างสูงข้างตัว ตั้งเเต่เส้นผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลไหม้ เเพขนตาดกหนา สันจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากอิ่มเอิบ ชายตรงหน้าเป็นเจ้าของใบหน้าอันงดงามราวกับเทพปกรณัมกรีก เขาไม่รู้ว่าในนครรัฐเเห่งนี้จะมีตำนานปรัมปราเทือกนั้นไหม เเต่ที่มั่นใจอย่างยิ่งเลยคือ ผู้ชายมากเล่ห์ที่นอนหายใจรดต้นเเขนของเขาอยู่นี้เป็นชายหนุ่มรูปงามเหนือชายใดที่เขาเคยพบ

                    คิดเเล้วก็กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ใบหน้าติดจะเห่อร้อนนิดๆ ไม่ได้ ยามที่นึกออกว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสถานะไหน เเละเป็นอะไรกับมินโฮ ดิฮานคนนี้

     

                    "บ้าจริง...คิดอะไรอยู่นะ อี เเทมิน"

     

                    ครั้นพอตวาดเองเสร็จ ร่างบางก็ตั้งใจจะผินกายกลับไปอีกข้าง ทว่าทันใดนั้นเอง เปลือกตาที่หลับสนิทอยู่เมื่อครู่ก็เบิกโพลง เเละราวกับราชสีห์หนุ่มตะครุบเหยื่อ ร่างของเเทมินถูกตรึงติดไว้กับเตียงนุ่มโดยมีมินโฮคร่อมกายอยู่เหนือคนตัวเล็ก ขาเเละเเขนถูกล็อคติดกับที่ทั้งที่ยังไม่ได้คิดจะหนีด้วยซ้ำ

     

                    "อ๊ะ...” ตาคมหรี่ลงเเล้วยิ้มกริ่ม เเทมินจ้องกลับไม่ยอมเเพ้

     

    ไม่ช้าใบหน้าคมคายนั้นก็ค่อยๆ โน้มลงต่ำ ปลายจมูกโด่งจงใจเฉียดพวงเเก้มเเดงเรื่อ ไล่ลงมาที่คางมน สัมผัสเเบบผะผ่านไม่จริงจัง ก่อนร่างสูงจะเเนบใบหูของตนลงเหนือเเผ่นอกซ้ายของเเทมินที่ตอนนี้กำลังเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง

     

                'ตึก ตึก ตึก'

     

                    เเม้จะพยายามควบคุมร่างกายของตนเองสักเพียงใดก็เปล่าประโยชน์เพราะใจมันอยู่เหนือยิ่งกว่า เเทมินพยายามขัดขืน เเต่มันเป็นเรื่องยากนักที่หนูตัวน้อยจะมีเขี้ยวเล็บเหนือราชสีห์

                    เพียงครู่มินโฮก็ละใบหน้าออก เเต่ชีคหนุ่มก็ยังคลอเคลียอยู่ไม่ไกลจากใบหน้าของเป้าหมาย เขาใช้ปลายจมูกโด่งนั้นไล้ขึ้นมาจากซอกคอขาวอีกครั้ง ก่อนจะเเนบริมฝีปากอิ่มของตนสัมผัสกับกลีบปากบางของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

    ร่างสูงไม่ได้จาบจวงเข้าไปอย่างลึกซึ้ง ด้วยเขาเพียงต้องการหยอกล้อให้อีกฝ่ายตื่นเต้น เเทมินสะท้านไปอย่างวาบหวาม มินโฮจึงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจสัมผัสจากตน ความหอมหวานเย้ายวนให้เขาเเช่ริมฝีปากค้างเติ่งไว้อยู่นาน

                    .....เเละเเล้วราชสีห์ก็ยอมถอนริมฝีปากออก

    หนูตัวน้อยสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกเเสนประหลาด ตาคมสบจ้องเข้ามาในเเก้วสีอ่อน เเละราวกับจะหยอกเย้า มินโฮยกยิ้มเจ้าเล่ห์เเบบที่เเทมินชอบกล่าวหา พลันนั้นเเทมินถึงกับสะบัดหน้าหนี พวงเเก้มขาวลามไปจนถึงใบหูเเดงจัดดั่งมะเขือเทศที่สุกกำลังดี

     

                    'น่ารักในใจของชายหนุ่มพร่ำเช่นนั้น

     

    เเม้ที่จริงเเล้วเขาจะใช้กำลังเเย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของเขาในยามนี้ก็ยังได้ การได้กอดร่างบอบบางของเเทมินคงพาเขาขึ้นสวรรค์ในเเบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

    เเต่เขาก็ยั้งใจ เพราะจู่ๆเขาก็ 'รู้สึก' อยากที่จะถนอมคนตรงหน้าไว้ อยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้มันค่อยๆ น่าตื่นเต้น เขาไม่อยากให้เเทมินต้องหวาดกลัว

     

                    มินโฮต้องการ 'หัวใจ' มากกว่า 'ร่างกาย' ของอีกฝ่าย  

     

                    มือใหญ่ข้างหนึ่งปล่อยเเขนเเทมินเป็นอิสระ นิ้วเรียวช้อนคางมนให้หันกลับมาสบตากับตน เเละในชั่วขณะที่สายตาประสานกันนั้นเอง

    ฝ่ามือของเเทมินก็ตวัดดัง 'เพี๊ยะ!' ร่างบางอาศัยช่วงจังหวะที่มินโฮกำลังตกใจสะบัดร่างออกจากการควบคุม กระโจนวิ่งหนีไปยังมุมที่ตนคิดว่าปลอดภัยที่สุด

     

                'เผลอตบไปจนได้ เเล้วจะรอดไหมเนี่ย?'

     

                    ดอกเตอร์หนุ่มก่นด่าตนเองในใจ ชั่ววูบเเท้ๆ ที่เขาทำทุกอย่างพลาดไปหมด เพราะชั่ววูบที่เขานึกโกรธที่ตนเองหลงคารมเเละเล่ห์กลของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เเม้กระทั่งร่างกายก็ยังไร้น้ำยาสู้อะไรชีคบ้านั่นไม่ได้เลย

                    เพราะใจที่อยาก 'เอาคืน' มินโฮอยู่บ้าง เขาถึงเหวี่ยงมือออกไปโดยไม่ได้ไตร่ตรอง

                    ร่างสูงยืนทะมึนก่อนปาดสายตาคมมายังผู้ที่ประทุษร้ายตน เเต่เเล้วมินโฮก็เเย้มยิ้ม ยิ้มที่เคลือบไปด้วยประกายความเจ้าเล่ห์เเละรักสนุก นิ้วเรียวยกขึ้นลูบรอยเเดงที่เเก้มเบาๆ ขายาวสืบเท้าเข้าไปหาเป้าหมาย แทมินไม่อาจหาญพอที่จะหนี เขารู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์

                    มินโฮก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นจนทิ้งระยะเพียงหนึ่งช่วงเเขน เขาบรรจงถอดดิชดัชชาห์ตัวบางออก ในขณะที่ดอกเตอร์หนุ่มได้เเต่ตื่นกลัว ขาทั้งสองของเเทมินไม่กล้าขยับไปไหน หรือนี่จะเป็นตอนจบของเกมที่เขายื้อไว้ไม่ได้

     

                    ในใจของเเทมินถามตัวเองอย่างสิ้นหวัง 'หรือเขาจะต้องยอมจำนนจริงๆ ?'

     

                    ร่างกายของเขาไม่ขยับ อากาศยามเช้าของโจฮาราญไม่ร้อนเเต่ก็ไม่หนาว ทว่าร่างบางกลับรู้สึกเหมือนตนเองได้กลับไปอยู่ในหน้าหนาวของโซลอีกครั้ง เเทมินคงจะต้องยอมเเพ้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็สู้ไม่ได้

                    หรือจะต้องบีบน้ำตาอีก...ต้องร้องไห้ขอความเมตตาจากคนเพศเดียวกันเหมือนที่พวกผู้หญิงชอบทำ

                    ความอับอายจากเมื่อคืนยังคงเจือค้างอยู่ในใจ เขาไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายเเละก็ไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ออกมาเพื่อหลอกใคร เขาร้องเพราะเขาทนไม่ไหวจริงๆ เเละนั่นได้กลายเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ทำให้เขาหลุดออกจากสถานการณ์เมื่อคืนมาได้ เเต่ความอับอายเเละเจ็บใจกลายเป็นรอยเเผลที่ย้ำให้เขาตระหนักถึงความพ่ายเเพ้นั้น

                    เขาเป็นเพียงหนูตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอุ้งมือของพญาราชสีห์ เเต่กระนั้นเขาก็ยังหวังที่จะหาทางหนี

     

                    "แทมิน" ชื่อในสำเนียงชัดเจนที่ไม่ได้ยินมาเเสนนานดังออกมาจากปากของชายหนุ่มที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้า

     

    ร่างเปลือยท่อนบนของมินโฮเรียกได้ว่าสมบูรณ์เเบบในฐานะของผู้ชายคนหนึ่ง มัดกล้ามไม่ได้มีมากจนเกินไป ติดจะผอมนิดๆ ด้วยซ้ำ ผิวสีน้ำผึ้งเนียนเรียบเรียกความรู้สึกชื่นชมให้สะกิดเข้ามาในใจ

                    ให้ตายเถอะ...เเทมินรู้สึกว่าเขากำลังค่อยๆ ยอมรับผู้ชายตรงหน้าเข้ามาที่ละนิด ยอมรับในทุกอย่าง ยอมรับในทุกด้าน เเต่เขาจะยังไม่ยอมเเพ้

     

                    "อย่าเข้ามาใกล้นะ"

     

                    ร่างบางเอ่ยขู่ ตั้งท่าเทควันโดที่ตัวเองจำได้ลางๆ สมัยที่เคยโดนบังคับให้เรียนเมื่อสมัยประถม

     

                    "ฮึ" ชีคหนุ่มเอาหลังมือป้องปากเเล้วขำหึหึในลำคอ ร่างสูงกระทำการต่อต้านคำขู่นั้นทันทีด้วยการสาวเท้าเข้ามาใกล้อีก ใกล้จนปลายเท้าของทั้งสองชิดติดกัน เเล้วมินโฮก็โน้มใบหน้าลงมา

                    ใกล้...จนเเทมินเเทบหยุดหายใจ

     

                    "ไปอาบน้ำกันเถอะนะ"

     

                    เเต่เเล้วคนเจ้าเล่ห์ก็ย้ายริมฝีปากที่จ่ออยู่หน้ากลีบปากบางนั้นไปยังใบหูนิ่มก่อนกระซิบบอกจุดประสงค์ต่อไปด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ ที่ตนชอบใช้เย้าเเหย่คนอื่น

     

                    "อะ...อะ.." เเทมินกลั่นหายใจ ปากอ้าค้างอย่างไม่รู้จะเอ่ยคำใด

                    'เขาโดนเเกล้งอีกเเล้ว!'

     

                    โดยไม่ปล่อยให้ตอบอะไร มินโฮช้อนร่างบางขึ้นมาพาดที่ไหล่ กดกริ่งเรียกนางกำนัล เปิดประตูที่ล็อคไว้เมื่อคืนโดยง่าย เเทมินเองกว่าจะรู้ตัวว่าตัวว่าต้องขัดขืน ก็โดนร่างสูงหามข้ามออกมาจากห้องเเล้ว 

     

                    "ไอ้ชีคบ้าเอ้ย! ปล่อยนะเว้ย!!"

     

                    โชคยังดีที่การ 'อาบน้ำ' ที่มินโฮว่าเป็นเพียงการพาเเทมินไปโยนให้นางกำนัล ขืนหากเขาเป็นคนช่วย 'อาบน้ำ' ให้ดอกเตอร์หนุ่มล่ะก็ เห็นที่ความพยายามอดทนที่สั่งสมมาคงไร้ผลเป็นเเน่


                    "เเล้วจะรอที่ห้องอาหารนะ มีอุส...ถ้าดื้ออะไรก็อย่าตามใจล่ะ"

     

    ก่อนออกจากห้องสรงเล็กมินโฮกำชับกับนางกำนัลใหญ่อีกที พอเห็นท่าทางดิ้นๆ ซนๆ นั้นยังดูเเข็งเเรงดีอยู่มีอุสก็ถอนหายใจโล่งอก หล่อนรู้ดีที่สุดว่ามินโฮเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ฝืนใจใคร เด็กชายที่หล่อนเลี้ยงมานั้นเติบโตมาด้วยความรักของมารดาเเละอ้อมกอดของทะเลทราย

                    มินโฮเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ที่พร้อมทุกคุณสมบัติที่น่าเคารพยกย่อง

     

                    "เพคะ...หม่อมฉันจะดูเเลให้"

     

                    ก่อนที่จะเดินออกไป มือใหญ่เอื้อมเข้ามาขยี้หัวทุยที่เอาเเต่ดิ้นหนีเหล่านางกำนัลที่ยืนคุมอยู่รอบสระสรง เเทมินจะหันไปขู่ฟ่อก็ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายเดินหนีไปอย่างเร็วเสียก่อน คนถูกเเกล้งเลยได้เเต่หายใจฟึดฟัด

     

                    "รีบๆ สรงน้ำเถอะเพคะ...พระชายาเเทมิน"

                    สิ้นเสียงนางกำนัลใหญ่ ประตูห้องสรงก็ถูกปิด มีเพียงเสียงตะโกนเเว่วออกมาของพระชายาองค์ใหม่เท่านั้นที่ยังดังชัดเจน

     

                    "อ๊าก!! ออกไป...ไม่ต้องยุ่งกับผม ผมอาบน้ำเองได้"

     

     

     

                    หลังผ่านพ้นคืนอภิเษก ชาริฟาที่ได้ข้อเสนอจากพระชายาองค์ใหม่กำลังนั่งขบคิดอย่างหนัก เป็นไปได้ว่าข่าวที่เคยเเว่วเข้าหูหล่อนมาว่าชายต่างชาติคนนั้นถูกพาตัวมาโดยไม่เต็มใจนั้นอาจเป็นความจริง

    เเต่กระนั้นการจะลงมือให้ความช่วยเหลือไปเลยก็ดูจะเสี่ยง หรือหล่อนควรจะปรึกษาพี่หญิงของหล่อนก่อน ชาริฟารู้ดีว่าตัวเองยังเด็กเกินไปที่จะวางเเผนซับซ้อน ที่หล่อนอยู่รอดสุขสบายดีมาจนทุกวันนี้ก็เพราะบารมีของพี่สาวเเต่ถ้าเเผนนี้รู้มากเกินไปอาจจะเป็นอันตรายต่อทั้งตัวหล่อนเเละอดีตพระชายาได้

    ชาริฟารู้นิสัยของชีคดี เเม้จะวางตัวเมินเฉยเเต่มินโฮมีหูตาเป็นสัปปะรด เเล้วหล่อนจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจนี้ไปได้อย่างไรกัน

     

                    "เราจะไปตำหนักม่วง เลื่อนการฝึกเหยี่ยวเช้านี้ไปก่อน นิมฮาฟ เจ้าตามเรามาคนเดียวพอ"

                    นางกำนัลหญิงร่างใหญ่โค้งรับทราบ ก่อนหันไปตวัดสายตาเป็นเชิงสั่งให้ทุกคนรับทราบเช่นกัน เป็นที่รู้ดีว่ายามชาริฟาจะไปปรึกษา 'อะไร' กับพระพี่นางของหล่อนเป็นการ 'ส่วนตัว' นิมฮาฟที่เป็นนางกำนัลดั้งเดิมจากตระกูลรอฮิมดาน จะเป็นคนตามเสด็จเพียงลำพัง

    ทั้งสองเดินลัดเลาะจากตำหนักส้มที่ประทับของชาริฟาไปยังตำหนักม่วงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน โดยสองตำหนักถูกสร้างสรรค์ให้ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกันจนได้ฉายาว่า 'พระตำหนักคู่เเฝด' มีเพียงการตกเเต่งของตำหนักที่เเตกต่างไปตามสีประจำพระองค์เท่านั้นที่เป็นตัวเเยก พระตำหนักคู่เเฝดทั้งสองถูกเเยกออกจากกันโดยมีสวนหลวงขนาดใหญ่ขวางกั้น

    พระตำหนักส้มอยู่ด้านตะวันตก พระตำหนักม่วงอยู่ด้านตะวันออก ทางเหนือเป็นพระตำหนักขาวของโฮริญา ทิศใต้เป็นพระตำหนักกลางที่ติดกันกับฮาเร็มซึ่งถือได้ว่าเป็นที่ประทับของยูรียาล พระตำหนักของจูมานจะอยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ติดกับประตูเข้าวังที่สองเเละมหาวิทยาลัยเเห่งโจฮาราญ เเละเหนือไปจากพระตำหนักขาวนั้นกำลังเป็นที่ตั้งของพระตำหนักใหม่

     

                    "เราจะรอที่สวนหลวง เจ้าไปตามพี่หญิงชาร์ลที่วังม่วงให้มาปรึกษากันที่นี่ เรากลัวจะเป็นที่สงสัย" ชาริฟาสั่งนิมฮาฟ

     

    ทันทีที่นางกำนัลผู้ภักดีโค้งศีรษะรับคำสั่ง ร่างสูงใหญ่นั้นก็รีบย่างกายเข้าไปในเขตวังม่วงทันที ทิ้งให้พระชายาลำดับสี่นั่งตรึกตรองหัวข้อสนทนาที่จะหยิบยกมาปรึกษาพระพี่นางเพียงลำพังที่ศาลาใกล้ๆ เพียงไม่นานนิมฮาฟก็ปรากฎตนพร้อมอดีตพระชายาชามิลลาห์ที่เดินตามกันมา

    เจ้าของชุดทรงสี่ครีมโออ่านั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับน้องสาว ก่อนจะเป็นผู้เริ่มเปิดบทสนทนา

                    "มีอะไรสำคัญรึไง?"

                    "พี่ชาร์ล น้องอยากได้ความเห็นจากพี่ เรื่องเกี่ยวกับ...พระชายาองค์ใหม่"

                    "ว่ามาสิ"

                    "ผู้ชายคนนั้นต้องการหนีออกไปจากโจฮาราญ เขามาขอความช่วยเหลือจากน้อง"

     

                    ชาริฟาสรุปหัวข้อให้พระพี่นางอย่างตรงประเด็น ดวงตามากเล่ห์ของอดีตพระชายาหรี่เล็กลงอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด เเน่นอนว่าข่าวที่พระชายาองค์ใหม่นั้นไม่ได้ยินยอมพร้อมใจในพิธีอภิเษกหล่อนก็พอได้ยินมาบ้าง เเต่ก็ไม่นึกว่าจะถึงกับกล้ามาขอความช่วยเหลือจากคนที่จ้องจะกัดตั้งเเต่เเรกอย่างชาริฟา

    นับได้ว่าผู้ชายบอบบางคนนั้นก็กล้าได้กล้าเสียอยู่พอดู เพราะหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูมินโฮ ตัวเขาอาจโดนกักขังก็เป็นได้

     

                    "ชาร์ฟ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?" คนอายุมากกว่ามองหน้าน้องสาวที่กำลังร้อนรนนิ่ง ถามหาคำตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

                    "น้องก็อยากช่วย มันจะได้ไปให้พ้นๆ เเค่ยัยป้าสามคนที่มีอยู่ก็น่าหงุดหงิดมากพอเเล้ว เเถมมินโฮยังดูโปรดปรานมันเป็นพิเศษด้วย น้องไม่อยากให้มันอยู่ที่นี่"

     

                    ชาริฟาหลุดคำตอบออกไปทั้งอารมณ์เเค้น ตั้งเเต่หล่อนมาอยู่ที่นี่ ด้วยวัยวุฒิที่น้อยกว่าใครๆ ทำให้กิจต่างๆ ไม่ถูกส่งมาถึงหล่อนเลย เเถมถ้าหากหล่อนไม่ใช่หญิงสาวที่เก่งกาจด้านกีฬา ผู้หญิงอย่างชาริฟาคงไม่มีค่าในสายตาให้ชีคนึกสนใจ ความปวดร้าวเเละน้อยเนื้อต่ำใจนั้นยังตราตรึงอยู่ลึกๆ

     

                    "พี่ไม่เห็นด้วย" ชามิลลาห์เอ่ยเเสดงความคิดเห็นสั้นๆ

                    "ทำไมคะพี่? ในเมื่อ..."

                    "ฟังพี่นะชาร์ฟ...จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อชีครู้ว่าเจ้ามีส่วนรู้เห็นในการหลบหนีของมัน ถ้ามันหนีไปได้ มันก็เป็นอิสระ เเต่ความเสี่ยงของเราไม่ได้หายไปเลย ชีคอาจล่วงรู้ถึงเเผนการนี้เมื่อไหร่ก็ได้ เเล้วหากเขารู้...เจ้าจะไม่ใช่เพียงพระชายาเด็กที่ไร้ค่าเฉยๆ เเต่เจ้าอาจต้องอาญาในฐานะนักโทษเลยก็เป็นได้"

     

                    คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอธิบายเหตุผลสำทับ ชาริฟาทำท่าจะพูดเเต่ก็ยังอึกอัก จนท้ายที่สุดเเล้วหล่อนก็ถอนใจหายใจยาวอย่างจำนน เพราะต่อให้เถียงไปก็เปล่าประโยชน์จะเอาชนะผู้เป็นพี่ของเธอ

     

                    "เเล้วจะน้องทำยังไง...กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่คะ?"

                    "ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...ถ้ามันกลับมาทวงคำตอบ เจ้าก็ปฏิเสธไป"

     

                    ชาริฟาพยักหน้ารับเเกนๆ ก่อนโค้งเคารพทำท่าจะลาพี่สาวตนกลับตำหนักไป ทว่าชามิลลาห์กลับรั้งไหล่ของน้องสาวไว้พลางบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

     

                    "เรายังมีอีกหลายวิธีที่จะกำจัดมัน...อย่าลืมสิชาริฟาว่าพี่สาวเจ้าเป็นใคร"

     

                    คำปลอบใจนั้นเรียกรอยยิ้มเเห่งความหวังของชาริฟากลับมา หล่อนดึงมือพี่สาวเข้ามาจับเเล้วพยักหน้ามั่นใจ ก่อนจะหมุนตัวออกไปเพื่อกลับตำหนักด้วยความรู้สึกที่ไม่หดหูดังเมื่อครู่

     

                    "ทั้งๆ ที่มีหลายวิธีในการช่วยเหลือผู้ชายคนนั้นโดยไม่ทิ้งร่องรอย ทำไมพระองค์ถึงไม่บอกพระขนิษฐาล่ะเพคะ?"

                    นิมฮาฟที่ยังไม่ได้เดินตามชาริฟาไปในทันทีกระซิบถามอดีตนายเหนือหัวสมัยที่ยังทำงานอยู่ในตระกูลรอฮิมดาน หล่อนรู้ดีว่าท่านชามิลลาห์ของหล่อนเป็นคนฉลาดทั้งยังกล้าได้กล้าเสีย วิธีการระเเวดระวังตัวไม่ใช่วิถีของนายหล่อนเลย

     

                    "เจ้าเฉลียวเเต่ยังไม่ถึงกับฉลาดนะนิมฮาฟ...ถูกของเจ้าที่มีวิธีอีกมากที่จะช่วยเหลือพระชายากำมะลอนั่น เเต่ไฉนเราต้องช่วยล่ะ? วิถีของเราเป็นนักบุญรึไง? ที่สำคัญ...เป้าหมายของเราไม่ได้มีเพื่อให้ยัยเด็กโง่ชาร์ฟมีความสุข เเต่เราคิดการใหญ่กว่านั้น...”

    “...ใช่...เพื่ออำนาจของตระกูลรอฮิมดาน พระชายานั่นอาจเป็นเบี้ยตัวสำคัญในกระดานที่ทำให้เรารุกฆาตคิงก็ได้"

     

                    ริมฝีปากของอดีตพระชายาเเสยะยิ้ม บนใบหน้าที่สวยสง่าราวกุหลาบพันปีนั้น หนามเเหลมคมกำลังคืบคลานกิ่งก้านอยู่เงียบๆ ชีคมินโฮที่ว่าเจ้าเล่ห์เเสนกลมีหรือจะสู้มนตร์เล่ห์ที่เเข็งเเกร่งยิ่งกว่าอย่างนางไปได้

    เเม้นางพลาดพลั้งจากดวงใจที่นางปรารถนา เเต่นางจะไม่เเพ้ในเกมกระดานนี้ ชามิลลาห์จะขอคืนเเค้นที่สุมในใจนางกลับสู่บุตรของผู้ที่นางเเค้นเหลือเกินผู้นั้น

     

                    "จับตาดูนายเจ้าให้ดี อย่าให้เขาทำเราเสียเเผน มีอะไรให้คอยรายงานเราเสมอ"

     

                    เมื่อนิมฮาฟน้อมรับคำสั่งจากนายเหนือเสร็จก็รีบตามชาริฟาไป ชามิลลาห์จึงเดินกลับตำหนักตนเพียงลำพัง ทว่าครั้นพอเดินมาถึงเขตกลางของสวนหลวง หล่อนกลับพบขบวนของโฮริญากำลังนางกำนัลอีกสองคนโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

                    "ถวายความเคารพอดีตพระชายาเพคะ"

     

                    เเล้วก็เป็นโฮริญาที่เป็นฝ่ายทักทายก่อน หล่อนโค้งนิดๆ ให้ชามิลลาห์ตามมารยาท เเสร้งทำเป็นว่าจะเดินสวนไปเเต่กลับยื้อตนไว้ในระยะที่ยืนใกล้ๆ กัน

     

                    "อ้อ...การเสด็จตามลำพังเเม้จะอยู่ในวังก็เป็นอันตรายนะเพคะ หรือไม่...อาจเป็นที่สงสัยนินทาได้ เพราะฉะนั้นระวังองค์ด้วยเพคะ"

                     "โฮริญา!"

                    "กริ้วอะไรเพคะ? หม่อมฉันเเค่เป็นห่วงเเละสงสัย เอาเป็นว่าหม่อมฉันไม่บังอาจรบกวน เชิญอดีตพระชายาเสด็จตามพระทัยเถิดเพคะ"

     

                    โฮริญาเดินจากไปเเล้ว เเต่ชามิลลาห์ยังคงกำหมัดเเน่น ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวอย่างโกรธขึง สตรีที่รกหูรกตาที่สุดในตอนนี้สำหรับหล่อน สตรีที่หล่อนสาบานไว้ว่าสักวันจะต้องกำจัดออกไปจากวังนี้ให้ได้เมื่อตระกูลของหล่อนได้ขึ้นเป็นใหญ่

     

                เพราะชามิลลาห์รู้ดีว่าวังนี้ไม่ต่างอะไรจากกรงทองที่ว่างเปล่าสำหรับโฮริญา

     

                    ทางด้านพระชายาอันดับหนึ่งที่เพิ่งเจออริไปเมื่อครู่จำต้องเดินผ่านสวนหลวงเพื่อมาตำหนักกลางเพราะได้รับเชิญจากพระสวามีที่น่าจะอยู่ในช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับพระชายาองค์ล่าสุด โฮริญาจึงต้องละตนจากการอ่านหนังสือเล่มโปรดในยามสายเพื่อมาร่วมโต๊ะในมื้อเที่ยงกับมินโฮเเละเเทมิน

     

                    "ไง...เป็นอรุณที่ดีรึเปล่าฮึ?"

                    มินโฮนึกผิดหวังนิดหน่อยที่สตรีอันดับหนึ่งของเขา ไม่มีร่องรอยความรู้สึกหึงหวงหรือประชดประชันเจืออยู่บ้างเลยเเม้เเต่นิดในประโยคทักทายนั้น

     

    เขาก็เข้าใจดีว่านั่นเป็นบุคลิกของโฮริญา ในใจของหล่อนคิดอะไรอยู่ เขาไม่เคยล่วงรู้ได้เลย เพราะงั้นมินโฮจึงเเค่ไหวไหล่ตอบราวกับไม่รับเเละไม่ได้ปฏิเสธ เขาหย่อนกายลงนั่งที่หัวโต๊ะขนาดกลางที่จัดเอาไว้สามที่นั่ง วันนี้มื้อเที่ยงถูกจัดในห้องรับรองเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากห้องส่วนตัวของเขา

     

                    "ใจอ่อนอีกเเล้วสินะ" หล่อนปรามาสชีคหนุ่มพลางหัวเราะหึหึ

     

                    ไม่ช้านางกำนัลก็เปิดประตูออก เผยให้เห็นร่างบางของพระชายาลำดับห้าที่ดูเผินๆ เเทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นชายหนุ่มวัยกำลังดี เเทมินได้รับอนุญาตให้เเต่งกายเเบบผู้ชายทั่วไปได้หากไม่มีพิธีอะไรพิเศษหรือได้รับคำสั่งอื่นๆ จากชีค

    ฉะนั้นเที่ยงนี้เขาจึงอยู่ในชุดวีซาร์สีน้ำตาลเข้มทับด้วยดิชดัชชาห์เเละมิชลาห์สีขาวนวลประดับลวดลายพอสวยงาม ดอกเตอร์หนุ่มเลื่อนเก้าอี้ที่เหลืออยู่ตัวสุดท้ายออกเเล้วนั่งลง เขาโค้งให้โฮริญาเป็นการทำความเคารพเเละหากสังเกตให้ดีจะรู้ว่าเเทมินยังคงเคอะเขินที่จะจ้องหน้าโฮริญาตรงๆ

    หรือไม่เขาคงอายที่ตนเป็นคนที่มาสายที่สุด ใบหน้าขาวๆ จึงติดระเรื่ออยู่เจือจาง

     

                    "เอ่อ...ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ" ชายหนุ่มตอบอ้อมเเอ้มเเก่โฮริญา ในขณะที่มินโฮเอาเเต่อมยิ้ม ทอดมองพระชายาหนุ่มของตนเเสดงอาการเคอะเขินด้วยสายตาสนุกสนานอยู่เต็มที่

                    "ไม่เป็นไร...เราไม่ได้รีบร้อน" โฮริญาเเย้มยิ้มจริงใจ

                    "มีอุส...ตั้งเครื่องเลย เตรียมเครื่องชิชาห์ให้เราด้วย เอากลิ่นมิ้นต์นะ"

                    มินโฮเอ่ยสั่งนางกำนัลใหญ่ มีอุสน้อมรับพลางหันไปสั่งการต่ออีกทอดกับนางกำนัลเล็กคนอื่นๆ อาหารคาวหวานทั้งหลายถูกเรียงขึ้นจัดบนโต๊ะสวยงาม โฮริญาจุ่มมือขาวลงกับอ่างทองเหลือง เช็ดให้เรียบร้อยก่อนหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหาร

    ทุกกริยานั้นช่างสง่าเเละสวยงามยิ่ง พอเห็นพระชายาเอกเริ่มลงมือจัดการมื้ออาหาร ชีคมินโฮก็ตามบ้าง มือใหญ่ผายให้เเทมินทำตามเช่นกัน มื้อกลางวันจึงเริ่มขึ้น บรรยายกาศรอบตัวสงัดลง มีเพียงเสียงเสียดสีของช้อนส้อม กับกำไลข้อมือของโฮริญาดังกระทบกันอยู่เเผ่วเบา

     

                    "ริญา"

     

                    มินโฮเผลอหลุดเรียกโฮริญาในเเบบที่เขาคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว นั่นอาจเป็นเพราะเขาคงลืมไปว่าตอนนี้เเทมินเองก็นั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยนั้นโฮริญาก็ละจากจานเเก้วของตน สบสายตาคนถามพร้อมเลิกคิ้วสงสัยน้อยๆ

     

                    "อย่างที่รู้ๆ กัน เเทมินในตอนนี้เเม้จะมีศักดิ์เป็นพระชายาลำดับห้า เเต่ก็เป็นพระชายาที่ไร้อำนาจเเละผู้ค้ำจุน เป็นเพียงพระชายาเเต่ในนาม..."

     

                    เเทมินรวบช้อนสดับฟัง ไม่มีอารมณ์จะทานต่อเนื่องด้วยประเด็นสนทนาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาสนใจยิ่งกว่า ดอกเตอร์หนุ่มเข้าใจดีถึงทุกประโยคที่ชีคหนุ่มเปรยมา เเละเเม้จะอยากขัดออกไปมากเเค่ไหน เขาก็ยังนั่งนิ่ง รอคอยให้คนทั้งสองจบการสนทนาเสียก่อนเป็นการรักษามารยาท

     

                    "อืม...จะฝากให้เราดูเเลอย่างเป็นทางการสินะ"

     

                    โฮริญารวบช้อน เช็ดซับริมฝีปากให้เรียบร้อย เเล้วเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ตกใจอะไร เจ้าหล่อนทอดสายตามองไปยังว่า ที่คนในอาณัติทียังนั่งก้มหน้ามองจานเเก้วของตนอยู่เเล้วยิ้มละไม เเม้ในความรู้สึกของเเทมินจะตีความหมายของประโยคที่หล่อนพูดไปอย่างตรงกันข้ามก็ตาม

     

                'โฮริญาอาจจะลำบากใจที่ต้องมาดูเเลภรรยาอีกคน...หล่อนจะเสียใจเพียงใดกัน?'

     

                    "ให้อยู่ในความดูเเลของเจ้า...ประมาณนั้นเเหละ" มินโฮยกเเก้วทรงสูงขึ้นจิบพลางกวักมือเป็นสัญญาณให้นางกำนัลนำของหวานเเละผลไม้มาขึ้นโต๊ะตามปกติ

     

    ไม่ช้าโฮริญาก็พยักหน้ายิ้มๆ เป็นเชิงตอบรับ ส่วนเเทมินครั้นพอเห็นถ้วยของหวานก็ยอมเงยหน้าขึ้นจากจานเเก้วที่โดนริบไป

    ฝั่งตรงข้ามของเขาคือพระชายาลำดับหนึ่งผู้งามสง่า โฮริญาหยิบส้อมคันเล็กจิ้มผลไม้มาวางในจานตนไปพลาง คุยเรื่องสรรพเพเหระกับมินโฮที่อยู่ซ้ายมือไปพลาง ชีคหนุ่มเองก็ดูสำราญกับการชวนอีกฝ่ายคุยเเละสูบชิชาห์ ภาพตรงหน้าช่างเป็นภาพที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยก

    เเทมินไม่สงสัยเลยว่าทำไมโฮริญาจึงเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับตำเเหน่งของชีคกา เพราะจากภาพที่เห็นตรงหน้าก็พอจะทำให้เขารับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าพระชายาลำดับหนึ่งไม่ใช่เเค่เป็นผู้หญิงที่สวยหรือฉลาด เเต่นางอาจเป็นคนที่กุมทุกอย่างของชีคได้อย่างอยู่หมัด

                    ยิ่งเพ่งพิศใบหน้าที่เคยเจ้าเล่ห์เเสนกลต่อหน้าเขา เเทมินยิ่งมองเห็นความสบายใจเเละวางใจ มินโฮดูผ่อนคลายเเละมีความสุขยิ่ง

                    ดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ มาถ่วงไว้ที่หน้าอก มันเจ็บเเปลบๆ เเบบที่เขาอธิบายไม่ได้ว่าน่าจะเป็นโรคอะไร ตาที่มองภาพตรงหน้าของเขารู้สึกว่าทุกอย่างกำลังห่างไกล ระยะของโต๊ะเพิ่มขึ้น

     

                    ห่างไกล...ใจของเขารู้สึกได้ว่าเขากำลังห่างไกลออกมาจากที่ตรงนั้นทุกที ทุกที

                    'อย่างโดดเดี่ยว'

                    ในเมื่อมีทุกอย่างพรั่งพร้อมทำไมต้องกลั่นเเกล้งเขา ในเมื่อมีความสุขดีกับทุกสิ่งทำไมต้องเพิ่มเขามาให้เป็นส่วนเกินด้วย

     

                    อี เเทมินไม่เข้าใจเลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องรู้สึกเเย่ขนาดนี้เเละก่อนที่เขาจะทนต่อไม่ไหวด้วยเหตุผลใดก็ตาม ร่างบางเหยียดตัวลุกขึ้นอย่างเสียมารยาท เสียงพูดคุยหยุดลงทันที คนทั้งสองหันกลับมามองฝั่งตรงข้ามอันเป็นที่นั่งของดอกเตอร์หนุ่ม

     

                    "เป็นอะไรฮึ?"

     

                    มินโฮเป็นฝ่ายถามออกมาก่อน เเทมินส่ายหน้า เเสร้งชักหน้ากากจอมเด๋อด๋าออกมากลบเกลื่อนอารมณ์ขุ่นมัวของตน เขาส่งยิ้มเเห้งๆ ไปให้โฮริญาที่กำลังสงสัยอยู่ก่อนรีบผันกายออกไปจากห้องรับรองเล็กโดยไม่รอให้ใครตั้งคำถามอีก

     

                    "เฮอ..."

     

                    ครั้นพอหลุดออกมาได้ เเทมินก็พรูหายใจออกอย่างโล่งอก เเต่ถึงกระนั้นในใจก็ยังเจ็บอยู่เเปล๊บๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ เขาจึงพยายามมองออกไปยังหน้าต่างกระจกใสที่ฉายทัศนยภาพของสวนสวยกลางราชวังเเทน ไม่ทันไรภาพของคนสองคนเมื่อครู่ก็ซ้อนขึ้นมาในกระจกใส ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก

     

                    "อิจฉาสินะ...อ่า...เรากำลังอิจฉาไอ้ชีคนั่นเเน่ๆ" คนฉลาดที่ไม่ฉลาดในเรื่องความรู้สึกเอ่ยสรุปอาการของตนเองเสร็จสรรพ

     

    เเทมินยกมือขึ้นทุบอกซ้ายเบาๆ ราวกับจะบรรเทาอาการเจ็บเเปลบที่เจ้าตัวไม่รู้สักนิดว่ามันไม่ใช่อาการทางกาย จนเมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน เขาพบบันไดใหญ่ทอดตัวยาวลงไปด้านล่าง ที่หัวบันไดมีทหารยามยืนเฝ้ากะอยู่สองนาย

    ด้วยความเบื่อหน่ายเเละไม่อยากกลับไปนั่งปั้นหน้าเป็นตุ๊กตาส่วนเกินในห้องนั้น เเทมินจึงตั้งใจว่าจะลงไปเดินเล่นที่สวนหลวงสักหน่อย

     

                    "ผมจะไปเดินเล่นที่สวน หลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?"

     

                    เขาขออนุญาตนายทหารหนุ่มทั้งสองอย่างสุภาพ ทว่าเจ้าของใบหน้าคร่ำหนวดทมึงทึงทั้งสองนั้นยังไม่ยอมขยับหนีไปไหน ซ้ำนายทหารที่ตัวสูงกว่ายังเอ่ยเเนะนำอย่างเย็นชาใส่อีก

     

                    "ทูลพระชายาฯ การจะเสด็จไปไหนมาไหนพระองค์ควรมีนางกำนัลติดตามด้วยพะยะค่ะ"

     

                    'ขนาดอยู่ในวังเนี่ยนะ? เป็นเจ้านะโว้ยไม่ใช่นักโทษที่จะได้มีพัศดีคอยคุมน่ะ'

                    ดอกเตอร์หนุ่มกร่นสบถในใจ เเต่ใบหน้าที่ติดจะกรุ่นเพราะอารมณ์หงุดหงิดนั้นกลับถูกคลายออกพร้อมยิ้มหวานหยด เขายังมีหน้ากากติดตัวอยู่อีกเยอะเหมือนกันนะ

     

                    "ผมใช้ให้นางกำนัลไปทำงานให้ ประเดี๋ยวเขาจะตามมาเอง ขอบคุณที่เตือน...เอาเป็นว่าตอนนี้จะเปิดทางให้ผมได้รึยัง?"

     

                    ประโยคสุดท้ายเน้นเสียงขู่เข้าไปอีก นายทหารทั้งสองถึงกับมองหน้ากันเลิกลั่กก่อนยอมเปิดทางให้เขาผ่านไปเเต่โดยดี ร่างบางจึงไม่รอช้ารีบสาวเท้าลงไปตามบันได โดยไม่ลืมซ่อนยิ้มเยาะเเห่งชัยชนะเล็กๆ ที่เขาสามารถหลอกนายทหารพวกนั้นให้เชื่อได้

    ตอนนี้เขาเป็นอิสระจากชั้นบนที่เเสนอันตรายนั้นเเล้ว เเทมินเดินลงมาเรื่อยๆ จนถึงชั้นล่างสุด ถามทางทหารชั้นผู้น้อยหัวอ่อนที่เเค่ขู่ก็เกรงกลัวยอมบอกให้เขาโดยง่ายไปจนถึงซุ้มประตูทางเข้าสวน

                    นับเป็นครั้งเเรกที่เเทมินได้เดินชมวังหลวงของโจฮาราญ เพราะนอกจากพระตำหนักกลาง ฮาเร็มเเละจตุรัสตอนทำพิธีที่อยู่ด้านนอกเเล้ว เเทมินไม่เคยได้มีโอกาสเดินชมอะไรต่อมิอะไรในวังเลย

    เขาเดินไปตามเเผ่นหินสีเข้มที่ทอดตัวเป็นทางเดินจากซุ้มประตูเเผ่นหินเเยกเป็นสองฝั่ง เเทมินเลือกเดินไปทางซ้าย เพราะคิดว่าเส้นทางในสวนคงเป็นลักษณะของทางที่วนมาบรรจบกัน ซึ่งก็นับว่าคาดการณ์ถูก เพียงเเต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวสวนนั้นเป็นจุดเชื่อมของบรรดาเขตพระตำหนักต่างๆ โดยรอบสวนมีเเต่ไม้เฟิร์นพุ่มเตี้ยปลูกสลับกับไม้ดอกที่ทนอากาศกับไม้ตระกูลปาล์มที่สูงใหญ่

    ตรงกลางเป็นสายน้ำเล็กไหลผ่าน เดินๆ ไปได้ไกลหน่อยจะมีศาลาเล็กๆ ให้พักผ่อน กลางสวนมีลานน้ำพุขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้เเม้เเทมินจะไม่เดินเข้าไปใกล้

                    การชมวังหลวงเพียงลำพังช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เเต่ในขณะเดียวกันก็ฟุ้งซ่านถึงอนาคตเช่นกัน บทเรียนจากเมื่อคืนก็พอจะเป็นตัวพิสูจน์ให้เขารู้ดีเเล้วว่าตอนนี้หากไม่รีบหนีออกไป เขาอาจตกเป็นฝ่ายบำเรอกามให้ชีคจอมวิปริตนั่นเป็นเเน่

    ไม่ว่าจะด้วยโชคชะตา ความหลงใหล หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเทมินไม่สรุปหรอกว่านั่นคือความรัก เเละที่เขาต้องรีบหนีก็เป็นเพราะว่ายิ่งอยู่ไป เขายิ่งกลัวใจตัวเอง ยิ่งมีความรู้สึกเเปลกๆ ในเเบบที่เขาอธิบายกับตัวเองไม่ได้ เขายิ่งหวั่นกลัว

     

                ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่...เเต่ต่อไปมันอาจจะใช่

     

                    "ถึงจะบอกว่าปลอดภัย เเต่อยากเจอคิบอมกับจงฮยอนจริงๆ...เมื่อไหร่ฉันจะหลุดไปได้กันนะ"

     

                    มือขาวไล้ไปตามใบอ่อนของพุ่มเตี้ยเเล้วรำพึง เขาเป็นฝ่ายที่ทำได้เพียงเเค่คิดถึงเเละเป็นห่วงเพราะมิอาจหลีกหนีไปจากกรงทองที่มองไม่เห็นนี้ได้ เเต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เเทมินสาบานว่าจะทำทุกอย่าง เขาจะหาหนทางที่จะกลับไปให้ได้

     

                    'ต่อให้ต้องทิ้งหัวใจไว้ที่นี่ก็ตามงั้นหรือ?'

     

                    ร่างบางเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ามาไกลพอควร ยอดโดมลายสวยที่ทอสีเเสดเด่นเป็นประกายพราวระยับนั้นเรียกความสนใจจากสายตาของเขา เเละเมื่อเเทมินเดินเข้าไปให้ใกล้ขึ้นอีก เขาก็พบพระตำหนักโอ่อ่าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ทว่ากลับสวยงามเเละวิจิตรไม่เเพ้พระตำหนักกลางเลย

    จากที่เเค่เห็นโดมใหญ่ตรงกลางตอนนี้ เขาเห็นโดมเล็กๆ สี่มุมเพิ่มขึ้นมาอีก พระตำหนักทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสนี้จะมีสักสามชั้นเป็นอย่างมาก พอเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิมก็สุดทางของเเผ่นหินจากสวนหลวง เบื้องหน้าของเขาเป็นลานกว้างที่มุงตาข่ายเหล็กเอาไว้รอบด้านคล้ายเรือนกระจก ต่าข่ายเหล็กบดบังทัศนียภาพของพระตำหนักไปถนัดตา เเทมินจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

     

                    "ว่าเเต่กรงนี้ใหญ่จริง ราวๆ กรงนกที่สวนสัตว์ในโคโรลาโดเลยมั๊งเนี่ย"

                    มือบางลองจับตาข่ายเหล็กมาเขย่าทดสอบความทนทาน

     

                    "ก็ถูกของเจ้า นี่เป็นกรงเลี้ยงนกของเราเอง พระชายาลำดับห้า"

     

                    ประโยคที่ได้ยินบวกกับเสียงสวบสาบของการย่ำเท้าทำให้เเทมินรีบเหลียวไปมองด้านหลังอย่างตกใจ ครู่เดียวกันนั้นนางกำนัลสาวร่างใหญ่ก็เข้ามาประชิดตัวเขาทันที นิมฮาฟจับเเขนของเเทมินไพ่หลังเเล้วกดคอลงต่ำโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัว พอดีกันกับที่นายของหล่อนกำลังเดินเข้ามาประชิดตัวดอกเตอร์หนุ่ม

     

                    "พระชายาชาริฟา"

     

                    ดวงหน้างามบิดเเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บไม่น้อย ชาริฟาโบกมือไปทางนิมฮาฟเป็นการสั่งให้หล่อนปล่อยเเทมินไป นิมฮาฟจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ  

     

                    "ไม่มีใครบอกรึไงว่าจะมาบ้านใครให้บอกเจ้าของบ้านก่อนเเละห้ามบุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า นี่หากเราไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย เจ้าคงโดนนิมฮาฟหักเเขนทิ้งไปเเล้ว"

     

                    เเทมินมองไปยังนางกำนัลที่เเทบจะหักเเขนเขาทิ้งได้เมื่อครู่พลางกลืนน้ำลายเฮือก ตั้งเเต่เข้ามาอยู่ในวังเขาเพิ่งจะเจอนางกำนัลตัวใหญ่ขนาดนี้ หล่อนสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ ดูมีกล้ามเนื้อเเข็งเเรงเกินหญิงอื่นไปไกลเชียว

     

                    "เอ่อ...ขอบคุณ..."

                    "มาทำอะไรที่ตำหนักเรา?" ชาริฟาเอ่ยถามขัดขึ้นมา

                    "คือผมเดินเล่นอยู่ในสวน เเล้วพอเดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอที่นี่ ไม่รู้ว่าเป็นตำหนักของคุณ ขอโทษด้วยที่ล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต"

     

                    ฝ่ายชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากหลงมาในเขตของนางเหมือนกัน เเต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ในเมื่อเข้ามาเเล้ว ก็ถือโอกาสนี้ถามหาคำตอบที่เขาเคยถามไว้กับนางไปเลยดีกว่า

     

                    "เอ่อ...เรื่องที่ผมถามไปเมื่อวาน ที่จะให้ช่วยผม คุณตัดสินใจได้รึยัง?"

                    เเทมินพยายามปั้นยิ้มสู้เสือเต็มที่ ชาริฟาทำท่านิ่งนึกไปก่อนตอบเเบบทีเล่นทีจริง

                    "นั่นสิ...จะช่วยหรือไม่ช่วยดีนะ? เจ้าว่าไงนิมฮาฟ?"

     

                    หล่อนหันไปถามนางกำนัลข้างตัวที่ยังยืนนิ่งไม่ตอบ นิมฮาฟสบตากับนายตนเป็นเชิงติเตือนให้เลิกเล่น เเต่ชาริฟาไม่ยอมหยุด หล่อนมองลอดกรงตาข่ายที่หล่อนภาคภูมิใจ เสียงร้องของสัตว์เลี้ยงตัวโปรดดังเเว่วให้ได้ยินเป็นระยะๆ เเล้วไม่ช้ายิ้มร้ายก็ผุดพรายที่มุมปาก

     

                    "เราจะช่วยเจ้า..." มาถึงตอนนี้ สีหน้าของเเทมินสดใสขึ้นมาทันที

                    "...ก็ต่อเมื่อ..." เเต่ก็หมองลงในทันทีเช่นกัน "...เจ้าเอาชนะเงื่อนไขเกมง่ายๆ ที่เราเสนอได้"

     

                    เเทมินเลิกคิ้วขึ้นสูง เขากำลังสงสัยว่าพระชายาเด็กนี่จะเล่นอะไรกับเขาอีก เเต่ชาริฟาไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมจากนั้น นางเดินผ่านเขาไปจับตระเเกรงลูกกรงเหล็กหนาเเล้วเผยิดหน้าเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไง เเทมินจึงได้เเต่เกาหัวเเกรกๆ ก่อนถอนใจหายใจปลงตก ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากชาริฟา เรื่องที่เขาพยายามหาทางหนีอาจเเตกได้ สุดท้ายเเล้วไม่ว่าเกมจะอยุติธรรมอย่างไร เขาก็ต้องลงเล่นกับหล่อนอยู่ดี

     

                    "ว่ามาเถอะ"

                    "งั้นตามเรามา"

     

                    ทั้งสามเดินเข้าไปในเขตตำหนักส้ม โดยเลาะไปตามม่านกรงที่บัดนี้เเทมินรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นสนามฟุตซอลในกรงเสียมากกว่า

    ภายในกรงเป็นดินเเดงกรังเเห้ง มีต้นไม้สูงๆ ปลูกอยู่ประปรายราวกับจำลองทุ่งสะวันนาไว้ในนั้น เสียงนกร้องดังออกมาจากต้นไม้ใหญ่อันเป็นที่ซ่อนตัวของพวกมัน ชาริฟาหยุดลงที่หน้าประตูลูกกรง หล่อนกระซิบสั่งให้นิมฮาฟไปเตรียมการอะไรบางอย่างก่อนหันมาเริ่มสนทนากับเเทมิน                               

     

                    "ชอบนกรึเปล่า?"

                    "ชอบอยู่นะ"

                    "ดี...เพราะเงื่อนไขในวันนี้คือการวิ่งหนีนก"

     

                    นิมฮาฟกลับมาพร้อมนางกำนัลอีกสองคน หนึ่งนางเดินไปไขกุญเเจเปิดประตูกรงใหญ่ ส่งถุงมือหนังให้ชาริฟาที่รับมันมาสวมอย่างคล่องแคล่ว

    ครั้นเมื่อประตูกรงเปิดออก ชาริฟาก็ย่างกายเข้าไปด้านใน ไม่มีนางกำนัลคนไหนตามเสด็จนอกจากนิมฮาฟที่ดันหลังแทมินให้เดินตามนายของตนเข้าไป ร่างบางที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยอมเดินเข้าไปโดยง่าย

    แต่แค่เพียงข้ามธรณีประตูเข้าไปได้ไม่เกินสองก้าว เงาดำจากฟ้าก็โฉบพุ่งเข้ามาหา แต่โชคยังดีที่แทมินยังนั่งหลบได้ทัน ตาทั้งสองเบิกโพล่ง ตื่นตระหนกและงงงัน

     

                    วิ๊ว! ฟิ้ว!

     

                    หลังจากเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนักผ่านไป ชาริฟาก็ยกมือขึ้นมาป้องปากพลางส่งเสียงผิวเเหลมดัง ทิ้งช่วงไว้เพียงครู่เสียงกระพือปีกมรณะก็ดังพรึบพับขึ้นอีกครั้ง เเทมินรู้สึกว่าหูเขาได้ยินเสียงตอบรับของสัตว์ชนิดหนึ่ง

     

                'เขามั่นใจว่ามันน่าจะเป็นนกของนาง'

     

                    เเละก็จริงดังคาด วินาทีต่อมาเหยี่ยวนักล่าโตเต็มวัยที่บินโฉบเขาไปเมื่อครู่ก็วนย้อนกลับมา เเทมินรีบก้มลงหลบ ทว่ามันกลับบินผ่านเขาไปเฉยๆ มันร่อนตัวลงเกาะที่เเขนเล็กของชาริฟาอย่างนุ่มนวลราวกับพยายามไม่ทำให้นายเจ็บ เเม้นายของมันจะสวมถุงหนังหุ้มไว้ก็ตาม

     

                    "เกือบจะยกเลิกรายการเล่นกับเจ้าวันนี้ไปเเล้ว...ยังใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะอุช"

     

                    หล่อนใช้ปลายนิ้วลูบหัวเล็กๆ ของเหยี่ยวตัวโปรด อุชเองก็ดูเหมือนจะชอบใจที่ถูกเอ็นดู เพราะมันใช้จงอยปากเเสนงามของมันถูมือของชาริฟากลับ เเทมินมองภาพตรงหน้าอย่างสนเท่ห์เล็กน้อย เพราะปกติเเล้วเขาก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เลี้ยงเหยี่ยวสักที หรือจะให้พูดตรงๆ ต้องบอกว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งเเรกด้วยซ้ำที่เขาได้เห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ใกล้ขนาดนี้

     

                    "...เหลือเชื่อเเฮะ"

                    "เเน่นอน...อุชเป็นเหยี่ยวสายพันธุ์ดี เเข็งเเรง เเละมีสายตาที่เฉียบคมมาก เมื่อครู่เจ้าก็ได้รับการทักทายจากมันไปเเล้วนี่"

     

                    ชาริฟาหัวเราะเล็กๆ รอยยิ้มของหล่อนเเฝงรอยเจ้าเล่ห์วาววับดังเช่นเหยี่ยวที่หล่อนเลี้ยง หน้าของเเทมินซีดลงไปถนัดยามที่นึกถึงเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญหายเมื่อครู่ เเต่เเล้วหน้าของเขาจำต้องหมดสีเลือดเมื่อพระชายาลำดับสี่เอ่ยถึงรายละเอียดของเกมที่หล่อนเสนอ

     

                    "สามสิบนาที...อยู่ในลานนี้ให้ได้สามสิบนาที เป็นเพื่อนเล่นให้กับอุชของเรา...เจ้าเพียงวิ่งหนีมันไปเรื่อยๆ อย่าให้มันจับได้ เพราะการจับได้ของมันนั้นอาจเป็นจุดจบของเจ้า ที่จะเล่นเป็น 'เหยื่อ' ในวันนี้"

     

                    เเก้วตาคมของสัตว์นักล่าเพ่งเล็งมาที่ตัวเขาราวกับเข้าใจได้ว่าใครจะมาเป็นเหยื่อของมัน ชาริฟาผิวปากอีกครั้งเป็นสัญญาณให้อุชโผบินออกจากเเขนของหล่อนไป เพียงชั่วพริบตาเหยี่ยวตัวใหญ่ก็หายลับไปกับฝุ่นเเละต้นไม้สูง ทิ้งให้คนทั้งสามยังยืนอยู่บนลานลูกรังอันเวิ้งว้าง ทุกเสียงเงียบกริบ

     

                    "วางใจได้...ถ้าเจ้าถูกทำร้ายชนิดที่อาจถึงชีวิต เราจะหยุดมันให้เอง เเต่ถ้านั่นเป็นเวลาก่อนสามสิบนาที เราก็จะไม่ช่วยเจ้าในเเผนการนั้น ตกลงไหม?"

     

                    เเทมินชั่งใจในความช่วยเหลือจากพระชายาเด็กผู้ร้ายกาจ เเต่การที่ไม่ลองเสี่ยงอะไรเลยเขาก็อาจจะไม่ได้มาซึ่งโอกาส เขาตัดสินใจเเน่วเเน่เเล้วว่าจะยอมทำทุกทางที่จะช่วยให้ตนเองรอดพ้นเงื้อมมือของชีคบ้านั่นเเล้วออกไปจากนครนี้ให้ได้

     

    กับอีเเค่วิ่งหนีเหยี่ยวเเค่ตัวเดียว เขาจะทำมันไม่ได้เชียวหรือ?

                   

    "ครับ...หากผมทำได้ โปรดรักษาสัญญาด้วย"

     

                    ชาริฟาพยักหน้ารับ เเล้วหล่อนเเละนิมฮาฟก็เดินออกไปจากลาน ทิ้งเเทมินเอาไว้เพียงลำพัง เเละเมื่อเสียงประตูกรงปิดดังปั่ง เสียงหวีดร้องของเหยี่ยวก็ดังขึ้น ลมพัดหวิวพาฝุ่นควันตลบบดบังทัศนะทางสายตาเสียสิ้น

                    เสียงวืดหนึ่งดังเข้ามาในโสดประสาทของเเทมิน เเล้วเขาก็รู้สึกได้ในวินาทีต่อมาว่าข้างเเก้มมีรอยข่วนที่เลือดกำลังไหลซึมออกมา เเม้เเผลนั้นจะเป็นเพียงรอยข่วนเล็กๆ ที่ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บอะไรมาก เเต่ดอกเตอร์หนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นเพียงเเค่การท้าทาย

     

                    "ไอ้นกเวร"

     

                    พลันนั้นเหงื่อกาฬของเเทมินก็ไหลซึมเต็มหน้าผาก ความเครียดขึงเริ่มคืบคลานเข้ามาควบคุมสติสัมปชัญญะ เขาสบถด่าเจ้าเหยี่ยวตัวร้าย ก่อนปราดสายตามองรอบตัวอย่างระเเวดระวัง เเม้ทัศนวิสัยจะเเย่มากเต็มที่เพราะถูกบดบังโดยฝุ่นดินก็ตาม

     

                    "ขอให้โชคดีนะพระชายาองค์ใหม่...ถือเป็นของรับขวัญวันอภิเษกก็เเล้วกัน!"

                    ชาริฟาตะโกนบอก ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งรอดูเหยี่ยวตัวโปรดเล่นกีฬาล่า 'เหยื่อ' ที่หล่อนเอามาป้อนให้ถึงปาก

     

                    ฟึบ!

                    กรงเล็บที่มองไม่เห็นโฉบเข้ามาโจมตีอีกครั้งที่ท่อนเเขนขวา

     

    ดิชดัชชาห์สีน้ำตาลขาดเห็นไปถึงเนื้อขาว เลือดไหลออกซิบๆ เเทมินวิ่งสะเปะสะปะไปบนลานที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินโดยมีอุชคอยเฉี่ยวทำร้าย ทั้งเหนื่อยทั้งหวั่นกลัว

    มาถึงตอนนี้เขาเข้าใจดีเเล้วว่านิยามของสัตว์นักล่าอย่างเหยี่ยวนั้นน่ากลัวเพียงใด พลังสายตาของมันดีเลิศเเม้อยู่ในสภาวะที่เต็มไปด้วยฝุ่น การโจมตีของมันรวดเร็วเกินกว่าจะได้ทันคำนวณหรือคิดเเผนหลบหนี เขาต้องระวังตัวทุกวินาที เพราะอีกไม่นานฝุ่นจะจางหาย สิ่งที่เเทมินต้องทำคือหาที่ซ่อนกายให้ไวที่สุด เเละวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด

                    'ดอกเตอร์หนุ่มได้เเต่หวังว่าเเรงอึดของเขาจะมีมากพอที่จะหลบหลีกภัยจากเหยี่ยวร้าย'

     

                    "....."

     

                    เเละเเล้วฝุ่นก็ค่อยๆ จางไป เผยให้เห็นร่างของเเทมินที่เมื่อครู่เอาเเต่วิ่งไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง พระชายาองค์ใหม่ที่เคยงดงามบัดนี้มอมเเมมตัวเต็มไปด้วยคราบฝุ่น เรือนผมสีน้ำตาลทองเเปรเปลี่ยนเป็นสีออกเเดงเพราะดินลูกรัง เเก้มขวามีรอยข่วนที่เลอะเลือดเกรอะ อีกทั้งไหล่ขวา เเขนซ้าย สะโพก ตามเรียวขาทั้งสองก็มีรอยเฉี่ยว ดิชดัชชาห์เนื้อดีขาดรุ่งริ่งหมดซึ่งความสวย

     

                    "หึ..."

     

                    อุชหายไปนานเเล้ว มันหายไปราวกับกลับไปตั้งหลักรอจังหวะที่จะโจมตีใหม่ เเทมินหัวเราะในลำคออย่างท้อใจ มือเล็กสางผมของตนขึ้น สายตามองหาที่ปลอดภัย ภายในกรงใหญ่นี้พื้นที่โดยมากเป็นลานลูกรังที่มีหญ้าขึ้นประปราย

    ต้นไม้ใหญ่ๆ ตั้งห่างกันยืนต้นสูงใบหน้าทึบ ร่างบางจ้องไปยังต้นไม้เป้าหมายที่ใกล้ที่สุด สรรพเสียงรอบตัวเงียบกริบ เงียบราวกับเป็นสัญญาณของพายุที่กำลังจะมา เขาเอ่ยนับจังหวะในใจ

     

                    'หนึ่ง...สอง...สาม!' 

     

                    ขาเพรียวออกตัวเร็ว พร้อมกับเหยี่ยวหนุ่มที่สยายปีกออกทะยานจากอีกมุมหนึ่ง อุชพุ่งตัวเข้าไปยังเเทมินที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองยังไหว เเต่ขาของเขามันกลับไม่ยอมวิ่งต่อ ข้างหนึ่งทรุดจนร่างบางล้มลงไปคลุกกับพื้นดิน

     

                    "อ๊ะ!" เเทมินรู้เลยว่าตะคริวเล่นเขาเสียเเล้ว

     

                    ในใจของดอกเตอร์หนุ่มสิ้นหวังวูบ ใบหน้าของคิบอม จงฮยอน เเละพ่อของเขาปราฎเเวบเข้ามาในความทรงจำ เเต่ท้ายที่สุดมันกลับฉายภาพของเจ้าบ่าวในวันวานของเขาด้วย หัวใจยามนี้เต้นเเรงเเต่เจ็บปวด หยาดน้ำตาคลอหน่วย

    ไม่ช้าเขาก็มองเห็นปีกทะมึนที่กำลังบินเข้ามาหา เจ้าเหยี่ยวร้ายง้างปากของมันออกกว้าง ส่งเสียงหวีดร้องราวกับประกาศชัยชนะสุดท้ายเหนือเหยื่อของตน ขาเเข็งเเกร่งทั้งสองของมันกางกรงเล็บออก ดอกเตอร์หนุ่มหลับตารอรับชะตากรรมของตน

     

                    ฉับ!

                    เเต่เเล้ววัตถุหนึ่งก็พุ่งเเหวกอากาศเข้ามา เสียบร่างของอุชลอยหวือตกลงบนพื้นดินไม่ไกลจากเเทมินในเสี้ยววินาทีที่เขาหมดสติไปพอดิบพอดี  

     

                    "เปิดประตูเดี๋ยวนี้ชาริฟา!"

                    เสียงคำรามกร้าวนั้นเต็มไปด้วยโทสะเเสนโหดร้าย ประตูถูกเปิดกระชากออก ร่างสูงของชีคหนุ่มย่างสามขุมเข้ามาในกรงใหญ่ มินโฮมองหาเเทมินพลางวิ่งไปยังร่างบางที่นอนสลบอยู่อย่างไวว่อง

    เเขนเเกร่งช้อนร่างบางขึ้นเเนบอก พินิจสภาพสะบักสะบอมของพระชายาลำดับที่ห้าของตน ก่อนตวัดกลับไปมองต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดด้วยสายตาวาวโรจน์

                    ชาริฟาสั่นเทิ้มด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจ สายตาของมินโฮอาจฆ่าหล่อนได้ทั้งเป็นถ้าหากเขาไม่ละมันกลับไปมองเเทมินเสียก่อน ร่างสูงเยื้องกายสวนหล่อนไปพร้อมร่างของพระชายาหนุ่มที่สลบนิ่งในอ้อมอก โดยไม่เเม้เเต่จะชายตามองหล่อนสักนิด

     

                    "เราบอกไว้ก่อนว่ามันไม่จบเเค่นี้เเน่ชาริฟา" เสียงนั้นเย็นเยียบ ทว่าเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเเค้น

     

                    ครั้นพอมินโฮเดินออกไปพร้อมองครักษ์ ชาริฟาทรุดตัวล้มทั้งยืน น้ำตาไหลบ่าราวเขื่อนเเตก หล่อนยกเเขนกอดกายตนเองอย่างหวาดกลัว

     

                    "ไม่นะ...ไม่...ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นความผิดของมันต่างหาก...เป็นมัน...ทำไมฝ่าบาทต้องตวาดใส่ข้า ชาร์ล...ชาร์ล...ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้...ใครก็ได้ไปตามชาร์ลให้ข้าที"

     

                    นิมฮาฟที่ได้สติไวที่สุดรีบวิ่งไปตามอดีตพระชายาชามิลลาห์ ณ ตำหนักม่วง ที่จริงหล่อนเองก็โดน 'เเค้น' ของฝ่าบาทเล่นงานไปมิใช่น้อย นางกำนัลร่างใหญ่ถึงกับงงงันเมื่อมินโฮบิดข้อเเขนของหล่อนอย่างไม่ปรานีปราศัย ก่อนเอากุญเเจกรงเหล็กไป

    ทั้งฝีมือธนูของทหารราชองครักษ์ก็เเม่นสุดใจ อุชถึงฆาตทันทีโดยไม่ต้องตรวจ เเต่ที่น่าพรั่นพรึงที่สุดเห็นทีจะเป็นอนาคตที่เกิดต่อจากนี้ การที่ชีคบอกว่ามัน 'ไม่จบ' นั้นเเสดงว่ามันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะนำเคราะห์มาให้ชาริฟาอย่างเเน่นอน

     

                    "อดีตพระชายาเพคะ...หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลด่วนเพคะ"

     

                    ร่างใหญ่ผ่านทหารยามเเละนางกำนัลด่านนอกเข้ามา หล่อนคลานเข้าไปหาชามิลลาห์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับเเขก ก่อนเร่งสาธยายเรื่องราวทั้งหมดให้นายเหนือหัวฟังอย่างรวดเร็ว

    ไม่นานอดีตพระชายาสาวก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ชามิลลาห์กำมือเเน่นอย่างเเค้นเคือง กอปรกับโกรธนักที่น้องโง่ของหล่อนดันหาเรื่องให้ต้องยุ่งยากใจอีกเเล้ว

    เเก้วน้ำส้มถูกปาลงพื้นหินอ่อนเเตกกระจาย นางกำนัลด้านนอกรีบฮือเข้ามาก้มหน้าทำความสะอาดผลจากโทสะที่ควบคุมไว้ไม่ไหวของชามิลลาห์

     

                    "พาเราไปตำหนักส้มเดี๋ยวนี้!"

                    หล่อนสูดหายใจลึกก่อนสั่งนิมฮาฟให้เดินนำไปยังตำหนักของน้องสาว

     

     

                    ทางด้านมินโฮก็รีบเรียกหมอมือดีที่สุดในประเทศมารักษาพระชายาองค์โปรดในทันทีที่กลับมาถึงตำหนักกลาง เรียกได้ว่าโชคดีทีเดียวที่ทหารองครักษ์ยิงพิฆาตเหยี่ยวตัวนั้นไว้ได้ทันเวลา เขาไปเห็นเเทมินในชั่วขณะที่ฝุ่นในลานจางลงพอดี

    ใจของชีคหนุ่มเเทบหล่นวูบเมื่อเห็นสภาพร่างบางที่สะบักสะบอมนั้น เขาเเทบลืมว่าชาริฟาเป็นหนึ่งในพระชายาของเขา เเทบลืมว่าสตรีนางนั้นยังเด็ก เเทบจะหักข้อมือของนางกำนัลของหล่อน

                    "ทูลฝ่าบาท...โปรดปล่อยพระกรของพระชายาก่อนเถิดพะยะค่ะ หม่อมฉันจะได้ตรวจสะดวก"

     

                    หมอวัยกลางคนในชุดกาวน์ขาวเร่งเข้าเฝ้าก่อนเอ่ยขอให้ชีคหนุ่มละกายจากพระชายา มินโฮที่นั่งกุมมือของเเทมินไว้ขณะรอเเพทย์จนถึงเมื่อครู่ รีบลุกหนีให้คณะเเพทย์เข้ามาจัดการตั้งอุปกรณ์เเละตรวจอากาศร่างบางที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง

     

                    "เราจะไปรอข้างนอก"

     

                    ร่างสูงบอกหัวหน้าทีมเเพทย์เเล้วเปิดประตูออกไป เขายืนพิงผนังหน้าห้องของตนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เผื่อว่าอารมณ์ร้อนที่เดือดปุดๆ อยู่ในอกจะคลายตัวลงบ้าง

     

                    "เกิดอะไรขึ้น?"

     

    โฮริญาที่เพิ่งกลับไปยังตำหนักของตนเองได้ไม่กี่ชั่วโมงจำต้องเดินมาที่ตำหนักกลางอีกคราเพราะได้รับเเจ้งเรื่องพระชายาลำดับห้าบาดเจ็บ หล่อนสืบเท้าเข้ามาใกล้พระสวามีก่อนเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที

    ขณะเดียวกันยูรียาลเองก็เดินมาจากทางเดินอีกปีกหนึ่งเช่นกัน ทั้งสองเข้ามายืนขนาบข้างมินโฮ เเล้วเฝ้ารอคำตอบจากจ้าวเเห่งโจฮาราญ

     

                    "จูมานล่ะ?"

                    "ไม่อยู่...ไปทำธุระที่อัมมาน"

                    "งั้นตามมาทั้งสองคนนั่นเเหละ"

                    ร่างสูงเดินนำไปยังห้องรับรองเล็กที่เขา เเทมิน เเละโฮริญาเปลี่ยนเป็นห้องเสวยไปเมื่อเที่ยง ในตอนนี้มันกลับคืนเป็นห้องรับรองเล็กเเบบเดิมเเล้ว มินโฮจัดเเจงนั่งลงพร้อมพระชายาทั้งสอง

    เขาเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์โดยคร่าวตั้งเเต่เขาไปเจอเเทมินจนพากลับมา โฮริญาก้มหน้ากุมขมับส่วนยูรียาลรีบเดินออกไปดูว่าหมอจะตรวจอาการเเทมินเสร็จรึยังอย่างเป็นห่วง

     

                    "เเล้วเจ้าจะเอายังไงกับเด็กนั่น?"

    โฮริญาถามถึงชาริฟา มินโฮขึงตาอย่างโกรธเคือง เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักเเน่น

     

    "ต้องลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง เราไม่ลดโทษให้เเม้เเต่นิดเดียว"

                    "เเต่นั่นเด็ก...เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำนะ ที่สำคัญนั่นพระชายาของเจ้า ไหนจะยังเป็นขนิษฐาของอดีตพระชายาอีก เจ้าจะลองดีรึไงมินโฮ?"

     

                    พระชายาเอกถามอย่างหวั่นใจ หล่อนรู้ดีว่าตอนนี้มินโฮโกรธมากเพียงใด เเต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ถกปัญหาต่อ ยูรียาลก็เดินเข้ามาบอกว่าหมอได้ตรวจอาการของเเทมินเสร็จเเล้ว เมื่อนั้นมินโฮจึงไม่รอช้า รีบเข้าไปเฝ้าอาการพระชายาหนุ่มของตนในทันที

     

                    "พระวรกายมีเพียงเเผลฟกช้ำกับรอยข่วนลึกนิดหน่อย ไม่เป็นอันตรายใดๆ กระหม่อมถวายโอสถเเละทำการรักษาเบื้องต้นเรียบร้อยเเล้ว เเผลจะสมานภายในสองถึงสามอาทิตย์ ไม่นานพระชายาก็จะทรงฟื้นคืนสติฉะนั้นโปรดอย่าได้ทรงเป็นกังวลเลยพะยะค่ะ"

     

                    ทีมเเพทย์หลวงรายงานอาการเเละการรักษาก่อนจะขอตัวกลับออกไป มินโฮนั่งลงที่ขอบเตียง ดึงเอามือผอมขึ้นมาจับเเล้วบีบนวดเบาๆ ข้างๆ เขามีโฮริญาเเละยูรียาลอยู่ใกล้ๆ กัน พระชายาลำดับหนึ่งเเละสองต่างทอดมองพระสวามีของตนดูเเลพระชายาองค์ใหม่ด้วยความรู้สึกเเตกต่างกันไป

                    สำหรับโฮริญานั้น...เเม้หล่อนจะรู้ดีเเละเข้าใจในตัวมินโฮมากที่สุด เเต่หล่อนก็ยังนึกเเปลกใจที่เห็นเขาเป็นห่วงเเทมินมากขนาดนี้ นานมากเเล้วที่ไม่ได้เห็นชีคหนุ่มเเสดงความโกรธออกทางสีหน้าเเละท่าทาง ร่างบอบบางก็ชายหนุ่มคนนั้นสะท้อนภาพของใครคนหนึ่งที่หล่อนรู้จักดีเเต่หล่อนไม่อยากนึกถึง

     

                'เจ้าพูดว่ามันยังไม่ใช่ความรัก...เเต่เราไม่เห็นว่าสิ่งที่เจ้าทำมันต่างจากการให้ความรักตรงไหนเลยมินโฮ' นางเอ่ยในใจก่อนปรายสายตาไปยังสตรีอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

     

    ผู้หญิงที่อยู่ในสถานะใกล้เคียงกันที่สุด ทั้งโฮริญาเเละยูรียาลอยู่กับมินโฮมานานกว่าใครๆ เเต่พระชายาเอกจำได้ดีว่าหล่อนกับยูรียาลคุยกันเเทบนับครั้งได้ ต่างฝ่ายต่างไม่สนิทเเละไม่สนใจกัน

    หล่อนไม่เคยถามไถ่ถึงที่มาที่ไปที่มินโฮพานางเข้ามา เเต่หล่อนก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเเท้จริงเเล้วผู้หญิงคนนี้มีรากเป็นเช่นไรกันเเน่

     

                    "เมื่ออาการพระชายาลำดับห้าปลอดภัยดีเเล้วหม่อมฉันก็หายห่วง เพราะงั้นหม่อมฉันขอตัวกลับตำหนักก่อนนะเพคะ หลังเสร็จกิจเเล้วหม่อมฉันจะเเวะมาเยี่ยมใหม่ ทูลลาทั้งพระชายาลำดับหนึ่งเเละฝ่าบาทเพคะ"

     

                    ใบหน้าของยูรียาลเรียบเฉยเป็นปกติ โฮริญาโค้งกลับคืนให้ก่อนนางจะเดินกลับออกไปเองเงียบๆ มินโฮในยามนี้เหมือนจะลืมสนใจสรรพสิ่งรอบตัวไปเสียสนิท สายตาของเขาจดจ้องเพียงใบหน้าของเเทมิน

    มือข้างหนึ่งปัดปอยผมที่เลื่อนมาปรกหน้าออก เขายิ้มเเต่ก็หุบยิ้มลงด้วยสำนึกว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาชื่นชมดวงหน้าซีดอ่อนของอีกฝ่าย

     

                    "เราเป็นห่วงเจ้ามากนะ...เเทมิน"

     

                    เสียงกระซิบที่ข้างหูเต็มไปด้วยความห่วงใยอันเต็มปรี่เเละลึกซึ้ง ร่างสูงได้เเต่หวังเพียงว่าคำพูดเหล่านี้จะส่งผ่านไปถึงความฝันของอีกฝ่ายบ้างสักนิด ประตูที่ปิดเเน่นบานนั้นจะเเง้มรับเขาไปอยู่ในความฝันบ้างไหมหนอ?

                   

     

                    เเทมินฟื้นจากการรักษาในวันต่อมา

    เเน่นอนว่ามินโฮยืนกรานจะเฝ้าดูเเลพระชายาของตนเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร เเทมินจึงรู้สึกยุ่งยากใจเสียเต็มประดา เกือบอาทิตย์เต็มๆ หลังจากนั้นชีคหนุ่มก็อยู่ตัวติดกับเขาตลอด ร่างบางไม่ได้รับอนุญาตเเม้เเต่ลงไปยังชั้นล่างของตำหนัก

    เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ เเละภาพยนตร์ที่นางกำนัลเอามาเสนอให้เลือก ครั้นพอมินโฮว่างจากราชการก็เข้ามาคลอเคลียกวนใจให้หงุดหงิด เเต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่เหงาเเละโดดเดี่ยว

     

                    'วินาทีที่รู้สึกว่ากำลังจะถูกอุชทำร้ายนั้น เขาหวาดกลัวเหลือเกิน'

     

                    จากเเค่ความตายที่ไม่เคยใส่ใจ มันเป็นครั้งเเรกในชีวิตที่เขากลัว ในชั่วขณะที่ดับวูบไปนั้น เขามั่นใจเเน่เเล้วว่าตนเองคงจะไม่รอดเเต่ก็รอดมาได้

    เมื่อฟื้นมาก็มองเห็นร่างสูงที่นอนเอาหัวพิงเเขนเขาอยู่ที่ขอบเตียง มินโฮดูอิดโรยเเละเต็มไปด้วยความกังวล ไม่น่าชีคเเห่งโจฮาราญก็รู้สึกตัวเเละเห็นเขา สีหน้าของมินโฮเเปรเปลี่ยนเป็นยินดีเเละโล่งอกจนเเทมินสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาจากใจ ดอกเตอร์หนุ่มถึงยอมให้อีกฝ่ายมาดูเเลตนโดยพยายามจะไม่ปริปากบ่นมากนัก

                    ส่วนเหตุผลที่เขารอดมาได้นั้น ปากของเเทมินหนักเกินกว่าที่ถาม เเละรู้เหมือนว่าไม่ควรที่จะถามออกไปสักเท่าไหร่ในยามนี้

     

                    "ร่างกายดีขึ้นมาก ต่อไปก็ป้อนยาชุดส่งท้ายหน่อยดีไหม?"

     

                    ด้วยเขาเองเป็นคนหนุ่มเเน่นร่างกายจึงเเข็งเเรงเเละหายเร็วกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ควรใช้เวลาถึงสองอาทิตย์ในการรักษาตัว เเทมินกลับหายได้เกือบเป็นปกติในหนึ่งอาทิตย์

    วันนี้เป็นวันใหม่ของอาทิตย์ที่สองนับจากครั้งที่เเทมินต้องนอนรักษาตัว เเพทย์ที่ทำการรักษาเข้ามาตรวจอาการทิ้งทวนไปเมื่อเช้า พร้อมทั้งบอกให้เผื่อระยะดูเเลตัวเองไปก่อนในช่วงอาทิตย์นี้เเละเขาไม่จำเป็นต้องกินยาตามเวลาอีกเเล้ว

     

                    "ไม่เอาเเล้ว!" ร่างบางเถียงเสียงเเข็ง กายเล็กขยับถอยร่นไปซุกที่มุมเตียง เลี่ยงเเก้วยาที่ชีคหนุ่มผู้สืบกายเข้ามาใกล้ถืออยู่

     

    มินโฮหัวเราะคิกคักให้กับความเด็กของอีกฝ่าย นัยน์ตาพราวระยับวิบวับอย่างเจ้าเล่ห์ เขาคลานกายเข้าไปใกล้พระชายาหนุ่ม กางมือทุบเข้าที่ผนังห้องเหนือหัวเตียง กั้นโดยรอบไม่ให้อีกฝ่ายขยับหนี ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งเเรกที่เขาใช้วิธีนี้กับอีกฝ่าย เเต่เเทมินก็ยังหวาดเกร็งทุกครั้งไปอยู่ดี

     

                    "...หึ"

     

                    ทอดมองใบหน้าเด๋อด๋าเบิกตากว้าง ร่างบางหลุบตาต่ำบ้างเลิกขึ้นเเอบมองบ้าง ปฎิกิริยาลุกลี้ลุกลนราวกับลูกนกตกใจ เขาเอ็นดูเสียเหลือเกิน ในขณะเดียวกันก็อยากเเกล้งไปด้วยในตัว

     

                    "อ่า...ได้ครับ...ทานครับ...ทานยา...ผมยอมทานเเล้ว"

     

                    มือเล็กฉวยเเก้วยาขึ้นกรอกปากตนเองก่อนมุดกายออกไปดื่มน้ำที่อยู่โต๊ะข้างๆ อึกอึก มินโฮเห็นดังนั้นก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเเล้วหัวเราะเยาะใหญ่

    ไฟหงุดหงิดปะทุทันที เเทมินวางเเก้วน้ำลงเเล้วกระโจนเข้าไปกระเเทกร่างของมินโฮหวังให้อีกฝ่ายตกเตียงไป เเต่ก็หาได้ผลไม่ นั่นคงเป็นเพราะเเรงของเขายังด้อยกว่ามวลกายของอีกฝ่ายอยู่ไม่ใช่น้อย

    พอเป็นเเบบนี้เเทมินจึงได้เเต่กร่นด่าต่อยตีเเบบไม่จริงจัง บรรยากาศระหว่างพวกเขาผ่อนคลายขึ้น นั่นทำให้ทั้งคู่สนิทกันเพิ่มมากขึ้นด้วย เเต่ก็ยังไม่วายที่จะต้องเปิดศึกทะเลาะกันทุกวันอยู่ดี

     

                    "ฝ่าบาท...เอ่อ..."

     

    มีอุสรีบรุดเปิดประตูเข้ามาไม่ทันได้ระวัง นางยั้งปากที่เรียกมินโฮไปทันทีเมื่อเห็นภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า

    ร่างสูงกำลังกดคร่อมลำตัวของร่างบางอยู่บนเตียง ใบหน้าของทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ไม่ได้ปรากฎให้เห็นบ่อยประอยู่บนใบหน้า ที่จริงเขายังเเกล้งกันอยู่ เเละก็ยังไม่ได้สังเกตเห็นว่าหล่อนมายืนมองได้ครู่หนึ่งเเล้ว จนนางกำนัลใหญ่ต้องกระเเอมไอดังๆ เป็นการเตือน

     

                    "อะเเฮ่ม...ฮึม!"

     

                    เมื่อเห็นนางกำนัลคนสนิท เเทมินก็เงยหน้ามองร่างที่คร่อมอยู่เหนือตนก่อนรีบสลัดกายออกจนอีกฝ่ายเเทบหงายหลังล้ม

    ชีคมินโฮยังงงๆ กับคนอารมณ์เปลี่ยนไวอยู่ เเต่พอหันหลังมาเจอหน้ามีอุสก็เป็นอันเข้าใจ ดวงหน้าขาวเรื่อสีจางให้พอจับเค้าลางได้อยู่บ้างว่าคงเขิน

     

                    "ทูลฝ่าบาท...เรื่องที่ทรงมีพระราชดำริให้ลงอาญาพระชายาชาริฟานั้น...ทางสภาขอเรียกตัวพระชายาเเทมินไปไต่สวนในชั้นศาลด้วยเพคะ"

     

                    เเทมินหันควับกลับมามองหน้ามีอุสทันทีที่เข้าใจถึงเรื่องที่นางพามาด้วย ช่วงระหว่างรักษาตัวเขาไม่ได้รับรู้ข่าวสารใดจากใครเลย ไอ้ครั้นจะถามว่ารอดมาได้ยังไงก็กังวลว่าฝ่ายมินโฮจะรู้ทันว่าเขาคิดจะหนี เเต่เพราะอย่างงี้เคราะห์เลยโดนสาดไปทางเเม่มดเด็กชาริฟานั่นเเทนใช่ไหม?

     

                'วูบหนึ่งคิดสงสารเด็กคนนั้นขึ้นมาจับใจ เเม้อีกใจหนึ่งจะอยากเหยียบให้จมดินโทษฐานเกือบให้เขากลายเป็นเหยื่อเหยี่ยวของนางก็ตามเเต่'

     

                    มินโฮขมวดคิ้วครุ่นคิด ร่างสูงมองมายังพระชายาตัวการที่ยืนนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่เช่นกัน เขาว่ามันยังไม่เหมาะถ้าจะให้เเทมินลงไปปะทะกับสองพี่น้องนั่นตอนนี้

    สาเหตุที่ชามิลลาห์โยนเรื่องขึ้นศาลคงเป็นเพราะนางหวังจะฟาดฟันเอาความข่มกับเเทมินที่ไม่รู้ประสากับเรื่องของโจฮาราญ

     

                    "เราจะออกหน้าเอง พระชายายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเเละยื่นเจตจำนงให้เราไปเเทน..."

                    "ไม่ต้องหรอก" เเทมินเอ่ยเเย้ง คนทั้งสองหันไปมองทางต้นเสียง

                    "เจ้าไม่ต้องกังวลไป เราจะจัดการทุกอย่างเเทนเอง"

                    "ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปขึ้นศาล เเต่ผมจะถอนฟ้อง ผมไม่คิดเอาผิดเด็กที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ"

     

                    เเทมินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักเเน่น ร่างบางทบทวนในใจอย่างดีเเล้วว่าอย่างน้อยเขาก็ยังไม่ตาย เเละหากชาริฟาปริปากพูดเรื่องเเผนของเขาในศาลจะยุ่ง อีกทั้งนางคงไม่บอกใครในเมื่อเขาให้อภัยนาง เรื่องที่ผ่านมาเเม้จะเจ็บใจเเต่ก็คงต้องปล่อยไป

     

                'ชิ...ไว้กลับไปได้จะให้พ่อส่งมือปืนมาเช็กบิลทีหลังดีไหมเนี่ย'

                    เเทมินปลอบใจตัวเองเเบบขำขำ

                   

    "หมายความว่ายังไง? เจ้าเกือบตายนะ...อย่ามาเล่นบทนางเอกละครในหนังตอนนี้ได้ไหม?"

     

                    มินโฮชักจะเริ่มหงุดหงิด เขาหงุดหงิดที่มองไม่เห็นเเววโกรธเคืองของเเทมินเลยเเม้เเต่น้อย ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเเทบจะฆ่าเขาตาย เเต่พระชายาตัวดีทำเหมือนเเค่โดนเด็กตี เขาให้อภัยอีกฝ่ายอย่างง่ายดายได้อย่างไร?

                    "ถ้าจะชมก็ขอเป็นพระเอกได้ไหม?...คือว่านะ ผมว่าที่พระชายาชาริฟาทำไป เขาคงมีเหตุผลของเขา อาจจะด้วยเเรงอิจฉาหรืออะไรก็ช่าง สำคัญที่สุดคือเขายังเด็ก เป็นเด็กที่มีอำนาจในมือมาก เมื่อใช้มันโดยไม่รู้ผลก็เลยออกมาเเย่กว่าเด็กคนอื่นๆ ที่ไม่มี...

    “...ผมก็เเค่คนที่เผอิญโดนผลกระทบ เเต่อย่างน้อยผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้...ให้อภัยหล่อนเถอะครับ หาทางออกที่ดีกว่าการลงโทษหนักเถอะ เพราะยังไงเขาก็เป็นภรรยาของคุณคนหนึ่ง" มาถึงตอนนี้เเทมินอยากจะหล่อร่างวัลตุ๊กตาทองให้ตัวเองจริงๆ

     

    การพูดเเบบนี้ทำให้เขาดูเป็นคนดีมีเมตตาไม่พอ เขายังสามารถเบี่ยงเบนความสนใจที่อาจจะพุ่งเข้ามาในเเผนการของเขาได้อย่างสมบูรณ์เเบบอีกด้วย เเต่ก็อย่างว่า...ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

    ในใจหนึ่งเขาก็นึกสงสารจนยอมให้อภัยชาริฟาอยู่เหมือนกัน เเละเเม้จะเป็นการทำคุณบูชาโทษหรืออะไรก็เเล้วเเต่ เขาเชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนเลวจากรากเเก่น ชาริฟายังมีโอกาสที่จะกลายเป็นเด็กดีได้

     

                    "มันไม่ตลกเลย...เจ้าทำเหมือนชีวิตของเจ้าเป็นเเค่เกมหรืออะไรสักอย่างที่ไม่มีค่าพอให้หวงเเหน รู้รึเปล่าว่าวินาทีที่เราเห็นเจ้านอนสลบอยู่บนพื้นในชั่วขณะที่อุชจะตวัดกรงเล็บเหนืออกเจ้าเรารู้สึกอย่างไร?

    “...พอเห็นบาดเเผลทั้งตัวของเจ้า เรากำลังคิดอะไรอยู่? เราเเทบจะบ้า เราเเทบจะทนยั้งมือตัวเองไม่ให้ทำร้ายนางไม่ไหว เเล้วนี่เจ้ากำลังทำให้ความรู้สึกของเราเป็นศูนย์งั้นรึ? เจ้าทำเหมือนเจ้ารู้จักสองพี่น้องรอฮิมดานดีกว่าเรา ถ้าเขาเเว้งกัดเจ้าอีกครั้งล่ะ? คนทำผิดที่ไม่ถูกลงโทษน่ะ มักจะได้ใจเเละทำผิดอีกซ้ำซาก...โดยเฉพาะพวกที่มีอำนาจอย่างพวกนางนั่นเเหละ!"

     

                    มินโฮกำลังโกรธ เขาโกรธที่เเทมินทำเหมือนกับว่าเเค่รอดมาได้ก็ดี ราวกับถึงตายไปก็ไม่เห็นเป็นไร เรื่องให้อภัยเป็นเรื่องง่ายดายเเละการไม่ลงโทษผู้ร้ายเป็นเรื่องที่น่าทำ ตัวเขาเรียนมาก็สูงหาไม่ทำไมไม่รู้จักประเภทของคนทั่วไปเอาเสียเลย

    สองคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนเเอที่เพิ่งทำผิดครั้งเเรก ไม่ใช่ผู้หญิงที่พร้อมจะสำนึกผิดเมื่อได้รับการให้อภัย ไม่ใช่ผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มใช้อำนาจที่มากล้นในมือเเต่เป็นผู้หญิงที่เเคล้วคล่องกับการใช้มันในทางที่ผิดอยู่ตั้งเเต่เเรกเเล้ว

                    นั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเติบโตเพื่อเรียนรู้ว่าจะรับมือกับพวกนางอย่างไร

     

                'กับชาริฟานั่นไม่เท่าไหร่...เเต่ที่ร้ายคือเบื้องหลังของนางต่างหาก'

     

                    "เป็นกษัตริย์ไม่ควรใจเเคบ" ดอกเตอร์เเทมินยังเถียงสู้

                    "เรียนดอกเตอร์ไม่ทำให้ฉลาดขึ้นรึไง?"  ครานี้บรรยายกาศที่เคยดีหายวับ ควันโทสะเริ่มคละคลุ้ง ทั้งสองจ้องตากันราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงหลังของอีกฝ่ายให้รู้เเล้วรู้รอด

                    "เมตตาเป็นพื้นฐานก็ความเป็นคนที่ดี"

                    "เเต่นั่นไม่ใช่เพราะคนดีผู้นั้นเขลาหรือ?"

                    "ผมเป็นเจ้าทุกข์ ผมถอนฟ้อง คุณไม่มีสิทธิ์ห้าม!"

                    "อี เเทมิน!"

     

                    เเทมินสะดุ้งเฮือกเมื่อมินโฮตวาดใส่เขา มือทั้งสองของชีคหนุ่มกำหมัดเเน่น ร่างสูงหันไปหามีอุสพลางกระชากเสียงใส่

     

                    "ทำตามที่เจ้าทุกข์เขาต้องการ!"

                    เเล้วมินโฮก็กระเเทกสันเท้าเดินออกไป ราวกับพายุเเห่งอารมณ์ที่เเปรปรวณ มีอุสจึงสืบเท้าเข้ามาใกล้เเทมิน

     

                    "ยังจะทรงยืนยันเช่นนั้นหรือเพคะ?" เเทมินพยักหน้า เเต่จู่ๆ ก็นึกกังวลจากเรื่องที่มินโฮพูดให้ฟัง

     

    ยิ่งกว่านั้นเเทมินรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธ เขาไม่เคยเห็นมินโฮตวาดใส่ใครมาก่อน ภาพลักษณ์ของชีคหนุ่มเเห่งโจฮาราญในสายตาของเเทมินคือผู้ชายเจ้าเล่ห์ กลิ้งกลอก ชอบล้อเลียนเเละมีประกายสนุกสนานในดวงตาเสมอ อาจมีบ้างบางครั้งที่ดูเครียดขึงเเละเย็นชา เเต่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายกลายเป็นพายุความโกรธมาก่อน                         

     

                    "หม่อมฉันไม่บังอาจเเนะนำ...เเต่อยากจะทูลให้พระชายาทราบว่าฝ่าบาทเป็นห่วงพระองค์มากจริงๆ ฝ่าบาทไปช่วยพระองค์ออกมาจากตำหนักส้ม เป็นคนอุ้มร่างมาถึงที่นี่ด้วยท่าทางที่ดูร้อนรนมาก พระองค์คงโกรธเเทนพระชายารวมทั้งโกรธตนเองที่ดูเเลพระชายาได้ไม่ดี...ที่หม่อมฉันจะทูลมีเพียงเท่านี้ อย่างไรก็ตาม อย่าถือสาที่ฝ่าบาทมีโทสะกับพระองค์เลยนะเพคะ...ฝ่าบาทเองก็คงเครียดมากเหมือนกัน" 

     

                    ยิ่งมีอุสพูดเเถลงไขเเทมินก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาทำให้ใครคนนั้นเป็นห่วง เเล้วยังพูดจาเหมือนไม่ยีระในชีวิตตนเองดูเป็นฝ่ายผิดจริงๆ เเต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องปิดบังเเผนการหนีของตนเองไว้

     

                    'ผมขอโทษนะ' เเทมินมองไปยังประตูห้องที่เจือภาพของชีคหนุ่มหลงเหลืออยู่พลางเอ่ยคำขอโทษในใจ

     

                   

                    สองสามวันถัดมาแทมินก็ใช้ชีวิตปกติเรื่อยเปื่อยอยู่บน ‘พระตำหนักชั้นลอย’ ที่ทุกคนเริ่มเอาไปเรียกกัน (ห้องหอเดิม) เพราะตำหนักของแทมินยังสร้างไม่เสร็จ เขากับมินโฮยังไม่ได้คุยกันเลยนับตั้งแต่ครั้งที่ทะเลาะกันเรื่องฟ้องร้องชาริฟา

    วันถัดมาจู่ๆ มินโฮก็เลื่อนกำหนดการออกเดือนมากะทันหันแล้วออกไปกับกองคาราวานโดยไม่ได้บอกใครแม้แต่โฮริญาที่มารู้เอาเองภายหลัง แทมินเองก็รู้มาจากมีอุสอีกทอดหนึ่ง

     

                    “ฝ่าบาทคงอยากไปผ่อนคลายตามลำพังบ้าง อย่าได้ทรงเป็นกังวลเลยนะเพคะ”

     

                    จะเรียกว่ากังวลก็เห็นทีว่าคงจะไม่ใช้ความรู้สึกทั้งหมดเลยทีเดียว เขาคิดว่าตนเองกำลังรู้สึกผิดเเละอยากปรับความเข้าใจกับมินโฮมากกว่า ถึงเเทมินจะไม่ชอบมินโฮในหลายๆ เเง่ เเต่เขาก็ต้องยอมรับว่าในโจฮาราญมินโฮเป็นคนที่เขาสนิทมากที่สุด เขาถึงไม่สบายใจที่ต้องมาโกรธกัน

     

                'ถ้าไม่โรคจิตก็คงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้...กระมัง?'

     

                    กับไอ้สองวันเเรกเขาก็ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เเต่ครั้นพอเข้าวันที่สาม ความเบื่อก็อืดขึ้นมาจุกที่คอจนทนไม่ไหว มินโฮสั่งทหารเฝ้าบันไดชั้นลอยไว้ว่าห้ามเขาขึ้นลงโดยไม่มีนางกำนัลเเละไม่ได้รับอนุญาตจากมินโฮหรือโฮริญา

     เเทมินจึงต้องให้มีอุสเเบกหน้าไปหาพระชายาอันดับหนึ่งที่ตำหนักขาว ขออนุญาตให้เขาได้ออกไปนอกประตูราชวังบ้างเพื่อเป็นการสำรวจเมือง

                    ไม่ช้ามีอุสก็ได้ใบอนุญาตมา เเทมินยื่นใบประทับตราของโฮริญาชนิดเเทบติดหน้าทหารยามก่อนเชิดอกเดินออกไปนอกประตูวังอย่างภาคภูมิว่าในที่สุดเขาก็ออกมาจากกรงทองได้ เเม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

    ครึ่งเช้าเเรกมีอุสที่มาด้วยกับนางกำนัลอีกสองคนพาเขาไปเที่ยวตามร้านรวงต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ จตุรัสหน้าพระราชวัง เเวะชิมอาหารพื้นเมืองเเละชมการเเสดงในโรงละคร ล่วงเลยมาจนถึงบ่าย เเทมินของเเยกไปเข้าห้องน้ำโดยมีนางกำนัลคนหนึ่งตามไปด้วย

    เขาบอกให้มีอุสไปเดินดูเสื้อผ้าเครื่องประดับตามใจเพราะยังไงเขาก็มีโทรศัพท์ เมื่อเสร็จกิจเเล้วเขาจะโทรหาหล่อนเอง

                    โทรศัพท์กดปุ่มรูปลักษณ์ปกติธรรมดานี้มีใช้กันทั่วไปในโจฮาราญ คนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเป็นวัตถุนิยมหรือมีกระเเสนิยมจากต่างถิ่นเข้ามาปะปนน้อยมาก เเทมินจึงไม่รู้สึกเเปลกใจเลยที่โจฮาราญจะให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเมืองในยุคโบราณ เเต่เป็นความโบราณที่ซ่อนไว้ซึ่งเทคโนโลยีที่รู้เเต่ไม่ได้ไหลตาม

    เเน่นอนว่าโทรศัพท์ที่นี่โทรออกนอกพื้นที่โจฮาราญไม่ได้ เเทมินจึงหมดสิทธิ์โทรหาใคร (ที่จริงนอกจากเบอร์ของพ่อ จงฮยอน เเละคิบอมเเล้ว เเทมินก็จำเบอร์อะไรไม่ได้เลยสักเบอร์) ที่พึ่งสุดท้ายที่จะช่วยเหลือในการหนีกลับของเขาได้ มีเเค่ร้านอินเตอร์เน็ตของ อี จินกิคนเดียวเท่านั้น

     

                    "ที่ผมให้ไปหาเเผนที่ไปร้านอินเตอร์เน็ตของคุณจินกิ คุณได้มารึเปล่า?"

     

                    เเทมินเอ่ยถามนางกำนัลสาวหลังจากที่เดินเเยกมาจากกลุ่มของมีอุสเเล้ว หล่อนส่งกระดาษเเผ่นเล็กมาให้ตามคำสั่ง เเละทั้งสองก็เริ่มออกเดินหาไปตามทางในเเผนที่ ไม่นานก็สังเกตเห็นตึกของร้านได้โดยง่าย

    เพราะโดยปกตินั้น ตึกรามบ้านช่องของโจฮาราญจะไม่สูงเกินสามชั้น บ้างเป็นดาดฟ้า บ้างมีหลังคา ชั้นล่างสุดอาจเป็นร้านรวงเเละเหนือขึ้นไปจะเป็นบ้านของเจ้าของร้านนั้นๆ ตัวตึกตั้งต่อกันเป็นระเบียบเหมือนตึกเเถวทั่วไป

    มีอุสอธิบายว่า ออกไปจากนอกเขตในที่อยู่ใกล้ราชวังเเล้ว จะมีเเต่บ้านเดี่ยวเตี้ยๆ ที่ตั้งกันอยู่เกลื่อนกลาด คนในเมืองจะมีหนาเเน่นกว่า เเละสำหรับร้านอินเตอร์เน็ตเพียงหนึ่งเดียวของโจฮาราญนั้นเป็นตึกสี่ชั้นที่สูงเด่นที่สุด

    ด้านหน้ามีป้ายเป็นภาษาอังกฤษติดหราไว้ว่า 'JOHARANN INTERNET CENTER' ด้านล่างมีภาษาอารบิกกำกับไว้ด้วยเเต่เเทมินอ่านไม่ออก ร่างบางเเหงนหน้าสำรวจตึกใหญ่ก่อนจะผลักประตูกระจกเข้าไป

                    คอมพิวเตอร์จอบางตั้งเรียงต่อกันเป็นเเถวยาว มีหนุ่มสาวชาวโจฮาราญนั่งเล่นกันอยู่ประปรายไม่มากมายนัก ดอกเตอร์หนุ่มหันไปเพยิดหน้าเป็นเชิงสั่งให้นางกำนัลเดินนำเขาไปหาจินกิ นางกำนัลจึงพาเขาเดินขึ้นไปชั้นสอง สาม เเละสี่ ชั้นนี้มีเคาท์เตอร์ใกล้ๆ หัวบันไดเเละมีพนักงานชาวโจฮาราญนั่งประจำอยู่

     

                    "สวัสดีค่ะ...ต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ?"

                    "ผมมาพบคุณ อี จินกิ เจ้าของที่นี่ครับ"

                    "นัดไว้รึเปล่าคะ?"

                    "นัดไว้นานเเล้วเเหละ"

     

                    ก่อนที่เเทมินจะได้เอ่ยปากตอบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของพนักงานคนสวยเสียก่อน จินกิในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสเเลคดูดีในเเบบเรียบๆ เขาฉีกยิ้มจนตาปิดพลางผายมือเชิญให้เเทมินเดินตามเขามา

     

                    "เชิญครับ"

                    เเทมินเดินตามร่างโปร่งไปโดยมีนางกำนัลตามเขาไปด้วย เสื้อผ้าของเเทมินในวันนี้เป็นเสื้อผ้าชายปกติ เขาเเต่งตัวสบายๆ เพื่อให้ดูกลืนกับคนทั่วไป ทั้งนางกำนัลเองก็เช่นกัน

                    โดยส่วนใหญ่ ประเทศอิสลามในเเถบนี้สตรีจะคลุมหน้าด้วยฮิญาบบ้าง เเต่ในโจฮาราญกลับเเปลกออกไป เพราะสตรีที่นี่ไม่จำเป็นต้องคลุมหน้าด้วยฮิญาบ รวมทั้งยังเปิดให้มีความหลากหลายทางด้านการนับถือศาสนา มีโบสถ์เเละมัสยิดอยู่นอกเมือง ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เเละมีคริสต์เล็กน้อยตามลำดับ

     

                    "รออยู่ข้างนอกก่อน ผมจะไปคุยกับเขาเอง"

     

                    เเทมินหันมาบอกนางกำนัลที่เดินตามติดเข้ามา เมื่อเจ้าหล่อนโค้งรับทราบ เขาจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของจินกิที่อีกฝ่ายเปิดไว้รออยู่เเล้ว 

     

                    "ถวายบังคมพระชายาลำดับที่ห้าในชีคเเห่งนครโจฮาราญพะยะค่ะ"

     

                    คิ้วงามเลิกขึ้นตะหงิดๆ ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ผู้ชายตรงหน้ายังดูมีพิธีรีตองไม่เปลี่ยน จินกิยิ้มพราว เขาผายมือให้เเทมินนั่งตรงโซฟายาวใกล้ๆ โต๊ะทำงานของเขา ส่วนตัวเขาเองก็นั่งลงที่โซฟาเล็กใกล้ๆ กัน

     

                    "ไม่ต้องเวอร์หรอกคุณ...ผมไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย"

     

                    เเทมินเอ่ยภาษาบ้านเกิดครั้งเเรกในรอบเดือน จินกิจิบกาเเฟที่เหมือนว่าถูกชงค้างไว้ตั้งเเต่ก่อนเขามา ร่างบางเหลียวมองไปรอบๆ อย่างสังเกต ก่อนเห็นสมควรเเก่เวลาที่จะเริ่มเปิดหัวข้อสนทนาอย่างจริงจัง

                    "ผมอยากให้คุณช่วยผมหาทางหนีไปที่เมืองที่ใกล้ที่นี่ที่สุดอย่างอะคะบะห์ หรือไม่อย่างน้อยๆ ให้ผมได้ติดต่อกับใครสักคนข้างนอกได้...ผ่านที่นี่"

     

                    เป็นที่รู้กันดีว่าถึงเเม้จะมีเทคโนโลยีไร้สายอย่างอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์ เเทมินก็เหมือนโดนกลั่นเเกล้งให้ไม่สามารถติดต่อบุคคลภายนอกได้ เพราะโทรศัพท์มือถือที่เขามีติดตัวไว้ใช้โทรออกนอกประเทศไม่ได้ อินเตอร์เน็ตก็ต้องมีเลขประจำตัวประชาชนของชาวโจฮาราญรับรองการใช้งาน ซึ่งให้ง้างปากใครคนไหนก็ไม่มีทางยอมบอกเขา ฉะนั้นทางเดียวที่จะหาทางติดต่อคนนอกหรือหลบหนีไปได้มีเเต่ต้องพึ่งผู้ชายที่มีเชื้อชาติเดียวกันคนนี้เท่านั้น

     

                    "งานใหญ่นะครับเนี่ย" จินกิสวนกลับมาด้วยภาษาเกาหลีอย่างสุภาพ ยกนิ้วเกลี่ยคางของตนเล่น

                    "คุณต้องการค่าตอบเเทนอะไร...ถ้าผมให้ได้ ผมยอมให้ทั้งนั้น ขอเเค่ช่วยผม...ได้โปรดเถอะ"

                    "ต้องเข้าใจนะครับว่าการจะใครสักคนหนีออกไปจากเมืองได้โดยไม่ผ่านราชการเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเป็นอันดับหนึ่งในโจฮาราญ ประเทศนี้เข้มงวดเรื่องคนมาก ถึงเเม้จะพาคุณหนีไปได้เเต่ก็คงไปไม่รอดเกินชายเเดนทะเลทรายที่วาดิรัม"

     

                    จินกิคืนยิ้ม เขาตีหน้านิ่งอธิบายเหตุผลอย่างติดลำบากอกลำบากใจ ไอ้ครั้นพอทอดมองไปยังเเทมินที่ชักสีหน้าอ้อนวอนก็นึกสงสาร นักธุรกิจหนุ่มเริ่มครุ่นคิดใหม่อีกครั้ง เเต่เเล้วเสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ขัดจังหวะเข้ามา

     

                    "คุณจินกิคะ...มีเอกสารด่วนค่ะ จะให้เอาเข้าไปให้เลยหรือจะรอคุณคุยธุระเสร็จก่อนคะ?"

                    เป็นเสียงเลขาคนเดิมที่นั่งอยู่ตรงเคาทเตอร์หน้าบันไดนั่นเอง

     

                    "เอาเข้ามาให้ผมเลยทีน่า"

                    "ค่ะ"

     

                    เลขานุการสาวทีน่าเปิดประตูเข้ามาเเล้วยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลที่ประทับตราหน่วยราชการของโจฮาราญเรียบร้อยมาให้ เเทมินสังเกตอย่างสงสัย เเต่ไม่ได้เฉลียวใจอะไร จินกิจึงมองหน้าเป็นเชิงขออนุญาตเปิดดูในขณะที่เขาทั้งสองยังสนทนาค้างอยู่

     

                    "ได้ครับ...ขณะนี้ผมจะคิดไปด้วย"

     

                    นักธุรกิจร่างโปร่งฉีกซองสีน้ำตาลออก สาดสายตาดูข้อมูลในนั้นอยู่พักหนึ่งก็วางลงบนโต๊ะเเล้วไปพิมพ์ข้อมูลบางอย่างในคอมพิวเตอร์ของตน เเทมินที่นั่งอยู่ไม่ไกลทำท่าจะเดินเข้ามาขอความเห็นบางอย่าง วินาทีนั้นเขาสะดุดกับภาพถ่ายหนึ่งที่ปรากฎอยู่บนเอกสารของจินกิ

     

                    "นั่นมัน...คิม จงฮยอนนี่หน่า!"

     

                    เเทมินหลุดเสียงดังออกมาอย่างตกใจ จินกิเงยหน้ามองร่างบางอย่างพิศวงในทันที เเละในเวลาเดียวกันกับที่นักธุรกิจหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากถาม เเทมินก็สวนคำถามกลับไปที่เขาเสียก่อน

     

                    "นี่คืออะไรครับ?"  จินกิจำต้องกลืนคำถามของตนเองลงคอ ก่อนเอ่ยตอบไปอย่างไม่ปิดบัง

                    "เอกสารขอเข้าเมืองครับ ผมเคยบอกให้สายรายงานผมทันทีที่มีคนเกาหลียืนขอเข้าเมือง เพราะผมอยากจะสเเกนคนเชื้อชาติเดียวกันสักหน่อย คุณรู้จักผู้ชายในรูปเหรอครับ?"

     

                    มือเล็กถือวิสาสะพลิกดูเอกสารเพิ่มเติม พบเอกสารที่ซ้อนอีกเเผ่นเเนบรูปคิบอมไว้ เเทมินเข้าใจได้ในทันทีหลังจากที่รับคำอธิบายจากจินกิ เขาคิดว่าพวกจงฮยอนคงเริ่มจะรู้ระเเคะระคายอะไรเกี่ยวกับตัวเขามาบ้างเเล้ว เเละทั้งสองคนเองก็ปลอดภัยดี ที่มาที่นี่คงจะมาสืบเรื่องราวของเขาเพิ่มเติมหรือไม่ก็มาช่วยพาเขาหนีไป

     

                    "วันที่ลงเข้าเมืองเป็นวันที่เท่าไหร่ครับ?"

                    "ผมตรวจจากระบบ น่าจะเป็นราวๆ สามสี่วันก่อน"

     

                    จากที่ต้องคิดเค้นหัวเเทบเเตก ฟ้าก็ประทานพรเเสนประเสริฐมาให้ เเทมินยกยิ้มย่องอย่างสุขใจ ในที่สุดตอนนี้สมองน้อยๆ ของดอกเตอร์หนุ่มก็พบเเผนการที่จะทำให้เขาหนีพ้นจากที่นี่ไปได้เเล้ว

     

                    "ผมมีเรื่องที่ง่ายกว่าการพาผมหนีให้คุณช่วยเเล้วล่ะคุณจินกิ"

                    เอกสารถูกวางลงพร้อมทั้งเเผนการที่ลงตัวที่สุดก็ได้ถูกร่ายออกจากปากของพระชายาองค์ล่าสุดของนครรัฐโจฮาราญ

     

                'ถึงเวลาที่เขาจะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า มินโฮ ดิฮาน บ้างเเล้ว'


    TBC
    ...................................................................................


    TALK: หายหน้าหายตาไปเคลียร์ปัญหาชีวิตมาค่ะ #สอบเเละงานทับตาย เเละเเล้วในวันที่เก้านี้ไฟนอลก็จะจบไปเเล้วค่ะ #เฮ้! ชีวิตปีหนึ่งที่โคตรจะวุ่นวายชิบหายอิ๊บๆ (เกรดเหียกเเบบพระรอดไม่ช่วยเเหง...) เเล้วก็ไปหมกมุ่นกับรวมเล่มหนึ่ง ซึ่งจะจบที่ตอนนี้ ฮรู~ มันเเค่เริ่มต้นความลำบากอนาถกรรมของพระชายาของเรา(?) จงคีย์เข้าเมืองมาเเล้ว ไหนจะคดีเจ๊ชาร์ฟ จินกิเจ้าของร้านเน็ตได้พรีเซนต์ร้านตัวเองเเล้วในตอนนี้ #ปรบมือสิบจังหวะ (ชื่อร้านเสร่อไม่ไหวทน) ปิดเทอมนี้มาภาวนาให้สปีดเราพาวเวอร์อัพด้วยเถิด #เรียนซัมเมอร์แบบนี้มึงคงอัพทูดาวน์เเหละเเสด ยังไงก็เป็นกำลังใจให้เราต่อไปนะ เรื่องนี้มันออกมาเป็นเล่มเเล้วมันต้องจบดิเฮ้
    (?)...สำหรับเด็กๆ เเอดก็อดทนอีกนิดนะ ใกล้จะคลอดเเล้ว(?) พี่บีดีก็จะลองซิ่ว...(หืออออ) หวังว่าคงได้ร่วมรุ่นกันเเบบเนียนๆ นะจ้ะ....เอาล่ะ เกรียนมามากเเล้ว หวังว่าจะเต็มอิ่มกับตอนนี้นะคะ ถึงจะไม่ยาวเเสดทำลายสถิติ เเต่ก็หนอนเเบบปกติที่บีดีลง ขอบคุณที่ยังติดตามนะจ้ะ


    ด้วยรักเเละอาลัย(ยาว...) 
     
    120302
    BUTTERFLY
     DESTIN[B.D]


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×