ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC : SHINee] Desert Affair [2MIN ft.JONGKEY]

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 6 | แต่งงาน

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 54


     ตอนที่ 6 

    แต่งงาน

     
     
    #ตอนที่หกนะจ้ะ ขี้เกียจเเก้รูปอะ T_T





     

                    ภายในห้องประชุมใหญ่สงบนิ่งราวกับรอการตัดสินใจที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ทั้งเสียงถอนหายใจ ทั้งเสียงพลิกเปิดเอกสาร หรือแม้แต่การซุบซิบปรึกษาต่างก็ดังเซ็งแซ่อื้ออึงกันทั่วไป ไม่ช้าทุกการกระทำก็ถูกตรึงไว้โดยร่างของผู้นำประเทศและประธานในองค์ประชุมที่ย่างกรายเข้ามาพร้อมสมาชิกในราชวงศ์อีกห้าคน สตรีทุกนางที่ทั้งสูงส่ง ทั้งชาญฉลาด ราชวงศ์แห่งโจฮาราญพรั่งพร้อมในชุดทรงสุภาพสีดำสนิทดูเป็นทางการ เก้าอี้หัวโต๊ะและรายรอบถูกครอบครองโดยบุคคลกิตติมศักดิ์ดังกล่าว แล้วก็เป็นชีคหนุ่มผู้นำที่เริ่มปรบมือเรียกฤกษ์ให้กับการประชุม

     

                    พลันเมื่อทุกสรรพเสียงเงียบลง ประธานก็เริ่มกล่าว

     

                    “อืม...ก็อย่างที่ได้ส่งจดหมายเวียนไปยืนยันเมื่อวาน ถึงเรื่องที่จะเรียกมาลงมติเร่งด่วน ทุกท่านก็คงจะได้ทราบแล้วในเรื่องรายละเอียด...”

                    “...เราจะไม่อ้อมค้อม คิดเห็นอย่างไรก็ว่ามา ก่อนจะเปิดให้ลงมติ เราจะเปิดให้ซักถามและเราจะได้ชี้แจงเป็นเรื่องๆ ไป

     

                    พอร่างสูงนั่งลง มือหนึ่งก็ถูกยกขึ้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งลุกขึ้นโค้งให้มินโฮด้วยความเคารพ ชีคหนุ่มพยักหน้ารับเป็นเชิงบอกให้เปรยได้ ร่างโปร่งของชายคนดังกล่าวจึงเริ่มเอ่ย

     

                    “กระหม่อมฮาราฟเป็นตัวแทนจากสภาสามัญชน หลังจากที่ได้ใช้เวลาประชุมวาระเร่งด่วนกันตั้งแต่เช้า ทางสภามีความเห็นชอบตรงกันว่าทางเราจะอนุญาตให้ฝ่าบาทจัดพิธีเสกสมรสได้...”

     

                    มินโฮผุดยิ้ม “...ก็ต่อเมื่อแต่ก็ต้องยิ้มค้าง

     

                    ไม่ง่ายจริงๆ ซะด้วยแฮะ

     

                    เสตาไปสบใบหน้าหยิ่งผยองของผู้มีศักดิ์เป็นอดีตพระชายาแล้วอดส่งเสียงหึในลำคอไม่ได้ ใบหน้าที่แสนมั่นใจนั้นเจือรอยยิ้มจางๆ ราวกับทุกอย่างได้อยู่ในความควบคุมของหล่อนแล้วทั้งสิ้น ตรองดูดีๆ แล้วสถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่ถึงลำบากเกินกว่าที่เขาจะแก้ไขสักเท่าไหร่นัก ปัญหาเหล่านั้นคงจะตั้งใจมีไว้เพื่อหักหน้าและทำลายความน่าเชื่อของเขามากกว่า

     

                    "...ได้รับการลงนามยินยอมจากเชื้อพระวงศ์เกินสองในสาม"

     

                    เกือบจะตรงกันกับที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าทุกอย่าง เว้นจำนวนที่ควรจะผ่าน ทั้งๆ ที่น่าจะเอาแค่เกินครึ่ง แต่นี่เล่นขอสองในสาม

     

                    "ร้ายน่าดู"

                    มินโฮพึมพำกับตนเอง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากอารมณ์สบายเป็นเรียบเฉยเเละติดจะตึงนิดๆ

     

                    "อืม...เข้าใจล่ะ งั้นขอความกรุณาอดีตพระชายา..."

     

                    เสียงทุ้มเริ่มเอ่ยถามสตรีผู้ทรงวัยวุฒิที่สุดก่อน ครั้นพอสบสายตากันก็เสมือนต่างคนต่างรู้เเกวอีกฝ่ายอยู่ในใจ แล้วเจ้าหล่อนก็เป็นฝ่ายผละสายตาออกไปก่อน อีกทั้งส่ายหัวเป็นสัญลักษณ์ในการลงมติ ราวกับตั้งใจจะดูถูกชีคหนุ่มผู้เป็นเสี้ยนหนามในใจอีกทาง

     

                    "ขอบพระทัยท่านชามิลลาห์...โฮริญา เจ้าว่าอย่างไร?"

     

                    เเม้ชามิลลาห์จะร้ายกาจเพียงไหน เขาเองก็มีหน้ากากที่พร้อมจะใช้ต่อกรกับนางเช่นเดียวกัน วันเวลาหล่อหลอมให้ มินโฮ ดิฮาน เติบโตเเละเข้าใจโลกอย่างเข้มเเข็ง เเม้ประสบการณ์จะน้อยกว่า เเต่อำนาจที่อยู่ในมือเขาจะไม่มีวันพ่ายเล่ห์เหลี่ยมของนาง

     

                    "หม่อมฉันยินดีเพคะ"

     

                    รอยยิ้มจางของพระชายาที่ไว้ใจได้เสมอยังผลให้ความมั่นใจเเละความอบอุ่นอวลขึ้นมาในใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่สตรีนางนี้ก็คอยพยุงหลังให้เขาเสมอ ถ้าเปรียบเขาเป็นต้นไม้ หล่อนก็เป็นผืนดินที่ค่อยโอบอุ้มเขาไว้ตลอดมา

     

                    "ยูรียาล..." / "หม่อมฉันขอเวลาตรองสักครู่เพคะ"

     

                    พระชายาผู้เป็นเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งสวยในครานี้ไม่ได้เเต่งตัวโดดเด่นเหมือนเคย หล่อนเอ่ยขัดพระสวามีเสียงอ่อน ยูรียาลยังสับสนเเละต้องใช้เหตุผลให้มากกว่าเดิมอีกสักหน่อย มินโฮพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เพราะเขารู้ดีว่ายูรียาลเสมือนอยู่นอกวงโคจรของเหตุการณ์กว่าใครๆ เพราะทั้งโฮริญา จูมาน หรือท่านชามิลลาห์เเละชาริฟา เขาก็พอจะรู้คำตอบ เเต่กับยูรียาลนั้นค่อนข้างจะเดาอารมณ์ยาก

                   

    'ก็คงจะไม่ยอมกระมัง'

                    ฟันธงในใจล่วงหน้าก่อนถอนหายใจยาวเเล้วเอ่ยถามสตรีอีกนาง

     

                    "เจ้าล่ะจูมาน?"

                    "ยินดีเพคะ"

     

                    จูมานพึ่งพาได้เสมอ หากโฮริญาคือดิน จูมานก็เหมือนปุ๋ยที่คอยช่วยเหลือบำรุงเขา หญิงสาวผู้เงียบขรึมถูกเเต่งเข้าราชวงศ์โจฮาราญตั้งเเต่อายุไม่มาก นับได้ว่าเเต่งตามยูรียาลมาติดๆ นึกย้อนไปก็รู้สึกขัดเขินเล็กๆ ที่เขาเเต่งงานติดกันราวกับเป็นชีคเจ้าสำราญ เเต่กระนั้นการเเต่งงานทุกครั้งของเขามักมาจากเหตุผลจำเป็น

     

                    โฮริญาถูกพระบิดาวางตัวให้เป็นพระชายาคนเเรกของเขาตอนที่เพิ่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัว ยูรียาลเป็นสตรีที่เขาตัดสินใจเเต่งงานด้วยเพราะนางเป็นคนสอนเรื่องของผู้ชายให้เขา ทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งที่สตรีพึงมี จูมานเป็นอัจฉริยะที่ยอมถวายตัวเพราะอยากทำประโยชน์ให้เเผ่นดิน ส่วนชาริฟาเป็นเพื่อนเล่นที่ดี เเม้นางจะถูกยัดเยียดมาโดยอดีตพระชายาชามิลลาห์ก็ตาม

     

                    เเล้วเเทมิน...?

                    การเเต่งงานที่ไร้เหตุผลที่สุดของเขา การเเต่งงานที่ผิดประเพณี ผิดเวลา เเละผิดต่อความรู้สึกกับอีกฝ่าย เเต่เขาก็จะฝืนดำเนินมันต่อ

     

                    เพราะลึกๆ ในใจรู้สึกว่ามันสำคัญ...มันสำคัญเกินกว่าที่จะเพิกเฉย

                    รอยยิ้มที่เห็นเเล้วเติมเต็มช่องว่างในใจ เสียงหัวเราะที่ได้ยินเเล้วรู้สึกได้ถึงจังหวะใหม่ที่ไม่เคยได้รู้สึกมานาน

     

                'เขาปล่อยไปไม่ได้หรอก'

     

                    "ชาริฟา..." / "หม่อมฉันยังยืนยันคำเดิมว่าไม่เห็นด้วยเพคะ"

     

                    เเทบพร้อมกันกับที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม เด็กสาวใจร้อนอย่างชาริฟาเอ่ยสวนกลับมาอย่างว่องไว ดวงตาของนางยังมีอารมณ์ขุ่นเคืองปนค้างอยู่ หล่อนทอดมองไปทางยูรียาลด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

     

                    "เอาล่ะ...เจ้าตัดสินใจได้รึยังยูรียาล?"

                    มินโฮเอนหลังกับพนักพิงก่อนจะเอ่ยถามกับยูรียาลอีกครั้ง เขาพร้อมที่จะโดนหักหน้าเเล้วในตอนนี้

     

     

     

     

     

                    "ขอเพียงฝ่าบาทพอใจ หม่อมฉัน...ยอมก็ได้เพคะ"

     

                    เจ้าหล่อนยิ้มบางก่อนจะเอ่ยคำตอบที่อยู่เหนือความคาดหมายของใครหลายคนออกมา คำตอบที่เรียกประกายโกรธให้วาววับในสายตาของชามิลลาห์ เเละเสียงสบถกร่นเบาๆ จากชาริฟาที่พุ่งตรงไปยังนางก็ชวนให้น่าหวั่นเกรงมิใช่น้อย เเต่คนอย่างยูรียาลไม่เคยเก็บมันเอามาใส่ใจ ความต้องการเดียวของนางคือทำให้มินโฮพอใจก็เท่านั้น

     

                    "...อ่า...ขอบใจเจ้ามาก"

     

                    ทางด้านมินโฮเองก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกปิติเเปลกๆ นี้อย่างไร เขาชนะอดีตพระชายาเเบบที่ตนเองไม่ได้เริ่มสร้างเกมขึ้นมาเลยสักนิด สถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายพลิกกลับให้เรื่องทุกอย่างง่ายเหมือนฝัน

     

                    คงเป็นเพราะโชคชะตาได้อำนวยพรให้เขา

                    และในเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว...ที่เหลือก็เพียงแค่จัดการกับตัวเอกเท่านั้น

     

     

     

                   

    ...................................................................

     

     

     

     

                    เสียงย่ำเท้าของเหล่านางกำนัลพลุกพล่านอลหม่านไปทั่วตำหนักฮาเร็มของราชอาณาจักรโจฮาราญอันยิ่งใหญ่ พริบตาเดียวหลังการประชุมใหญ่ครั้งแรกในรอบเดือนเสร็จสิ้น คำสั่งด่วนถูกประกาศให้เหล่าข้าราชบริพารทุกคนเร่งเตรียมงานราชพิธีที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี ข่าวสารถูกกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ประชาชนต่างตื่นตกใจกับราชพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จู่ๆ ก็ประกาศว่าจะจัดโดยไม่มีมูลสารมาก่อน

     

     

    ประกาศด่วนจากราชสำนักแห่งนครอิสระโจฮาราญ

     

    ราชพิธีอภิเษกในองค์ชีคมินโฮ ดิฮาน มาฮาราญ ดิฮาน จารัล บิน มูอาส กับพระชายาลำดับที่ 5 จะถูกจัดขึ้นในวันที่ xx เดือน xx ปี 20xx กำหนดเทศกาล 3 วัน 3 คืน ก่อนวันสำเร็จพิธี กฎและรายละเอียดอื่นๆ ติดต่อได้ที่ทางราชสำนัก

     

    จึงแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน

    โยฮัน มูฮัม ราดิญา

    (โฆษกหลวงในราชสำนักแห่งนครอิสระโจฮาราญ)

     

     

    พระชายาที่พวกเราไม่เคยเห็นหน้าเนี่ยนะ?”

                    “ที่บ้านฉันถูกเกณฑ์ช่างฝีมือเข้าวังกันยกใหญ่ งานด่วนงานใหญ่ที่สุดในรอบปี ไม่รู้จะเร่งรีบอะไรนักหนา

                    “พระชายาทรงครรภ์รึเปล่า?”

                    “แหม่เธอ...คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วนั่น

     

                    เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายในตลาดต่างถกเถียงเรื่องราชพิธีกันอย่างหนาหู ทุกอาคารบ้านเรือนถูกปรับแต่งให้เข้ากับงานเทศกาลภายในเวลาเพียงค่อนวัน ครั้นพอตกกลางคืน แสงไฟสีทองก็สว่างสดใสราวกับตั้งใจจะเย้ยแสงจันทร์ไปทั่วทั้งนคร ร้านรวงที่ปกติจะปิดกันตั้งแต่หัวค่ำเปิดขายกันได้ถึงย่ำรุ่งโดยไม่ผิดกฎหมาย เสียงดนตรีและมหรสพขนาดย่อมดังอึกทึกไปทั่วทั้งเมือง

     

                    เช่นเดียวกันกับในรั้วราชวัง ช่างฝีมือสุดยอดจากทุกเขตถูกเรียกตัวเข้าไปรับการชี้แจงหน้าที่จากราชสำนัก สินค้านำเข้าจากต่างประเทศต่างดาหน้าเข้ามาให้ตรวจตราไม่หยุด งานนี้ตัวชีคเองลงมาดูงานเป็นระยะๆ อย่างผิดวิสัย เพียงหนึ่งวันทั่วทั้งวังก็ถูกเนรมิตให้เป็นดั่งสวนสวรรค์สีทองอันเป็นสีประจำราชวงศ์ทะเลทรายแสนยิ่งใหญ่อย่างโจฮาราญ ทุกตำหนักถูกเปลี่ยนการประดับประดาแยกสัดส่วนให้เป็นสีทองล้วนทั้งหมด สวนรอบวังถูกจัดตกแต่งใหม่ ท้ายวังมีการก่อสร้างพระตำหนักที่คาดการณ์กันว่าคงจะเป็นที่ประทับในพระชายาลำดับที่ห้า

     

     

     

     

     

     

                    ในขณะที่โลกภายนอกกำลังวุ่นวายกับราชพิธีใหญ่...ตัวว่าที่พระชายาคนดังกล่าวกลับนั่งหง่าวหลับๆ ตื่นๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งรอบตัวเลยสักนิด

     

                    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกไม่กี่วันก็จะถูกจับเข้าพิธีแต่งงานกับท่านชีคผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดินคนนั้น

     

                    “ฮืม...กี่โมงแล้วเนี่ย

                   

                    พอลืมตาตื่นขึ้นมาจากนิทราอันยาวนาน ใบหน้าแรกที่พบกลับเป็นใบหน้าของนางกำนัลวัยกลางคนอย่างมีอุส แทมินอดจะนึกคิดไปเองไม่ได้ทุกทีว่าเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดนั้นเป็นเพียงฝันอันยาวนาน ครั้นพอล้มตัวลงนอนแล้วเขาจะตื่นมาพบใบหน้าของคิบอมอีกครั้ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู ถึงอาจจะตามมาด้วยเสียงเหน็บแนมของจงฮยอนเขาก็ยอม

     

                    กี่วันที่ไม่รู้ความเป็นไปใดใดของโลกภายนอก...เขาเองก็ไม่ได้นับ

     

                    “เกือบจะบ่ายแล้วค่ะ จะรับอะไรหน่อยไหมคะ?”

     

                    หญิงสาวเอ่ยกับเขาอย่างสุภาพ น้ำสะอาดในแก้วสีเงินยวงถูกส่งมาประเคนถึงให้ถึงปาก เเทมินพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณพลางรับเเก้วมาจรดริมฝีปาก แต่ไม่ทันได้กลืนน้ำใสลงคอจนหมด เสียงฝีเท้ามากมายด้านนอกก็ดังเเว่วเข้ามาชวนให้รู้สึกสนใจ

     

                    "ข้างนอกมีอะไรน่ะ?"

                    "กำลังเตรียมจัดงานค่ะ"

                    "งานอะไร"

     

                    มีอุสยิ้มกริ่มไม่ตอบ นางสบสายตาใคร่รู้ของดอกเตอร์หนุ่มตัวเล็กอย่างเอ็นดู ก่อนจะเปรยทิ้งไว้เป็นปริศนาให้ร่างบางต้องเก็บงำความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจ

     

                    "อีกไม่นานก็ได้รู้ค่ะ เป็นงานยิ่งใหญ่ของนครเลยเทียว"

     

                    มีคำสั่งลงมาจากท่านชีคผู้ยิ่งใหญ่เเห่งนครโจฮาราญห้ามเขาออกจากห้องพักของตนที่ฮาเร็ม เพราะฉะนั้นทั้งอาหารเเละสิ่งของที่เขาต้องการเขาต้องเป็นฝ่ายร้องขอให้นางกำนัลจัดการนำมันมาให้ที่ห้องไม่ต่างอะไรกับเชลยกิตติมศักดิ์ พอไล่ถามเหล่านางกำนัลเเม้เเต่มีอุสถึงเหตุผลที่ตนต้องถูกกักตัวก็ไม่มีใครยอมตอบอะไร มีเพียงยิ้มขำเเละคำปลอบใจที่ถูกส่งมาเเก่นๆ

     

                    ใช่สิ...เขามันคนนอก ถามอะไรไปใครจะตอบ ใครเขาจะมอบความไว้ใจให้

     

                    เเล้วไอชีคบ้านั่นก็ไม่โผล่หัวมาให้เขาเห็นหน้าเลย ถึงจะเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องโดนลวนลามหรือลากไปนั่นนี่ให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจ เเต่เเทมินก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนพรรค์นั้นกำลังทำอะไร เเละทั้งๆ ที่จับเขามาทำไมไม่นึกรับผิดชอบให้ทำอะไรสักอย่างไปเลย

     

                    นักโทษก็ยังดีกว่านางในฮาเร็มงี่เง่า

     

                    สองวันผ่านไปโดยที่เขาไม่ได้เห็นหน้าชีคมินโฮเเละเป็นสองวันที่เขาโดนสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนนอกจากห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่นับได้ว่าน่าเบื่อเต็มทน โทรทัศน์ก็ดูไม่รู้เรื่อง คอมพิวเตอร์ก็ห้ามเล่น หนังสือภาษาอังกฤษนับสิบเล่มถูกเปิดอ่านจนเกลี้ยงชั้นหนังสือเล็กๆ ในห้อง (เพราะที่เหลือเป็นภาษาอารบิก) เปิดประตูออกไปก็เจอทั้งยามทั้งนางกำนัลนั่งเฝ้า

     

                    เมื่อวานตอนเช้าเขาพยายามหาช่องทางหนีออกไปจากห้อง...เเต่ก็พบว่าห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง

     

                    พอตกเย็นเขาพยายามเเกล้งปวดหัวปวดท้องเพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับยามเเละนางกำนัล...เเต่ช่างไร้ผลเมื่อเหล่านางกำนัลเข้ามาล้อมรอบเตียงของเขาไว้เเละเรียกนางกำนัลกับหมอมาเพิ่มให้อีก

     

                    "ขู่ว่าจะฆ่าตัวตายเลยดีไหม?"

     

                    เอ่ยพึมพำอย่างปลงอนิจจัง ร่างบางเดินไปเดินมาในห้องสี่เหลี่ยมเป็นเชิงออกกำลังกายไปด้วย หูทั้งสองเสียบหูฟังสีขาวไว้เเทบจะตลอด ทั้งๆ ที่ปกติไม่ใช่คนชอบฟังเพลง เเต่เหมือนงานอดิเรกนี้ถูกบังคับให้เป็นกิจกรรมโปรดเพราะออกไปไหนไม่ได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณความทันสมัยของสาวๆ นางกำนัลที่ยังไม่ตกกระเเสนิยมจนเกินไป เขาถึงได้มีโอกาสฟังเพลงที่ตนเองชอบบ้าง เพลงใหม่ๆ บ้าง เพลงพื้นเมืองบ้าง

     

                    เมื่อเช้าเขาก็เรียกพวกหล่อนมานั่งคุยเล่นถามเก็บข้อมูลของประเทศนี้

     

                    โจฮาราญเป็นเมืองเดี่ยว มีเมืองหลวงเพียงเมืองเดียวไม่มีเมืองเเยกอื่นๆ ตั้งตัวโดดเดี่ยวกลางทะเลทรายระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบียเเละประเทศจอร์เเดน สาวชาวโจฮาราญเอ่ยปากเล่าอย่างภูมิอกภูมิใจว่าบรรพบุรุษดั้งเดิมที่เป็นเบดูอินนั้นร่อนเร่ไปเรื่อยจนมาเจอโอเอซิสขนาดใหญ่ที่นี่เเละคิดตั้งลงหลักปักฐาน คนจรไม่กี่ร้อยใช้ความรู้ความสามารถเเละทรัพย์สินมากมายที่มีเก็บไว้ สร้างเมืองขนาดเล็กเเละขยายใหญ่เรื่อยมาจนปัจจุบัน บางนางก็เอ่ยถึงพรจากทะเลทราย บางนางก็บอกว่าต้นราชวงศ์โจฮาราญมีอำนาจขนาดที่พระราชาธิบดีเเห่งจอร์เเดนยังหวั่นเกรง จากประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเริ่มเลอะเทอะออกนอกประเด็นหลักไปเรื่อยๆ เเทมินจึงเปลี่ยนเรื่องเป็นหัวข้อเพลง เขาบ่นว่าอยากได้ไอพอดหรือเอ็มพีสามสักเครื่อง พวกนางหัวเราะเเล้วถามกลับว่าทำไมไม่บอก กระดาษเปล่าเเละปากกาถูกส่งมาให้จดเพลงที่อยากฟัง เเละเพียงครึ่งวัน เจ้าไอพอดซัฟเฟิลสีเงินรูปร่างคุ้นตาก็ถูกนำมามอบให้

     

                    “เอามาได้ไง?”

                    พอเอ่ยถาม พวกนางกลับหัวเราะแล้วบอกว่าไว้เดี๋ยวก็รู้เอง 

     

                    “ดูอะไรๆ ก็เป็นเรื่องที่เดี๋ยวต้องรู้ไปหมด จะมีสักเรื่องไหมนะที่จะรู้ทันทีเดี๋ยวนี้เลยน่ะ?”

     

                    จนตอนนี้กลายเป็นว่าเสียงหัวเราะคิกคักของพวกนางทำเขารู้สึกหลอนประสาทมากขึ้นไปทุกที ดอกเตอร์หนุ่มจึงเอ่ยไล่ออกไป เปลี่ยนจากการนั่งคุยสนทนาเป็นการเดินไปพลางฟังเพลงไปพลางแทน

                   

     

     

     

     

                    ก๊อก! ก๊อก!

     

                    “คราวนี้เรื่องอะไรอีก?”        

                    เอ่ยแบบแกมรำคาญ นี่ถ้าไม่ให้เบื่อตายก็จะให้ยุ่งตายไปเลยใช่ไหม?

                   

    ก๊อก! ก๊อก!

     

                    “พระชายาลำดับสองเสด็จเพคะ

     

                    ยศสูงที่ชวนให้เสียวสันหลังวูบดังแว่วเข้ามาในหู ประตูเปิดตามต่อมาในอีกครู่เผยเรือนร่างอรชรในชุดเดรสผูกคอสีครีมอ่อนตัดกันดีกับผิวสีน้ำผึ้งของหล่อนและเครื่องประดับสีทองเข้าชุดกัน ยูรียาลข้ามธรณีประตูเข้ามาพลางทอดมองไปรอบห้องราวกับกำลังสำรวจสถานที่ที่หล่อนไม่เคยเข้ามาก่อน พอสมใจก็หยุดสายตาไว้ที่ร่างเจ้าของห้องหนึ่งเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงข้าม

     

                    “ว่าไงแทมิน...ห้องนี้ใช้ได้รึเปล่า?”

                    พระชายาคนงามเอ่ยทักทายเขาก่อน รอยยิ้มมีเสน่ห์นั้นชวนให้แทมินรู้สึกเขินๆ อยู่บ้างเหมือนกัน

     

                    “ก็ก็ดีครับ ติดแค่...อยากออกไปข้างนอกบ้าง

     

                    ประโยคท้ายแสดงความต้องการชัดเจน แทมินตวัดประโยคห้วนพลางจิกค้อนไปทางเหล่านางกำนัลอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งแน่นอน...พวกหล่อนหัวเราะใส่เขาอีกแล้ว แม้จะพยายามปิดปากกันก็ตาม

     

                    “กริยาไม่งามนะ...นางกำนัลไม่ควรแสดงกับนาย

     

                    น้ำเสียงหวานทรงอำนาจขึ้นมาทันทีที่เปลี่ยนผู้รับสาร ยังผลให้เสียงหัวเราะเงียบลงไป พอความเงียบกลับคืนมาอีกครั้ง ร่างบางนั้นย่างช้าไปรอบๆ ห้อง

     

                    “ห้องนี้...เป็นห้องที่ฉันไม่เคยได้เข้ามา

                    หน้าสวยหมองลง เพียงครู่เดียวก็กลับมาเชิดเช่นเดิม

     

                    “เอ่อ...”

                    “มันถูกปิดตายหลังจากที่ชีคกาองค์ก่อนจากไป อันที่จริงก็ถูกปิดกลายๆ ตั้งแต่พระองค์ได้รับสถาปนาเป็นชีคกาแล้วล่ะนะ...”

     

                    หล่อนหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงใหญ่ สัมผัสผ้าแพรบางที่ระย้าลงมาเป็นม่านมุ้งแผ่วเบา

     

                    “ฝ่าบาทได้บอกเรื่องนี้กับเจ้ารึเปล่า?”

                    แทมินส่ายหน้า ยูรียาลจุดยิ้มที่มุมปาก

     

                    “อดีตชีคกา พระมารดาของฝ่าบาท เคยเป็นนางห้ามในฮาเร็มมาก่อน และห้องนี้เป็นห้องเก่าของท่าน พอท่านต้องย้ายไปอยู่ตำหนักกลาง ห้องนี้ถูกสั่งปิดโดยอดีตชีค จนได้มาเปิดอีกครั้ง...เพื่อรองรับเจ้า

     

                    แทมินรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของห้องนี้ขึ้นมาทันที ห้องที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เสื้อผ้าในตู้นั้นคงจะเป็นเสื้อผ้าของอดีตชีคกา ทั้งหนังสือภาษาอังกฤษในชั้นหรือจะเป็นของประดับแปลกๆ นั้นคงล้วนเป็นของนางทั้งสิ้น ความรู้สึกอบอุ่นอบอวล และสุดท้าย...ชีคบ้านั้นดูจะให้ความสำคัญกับตัวเขามากจริงๆ

     

                    “เจ้าเป็นคนน่าอิจฉา...เราอยู่ที่นี่มานาน...เป็นจ้าวของสตรีทั้งฮาเร็ม แต่ไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องห้องนี้

     

                    เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจดีว่ายูรียาลต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน ผู้หญิงที่มอบความรักให้ชายคนหนึ่งอย่างจริงใจแต่สิ่งที่ได้คืนไปกลับไม่เท่ากัน เพราะงี้เขาถึงได้เกลียดผู้ชายที่มักมาก และรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่มีคนรอบตัวมีนิสัยเช่นนั้น

     

                    นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่ต่อให้ตายเขาจะไม่ยอมตกเป็นอนุของไอชีคบ้านี้อย่างเด็ดขาด 

     

                    “เลือกทางที่ตัวเองมีความสุขที่สุดเถอะ...สักเล็กน้อยก็ยังดี ทำในสิ่งที่ท่านต้องการ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ผมจะพยายามช่วย

     

                    ชายหนุ่มสัมผัสที่ไหล่บางนั้นเป็นเชิงให้กำลังใจ เขาไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรนอกจากแนะนำให้ทำในสิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุข จงฮยอนมักจะบอกเขาอยู่เสมอว่าคนเราเกิดมาเพื่อทำในสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของตนเอง สิ่งที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด ถึงคนทั้งโลกจะคิดว่ามันเป็นทุกข์ แต่ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสุข ก็ทำต่อไป เพราะมันเป็นสิ่งที่เราได้เลือกแล้ว

     

                    “ฮืม...เราก็ทำอยู่นี่แหละ

     

                    หล่อนซ้อนมือของหล่อนกับเขาก่อนยิ้มบางเป็นเชิงขอบคุณ ยูรียาลลุกจากเตียงก่อนจะดีดนิ้วเรียกนางกำนัลของนางที่เฝ้าอยู่ด้านนอกให้เข้ามาด้านใน

     

                    “พนันว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าข้างนอกกำลังทำอะไร...เพราะชีคสั่งห้ามบอกและห้ามออกไปสินะ

                    แทมินพยักหน้าหงึกหงัก

     

                    “เอ้า!...งั้นวัดตัวเลย จะได้ไม่เสียเวลา

     

                    ไม่ทันให้แทมินได้เอ่ยถามอะไรต่อ คำสั่งของยูรียาลมีผลต่อนางกำนัลสองนางนั้น พวกหล่อนย่างสามขุมเข้ามา เเล้วร่างกายของเขาถูกลุกล้ำโดยสายวัด

     

                    “ดะ..เดี๋ยว...วัดอะไรกันครับ

                    “ตัดชุดจ่ะ เรารับผิดชอบงานพิธีฝั่งนี้ทั้งหมด มีแค่ไลลาต อัล เฮนนาที่โฮริญาจะรับผิดชอบ ยังไงก็อดทนอีกนิดแล้วกันนะ

     

                งานพิธีอะไรกัน แล้วภาษาแปลกๆ ที่หล่อนบอกเมื่อครู่ว่าพระชายาลำดับหนึ่งเป็นคนรับผิดชอบนั่นหมายความว่ายังไง ที่สำคัญคือแทมินรู้สึกได้ถึงลางร้ายแบบสุดขั้วที่แผ่ขยายเข้ามา เพราะหลังจากการวัดตัวที่ไม่รู้พวกหล่อนจะวัดไปทำไมแล้ว มีอุสเข้ามาพาเขาไปยังห้องอบตัว ห้องขัดผิว ห้องอบน้ำหอม หรือแม้กระทั่งนวดผม ยังต้องมีพิธีการดูแลเป็นขั้นเป็นตอน

     

                หรือ...จะเป็นพิธีส่งเข้าหอแบบที่นางห้ามต้องถวายตัวให้กษัตริย์?

     

                    “เวรละ...ไม่เอา...ปล่อยผมนะ ผมไม่ยอมถวายตัวให้ชีคอะไรนั่นแน่ๆ ได้โปรดเถอะ...ยูรียาล ช่วยผมหน่อย

     

                    ร่างบางดิ้นพล่านพยายามตะกายขึ้นมาจากสระน้ำหอมที่อวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้และบรรดาน้ำปรุงนานาชนิด แต่ก็ถูกนางกำนัลที่ยืนคุ้มกันเข้มแข็งรอบสระผลักให้กลับไปนั่งในสระเช่นเดิม ดอกเตอร์หนุ่มแทบอยากจะร้องไห้ พอร้องขอความช่วยเหลือจากยูรียาล นางก็ตอบแค่เพียงว่า

     

    ไม่ใช่การถวายตัวอะไรทำนองนั้นหรอก”         

                    ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ด้วยล่ะ?

     

                    “มีอุส...งั้นทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ

     

                    น้ำเสียงอ้อนๆ นั้นเหมือนจะไม่มีผลกับนางกำนัลใหญ่แต่อย่างใด เพราะรอยยิ้มเย็นๆ และประโยคที่เอ่ยตอบกลับมานั้น ดับความหวังของเขาไปแทบจะในทันที

     

                    “งั้นก็เลิกทำ...แล้วพาไปถวายตัวเลยดีไหมคะ?”

     

                    “ไม่!” ร่างบางค้านเสียงหลง

     

                    จนตกค่ำ มื้อเย็นถูกตั้งไว้แล้วในห้องเดิม ยูรียาลแยกกับเขาตรงทางแยกกลางเพราะนางต้องกลับไปยังตำหนักชั้นบนของนาง มีอุสเดินนำมาจนถึงห้อง แต่ไม่วายสั่งให้เขาถอดเสื้อผ้าอีก

     

                    “พวกคุณไม่อายบ้างรึไง...สั่งผู้ชายถอดเสื้อผ้ายิกๆ เนี่ย

                    แม้ปากจะบ่น แต่มือก็ยอมถอดให้ ยังดีหน่อยที่พวกหล่อนยอมให้ใส่ชั้นในไว้

     

                    “ท่านไม่ใช่ผู้ชายคนแรกของฮาเร็มสักหน่อยนี่คะ...สมัยชีคจีฟาก็มีผู้ชายในฮาเร็ม นางกำนัลทุกคนถูกฝึกให้คุ้นชินกับการปรนนิบัติกับทั้งชายและหญิง จริงๆ ถึงเราจะเห็นของสงวนของท่านเราก็ไม่ตกใจกันหรอกค่ะ

     

                ‘มิน่า...เข้ามาจับเขากันแบบไม่กลัวแรงเลยสักนิด

     

                    ผ้าขนหนูชุ่มน้ำแร่อุ่นๆ ถูกเช็ดไปทั่วตัว ก่อนที่พวกหล่อนจะใช้ผ้าขนหนูสะอาดอีกผืนเช็ดตามอีกทีจนเสร็จ เขาถึงได้กลับมาใส่เสื้อผ้าและลงมือทานอาหารเย็นได้สักที

     

                    “ที่ต้องใช้น้ำแร่เช็ดตัวก่อนเพราะกลิ่นน้ำหอมจะได้ไม่ฉุนมากค่ะ

                    มีอุสอธิบายให้ฟังขณะที่เขากำลังรับประทานอาหาร แทมินตอบเพียงพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ

                   

     

     

     

     

                    ก๊อก! ก๊อก!

     

                    สิ้นคำสุดท้าย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก ทั้งมีอุสเเละเเทมินต่างหันไปมองประตูอย่างนึกฉงน ยามนี้ก็เลยค่ำไปพอสมควรเเล้ว เเถมอีกสักครู่เเทมินก็กำลังจะเข้านอนเเท้ๆ

     

                    "ใครน่ะ?" เจ้าของห้องเอ่ยถาม

                    "เราเอง"

     

                    เสียงทุ้มอันคุ้นหูตอบกลับมา มีอุสจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูให้นายเหนือหัวทันทีโดยไม่ฟังคำห้ามของเเทมินเลยสักนิด

     

                    "อย่าเปิดนะมีอุส!"

                    อันตราย! มาทำอะไรที่นี่ดึกดื่น ผู้ชายคนนั้นไว้ใจไม่ได้ เเค่ได้ยินเสียงเขาก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเเล้ว

     

                    แอด...

                    ประตูถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงสง่าของเจ้าผู้ครองนครหนุ่มในชุดทรงสีดำสนิทปักลวดลายสวยงามเดินร่าเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เเทมินทำสีหน้าเหม็นหืนราวกับอาหารที่เพิ่งทานไปเมื่อครู่จะสำรอก กางรัศมีเเห่งความหวาดระเเวงชัดเจน มินโฮโบกมือไล่นางกำนัลออกไป มีอุสหันมาส่งสีหน้าลำบากใจให้เเทมินเล็กน้อย ก่อนจะโค้งตัวเเล้วกลับออกไปเเต่โดยดี

     

                    เอาล่ะ...นรกของเขากำลังจะเริ่มต้น ซาตานตัวจริงมาเเล้ว

     

                    "ดึกแล้ว กลับไปหลับไปนอนเถอะ"

     

                    มินโฮจ้องดวงหน้ารั้นที่พยายามหันหนีสายตาของเขาทั้งหน้าเเสนปุเลี่ยนอย่างเอ็นดู ขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เดินเข้ามาถึงตัวนกน้อยที่ทำได้เพียงถอยหนีจนตัวติดผนังอย่างเคย

     

                    "อยากเห็นหน้าว่าที่พระชายาก่อนที่จะไม่ได้เจอกันตั้งสามวันน่ะสิ"

                    ชีคหนุ่มโน้มตัวลงไปกระซิบเสียงทุ้ม

     

                    "ที่พูดนั่น...หมายความว่าไง?"

     

                    ใบหน้าเห่อร้อนพาลไปถึงใบหู เเทมินผลักร่างผู้ทรงศักดิ์ออกไปอย่างไม่กลัว ก่อนจะเอ่ยถามถึงประโยคที่อีกฝ่ายกระซิบบอกเมื่อครู่

                   

                    มันคงจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิดใช่ไหม?’

     

                    "มีข่าวดีกับข่าวร้ายมาบอกไง อยากให้บอกข่าวไหนก่อนดี?"

                    ร่างสูงยักคิ้วกวน เเรงผลักเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้เขาโกรธเคืองหรือเจ็บตัวเลยสักนิด

     

                    เเต่สีหน้าเเละท่าทางของเขานั้น...ยั่วโมโหเเทมินได้ชะงักทีเดียว

     

                    "คุณหมายความว่ายังไง พระชายาอะไร อย่ามาล้อเล่น"

                    คนตัวเล็กกัดฟันกรอด สรุปเเล้วคือเขาต้องโดนถวายตัวอะไรเทือกนี้จริงๆ ใช่ไหม?

     

                    "ข่าวดีคือเราจะไม่ได้เจอหน้ากันสามวัน ให้ตายเถอะ ช่างเป็นข่าวร้ายสำหรับเราจริงๆ"

     

                    จะข่าวอะไรเเทมินก็มั่นใจว่ามันต้องไม่ดีสำหรับเขาเเน่ๆ สมองที่เคยเก่งตอนนี้กำลังหัวหมุน คิดหาทางออกสุดชีวิต ถ้าต้องถวายตัวอะไรนั่นจริงๆ เขาจะหนี เเต่จะหนีออกไปได้ยังไง
                   
                    "ส่วนข่าวร้าย...พิธีอภิเษกจะมีขึ้นในอีกสามวัน เจ้าจะกลายเป็นผู้ชายคนเเรกที่ได้ดำรงตำเเหน่งพระชายาเเห่งนครโจฮาราญ เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเรา"

     

                    สีหน้าของมินโฮไม่มีล้อเล่นเลยสักนิด เเก้วสีนิลนั้นจ้องลึกราวกับจะใช้สายตานี้ผูกมัดตัวเขาไว้ ประหนึ่งอ่านขาดว่าเเทมินกำลังคิดจะหนีไป เขาคงต้องใช้ไม้เเข็งก่อน

     

     

     

     

                    "รู้ใช่ไหมว่าทะเลทรายน่ะ 'อันตราย' ทางที่ดี อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง เปิดรับเรา เราสาบานว่าจะทำให้เจ้ามีความสุข...นะเเทมิน"

     

                    ชีคหนุ่มเเห่งโจฮาราญจบประโยคด้วยน้ำเสียงทุ้มหวาน เเม้จะขึ้นต้นด้วยการขู่ เเต่มินโฮกลับตบท้ายด้วยสัตย์สาบานที่อ่อนโยน หัวใจของดอกเตอร์ตัวเล็กกระตุกสั่น เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไร ใจหนึ่งเหมือนถูกรั้งไว้ด้วยถ้อยคำอ่อนหวานนั้น เเต่จิตเเท้ๆ ของเขารู้ดีว่าทุกอย่างที่คนๆ นี้ทำมันผิดมาตั้งเเต่ต้น

     

                    มันไม่ใช่ความรัก...ไม่ใช่พรหมลิขิต

                    ของพรรค์นั้นเเทมินไม่มีวันเชื่อ

     

                    "ผมไม่เชื่อพรหมลิขิต...ความรักเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา มันไม่ได้เกิดง่ายอย่างที่คุณคิด"

                    "เเล้วใครกำหนดล่ะ? ตอบคำถามเราได้ไหมว่าทำไมเราถึงเจอเจ้า ทำไมเราถึงฝัน...ขนาดเรายังตอบคำถามให้กับความรู้สึกของตนเองไม่ได้เลย เเล้วเจ้าจะตอบให้เรารู้ได้ไหมล่ะ?"

     

                    ร่างบางสะอึกไป เเววตากึ่งสับสนกึ่งตัดพ้อที่สบกับสายตาของเขาทำให้เเทมินรู้สึกสะเทือนใจ ใช่...เขาเองก็ตอบคำถามเหล่านั้นไม่ได้ ย้อนกลับไปเขาก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเเท้จริงตัวเองก็มีความรู้สึกบางอย่างกับอีกฝ่ายไม่น้อยเช่นกัน เเต่ถึงกระนั้น ทุกอย่างก็เป็นเพราะเขาถูกหลอกไม่ใช่รึไง?

     

                    สับสน...เขาต้องทำอย่างไร?

                   

                    "คำตอบนั้น...ถ้าเจ้าตอบเราได้ เราจะปล่อยเจ้าไป...เเต่ตอนนี้เราจะผูกเจ้าไว้ ให้เจ้าเรียนรู้คำตอบนั้นด้วยตนเอง จนกว่าจะถึงเวลา...ที่เจ้ารู้"

     

                    มินโฮทิ้งประโยคสรุปไว้ เเล้วผละออกไปจากห้อง ทั้งที่เสียงประตูที่ปิดสนิทยังกังวานอยู่ในหู เเทมินทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่อย่างหมดเเรง ผมสีชาที่ยาวขึ้นถูกเกยโดยเเขนบางตามนิสัย เเทมินจ้องมองภาพศิลปะบนเพดานห้องอย่างเหม่อลอย

     

     

                    คำตอบของคำถามนั้น...ไม่รู้ทำไมเขาถึงกลัวที่จะรู้มัน

     

     

     

     

                    ...........................................................................................

     

     

     

     

                    เช้าวันเเรกของเทศกาลอภิเษกอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้น คราวนี้เเทมินไม่ต้องสงสัยถึงเสียงอึกทึกจากนอกตำหนัก ความเปลี่ยนเเปลงของสถานที่โดยรอบ รวมไปถึงท่าทีวุ่นวายต่างๆ ของนางกำนัลทั้งหลาย ร่างบางถูกปลุกโดยมีอุสตั้งเเต่เช้าตรู่ของวันเพื่อไปอบรมเรื่องพิธีการกับยูรียาล ด้วยความที่ต้องอยู่ด้วยกันเเทบทั้งวันทำให้เขาได้ทำความรู้จักกับพระชายาลำดับสองได้มาก ยูรียาลเป็นหญิงสาวที่เรียกได้ว่ามีครบครันในเรื่องของความเป็นผู้หญิง ทักษะเเม่บ้านที่เต็มเปี่ยม รวมไปถึงการดูเเลเเละใช้อำนาจควบคุมคน สมกับที่หล่อนได้เป็นประมุขของสตรีทั้งฮาเร็ม เเม้ภายนอกจะดูเป็นหญิงจัดจ้าน เเต่เเท้จริงเเล้วเป็นคนสุภาพเเละขี้เล่นกว่าที่คิด

     

                    บ่อยครั้งที่นางมักบ่นน้อยใจ...เเทมินคิดว่าเป็นเรื่องปกติของสตรีที่พึงคำนึงถึงบุรุษผู้เป็นที่รัก

     

                    "อันที่จริงชีคน่ะจะให้จัดเสื้อผ้าเเบบบุรุษให้เจ้า เเต่สภาค้านหัวชนฝา เขาบังคับให้เจ้าเข้าพิธีโดยเป็นฝ่ายหญิง ทั้งเสื้อผ้าทั้งมารยาทตามประเพณีทุกอย่างต้องเป็นฝ่ายหญิง เพราะเขากลัวว่าประชาชนจะเสื่อมศรัทธาในราชวงศ์ เเต่ดูเผินๆ เจ้าก็หน้าตาสะสวย หุ่นนี่บอบบางกว่าผู้หญิงในฮาเร็มบางคนเสียอีก เสียเเต่ไม่มีหน้าอก คงจะพอเนียนไปได้เเหละนะ"

     

                    ยูรียาลเทียบเครื่องประดับชั้นดีกับผิวของเขา เปลี่ยนสลับกันไปเรื่อยๆ เเทมินเบือนหน้าไปมองกล่องเครื่องประดับนับสิบข้างตัวพลางกลืนน้ำลายเฮือก ความร่ำรวยของนครทะเลทรายเเห่งนี้มันไม่ใช่เล่นๆ เลย

     

                    "พระชายายูรียาลเพคะ"

                    มีอุสคลานเข้ามาอย่างสุภาพ ก่อนจะยกกล่องกำมะหยี่สีดำขึ้นมาวางบนโต๊ะ

     

                    "ชีคฝากให้นำมาถวาย...เป็นเครื่องประดับที่จะไว้ใช้ในราชพิธีเพคะ"

     

                    ยูรียาลรับมันมาเปิด เเทมินเเอบเห็นเเววตาประหลาดใจ ตามมาด้วยประกายความเศร้าลึกๆ หล่อนหันกล่องนั้นมาให้เขาเห็น ภายในประกอบด้วยสร้อยเพชรที่ทำมาจากทองคำขาว อัญมณีเด่นคือเพชรสีชมพูเข้มที่ล้อมกรอบด้วยเพชรไร้สีเม็ดเล็กๆ ดูเรียบร้อยเเต่มูลค่าคงจะไม่ใช่น้อยๆ เลย ตัวสร้อยมีต่างหู ข้อมือเเละเข็มกลัดเข้าชุดกันพ่วงมาด้วย

     

                'นี่เป็นของที่เขาจะต้องใส่งั้นเหรอ?'

                    เเทมินนึกถามตัวเองในใจ ตอนที่เเต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ ค่าตัวเขาคงเเพงมหาศาล

     

                    "เป็นเครื่องประดับที่อดีตชีคกาเคยใส่ในวันครบรอบพิธีสถานปนาตำเเหน่งของพระองค์...ฉันจำได้"

     

                    คนที่มีแววจะได้ใส่ยิ่งกลืนน้ำลายเฮือกอย่างไม่อาจจะระบุอารมณ์ของตนเองในตอนนี้ได้ ไม่นานนางกำนัลจากตำหนักของยูรียาลก็เดินเข้ามาพร้อมกล่องกระดาษลายสวยที่แทมินคิดไว้ในใจว่าคงเป็นหนึ่งในเครื่ององค์ทรงแพงที่เขาต้องได้ใส่อีกเป็นแน่ นึกๆ ไปแล้วก็แอบผวาในนิสัยรักสวยรักงามของบรรดาสาวๆ อยู่ครามครัน ที่ห้างสรรพสินค้าไม่มีทางเจ๊งก็เพราะพวกหล่อนนี่แหละ เดินกันได้ทุกวัน เสียเงินกันได้ทุกเดือน ถ้านับระยะการเดินไปเดินมาในห้างของพวกหล่อนๆ วันๆ หนึ่งคงเกินกิโลเป็นแน่

     

                    แต่ยูรียาลคงไม่สนุกเท่าไหร่ที่ต้องมานั่งมองของเหล่านี้ เพราะมันเป็นของที่หล่อนไม่มีโอกาสได้ใส่ แทมินเห็นรอยความเศร้าในดวงตานั้น เขารู้สึกผิด ไม่ใช่กับแค่ยูรียาล แต่เป็นกับบรรดาพระชายาทุกคนที่เรื่องของเขาอาจทำให้พวกเธอเสียใจ

     

                    “ขอโทษนะ

    จู่ๆ ดอกเตอร์หนุ่มก็โพลงออกไป ยูรียาลถึงกับเลิกคิ้วงง

     

                    “ขอโทษทำไม?”

     

                    “ที่ทำให้ต้องมาลำบากเรื่องของผม ทั้งๆ ที่คุณคงไม่อยาก

                    ยูรียาลนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กๆ

     

                    “ไม่ต้องขอโทษเราหรอก...ไม่มีใครกำหนดโชคชะตาได้ จากนี้ไปต่างหาก...จากนี้ไป...ที่เจ้าต้องระวัง

     

                    ประโยคตอนท้ายแผ่วเบาเสียจนแทมินแทบไม่ได้ยิน สายตาที่จ้องมาเหมือนพยายามเอ่ยเตือนถึงภัยอันตรายบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น

     

                    “ช่างเถอะ...ลองชุดดีกว่า ช่างฝีมือรีบตัดกันทั้งวันทั้งคืน นี่คงเป็นของขวัญเพียงอย่างเดียวที่เราจะมอบให้เจ้า

     

                    ยูรียาลเปิดกล่องออก ภายในมีชุดเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยอยู่ในถุงพลาสติก หล่อนหยิบมันขึ้นมาแกะออกชม ชุดพิธีสีเขียวสดเป็นคลุมยาวที่ปิดตั้งแต่ต้นคอจรดปลายเท้า ตบแต่งด้วยลูกไม้สีขาวสลับกันกับการเย็บปักด้วยดิ้นทอง มีอุสอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ว่าส่วนใหญ่ชุดประกอบพิธีอภิเษกของเจ้าสาวมักจะใช้สีเขียว แต่ที่น่าตกใจสำหรับแทมินคือเขายังต้องเปลี่ยนชุดอีกสองชุด อันได้แก่ชุดเฉลิมฉลองและชุดหลวงที่ใส่ออกไปพบปะกับสภาสามัญชนและพสกนิกรในรัฐ พอนางกำนัลคนเดิมจะเอ่ยอธิบายสรรเสริญถึงประวัติความเป็นมาของราชพิธี แทมินก็รีบยกมือห้าม เขาไม่อยากจะรู้เรื่องใดทั้งสิ้นในตอนนี้

     

                    “ต้องมาแต่งงานยังไม่พอ ต้องใส่ชุดผู้หญิงอีก ทั้งเปลี่ยนชุด ทั้งเข้าพิธี อบตัว อะไรสารพัด นี่กะทำให้ผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมกลายร่างเป็นกะเทยไปเลยรึไงกัน?”

     

                    ดอกเตอร์หนุ่มกดความเจ็บแค้นไว้ในใจ แทมินสัญญากับตนเองไว้เลยว่าถ้าหลุดไปจากที่นี่ได้ เขาจะต้องเขียนหนังสือแฉความโหดร้ายของชีคแห่งอาณาจักรนี้ก่อนเป็นอย่างแรก ตามด้วยฟ้องร้องให้เป็นคดีระหว่างประเทศ จะต้องเอาคืนให้จังแหนบเลยคอยดูสิ

     

                    “เอ้า...พึมพำอะไรอยู่ ไปลองชุดสิ...ต้องให้นางกำนัลช่วยไหม?”

                    ยูรียาลเร่งพลางเอ่ยถามถึงความช่วยเหลือ แทมินรีบส่ายหัวพรืดทันที

     

                    “ผมใส่ได้ ไม่เป็นไร

     

    มือเล็กรีบฉวยชุดในมือนางกำนัลมาก่อนก้าวเร็วเข้าไปยังห้องแต่งตัว ปิดประตูไม่พอยังลงล็อคเสียงดังราวกับจะขู่ไม่ให้ใครเข้ามาช่วยเขาเป็นอันขาด เหล่านางกำนัลเลยอดจะอมยิ้มให้กับท่าทางของว่าที่พระชายาคนใหม่ไม่ได้

     

     

     

     

     

     

     

     

    "ว่าไง...เเต่งงานครั้งที่ห้า? คงไม่ตื่นเต้นเเล้วกระมังฝ่าบาท"

     

    ณ ห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสชั้นบนสุดของตำหนักกลาง เเม้อีกสองวันจะเป็นวันพิธีอภิเษกอันเลื่องชื่อ หากเเต่พระเอกของงานอย่างชีคมินโฮยังคงพลิกเปิดกองเอกสารนับสิบที่กองอยู่ตรงหน้าอย่างวุ่นวาย โดยปกติเเล้วห้องทำงานของชีคไม่ใช่ห้องที่ใครจะมีสิทธิ์เข้ามาได้ต่อให้เป็นพระชายาก็ตาม เพียงเเต่ชายคนนี้เป็นบุคลากรพิเศษที่ได้รับบัตรผ่านเเบบที่องครักษ์ต้องทำความเคารพทุกครั้งที่เจอหน้า

     

    "ไม่ไปเฝ้าร้านอินเตอร์เน็ตรึไง...จินกิ?"

     

    ร่างสูงที่เเทบจะจมไปกับกองเอกสารเงยหน้าขึ้นมากัด 'เจ้าของร้านอินเตอร์เน็ต' เล็กน้อย ก่อนที่คนถูกเเขวะจะยกยิ้มละไม ตาเล็กหยีนั้นดูใสซื่อ เขาเป็นชายร่างสันทัด มีผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นเอกลักษณ์พอๆ กันกับผิวพรรณขาวเหลืองเเบบเอเชียตะวันออก

     

    "จริงๆ ฉันรอจะเจอหน้าเพื่อนร่วมชาติไม่ไหวนะสิ อยากเจอว่าที่พระชายานาย ฉันเจอได้นี่หน่า"

     

    ตาเล็กระริกเป็นประกายสนุกสนานอยู่เต็มที่ มินโฮส่ายหน้าพลางโยนเอกสารที่เพิ่งเซ็นเสร็จให้ลอยหวือไปยังหน้าตักของอีกฝ่าย จินกิหยิบขึ้นมาพลิกอ่านก่อนเเบะปากอย่างไม่พอใจ

     

    "งานฉัน?"

    "อือ"

    "ยังไงก็จะไม่ให้เจอก่อนวันงานใช่ไหมเนี่ย?"

    "อือ"

    "โอเคพะยะค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันจะปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ"   

                   

    กล่าวเสร็จก็ลุกขึ้นเดินปึงปังออกไป ทิ้งให้จ้าวนครจมร่างของตนกับกองงานที่ต้องจัดการอีกครั้ง ตั้งเเต่มินโฮกลับมาจากการออกเดือน เเม้จะเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องมานั่งเคลียร์งานทั้งหลายทั้งปวงที่สะสมไว้ให้เสร็จ เเต่ครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่งานทุกอย่างต้องถูกสะสางให้เรียบร้อยก่อนงานพิธีที่จะมีขึ้นในอีกสองวัน ตามกฎเเล้วเขาจะไม่ได้เจอหน้าเจ้าสาว(?)จนกว่าจะถึงงานพิธี ทว่าเขากลับรู้สึกห่วงนกน้อยของตนอย่างประหลาด เเทมินต่างจากคนอื่นๆ เขาถูกพาเข้ามาโดยไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับที่นี่สักอย่าง ทั้งภาษา วัฒนธรรม ผู้คน ราชวังเปรียบเสมือนสมรภูมิของสงครามเย็น ชีคหนุ่มไม่รู้ว่าใครจะลงมือทำอะไรเมื่อไหร่ เเละยิ่งเป็นพิธีสำคัญขนาดนี้ อะไรๆ ก็คงจะไม่เรียบร้อยผ่านไปได้ง่ายๆ เเน่ๆ

     

                    "ความเชื่อของผม...ท่านจะช่วยปกป้องมันใช่ไหมครับ...ท่านเเม่"

                    ประโยคต่างภาษาหลุดออกมาเสียงเเผ่ว

     

     

     

     

     

     

                    ..................................................................................

                   

     

     

     

     

     

                    ตึงตึงตึง!

     

                    เสียงกลองระรัวเกริ่นนำตามด้วยเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองดังกึกก้องไปทั่วจัตุรัสหน้าราชวัง เวลาสองวันเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว เเละเเล้วก็ดำเนินมาถึงวันราชพิธีอภิเษก นครโจฮาราญในวันนี้สว่างไสวไปด้วยการประดับประดาของของตกเเต่งมากมาย ทั้งร้านรวงริมถนนที่เชื่อมไปถึงบริเวณจตุรัสหน้าราชวังละลานตาไปด้วยสีทองอันเป็นสีประจำราชวงศ์ ประชาชนในชุดเฉลิมฉลองสีสันเเปลกตาคร่าคร่ำอยู่เกลื่อนถนน ตามกำหนดการเเล้วราชพิธีจะเริ่มในเวลาสิบโมงเช้า นี่ก็ใกล้เวลามามากเเล้ว ผู้คนถึงได้มายืนออรอชมพระบารมีของชีคหนุ่มในพิธีอภิเษกพร้อมทั้งพระชายาองค์ใหม่กันอย่างเนืองเเน่น

     

                    ตึงตึงตึง!

     

                    "ขณะนี้เวลาสิบนาฬิกา...เริ่มพระราชพิธีอภิเษก!"

     

                    เสียงโฆษกประจำงานประกาศก้อง จอเเอลซีดีกลางจตุรัสตัดภาพไปยังประตูใหญ่ของพระราชวังชั้นใน ซุ้มประตูเดิมที่วันนี้ถูกจัดเป็นซุ้มประตูกุหลาบขนาดใหญ่ ว่ากันว่าใช้คนในการจัดตกเเต่งดอกกุหลาบสีเเดงกำมะหยี่นับหมื่นดอกเเซมสลับกับดอกไม้พื้นเมืองเล็กๆ นี้เกือบสิบคน ถัดมาจากซุ้มประตู ทั้งสองฝากฝั่งเเบ่งเป็นข้าราชบริพารชายยืนสงบนิ่งเรียงกันเป็นเเถวหน้ากระดานทางฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาจะเป็นข้าราชบริพารหญิงในอิริยาบถใกล้เคียงกัน เสียงหวูดดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ประชาชนเริ่มเงียบเสียง สักครู่ก็มีเสียงกระดิ่งทุ้มๆ ดังตามมา ร่างของชีคหนุ่มเเห่งโจฮาราญเดินออกมาในชุดทรงสีทองเต็มยศจากทางเดินฝั่งซ้าย โคฟิยาฟสีขาวปักเลื่อมทองหรูหรารัดด้วยอิกอลสีทองเช่นกัน ใบหน้าด้านข้างของชีคมินโฮถูกขยายให้เห็นความหล่อเหลาทั่วกันเต็มหน้าจอใหญ่ เเต่ไม่ทันจะได้ชื่นชมความหล่อกันอย่างเต็มที่ เสียงกระดิ่งหวานใสก็ดังขึ้น ตามมาด้วยม่านของฝั่งขวาที่ถูกเปิดออก

     

                 ตัวเอกของงานเยื้องย่างออกมาช้าๆ ชุดพิธีสีเขียวสดปักเลื่อมลายสีทองเข้ากันกับชุดทรงของชีค เเต่ดูหรูหรากว่าอีกทั้งยังประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นสร้อยทองฝังเพชรเเละอัญมณีสีสวย กำไลทองที่ซ้อนกันมากมายจนปิดข้อมือทั้งสองข้าง ใบหน้าที่หลายคนเฝ้ารอชมโฉมถูกปิดไว้ด้วยผ้าเเพรที่ปักเป็นลายลูกไม้พื้นเมืองผืนเบาบางหากเเต่พอจะเห็นผิวขาวๆ เป็นเค้าลางอยู่บ้าง ตามเเขนเเละต้นคอมีเผยให้เห็นลวดลายสวยงามที่ได้จากพิธีคืนเฮนนา เท้าน้อยนั้นก้าวเข้ามาใกล้ว่าที่พระสวามีที่อยู่ห่างกันเพียงหนึ่งช่วงเเขน

     

                 ตาคู่สวยที่ซ่อนอยู่หลังผ้าผืนบางจ้องมองชีคหนุ่มที่ไม่ได้พบหน้ามาสองวันด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งโกรธ ทั้งกลัว ทั้งเป็นกังวล 

     

     

     

     

     

     

                 "พอได้ยินเสียงกระดิ่งที่สองให้เดินออกไป ไม่ต้องสั่น"

                 โฮริญาที่คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ในคืนสุดท้ายเอ่ยก่อนพิธีจะเริ่ม

     

                 ย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อคืนวาน คืนสุดท้ายที่เขาน่าจะหาหนทางหนีไป หนีการเเต่งงานที่ไม่เต็มใจนี้ เเต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ดอกเตอร์อีที่จบปริญญาเอกเเสนโหดหินมาได้เเต่ดันตกม้าตายในทักษะการเอาตัวรอดในชีวิตจริง

     

                 'ไลลาต อัล เฮนนา'

     

                 เเทมินเพิ่งเข้าใจถึงประโยคที่ยูรียาลเอ่ยเมื่อสองวันก่อน เพราะนอกจากวันทั้งวันที่ถูกบำรุงบำเรอผิวพรรณไปพลาง อบรมมารยาทไปพลางเเล้ว พอตกเย็นโฮริญาก็เข้ามาพร้อมพาเขาไปยังตำหนักขาวของหล่อน ตำหนักที่ดูเรียบเเต่กลับสวยสง่าเหมาะสมกันดีกับเจ้าของตำหนัก มีอุสกระซิบให้ฟังขณะนั่งรอในตำหนักว่าเดิมทีเป็นตำหนักที่ชีคองค์ก่อนทรงประทานให้เป็นของขวัญในพิธีอภิเษกของชีคมินโฮเเละพระชายาโฮริญา คิดเเล้วก็เเปลกใจเหมือนกันที่ทั้งสองไม่ได้นอนห้องเดียวกันเเบบคู่สามีภรรยาทั่วไป เเต่ความคิดที่เริ่มเตลิดไปไกลก็ต้องหยุดลงเมื่อร่างระหงส์ของเจ้าของตำหนักเดินเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าเเละกล่องประหลาดกล่องใหญ่

     

                 "เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ใกล้ถึงเวลาเริ่มพิธีเฮนนาเเล้ว"

     

                 ดอกเตอร์หนุ่มรับเอาเสื้อผ้ามาใส่ อันที่จริงจะเรียกว่าเสื้อผ้าคงจะเกินออกไปสักหน่อย เพราะผ้าผืนหนาสีขาวที่วางอยู่บนมือของเขาในตอนนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากผ้าปูโต๊ะเลยสักนิด

     

                 "อ้อ...ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ให้มีอุสเข้าไปช่วยก็ได้นะ"

     

                 เเม้ใจจะอยากปฎิเสธเพียงใดเเต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาก็เอามันมานุ่งเองไม่ได้จริงๆ มีอุสก็เลยต้องเข้ามาช่วยเขา นางกำนัลใหญ่จัดการเปลี่ยนผ้าผืนบางให้เป็นกางเกงปิดบนร่างเเทมินได้ในเวลาไม่ถึงห้านาที ร่างบางของเขาเปลือยเปล่าเฉพาะท่อนบน มีอุสเดินนำพามายังห้องหกเหลี่ยมเล็กๆ ในตำหนัก ประตูเล็กๆ ข้างหน้ามีนางกำนัลสองคนเฝ้าไว้ด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม พอก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปเขาก็พบนางกำนัลนั่งล้อมเป็นวงกลมโดยเเบ่งที่ตรงกลางไว้ราวกับเป็นทางให้เขาเข้าไป ด้านในมีโฮริญานั่งอยู่หน้าเเท่นไม้ใหญ่ๆ

     

                 "ไปนั่งบนเตคีญา"

     

                 โฮริญาชี้ให้เเทมินขึ้นไปนั่งบนเเท่นไม้นั้น ดอกเตอร์หนุ่มจึงเข้าใจได้เองทันทีว่านี่คงเป็นพิธีเฮนนาที่ว่า ร่างบางเดินเเยกจากมีอุสขึ้นไปนั่งบนเเท่นไม้สลักอย่างสงบเสงี่ยม ถึงใจจะเต็มไปด้วยคำถามเเละจิตที่ขัดเเย้ง เเต่บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์เหมือนจะหลอมรวมเขาให้เข้าถึงประเพณีของที่นี่

     

                 "จุดกำยาน"

     

                 พอร่างบางนั่งลงเรียบร้อย โฮริญาก็เริ่มสั่งนางกำนัลที่นั่งอยู่โดยรอบให้จุดกำยานเครื่องหอม เทียนหกเล่มจากหกมุมห้องเป็นจุดวางกำยานที่ไม่นานก็ส่งกลิ่นอวลไปทั่วห้อง ทั้งๆ ที่น่าจะสำลักหรือฉุนเเทมินกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด ดวงตาของดอกเตอร์หนุ่มปรือปรอยเเต่ก็ไม่ได้รู้สึกง่วงงุน เขาเเค่เคลิ้มไปกับกลิ่นที่รู้สึกได้

     

                 โฮริญายังนั่งนิ่งสงบ หล่อนจ้องใบหน้าของเเทมินเเน่วเเน่ เบื้องหลังพระชายาลำดับหนึ่งก็มีนางกำนัลที่หยิบผงอะไรบางอย่างออกมาเทใส่ถ้วยทองเหลืองเเล้วเริ่มเคี่ยว พอเคี่ยวเสร็จก็รินเนื้อครีมข้นเหนียวนั้นใส่ในกระบอกกรวยเเหลมทรงรีเล็ก เช็ดกระบอกอีกครั้งเเล้วส่งมันให้โฮริญา ขณะเดียวกันนางกำนัลอีกคนก็เเทรกเข้ามาวางเเผ่นกระดาษบางๆ ตรงหน้าหล่อน บนเเผ่นนั้นมีลวดลายสวยงามวาดไว้อยู่เต็มเเผ่น

     

                 'ราวกับรอยสัก'

     

                 "เดี๋ยว! ต้องสักด้วยเหรอ?"

                 เเทมินตื่นจากกลิ่นกำยานทันที  

     

                 "เเค่เพ้นท์น่ะ สักอาทิตย์ก็หาย เป็นพิธีที่สำคัญ"

                 โฮริญาชี้เเจงก่อนรับเอากระบอกใส่ครีมมาถือไว้ด้วยท่าทางที่พร้อมจะเริ่มปฏิบัติกิจ

     

                 "ไม่เอา..."

     

                 "ไม่เจ็บหรอก ยื่นเเขนซ้ายมา"

     

                 คำสั่งนั้นช่างเฉียบขาด เพราะขนาดเเทมินเองยังอดกลัวเล็กๆ ไม่ได้ โฮริญาบรรจงบีบปลายกระบอกราวกับกำลังเเต่งหน้าเค้ก เขียนทอสายเส้นบนเเขนทั้งสองข้างของเขา ลามไปถึงลำคอเเละเเผ่นหลัง เเทมินไม่ปฏิเสธเลยว่าลวดลายเหล่านั้นสวยงาม เสมือนเป็นงานศิลปะบนร่างกายเเม้เขาจะเกลียดการสักเเละการเพ้นท์เข้าไส้ก็ตาม

     

                 ไม่ใช่เเค่การสักหรือเพ้นท์หรอก ทั้งเจาะหู ตา จมูก ลิ้น เเต่งเติมเสริมอะไรเข้าไปเขาก็เกลียด

     

                 ไม่กี่ชั่วโมงครีมเหนียวๆ ที่กระจายเป็นลายอยู่เต็มตัวเขาก็เริ่มเเข็งตัว โฮริญาบอกให้นั่งรอสักพักจนมันเเห้งทั้งหมดจะเช็ดตัวเอาคราบเเข็งๆ นั้นออกเหลือไว้เเต่ลาย

     

                 "คงลำบากไม่น้อยสินะ...หลายวันมานี้"

     

                 ชั่วขณะที่กำลังรอคอยขั้นตอนสุดท้ายของพิธี หล่อนจุดประโยคสนทนาขึ้นด้วยน้ำเสียงอาธร เเทมินทอดมองคู่สนทนาเศร้าๆ เขาคิดว่าหล่อนคงจะเสียใจอยู่ลึกๆ กับพฤติกรรมของคนรักที่มักมากของหล่อน

     

                 "ขอโทษด้วยนะครับ"

                 เเทมินเอ่ยมันออกมาจากความรู้สึกทั้งหมดในใจ เเต่โฮริญากลับขัดขึ้นมา

     

                 "ตอบไม่ตรงคำถาม"

     

                 "ครับ...ลำบากจริงๆ ไม่เคยคิดฝันว่าต้องเข้าพิธีเเต่งงานทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ ถูกหลอก ถูกลวนลามทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย สุดท้ายคือต้องทรมานกับการเเบกรับความรู้สึกหลายๆ อย่าง"

     

                 หยดน้ำตาคลอหน่วยอย่างไม่อาจห้าม ในใจอยากจะตะโกนทุกประโยคนั้นออกไปด้วยซ้ำ เขาอึดอัด อึดอัดกับการที่ต้องเป็น 'คนอื่น' ในดินเเดนเเห่งนี้ ทรมานกับ 'ห่วง' ที่อยู่ทางโน้น สับสนกับเสียงหัวใจที่เต้นเเรงอยู่ลึกๆ ยามที่ต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์คนนั้น รู้สึกผิดต่อคนมากมายที่เขาเพิ่งได้พบเเละเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องเสียใจ เคียดเเค้น เจ็บปวด

     

                 "เจ้ายังเป็นเเค่คนเล็กๆ คนเล็กๆ ที่เพิ่งได้เดินออกจากกำเเพงมาเผชิญโลกกว้าง อย่าได้เเบกรับอะไรมากจนเกินไปเลย จงมั่นใจว่าในโชคชะตาที่เจ้าคิดว่าร้ายนั้นยังซ่อนความโชคดีไว้ จงมั่นใจว่าเเม้อีกฝ่ายจะเป็นใครอย่าได้กลัวที่จะรัก จงมั่นใจว่าคนที่เจ้าปรารถนาดีด้วยจะไม่มีวันเกลียดเจ้า"

     

                 น้ำเสียงของโฮริญาอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะปลอบประโลม มือขาวของเจ้าหล่อนเอื้อมมาสัมผัสใบหน้านวลของดอกเตอร์หนุ่ม นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาออกให้ ริมฝีปากสวยนั้นส่งยิ้มบางเป็นกำลังใจ เเทมินปิดเปลือกตาลงเนิ่นนาน จวบจนเหล่านางกำนัลเริ่มเข้ามาเช็ดตัวเขาจนเสร็จสิ้น โฮริญาเรียกเบาๆ พลางฉุดร่างให้ลุกขึ้น มีอุสเดินมาสวมเสื้อคลุมให้ ทั้งสองไปส่งเขาเข้านอนถึงห้อง

     

                 คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้นอนอยู่ในห้องนี้ เป็นนิทราสุดท้ายก่อนจะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู้อีกตำแหน่งหนึ่ง เเทมินจะขอเดิมพันกับโอกาสเพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรในอนาคตข้างหน้าเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ ต้องรอดกลับไปหาทุกคนที่เขารักให้ได้

     

     

     

     

     

     

     

                 สองสายตาสบกันเนิ่นนานราวกับเวลาทั้งมวลถูกหยุด มินโฮที่ตื่นตะลึงกับความงามของพระชายาได้สติก่อน ชีคหนุ่มจึงเอ่ยล้อเลียนอีกฝ่ายเสียงเบา

     

                 "เกร็งรึไง?"

     

                 "ไม่ใช่สักหน่อย"

                 ปากหนักซ้ำยังไม่ยอมรับความจริงอีก แต่ก็ดูสมกับเป็นนกน้อยของเขาดี

     

                 "ต่อไปจะเป็นพิธีสาบานตนที่จตุรัสโจนส์ เชิญองค์ชีคเเละพระชายาลำดับที่ห้าพะยะค่ะ"

     

                 ชายสูงวัยคนหนึ่งเเยกตัวจากเเถวหน้าซุ้มประตูออกมากล่าวลำดับขั้นตอนต่อไป เสียงของเขาดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณเพราะไมค์ลอยเล็กๆ ที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อ นี่ก็เป็นเรื่องชวนเเปลกใจเล็กๆ สำหรับเเทมินเหมือนกัน ที่จตุรัสโจนส์นั้นเป็นเหมือนจุดนัดพบของทุกชนชั้นในโจฮาราญ นครที่ดูอ้างว้างกลางทะเลทรายไม่น่าจะมีความเจริญอะไรมากกลับเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยี วัฒนธรรมที่เเตกต่างจากนครรัฐอิสลามอื่นๆ สถาปัตกรรมเเม้ไม่ได้โดดเด่นเเต่ก็ไม่ได้ดูเเย่ ผู้คนก็ดูมีความรู้ มีการศึกษาที่ดีกันเป็นส่วนใหญ่

     

                 "จับมือเรา"

     

                 มือใหญ่วางรอมือเล็ก เเม้จะไม่เต็มใจเเต่เเทมินก็ยอมส่งมือให้อีกฝ่ายจับโดยดี ร่างบางถูกกระตุกให้เคลื่อนเข้ามาชิดร่างสูง เเขนเเกร่งอีกข้างโอบเอวคอดอย่างเเคล่วคล่อง

     

                 "อย่า..."

                 "คนมอง"

                 "ฮึ่ย!"

     

                 เเทมินได้เเต่ข่มความหงุดหงิดไว้ในใจ

                

                 พรมสีเเดงทอดตัวยาวจากซุ้มประตูเเสนงามเลยไปจนถึงจตุรัสกว้างที่โอบล้อมไปด้วยประชาชนชาวเมือง พื้นที่บริเวณจัตุรัสถูกกั้นไว้ด้วยเสาสีมุมโดยมีเชือกสีเเดงล้อมด้านทั้งสี่อีกที ตรงกลางมีชายชราในชุดพิธีการสีขาวถือหนังสือเล่มหนายืนรออยู่ ครั้นพอตัวเองทั้งสองเดินเข้าไปในเขตกั้น เสียงเพลงที่บรรเลงก็หยุดนิ่ง ท่ามกลางผู้คนนับพันเเต่กลับได้ยินกระทั่งเสียงหายใจ ชายชราเริ่มพึมพำภาษาที่ดอกเตอร์หนุ่มไม่อาจเข้าใจก่อนมินโฮจะตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจรัง เสียงเพลงบรรเลงขึ้นอีกครั้ง เสมือนพิธีเปลี่ยนผ่านนั้นเสร็จสมบูรณ์เเล้ว ชีคหนุ่มจึงหันหน้าเข้าหาพระชายาองค์ล่าสุดของตน 

     

                 ผ้าเเพรผืนบางถูกเปิดเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซ้อนไว้ เเก้มขาวระเรื่อสีชมพูบางๆ ทั้งคิ้วเเละตาถูกตบเเต่งให้เข้ากับชุดเสื้อผ้า เเทบไม่น่าเชื่อว่าร่างบอบบางที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเพียงชายที่ดูเเก่นๆ คนนั้น ตาวาวดั่งลูกเเก้วทอดมองเขาอย่างสงสัย ประกายบริสุทธิ์ชวนให้ร่างสูงรู้สึกอยากพรากมันมาเป็นของตนเสียเดี๋ยวนี้

     

                 มินโฮไม่อาจเข้าใจในความรู้ที่เขามีต่อคนตรงหน้าได้เลย มันไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ความหลง เเต่มันคงเป็นความรู้สึกตั้งต้นของอะไรบางอย่าง มันเกิดจากความเชื่อมั่นว่าเขาอาจจะรักคนๆ นี้ได้

     

                 "เอ่อ..."

     

                 เหมือนเเทมินทำท่าจะหลุดปากพูด หากมินโฮไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอะไร ร่างสูงโน้มใบหน้าคมสันไปใกล้ๆ ก่อนประทับรอยรักที่เเก้มนิ่มเบาๆ เขาสูดดมกลิ่นหอมกลายๆ เเล้วละออกมา เสียงโห่ร้องเเสดงความยินดีดังขึ้นถ้วนหน้า ประชาชนนับสิบหยิบกล้องส่วนตัวของตนเองขึ้นมาเก็บภาพน่าประทับใจกันใหญ่

     

                 "....."

     

                 เเน่นอนว่าพระชายาเเสนงามที่เพิ่งถูกประทับตราเเสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าประชาชีนั้น บัดนี้ยืนนิ่งเเข็งเป็นหุ่นปั้นไปเสียเเล้ว

                  

     

     

     

     

     

     

                 ถัดจากพิธีหลักที่มีขึ้นในช่วงเช้า ทุกคนก็เเยกย้ายไปรับประทานอาหาร เหล่าราชวงศ์ก็ร่วมโต๊ะกลางวันกันเงียบๆ เดือดร้อนเพียงเเทมินที่ต้องรีบทานให้เสร็จก่อนถูกเรียกตัวไปเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นชุดสีเเดงสดสำหรับพิธีในช่วงบ่าย ช่วงเวลาที่รอเข้าพิธีโชว์ตัวต่อหน้าสภาสามัญชนเเละข้าราชบริพารอื่นๆ มีอุสก็เข้ามาชวนคุยเเก้เบื่อ อนึ่งคงถูกโฮริญาใช้ให้มาดูเเลเขากลายๆ เสียมากกว่า

     

                 "เมื่อเช้าเป็นพิธีสัตย์สาบานต่อหน้าเทพเเห่งทะเลทรายผู้เป็นพระเจ้าของดินเเดนโจฮาราญเเละบรรพบุรุษของราชวงศ์เพคะ"

     

                 หลังจากจบพิธี สรรพนามเเละการใช้คำของมีอุสรวมไปถึงนางกำนัลคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป นั่นคงเป็นเพราะตำเเหน่งพระชายาที่ถูกเพิ่มมา

     

                 "ฮะ...ต้องมีการ..เอ่อ..."

                 "ชีคคงสมนาคุณให้ราษฎรได้เก็บภาพประทับใจน่ะค่ะ"

     

                 เเน่นอนว่าดอกเตอร์หนุ่มค่อนข้างกระดากที่จะเอ่ยถึงเหตุการณ์งามหน้าเมื่อเช้า เเต่ก็นั่นเเหละ ที่เขาไม่โวยวายอะไรเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นขั้นตอนหนึ่งในพิธีเลยเอาเเต่นิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเขาดันตกหลุมพรางไอชีคบ้านั้นอีกครั้งเเล้ว

     

                 "ให้ตายเหอะ..."

                 สิ้นเสียงสบถมีอุสก็ดันให้เขาเดินออกไป

     

                 ตรงหน้าคือห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้างสมกันดีกับการเป็นห้องประชุมใหญ่เเห่งสภาโจฮาราญ เหล่าบุรุษสตรีชั้นสูงที่เป็นบุคคลสำคัญของสภานั่งรออยู่เเล้วพร้อมเพรียงกันกับเหล่าพระชายาคนอื่นๆ ที่หัวโต๊ะมีชีคเเละที่นั่งว่างอีกที่หนึ่งที่น่าจะเว้นไว้ให้เขา เเทมินก้าวเข้าไปย่อทำความเคารพเรียบร้อยตามบทที่ยูรียาลอบรมไว้เเล้วนั่งลง มินโฮจึงเริ่มร่ายรายชื่อเเนะนำคนของสภาให้เเทมินรู้จัก จำได้ลางๆ ว่าโฮริญาบอกให้จำไว้ เวลาเจอต้องทักทาย เเทมินจึงส่งยิ้มเป็นมิตรสุดชีวิตให้ทุกคน เเม้เเต่ละคนจะมีสีหน้าเเตกต่างกันไปในการตอบรับเขาก็ตาม

     

                 หลังจากที่ต้องเเนะนำตัวกับฝ่ายสภาเเล้วรายการต่อไปคือการเดินไปรอบระเบียงทั้งสองฝั่งของราชวัง ระเบียงที่สองฝั่งของตำหนักกลางมีเฉลียงทอดยาวติดกันทั้งยังเห็นวิวได้ทั่วเมือง ฉะนั้นการมาเดินตามระเบียงก็เป็นการปรากฏกายให้ประชาชนได้ชื่นชมบารมีได้อีกทางหนึ่ง

     

                 เเทมินรู้สึกโชคดีที่เขาไม่ต้องใส่ส้นสูงเหมือนพวกผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะการยืนบนส้นรองเท้าโงนเงนนั้นคงเป็นอะไรที่น่าทรมานสิ้นดี

     

                 "เข้ามาค่ะ...ประเดี๋ยวจะต้องเปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับงานเลี้ยงเย็น"

     

                 เเรกๆ เขาขัดเขินที่จะต้องให้ใครมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่หรอก เเต่ตอนนี้เขาเหนื่อยมากเเล้ว ซ้ำเสื้อผ้าพวกนี้ยังมีมากชิ้น ใส่ยากเเละเเพงระยับ ขืนใส่มั่วซั่วเเล้วทำขาดขึ้นมาคงซวยเเน่

     

                 เสื้อผ้าในชุดสามนี้ใส่สบายกว่าสองชุดเเรกหน่อย ดิชดัชชาห์สีขาวซับด้วยลายลูกไม้หลายชั้น ถ้าไม่ปลงไว้ก่อนเขาคงอ้วกเเตกหากรู้ว่าตนเองจะต้องใส่ นอกจากนี้ยังทับด้วยมิชลาห์สีขาวเข้าชุดกันเเต่ปักเลื่อมทองบริเวณชายเสื้อทั้งเเขน ส่วนล่างเเละส่วนคอที่ปาดกว้าง ผมที่ยาวประบ่าถูกจัดทรงใหม่กับผ้าลูกไม้ชิ้นเล็กๆ กับปิ่นปักผมสวยๆ อีกสองสามชิ้น พวกนางกำนัลเตรียมการกันเร็วมาก เพียงชั่วโมงเศษชุดพิธีที่สามของเขาก็ถูกเเต่งเรียบร้อย เสียงดนตรีอึกทึกจากข้างนอกดังเข้ามาราวกับจะเร่งให้ออกไปทุกทีๆ ไม่ช้าเเทมินก็ถูกเรียกตัวออกไปอีกครั้ง

     

                 "มานี่สิ"

     

                 อดตกใจเล็กๆ ไม่ได้ที่ฝ่ายมินโฮมายืนรออยู่หน้าห้องเเต่งตัว ชีคหนุ่มใส่ชุดพิธีการเเบบเดียวตั้งเเต่เช้าจรดเย็น ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังดูสดใสอิ่มเอมไม่เหนื่อยล้าเลยสักนิด มือใหญ่ฉวยมือเล็กไปตามใจอย่างเคย คราวนี้ลึกเข้าไปในตำหนักกลาง เเทมินถูกพามายังห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดของวัง โถงสีทองที่ถูกเนรมิตให้เป็นลานกว้าง รอบๆ มีโต๊ะเล็กๆ กับเบาะนั่งรายล้อมเขตวงกลมที่เว้นไว้ราวกับเป็นเวที ม่านระย้าสีทอง โคมไฟคริสตัลทรงยุโรป ห้องใหญ่นี้มีการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันออกกลางกับยุโรปอย่างลงตัว

     

                 สวยมาก...สวยเกินกว่าที่เขาจินตนาการเรื่องห้องโถงของพระราชาในหนังภารตะไว้เยอะเลย

     

                 "เต็มที่เลย...ไม่ต้องเกรงใจเรา ไม่มีพิธีรีตองอีกเเล้วล่ะ!"

     

                 มินโฮตะโกนบอกข้าราชบริพารทั้งหลายให้นั่งตามโต๊ะรอบๆ ได้ตามสบาย เเทมินรู้ได้ถึงบรรยายกาศที่คล้ายคลึงกับตอนที่เขายังอยู่ในกองคาราวาน วันนั้นที่เพิ่งฟื้นมาเดินเหินได้ สัมผัสใหม่ที่รู้สึก ความอบอุ่นเเละสนุกสนาน การเต้นรำพื้นเมืองครั้งเเรกกับมินโฮ

     

                 นึกไปนึกมามุมปากก็กระตุกยิ้มสวยเเบบที่ใครเห็นเป็นต้องทอดมอง

     

                 "ชอบรึเปล่า?"

                 มินโฮโน้มตัวลงมากระซิบถาม ร่างบางจึงตื่นจากภวังค์ กลับมาตีหน้าตึงไม่ตอบรับเช่นเดิม

     

                 "งั้นเข้าใจว่าชอบนะ"

     

                 ชีคหนุ่มดึงเเขนพระชายาตัวเล็กมานั่งที่โต๊ะของบ่าวสาว เสียงดีดนิ้วของทหารฝ่ายดนตรีคนหนึ่งดังขึ้น ไฟที่เคยสว่างถูกหรี่ลง มีลำเเสงปาดเข้ามาบริเวณวงกลมตรงกลาง เสียงดนตรีค่อยๆ ดังขึ้นในจังหวะใหม่ พร้อมกันกับร่างของสตรีเเปดนางที่เดินเข้ามากลางวง

     

                 เสื้อผ้าน้อยชิ้นยังดูเรียบร้อยกว่าในหนังภารตะที่เเทมินคิด เมื่อพวกนางเริ่มร่ายรำอย่างพริ้วไหว ผมดกดำสยายยาวราวเส้นไหมที่กำลังเริงระบำ เสียงกระดิ่งข้อเท้ากระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งเข้ากับเสียงดนตรีอย่างน่าเเปลก ร่างบางละสายตาไม่ได้เลย

     

                 "อะยะลา การเต้นรำสยายผม...เป็นธรรมเนียมที่รับมาจากอิสลาม"

     

                 คนรู้ดีกระซิบบอกเป็นเกร็ดเล็กๆ เเทมินยังคงเพลิดเพลินกับการเเสดงตรงหน้า ไม่นานบรรดาอาหารคาวหวานก็ถูกจัดวางบนโต๊ะ บรรยายกาศก็เหมือนงานเลี้ยงเเต่งงานทั่วไป มีข้าราชบริพารเข้ามาเเสดงความยินดีชนิดต่อเเถวเรียง เเทมินเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมากเพราะได้ดูการเเสดงที่ถูกใจเเละได้ทานอาหารอันเลิศรส เวลาล่วงดำเนินไปจนเกือบดึก

     

     

     

                 'เมื่อบทเพลงสุดท้ายของงานเลี้ยงจบลง...ที่เหลือคงมีเพียงเเต่พิธีเข้าหอเท่านั้น'

     

     

     

     

    — TBC —

    .....................................................................


    TALK: สวัสดีค่ะ...ฮิฮิฮิ (มาเเบบโรคจิต?) เดือนกว่าเเนะที่ไม่ได้เจอกัน เหงาป่าว? #คนอ่านปาหม้อไหมีดรองเท้าครกสากใส่
    เราจะไม่ขอโทษเเล้วเพราะมันกลายเป็นปกติที่อัพฟิคช้ามาก #คนอ่านปลง เอาเถิด...ยังไงจะไม่ให้ช้ากว่าสองเดือน สปีดเเบบเเม็กเน็ตได้เเค่เนี๊ยะอะค่ะ TvT เดี๋ยวก็มิดเทอมเเล้ว ไวจริงๆ =___=;; เพิ่งผ่านวันเกิดมินโฮมา สุขสันต์วันเกิดนะเมิงงงง!!! ตอนเเรกจะอัพวันเกิดมันเเต่ไม่ทัน เเถมเเฟนเเอคงานวันเกิดยังชวนเซงเเละโกรธมัน พิธีเเต่งงานของท่านชีคเต็มตลอตอน (ยี่สิบกว่าหน้าเชียวนะเฟร้ยยยย!) ตอนนี้บรรยายมาก สังเกตได้ว่าตัวละครไม่ค่อยพูดอะไรเลย คิดว่าอาจจะน่าเบื่อเล็กน้อย เเต่เเม่งเเต่งยากเเสดดดดด! ผ่านไปได้เเล้วก็รู้สึกดีใจ อ่า...ต่อไปตอนเจ็ดเเล้วสินะ เอามานั่งๆ รวมก็ปาไปเกินร้อยหน้าเวิร์ดเเล้ว ตอนหน้าท่านทูตกับเลขาคิมจะมีบทเเล้วนะจ้ะ ใครคิดถึงบ้าง? #ไม่มีคนยกมือเพราะเขาเลิกอ่านฟิกมึงไปละสาด ไม่เป็นไรค่ะ #เก็บเศษหน้าที่เเตกกระจาย ประเดี๋ยวจะลงเเนะนำตัวละคร เเล้วก็มีเสริมนิดหน่อยตอนท้ายเผื่อบางคนไม่เข้าใจเรื่องการเเต่งกายในบทนี้เเล้วก็เฮนนา (จริงๆ ในตัวเรื่องอธิบายค่อนข้างชัดเจนเเล้ว) รูปตอนที่เป็นมือเจ้าสาวนั้นก็เป็นลายเฮนาค่ะ สวยเนอะ อยากทำมั่งจัง เขาว่าติดไปเป็นอาทิตย์เลย ไม่เจ็บด้วย 


    ถ้าทำได้อยากวาดพิธีเเต่งงานด้วยจัง...เเต่โคตรขี้เกียจเลยอะ เฮออออ!
    เอาไปเเค่เกร็ดเล็กน้อยก่อนเเล้วกันนะคะ 


                 

                     
    #ใครอ่านลายมือไม่ออกถามได้นะ วาดลวกๆ เป็นเชิงเเนะนำจ้า สำหรับเเบบนั้นไม่กล้าจะบอกว่าเป็นอีชีคใช่หรือไม่ =v=;; 
    ##เดี๋ยวจะลงเเนะนำตัวละครเเยกไว้อีกตอนนะ

    ขอบคุณเเฟนฟิคทุกคนที่ยังติดตามเเม้ไรท์เตอร์สปีดปลิงจ้า
    111211
    BUTTERFLY DESTIN [B.D]

                   

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×