คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 2 แค่นายเท่านั้น
Episode 2 แค่นายเท่านั้น
“จินยองงงงงงงงงงงงงงี่”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกหันขวับไปทางระเบียงห้องทันที แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเพื่อนข้างบ้านนามมาร์คต้วน
ร่างบางเดินทอดน่องไปถึงระเบียงก็เห็นมาร์คยืนส่งยิ้มหน้าทะเล้นมาให้ หมอนั่นแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่ว่าหาความเรียบร้อยไม่ได้เลย ไม่สวมชุดสูทของโรงเรียน แถมเนคไทยังผูกแค่หลวมๆ ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงหน่อยๆ แต่เมื่อคิดดูแล้วหมอนี่คงเหมาะกับการแต่งตัวแบบนี้ก็ได้
“ทางนายเรียบร้อยรึยัง” มาร์คร้องถามอย่างอารมณ์ดี ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้ยินชัดเต็มสองหูแล้ว เพราะระเบียงห้องของทั้งสองคนมันอยู่ห่างกันเพียงนิดเดียว ชนิดที่ว่าสามารถปีนข้ามมาได้ง่ายๆ เลย
“เรียบร้อยแล้ว ทำไม?” จินยองถามกลับสั้นๆ
“ดีเลย งั้นวันนี้ไปโรงเรียนด้วยกันอีกนะ”
“นายถามอย่างกับว่าฉันมีทางเลือกอย่างงั้นแหละ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทางเลือกอื่นมีแน่นอน จะไปหรือจะไป” มาร์คยังอารมณ์ดีอยู่ได้ เขาดูสดใสอย่างนี้ตลอด จนบางทีก็น่าสงสัยว่าในห้องของเขามีบ้องกัญชาอยู่รึเปล่า (ห๊ะ)
จินยองไม่พูดอะไรหลังจากนั้น เขาแยกเขี้ยวใส่ทำหน้ายักษ์กลับไป และมาร์คก็จะถือว่านั่นคือคำตอบว่าตกลงงแล้ว
“งั้นจะไปรอที่หน้าบ้านนะ”
จินยองทำหน้าเหมือนอยากจะเตะคน ถ้าทำได้นี่อยากจะปีนไปจัดการเจ้าคนกวนประสาทเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็เลือกที่จะหมุนตัวกลับเข้าห้องไปก่อน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก... เวลาผ่านมาก็ได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว ที่ทุกเช้าจะมีนายมาร์คต้วนคนนี้เรียกปลุกเขา ตอนเช้าก็ไปโรงเรียนด้วยกัน อยู่ห้องเดียวกัน แล้วก็ต้องกลับบ้านพร้อมกัน ตกกลางคืนยังต้องเจอหมอนี่คอยเรียกและกวนประสาทอยู่อีกฝั่งของระเบียง เรียกได้ว่าเจอหน้ากันบ่อยยิ่งกว่าผัวเมียซะอีก
แต่จินยองไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นเพราะว่าเขามีความตั้งใจที่จะช่วยเรื่องการเรียนของมาร์คจริงๆ ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ สอนหนังสือให้กับมาร์คด้วยความตั้งใจจริง ในขณะที่มาร์คกลับพยายามหาช่องทางฉวยโอกาสจูบจินยองอยู่ร่ำไป ถึงภายนอกจะดูขัดใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร (หือ?)
จินยองเดินลงมาด้านล่าง คุณพ่อไปทำงานก่อนที่เขาจะตื่นอีกแล้ว คุณพ่อของเขาเป็นผู้จัดการสาขาของธนาคารแห่งหนึ่ง งานของท่านยุ่งมากเพราะตำแหน่งที่สูงขึ้น จะมีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันแค่เพียงวันอาทิตย์เท่านั้น ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้านที่น่ารักที่สุด
เช้านี้จึงทานอาหารกันเพียงลำพังสองแม่ลูก ถ้าถามว่ามีเหงาบ้างมั้ยก็มีบ้าง ถึงขนาดคิดว่าถ้ามีน้องหรือพี่สักสองคนก็คงดี
“แม่เตรียมกล่องข้าวให้แล้วนะ นี่จ้า” คุณนายปาร์คยื่นห่อผ้าบรรจุกล่องข้าวให้ลูก แต่คราวนี้มันมีสองชุด
จินยองมองคุณแม่ด้วยเครื่องหมายคำถาม “ทำไมถึงมีสองอันอ่ะแม่”
“เอาให้มาร์คด้วยไงลูก บ้านนั้นเค้างานยุ่งคงไม่มีเวลาจัดอาหารเที่ยงให้มาร์คหรอก ยังไงก็เอาให้เขาด้วยนะ ว่างๆ ก็ชวนมาเล่นบ้านบ้างล่ะ”
“ครับแม่...” จินยองรับห่อข้าวกลางวันมาไว้ในอุ้มมือ ก่อนจะโค้งให้แม่แล้วออกจากบ้าน พร้อมกับความคิดในสมองที่แล่นริ้วอย่างต่อเนื่อง
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตอีกด้านหนึ่งของมาร์คเป็นยังไงกันแน่ ภายนอกเขาดูร่าเริง เป็นมิตร ดูเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากๆ ทว่า...บางทีก็รู้สึกได้ถึงกำแพงสูงลิบที่เขามีต่อคนรอบข้าง
แล้วเมื่อพ้นออกจากรั้วบ้านจินยองก็พบมาร์คยืนพิงอยู่กับเสาไฟไม่ไกลนัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นทักทายด้วยท่าตำรวจในแบบติดตลก ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไป... มุ่งหน้าสู่โรงเรียนที่อยู่ห่างจากบ้านเพียงแค่ 500 เมตรเท่านั้น
“รับไปสิ แม่ฉันทำมาให้นายด้วย” ร่างบางยื่นห่อข้าวไปให้ ระหว่างที่เดินทอดน่องกันไป มาร์ครีบคว้าเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดีเสียยิ่งกว่าเห็นทองคำซะอีก
“ขอบใจนะ แม่นายยังใจดีกับฉันไม่เปลี่ยนเลย!”
“แล้วแม่นายล่ะ ใจดีแบบนี้มั้ย”
วินาทีที่เห็นแววแห่งความหมองเศร้าที่แฝงเร้นในม่านตาของชายตรงหน้า จินยองรู้ได้ทันทีว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไปแล้ว
“ขอโทษนะ..ถ้าฉันพูดอะไรที่ทำให้นายรู้สึกแย่”
“ไม่หรอก” มาร์คสั่นหัว ใบหน้าที่ก้มอยู่เงยขึ้นมาแล้วยิ้มได้อีกครั้ง แม้มันจะฝืนไปสักนิดหน่อยก็ตามที “จริงๆ แล้วแม่ฉันตายไปนานแล้วล่ะ”
“ห๊ะ...เอ่อ ขอโทษนะ เอ่อ...เสียใจด้วยนะ” ร่างบางพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ไอ้ความรู้สึกว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี จะปลอบยังไงดีมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ร่างสูงส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วล่ะ”
“เอ๊ะ... แต่วันก่อนนายยังบอกว่า พ่อนายอยู่กับแม่ที่บ้านพักเอกอัครราชทูตนี่นา แล้วคนนั้นเป็นใครกันล่ะ” แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่จินยองก็หลุดปากถามไปจนได้
“แม่เลี้ยงฉันเอง” ชายหนุ่มบอกด้วยท่าทีเฉื่อยชา แม้จะยังมีรอยยิ้มอยู่ แต่มันช่างบางเบาราวกับขนนกเหลือเกิน “จริงๆ นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่อยากไปพักที่นั่น ฉันไม่ค่อยจะลงรอยกับแม่เลี้ยงเท่าไหร่หรอก อยู่ใกล้กันทีไรมีแต่จะทำให้บ้านพัง”
หลังจากนั้นจินยองก็ไม่พูดไม่ถามอะไรเกี่ยวกับครอบครัวมาร์คอีกเลย ระหว่างทางที่ก้าวเดินไป มาร์คกลับมาเป็นปกติที่ดูยิ้มแย้ม ทะเล้น กะล่อนเหมือนเดิม ในขณะที่จินยองเฝ้าคิดว่ามาร์คคงมีความทรงจำไม่ดีหลายอย่างที่ไม่อยากนึกถึง แล้วเขาก็ซ่อนมันเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มนั้น
ทุกย่างก้าว ทุกอิริยาบถในโรงเรียน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนแต่มีสายตาจ้องมองอยู่ตลอดเวลา มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่มาร์คย้ายมาเรียนที่นี่และประกาศออกสื่อว่าคบกับจินยองเป็นแฟน และจินยองไม่ได้คิดไปเองเลยว่ามีรังสีแห่งความอิจฉาริษยาแผ่พุ่งมาถึงตัวเขาตลอด
ผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหล่าและมีฐานะร่ำรวยอย่างมาร์คต้วน ทำให้หลายคนในโรงเรียนคลั่งไคล้ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีก้างชิ้นใหญ่อย่างจินยองมาคอยขวาง
แล้วเสียงออดคาบสุดท้ายดังขึ้นพร้อมๆ กับคุณครูสอนคณิตศาสตร์สั่งการบ้านเสร็จพอดี มาร์คผงกหน้าขึ้นมาจากการงีบระหว่างคาบ ส่วนจินยองกำลังมองเขาด้วยสายตาขุ่นเขียว
“ฉันไม่แปลกใจเลยนะว่าทำไมนายถึงทำแบบฝึกหัดที่ให้ไปวันก่อนไม่ได้” จินยองส่ายหน้าเอือม เขาเก็บของใส่กระเป๋าเรียนเสร็จเรียบร้อย แล้วกำลังจะลุกขึ้น
“หลังเลิกเรียน นายต้องไปพบครูคิมใช่มั้ย
“ช่าย ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องอะไร แต่มันขี้เกียจชะมัดเลย” เขาตอบเซ็งๆ พลางหาวหวอดๆ ถอนหายใจถี่ๆ “นายคอยที่หน้าประตูโรงเรียนนะ ห้ามหนีกลับก่อนล่ะ”
มาร์คลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว และหายตัวไปจากตรงนั้นราวกับพายุ จินยองที่กำลังจะอ้าปากพูดทำได้เพียงเก็บลมเข้าปาก แล้วสบถตามท้ายด้วยอาการหัวเสียเบาๆ
จังหวะนั้น... ยองแจผู้เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ เดินเข้ามาหา สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“จินยอง นายคิดดีแล้วเหรอที่คบกับมาร์คต้วน ไม่รู้สิ แต่ฉันไม่ชอบขี้หน้าหมอนั่นเลย ดูเหมือนพวกเจ้าชู้จะตายไป ไม่รู้ว่าที่คบกับนายเพราะรักสนุกหรืออะไรกันแน่” ยองแจแสดงความเป็นกังวลผ่านแววตาเรียวเล็กของเขา
จินยองเข้าใจความห่วงใยของเพื่อนคนนี้ดี “จริงๆ ฉันก็คิดว่าเขาแปลกๆ นะ แต่ว่าพอได้อยู่ด้วยกันแล้วมาร์คก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ฉันเชื่อว่าเขาเป็นคนดี”
“แล้วแจบอมล่ะ นายจะไม่คิดดูอีกครั้งเหรอ”
เมื่อยองแจพูดมาถึงตอนนี้ จินยองเข้าใจได้ทันทีว่าเพื่อนรักมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เขาถอนหายใจด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่อีกคนแปะๆ
“นายมีซ้อมร้องเพลงไม่ใช่เหรอ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” เขารีบตัดบทพลางคว้าเอากระเป๋าข้างตัว โบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องเรียนไปทันที
“ตกลงว่าครูเรียกผมมามีเรื่องอะไรครับ”
มาร์คถามอีกครั้งอย่างใจร้อนเมื่อมาถึงห้องพักครูเพื่อพบครูคิมหลายนาทีแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าจะเข้าเรื่องสักที เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเป็นระยะๆ จิตใจลอยออกไปที่อื่นแล้ว
“เข้าเรื่องเลยนะ” ครูคิมตั้งต้นพูด นั่นแหละคือสิ่งที่มาร์คต้องการ “การเรียนพละเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ฉันได้เห็นความสามารถของนายในการเล่นบาสได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้านายสนใจก็มาเข้าชมรมบาสที่ฉันเป็นผู้จัดการทีมดูมั้ยล่ะ รับรองนายไปได้สวยแน่นอน”
มาร์คถอนหายใจทันทีที่ครูคิมพูดจบ แถมยังหัวเราะน้อยๆ เหมือนว่านั่นเป็นเรื่องขำขัน จริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนทาบทามเขาเข้าทีมบาส แต่ว่า...
“ไม่หรอกครับ ผมไม่สนใจ” เขาตอบปฏิเสธไปด้วยท่าทีเรียบเฉย ครูคิมประหลาดใจมากจนต้องลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง
“ทำไมถึงได้ปฏิเสธรวดเร็วปานนั้น ไม่ลองคิดดูให้ดีซะก่อนล่ะ ไม่เสียดายความสามารถของตัวเองรึไงกัน” ครูคิมพูดด้วยสำเนียงหว่านล้อมกรายๆ
มาร์คส่ายหน้ารัว “จริงๆ ผมก็ชอบเล่นบาสนะครับ มันก็สนุกดี แต่ว่าผมไม่ชอบการฝึกซ้อมที่น่าเบื่อ ไม่ชอบการ....”
“ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินที่นายพูดก็แล้วกันนะ” ครูคิมพูดแทรกก่อนที่มาร์คจะพูดจบ “เก็บเอาไปคิดให้ดีๆ แล้วค่อยมาให้คำตอบฉันวันหลัง”
มาร์คพยักหน้ารับอย่างยอมแพ้ เขาโค้งให้ครูตามมารยาทก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้น ด้วยฝีเท้าที่เร็วเร่ง ในหัวสมองมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา
บาสมันก็สนุกดีล่ะน้า แต่ว่า...ดันมาเจอเรื่องที่น่าสนุกมากกว่าบาสแล้วนี่นา เขาคิด รอยยิ้มเลศนัยปรากฏชัดบนใบหน้า พร้อมกับขาที่ก้าวฉับๆ
ตุบ!!
“โอ๊ยยยย!!”
เสียงร้องนี้มาจากร่างหนึ่งที่ชนกับมาร์คระหว่างจะเลี้ยวมุมออกจากตึก มาร์คผู้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ค่อนข้างเร็วรีบคว้าร่างนั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยเรียวแขนแกร่งที่โอบรัดเอวเล็กและดึงเขาไว้ไม่ให้หงายหลังล้มไป
แต่ลังใหญ่ที่เด็กหนุ่มคนนั้นถือมาดันหล่นกระเด็นไปจนข้าวของกระจัดกระจายออกมาจนเกือบหมด
“นายไม่เป็นไรใช่มั้ย ขอโทษนะที่ฉันเดินไม่ระวังไปชนนายเข้า” มาร์คบอกพลางดึงร่างนั้นให้กลับมายืนได้อย่างมั่นคง แต่ก็ไม่วายจ้องมองเขม็ง
เป็นเด็กหนุ่มร่างกายผอมบาง รูปหน้าน่ารัก พวงแก้มป่องๆ น่าหยิก ดวงตากลมโตดูแปลกตาไปจากนักเรียนคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ทันระวังเหมือนกัน” เด็กหนุ่มบอก พลางยิ้มแห้งๆ ท่าทางดูประหม่าไม่ค่อยกล้าสบตาชายตรงหน้าเท่าไหร่นัก
มาร์คเหลือบเห็นดาวสองดวงที่ปักอยู่บนปกเสื้อของเด็กหนุ่มคนนั้นจึงทำให้รู้ว่าอยู่ชั้นปีที่สอง เป็นรุ่นน้องเขาหนึ่งปี
“เดี๋ยวฉันช่วยนายเก็บของละกันนะ” มาร์คบอกอย่างใจดี ก่อนจะนั่งยองๆ ก้มลองเก็บของใช้และพวกหนังสือเรียนใส่กล่องลังให้
“มะ..ไม่เป็นไรครับ” ร่างบางรีบถลาเข้ามาเก็บ และรีบบอกปัดด้วยความเกรงใจ “ผมเก็บเองก็ได้ครับ ไม่อยากรบกวนรุ่นพี่”
“เหอะน่า ช่วยกันเก็บจะได้เสร็จไวๆ ไง”
“เอ่อ..ก็ได้ครับ” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนดวงหน้าสวยใส มีอยู่หลายครั้งระหว่างที่ช่วยกันเก็บ ร่างบางเฝ้าเหม่อมองมาร์คต้วนด้วยความชื่นชมผ่านแววตาที่ปิดไม่มิด
“ขอบคุณนะครับรุ่นพี่” ร่างบางเอ่ยเมื่อเก็บเสร็จหมดแล้ว และตอนนี้ลังนั้นก็กลับมาอยู่ในอุ้มแขนเขาเหมือนเดิม
“ด้วยความเต็มใจ เอาล่ะ...ฉันไปก่อนนะ”
มาร์คเดินตัวปลิวจากไปแล้ว ผิวปากกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร็วอย่างอารมณ์ดีแบบสุดๆ ถ้าเขากลับหลังหันมามองดูสักนิดก็จะเห็นว่าเบื้องหลังเขานั้นมีร่างบางคนเดิมที่จ้องมองเขาจนกระทั่งหายลับไปกับตา
ด้วยคำพูดประโยคเดียวของมาร์คต้วน เลยทำให้เจ้าร่างบางมายืนเซ็งอยู่คนเดียว ยืนมองนักเรียนคนแล้วคนเล่าผ่านหน้าไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังรอไปเรื่อยๆ
“ช้าจังเลย...” จินยองที่ยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียนเริ่มบ่นเบาๆ เมื่อใครบางคนที่รอไม่มาสักทีทั้งที่ควรจะมาได้แล้ว “หวังว่าคงไม่โดนเรียกไปว่าอะไรนะ”
“จินยอง”
“ทำอะไร!! ช้าจังเลย” จินยองหันขวับไปแทบจะทันที สีหน้าออกอาการเม้งเต็มที่ แต่ทว่าก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่คนที่รอคอย
“แจ..บอม?”
เป็นอิมแจบอมที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า เขาคือหนุ่มสุดป๊อบของโรงเรียนที่ใครๆ ต่างก็เฝ้าฝันถึง และเป็นคนเดียวกับที่ถูกจินยองปฏิเสธไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนั่นเอง และดูท่าทางในตอนนี้แล้ว แจบอมไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่
“จินยอง นายกำลังคบกับคนที่ชื่อมาร์คต้วนจริงๆ เหรอ”
คนถูกถามอึกอักไม่ยอมตอบ จะว่าไปแล้วแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่กับมาร์คมันคือการคบกันจริงๆ หรือเปล่า หรือแค่เพียงรักษาโรคกลัวจูบเท่านั้น
“ที่รังเกียจจูบของฉัน ก็เพราะมีหมอนั่นสินะ” แจบอมเอ่ย ช่างเป็นถ้อยคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตัดพ้อ ผู้ชายที่ป๊อบปูล่าที่สุดในโรงเรียนกำลังจ้องมองมาที่จินยองด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “จินยองชอบหมอนั่นจริงๆ เหรอ ชอบจริงๆ เหรอ”
“ปะ...เปล่านะ” จินยองปฏิเสธเสียงสั่น “จริงๆ แล้วฉันเป็นโรคกลัวจูบ แล้วที่คบกับมาร์คก็เพราะเขาอยากรักษาโรคนี้ให้ฉัน เท่านั้นเอง อ๊ะ!!”
พูดจบไม่ทันได้หายใจ ร่างบางก็ถูกดันไปประชิดติดกับกำแพงโรงเรียน ทำให้ในตอนนี้จินยองติดอยู่ในห้องขังของวงแขนแกร่งของแจบอมเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ หมายความว่าจะเป็นฉันก็ได้ใช่มั้ย ฉันจะช่วยรักษาโรคกลัวจูบให้จินยองเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอนั่น จะให้จูบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะหาย ดีมั้ย?” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มภายใต้ใบหน้าที่จริงจัง แล้วค่อยๆ โน้มริมฝีปากรูปกระจับเข้าไปใกล้ๆ หมายจะฝังรอยจูบบนริมฝีปากอวบอิ่ม
มะ...ไม่ ไม่นะ!!!
เสียงในใจประท้วงดังลั่น แต่ปากมันกลับไม่ขยับอย่างใจนึก แจบอมที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขากลัวจนตัวสั่น ริมฝีปากของร่างสูงกำลังใกล้เข้ามาแล้ว จินยองตกใจเสียจนหน้าซีดเผือด
ร่างบางหลับตาปี๋ ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนลูกนกตัวน้อยที่กำลังจะโดนสัตว์ใหญ่ขย้ำ แล้วในเวลานั้นก็มีใบหน้าของคนๆ หนึ่งปรากฏชัดขึ้นมา ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องการคนๆ นี้ ทำไมหัวใจถึงเพรียกหาเพียงคนนี้เท่านั้น
“มาร์ค...นายมาร์คช่วยฉันด้วย!!” จินยองร้องเสียงดังทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ทว่า...อึดใจที่สิ้นคำภาวนา เขาคนนั้นก็มาปรากฏกายจริงๆ
“แก!! เอาตัวสกปรกออกไปจากจินยองเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำคำรามดังลั่น ทำให้จินยองลืมตาเบิกกว้าง และก่อนที่จะพูดอะไรออกมาภาพที่อยู่ตรงหน้ามันรวดเร็วเสียจนร่างบางตั้งตัวไม่ทัน
ผลัวะ!!!
ร่างของแจบอมถูกกระชากไปอย่างแรง ก่อนที่ใบหน้ารูปสลักนั้นจะถูกหวดด้วยหมัดของมาร์คที่ปล่อยไปสุดกำลัง และโดนฝ่าเท้าของมาร์คอีกครั้งจนกระดอนลงไปนอนที่พื้น
“มะ...มาร์ค!!” ร่างกายของจินยองทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น นัยน์ตาสั่นระริกมองชายทั้งสองคนสลับกันไปมา สติที่กำลังหลุดลอยไปถูกเรียกกลับมาแล้ว
“แกนี่กล้ามากนะ ที่มายุ่งกับคนของฉัน” มาร์คพูดอย่างไว้ท่า พลางเป่าหมัดตัวเองด้วยท่าท่างยียวนกวนประสาท
แจบอมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ตอนนี้ผู้คนบริเวณนั้นเริ่มให้ความสนใจจนเกิดเสียงซุบซิบนินทา แต่มันไม่ได้เข้าหูเลยสักนิด และแจบอมเมื่อยันกายขึ้นมาได้ เขาก็พุ่งเข้าใส่มาร์คทันที พร้อมกับปล่อยหมัดพุ่งใส่มุมปากแบบไม่พลาดเป้า
มาร์คสะบัดหน้าไปตามแรงหมัดแค่เพียงเล็กน้อย เขาแค่นหัวเราะขณะที่ใช้นิ้วโป้งสะกิดที่มุมปากเบาๆ ด้วยท่าทีสบายๆ ไม่เดือดร้อน
“คนของนายอย่างนั้นเหรอ? นายก็แค่รักษาโรคกลัวจูบให้จินยองไม่ใช่รึไง เพราะฉะนั้นฉันก็สามารถรักษาจินยองได้เหมือนกัน” แจบอมพุ่งหมัดใส่หน้ามาร์คอีกครั้ง แต่คราวนี้มาร์คหลบได้อย่างง่ายดาย พร้อมสวนกลับด้วยหมัดหนักๆ
“ฟังนะเจ้างั่ง!” มาร์คตวาดกร้าวใส่หน้าอีกคน เขาเหลือบไปยังจินยองก่อนจะหันมายังแจบอมอีกครั้ง มุมปากมีรอยยิ้มอย่างมีชัย “มันไม่ใช่แค่ใครก็ได้ ไม่ว่าจะเห็นใครหน้าไหน หรือแม้แต่นายก็ไม่สามารถรักษาจินยองได้ เพราะคนที่จะจูบจินยองได้มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น รู้ไว้ด้วย”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง สิ่งที่เพิ่งออกจากปากของมาร์คต้วนมันส่งผลต่อหัวใจคนฟังอย่างรุนแรง จินยองก้มหน้าลงต่ำ หัวใจของเขาดูเหมือนจะพองโตขึ้นมาจนมีขนาดผิดธรรมชาติ และกำลังเต้นตุบๆ ดังลั่นอยู่ในซี่โครง
มาร์ค...นายทำไมถึงได้
เป็นช่วงเวลาเกือบนาทีที่สองหนุ่มหล่อกำลังเผชิญหน้ากัน จินยองลอบคิดไปว่าอาจจะมีการชกต่อยกันอีกครั้งก็ได้ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมละสายตาให้กัน ดูราวกับกำลังทำสงครามกันผ่านดวงตาที่ร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิง
“วันนี้ฉันจะปล่อยไปก่อน แต่ว่าฉันไม่ยอมแพ้แน่ๆ” เป็นแจบอมที่ประกาศขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่สบอารมณ์มากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็เลือกที่จะเดินจากไป และหลายออกไปท่ามกลางฝูงชน
“เป็นไรรึเปล่า” มาร์คเดินเข้ามาถามพลางช่วยพยุงร่างบางขึ้นยืน รอยยิ้มแสนละมุนนั้นทำให้เลือดในกายของจินยองสูบฉีด
“ไม่... ไม่เป็นไร” จินยองส่ายหน้าเบาๆ ในตอนนี้มิอาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้เลย
“ก็ดีแล้ว” มาร์คดีดเหม่งอีกคนเบาๆ เขาฉีกยิ้มกว้าง แล้วหันมาสนใจกับของที่ตกอยู่บนพื้น เขาถอนหายใจด้วยความเซ็ง “หนังสือเรียนกระจัดกระจายหมด”
มาร์คก้มลงเก็บหนังสือเรียนใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย ในขณะที่เจ้าร่างบางขยับเข้าไปใกล้ พร้อมกับเอื้อมมือสั่นน้อยๆ กระตุกชายเสื้อหลุดลุ่ยด้วยท่าทีประหม่า
“มาร์ค...” ใบหน้าที่ก้มงุดค่อยๆ เงยขึ้นมา นัยน์ตาที่ช้อนมองนั้นราวกับลูกแมวตัวน้อย “ไปรักษาโรคกันเถอะ”
“หือ??” ตาคมเบิกกว้าง มองตามร่างบางที่กำลังเบี่ยงตัวหนีด้วยท่าทีเขินอาย
“ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นไร” ร่างบางก้มหน้าต่ำรีบเดินดุ่มๆ หนีไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะเห็นดวงแก้มที่แดงแป๊ดในขณะนี้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว...
“Okay Babe” ข้อมือบางถูกมือหนาคว้าหมับเอาไว้ จินยองหันขวับไป ก็จ๊ะเอ๋เข้ากับใบหน้าหล่อที่ห่างกันแค่ไม่กี่เซ็น
“จะจูบให้เข่าอ่อนเลย” เสียงห้าวกระซิบบอกที่ข้างหูแดงก่ำ เขายิ้มอย่างพึงใจแล้วว่าต่อ “แต่เป็นที่ห้องของฉันนะ มีแค่เราสองคนเท่านั้น”
จินยองไม่ตอบ นาทีนี้ยังคงก้มหน้าลงมองรองเท้า แต่หัวใจที่เต้นร่ำไม่เป็นส่ำนั้นจดจ่ออยู่เพียงแค่คำพูดของชายตรงหน้า
ช่างประหลาดอะไรเช่นนี้ หัวใจที่กำลังเต้นแรง หัวใจของเราดวงนี้กำลังกู่ก้องร้องบอกว่า... คนที่เราอยากให้จูบมีเพียงมาร์คคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกแบบนี้มันช่างแรงกล้า แรงกล้ายิ่ง จนเรามิอาจปกปิดมันได้อีกต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ผ่านไปแล้วสำหรับตอนที่ 2 คงพอเห็นอะไรๆ ในเรื่องนี้บ้างแล้วนะครัช ทั้งมาร์คและจินยอง รวมทั้งแจบอมผู้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และปริศนาอีกคนที่ยังไม่ปรากฏชื่อแต่คิดว่ารีดเดอร์น่าจะเดากันได้ ฮี่ๆๆ แล้วติดตามตอนหน้านะครับ มาดูกันว่ามาร์คจะพาจินยองไปรักษาโรคกลัวจูบแบบไหนกัน 5555555555
อ่านแล้วเม้นคือดีงาม แล้วตามมาสกรีมต่อในแท็กให้ชื่นใน #KISSxMARKNIOR
อัพเดต 05/03/2558
ความคิดเห็น