คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : L 1 1 ll Vacant sky' เมื่อยามท้องฟ้าไร้เมฆ ; lambo x i-pin x hibari
…เพราะคืออัสนี ไม่ใช่เมฆา…
Vacant sky เมื่อยามท้องฟ้าไร้เมฆ
…เมฆาที่มักจะลอยเด่นเป็นสง่าบนฟากฟ้า…
…เมฆาที่เคลื่อนตัวช้าๆอย่างอ่อนโยนแต่กลับแข็งแกร่ง…
…แล้วใครเล่าจะทัดเทียมได้ ใครเล่าจะอาจหาญสู้….
…เห็นจะมีแต่เมื่อยามที่ฟากฟ้ามืดและหลั่งน้ำตาเท่านั้น…
…ที่เมฆาจะหายไป…
“เหม่ออะไรอี้ผิง?” เสียงนุ่มทุ้มของเด็กหนุ่มที่เหมือนว่าจะดูโตเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเอ่ยขึ้นพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าข้างกายเพื่อนสาวคนสนิท
“ท้องฟ้าวันนี้สวยดีนะแรมโบ้” เด็กสาวผิวขาวขยับปากชมพูใสเอื้อนเอ่ยวาจาพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันก็เห็นเธอว่าสวยทุกวัน… ชอบท้องฟ้ามากจริงๆสินะ” แรมโบ้เอื้อนเอ่ยวาจาออกไปอย่างยากลำบาก เขาหันไปมองหน้าเด็กสาวโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว ดวงตาสีดำขลับและแวววาวของเธอยามจ้องไปที่ผืนนภากว้างทำเอาลำคอของเขาแห้งผาก
“เปล่าหรอกที่ฉันชอบน่ะ…”
“ก้อนเมฆ” เด็กหนุ่มพูดขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบทำให้เด็กสาวเผยรอยยิ้มน้อยๆให้เพื่อนที่รู้ใจของเธอ
“ก็เพราะก้อนเมฆทำให้ท้องฟ้าสวยงาม ฉันถึงได้ชอบก้อนเมฆมากที่สุด” อี้ผิงยื่นมือออกไปจนสุดแขนแล้วทำท่าคล้ายกับจะหยิบก้อนปุยนุ่นสีขาวที่อยู่บนฟากฟ้า
ฉันรู้แล้ว เธอเคยบอกฉันแล้ว… นับครั้งไม่ถ้วน
เสียงในใจของแรมโบ้ดังก้องสะท้อนมาในจิตใต้สำนึก ความอัดอั้นตันใจทำให้เขาต้องเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น
“ที่เธอชอบ คือก้อนเมฆหรือเมฆากันแน่ อี้ผิง… ” แรมโบ้พูดเสียงเบาราวกระซิบ แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วเน้นเมื่อรู้ตัวว่าพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไป
“อะไรนะแรมโบ้?”
“มะ ไม่มีอะไรหรอก” แรมโบ้แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไป
“ปะ กลับฐานทัพกันเถอะแรมโบ้” อี้ผิงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความสดชื่น ก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปอย่างเต็มปอด
“อื้ม”
“พรุ่งนี้มากันใหม่นะ” เด็กสาวหันมายิ้มให้กับเขาอย่างร่าเริงแล้วรีบวิ่งจูงมือเขาไปตามทางลาด
“อื้ม…” แรมโบ้ตอบรับเบาๆแล้วยิ้มบางๆให้กับแผ่นหลังของเด็กสาว แล้วหันกลับไปมองท้องฟ้ากว้างและเมฆก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่ จากนั้นจึงหันกลับมามองตัวเองนิ่ง
“แรมโบ้หยุดวิ่งทำไม?” อี้ผิงหันมาถามเมื่ออีกคนหยุดวิ่งเสียดื้อๆ ฝ่ายคนโดนถามก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหัวเบาๆพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ไว้พรุ่งนี้มากันอีกนะ ชวนฉันด้วยนะ สัญญานะ” แรมโบ้เกี่ยวก้อยอี้ผิงแล้วส่ายมือไปมาเพื่อยืนยันคำสัญญา
“นั่นควรจะเป็นฉันที่พูดนะ แต่ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ต้องชวนนายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรารีบกลับฐานทัพกันเถอะ ออกมานานเกินไปแล้ว”
“อื้ม!”
“แรมโบ้ อี้ผิง ไปไหนมาน่ะ!” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนผู้มีตำแหน่งเป็นถึงบอสใหญ่ของวองโกเล่ แฟมิลี่ รีบเอ่ยปากถามทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าห้องประชุม
“ไปเดินเล่นมาคะ!” อี้ผิงตอบเสียงดังฉะฉานพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เฮ้อ พวกเธอนี่ วันหลังจะไปไหนก็บอกกันก่อนสิ ทุกคนเป็นห่วงมากเลยรู้ไหม” สึนะถอนหายใจก่อนจะมองเด็กน้อยทั้งสองในสายตาของเขาด้วยความอ่อนโยน
“พวกเราโตแล้วนะคะคุณซาวะดะ ชอบมองพวกเราเป็นเด็กอยู่เรื่อย” อี้ผิงพูดคล้ายตัดพ้อแต่กลับยิ้มเผล่ ดวงตากลมโตของเธอมองไปที่ใครบางคนซึ่งนั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะประชุมอย่างมีความหมาย ซึ่งดวงตาดำขลับของอีกฝ่ายก็จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว แม้จะแต่แป๊บเดียวเท่านั้นที่เขามองมาด้วยสายตาเย็นชาเช่นทุกทีก่อนจะหันกลับไปจิบชาแต่นั่นก็ทำให้ดวงหน้าของเด็กสาวแดงเถือกได้ในพริบตา
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว เริ่มประชุมกันเลยก็แล้วกันนะครับ” ฟูตะพูดขึ้นพร้อมหยิบกองเอกสารในมือขึ้นมา
การประชุมเป็นไปอย่างเรียบร้อยเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ความตึงเครียดบนใบหน้าของเหล่าผู้ร่วมประชุมมีให้ได้เห็นบ้าง ถ้วยน้ำชาสไตล์ญี่ปุ่นถูกยกขึ้นยกลงเป็นพักๆในทุกครั้งที่เจ้าของมีสายตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มหัวยุ่งมองการกระทำของคนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามตนอย่างจับสังเกต จนมีหลายครั้งที่เหมือนคนถูกจ้องจะรู้สึกตัวปรายตามองอีกฝ่าย ซึ่งแรมโบ้เองก็ไม่ได้หลบสายตาเย็นชาที่ใครๆว่าน่ากลัวนั่น แต่กลับจ้องนิ่งไม่ไหวติงราวกับกำลังท้าทาย
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนเข้าใจหน้าที่ของตัวเองแล้ว ฉันจะขอปิดการประชุม ณ บัดนี้” สึนะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือซึ่งนั่นก็ทำให้ฮิบาริรีบผุดลุกออกจาที่นั่งไปโดยไม่บอกกล่าว
“คุณฮิบาริ!..” อี้ผิงเอ่ยเรียกแต่ก็ไม่ทันในเมื่อชายหนุ่มเดินออกไปแล้วเธอจึงต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
“เป็นอะไรอีกล่ะอี้ผิงเมื่อกี้ยังยิ้มแย้มอยู่เลย” แรมโบ้เอ่ยปากถามในขณะที่มือก็จับนู่นหยิบนี่ในห้องเด็กสาวไปทั่วตามประสาคนมือซน
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่ คิดมากน่าแรมโบ้”
“โกหก” แรมโบ้วางสิ่งของในมือแล้วเดินมาหยุดจ้องหน้าเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเตียงนิ่งราวกับกำลังจับผิด
“อะ อะไรเล่าแรมโบ้ มาจ้องกันแบบนี้” อี้ผิงเสหันมองไปทางอื่น เด็กสาวทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกจ้องมองระยะประชิด แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอก็ตาม
“ก็อี้ผิงเธอแปลกไปจริงๆนี่นา มีอะไรก็บอกกันสิ” แรมโบ้ทำท่าเหมือนน้อยใจ ทำเอาอี้ผิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็จะเอ่ยปาก
“วันนี้วันวาเลนไทน์ใช่ไหมล่ะ…” เสียงใสของเด็กสาวแผ่วเบาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน แต่เขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน และตีความมันได้ในทันที
“อ๋อ นั่นสินะ…” แรมโบ้พูดคล้ายจะหัวเราะแล้วหันมองไปทางกล่องของขวัญสีชมพูสวยที่อี้ผิงถือไว้ตลอดเวลา
“ขำอะไร”
“เปล่า แค่หัวเราะตัวเองมั้ง” เด็กหนุ่มเอ่ยประโยคท้ายเบาๆทำให้เด็กสาวต้องถามซ้ำ แต่เขากลับแค่ส่ายหัวให้เท่านั้นแทนคำตอบ
หัวเราะเยาะให้กับตัวเอง ...ที่ไม่มีแม้ความกล้าที่จะบอกสิ่งนั้นกับเธอ…
“งั้นเดี๋ยวฉันเอาไปให้แล้วกัน” แรมโบ้ฉวยกล่องของขวัญในมือของอี้ผิงมาก่อนที่เจ้าของจะโวยวาย
“เอาคืนมานะ แรมโบ้!” อี้ผิงรีบลุกขึ้นกระโดดหมายจะคว้าสิ่งที่อยู่ในมือร่างสูงกว่า แต่ด้วยระยะห่างแล้ว เขาซึ่งกำลังจะเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว ทำให้เธอเอื้อมไม่ถึง
“ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวเอาไปให้ ไปล่ะ” แรมโบ้รีบก้าวยาวๆแล้วปิดประตูห้องเสียงดัง
“แรมโบ้เอาคืนมา! ฉันอุตส่าห์ทำให้…” อี้ผิงเปิดประตูห้องวิ่งตามมาแต่เท้าเล็กๆก็หยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อปากบางเผลอเอ่ยถึงบุคคลที่สาม
“คุณฮิบาริใช่ไหมล่ะ” เสียงทุ้มของแรมโบ้พูดขึ้นมาหลังจากปล่อยให้บรรยากาศรอบข้างเงียบมานาน ทำเอาเด็กสาวเบิกตากว้าง
“ทำไมนายถึง…”
“มีอะไรที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเธอบ้างล่ะ อี้ผิง ฮะฮะฮะ งั้นฉันไปนะ จะไปส่งให้ถึงที่เลย” เด็กหนุ่มโบกมือหยอยๆให้เธอแล้วรีบวิ่งออกไป
อี้ผิงมองตามการกระทำนั้นและร่างของเพื่อนสนิทไปอย่างสุดสายตา เป็นห่วงทั้งของขวัญของเธอ และความรู้สึกของเขาคนนั้นหากได้รับมัน หากแต่อีกสิ่งหนึ่งที่เธอเป็นห่วงยิ่งกว่า คือเพื่อนของเธอ… ทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่อาบความเศร้าไว้ มันคืออะไรกัน?...
มีอะไรที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเธอบ้างล่ะ?
“หึ มีสิ มีเยอะแยะ เต็มไปหมด…” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเทา ขายาวๆที่เคยออกวิ่งบัดนี้เปลี่ยนเป็นเดินช้าๆอย่างอ่อนแรง
เธอรักคุณฮิบาริมากมายแค่ไหน?
เธอทุ่มเททำทุกอย่างได้เพื่อเขางั้นเหรอ?
แล้วฉันคนนี้ล่ะเป็นใคร?
เพื่อนสนิทของเธอใช่ไหม?
แค่นั้นใช่ไหม ที่เธอรู้สึกกับฉัน?
นี่ไงล่ะ สิ่งที่ฉันไม่เคยรู้เกี่ยวกับเธอ ไม่เคยรู้เลยจริงๆ…
“แล้วทำไม? เธอถึงไม่รักฉันบ้าง… รักฉัน… อย่างที่ฉันรักเธอ”
เพราะเมฆาลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ไม่อาจเทียบ
เพราะอัสนีคือตัวตน ที่ไม่อาจปฏิเสธ
อัสนีที่ผลาญทำลายทุกสิ่ง มีแต่จะทำให้หวาดผวา และกลัวเกรง
ไม่ใช่เมฆาที่งามสง่า และมีค่าควรให้เธอรัก
…เพราะคืออัสนี ไม่ใช่เมฆา…
“มาหาใคร?” ชายหนุ่มร่างใหญ่ ทรงผมแปลกตา ที่คาบกิ่งไม้ไว้เอ่ยถามผู้มาใหม่
“ฝากให้คุณฮิบาริด้วยครับ บอกว่า… อี้ผิงฝากมา” ดวงตาสีเขียวมรกตของเด็กหนุ่มที่ยังแดงๆราวกับร้องไห้หนักมองเข้าไปข้างในซึ่งบุรุษในชุดญี่ปุ่นกำลังนั่งจิบชาในถ่วงท่าที่งามสง่าอย่างชื่นชม
…เพราะไม่มีอะไรเทียบได้ จึงทำให้เธอได้เพียงเท่านี้….
…แค่ความสุขของเธอ เท่านั้นเอง…
_________________________________________
รู้สึกจะจบแบบค้างคา (ไม่รู้ทำไมตัวเองชอบแต่งฟิคให้จบแบบนี้ ฮะฮะฮะ)
ฝากเม้นกันด้วยนะคะ ต่อไปเอาคู่อะไรดีเอ่ย?
Yu Ki 25 HOURs.
ความคิดเห็น