ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Survivor รูนพลังเถื่อนสะเทือนโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1คำพูดยอดฮิตของคนจากศาสนจักร?

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 56


     

    บทที่ 1

    คำพูดยอดฮิตของคนจากศาสนจักร?

     

          ซันยู~

          สมแล้วที่เป็นร้านอาหารชื่อดังที่ใครต่อใครก็ต้องรู้จักแม้กระทั่งเด็กสองขวบยังต้องเคยได้ยิน นี่ถ้าไม่ติดว่าอาจารย์ดึงคอเสื้อผมไว้อยู่ ไอเจ้าโคมไฟระย้าสีรุ้งแสนสวยและหน้าหม่ำนั่นได้ลงไปอยู่ในกระเพาะผมแน่

          ที่นี่เป็นร้นขนม....จึงต้องตกแต่งด้วยสีโทนหวานเย็นและร้อนแรงในบางจุด แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความเรียบหรูและมีระดับ ของบางอย่างตกแต่ให้แสดงเห็นถึงความเป็นขนมหวาน อย่างแจกันยักษ์ที่ตกแต่งอยู่ตรงหัวมุมบันไดยังทำเป็นแบบใสออกโทนสีน้ำเงิน และดอกไม้ที่อยู่ในแจกันก็ยังเป็นแก้วใสหลากสี ดูแล้วให้คิดถึงลูกกวาดรสเริดอีกด้วย

          แต่อะไรก็ไม่ถูกใจเท่าเจ้าพวกคริสตัลแกะสลักรูปต่างๆ มันทำให้ผมอดนึกถึงน้ำตาลปั้นแสนอร่อยไม่ได้  จนบางครั้งผมเกือบห้ามใจตัวเองไม่ไหวกระโดดเข้างับพวกมัน ร้อนถึงอาจารย์ที่ต้องคอยกระชากเสื้อผม

          นี่ถ้าไม่ติดว่าผมเก็บหูเก็บหางไปแล้วละก็มีหวังอาจารย์ได้ดึงหางผมไปแทนแน่

          ขอบอกไว้ก่อนว่าหางเป็นจุดอ่อน...เรียกว่าจุดอ่อนไหวดีกว่าของผมเลยก็ว่าได้ อืม....มันก็เหมือนเวลามีใครไปแตะต้องน้องหนูของคุณๆนั่นแหละ (ผมไม่ได้ทะลึ่งนะมันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ)

     

     

         โตะที่อาจารย์จองไว้นั้นอยู่ชั้นบนสุดของร้านเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันก็มีอยู่ทั้งหมด 21 ชั้น(จะสูงไปไหน)

          ชั้นนี้เรียกได้ว่าไม่มีคนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากบริกรแล้วก็มีแค่ผมกับพวกอาจารย์เท่านั้น ดูท่าพวกเขาจะต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งผมก็คิดว่าไอเจ้าความเป็นส่วนตัวนี้คงราคามิใช่น้อย ซึ่งผมก็ไม่ถามหรอกนะว่าอาจารย์เอาเงินมาจากไหน

          มีหลายเรื่องที่หน้าสงสัยเกี่ยวกับอาจารย์ แต่ผมก็ไม่เคยจะถามเพราะไม่อยากก้าวก่าย ผมรู้ว่าบางเรื่องที่มันบอกยาก และถ้าเจ้าตัวไม่บอกออกมาเองเรื่องนั้นก็จะเป็นความลับต่อไป กลับกันถ้าผมไม่ได้บอกอะไรอาจารย์ก็จะไม่มาก้าวก่ายเรื่องของผม แม้แต่บ้านผมอาจารย์ยังไม่เคยถามเลย ที่เขารู้ก็มีเพียงว่าผมอยู่ตัวคนเดียวกับเรื่องน้องชายที่หายตัวไป เพราะผมเผลอหลุดปากออกมา นอกนั้นผมก็ไม่เคยบอกให้เขารู้เลย

          นี่แหละมั้งที่ทำให้ผมอยู่กับเขามาได้ถึงห้าปีกว่าๆ

          แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตอนขึ้นลิฟท์...ไม่สิตั้งแต่ตอนที่ลงจากรถแล้วต่างหาก บรรยากาศที่สดใสร่าเริงของอาจารย์เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งในพริบตา เหมือนมีเรื่องต้องให้คิดมาก ซึ่งเรื่องนั้นก็หนีไม่พ้นผมอีกนั่นแหละ เพราะตอนที่อยู่ในลิฟท์อาจารย์เอาแต่เหลือบมามองผม

          แม้ตอนอยู่ข้างล่างอาจารย์จะคอยกระชากผมไว้ แต่มันก็ไม่เหมือนทุกที เพราะปรกติไม่โดนด่าก็มะเหงกสักสองสามลูก หรือไม่อาจารย์เค้าก็จะเล่นด้วย แต่คราวนี้อาจารย์ไม่ได้พูดอะไรเลย

          มันทำเอาผมรู้สึกใจหายในแบบแปลกๆ

          “ราซิส คือ อาจารย์ มีเรื่องสำคัญ มากๆ ที่ต้อง พูดกับนายให้ รู้เรื่อง” โอเคครับ ผมเห็นแล้วละว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มากกกกก จนถึงกับทำให้คนที่ทำอะไรก็ไม่เคยหวั่น ไม่เคยที่จะสนผลลัพธ์ พูดจาติดอ่างอย่างไม่มั่นใจสุดๆได้

          “ไม่เป็นไรครับอาจารย์ พูดมาเถอะ ผมยินดีรับฟังทุกเรื่อง” ต้องให้กำลังใจแกหน่อยครับ เดี๋ยวพี่แกจะปอดแหกซะก่อน

          ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่า ว่าทำไมบรรยากาศมันถึงได้เหมือนฉากที่คนกำลังจะบอกรักกันเลยวะครับ นี่ถ้าผมเป็นสาวน้อยละก็ มีหวังอายม้วนกันไปข้านึงแล้ว

          “ได้โปรด....ไปอยู่กับอาจารย์เถอะนะ!!!

          พรวดดดด!!!

          พรวดดดด!!!

          ไอสองคนที่กำลังนั่งจิบชารอขนมอยู่ข้างๆผมกับอาจารย์ถึงกับพ่นน้ำชาออกมาพร้อมกันเลยทีเดียว

          “....................” เออ ถ้าเมื้อกี้ผมมีน้ำชาอยู่ในปากละก็ ผมจะไม่รอช้าที่จะพ่นมันใส่หน้าคนที่นั่งตรงข้ามผมทันทีเลยละ แต่ก็เพราะไม่มีเนี่ยสิปฏิกิริยาของผมจึงเป็นแค่การนั่งนิ่งแล้วมองฝ่ายตรงข้ามด้วนสายตาเย็นชาแทน

          “รู้จักกันมาก็หลายปี ทำงานร่วมกันมาก็ตั้งมากมาย ผมไม่เคยคิดเลยนะว่า..........อาจารย์จะเป็นเกย์!!!

          “เฮ้ย! รู้ได้ไง อ๊ะ ไม่ใช่สิ นิแกคิดไปถึงไหนแล้วฟระนั่น ฉันขอให้ไปอยู่ด้วยกัน ไปทำงานกับฉัน ไม่ได้ขอให้ไปแต่งงานด้วยกันสักหน่อย” อาจารย์แกรีบโวยวายทันทีเลยครับ ว่าแต่ประโยคแรกมันทะแม่งๆนะ เหมือนอาจารย์เขาจะไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ผมว่าไปเลยสักนิดเดียว

          “ไม่ง่ายไปหน่อยหรือครับ อยู่ดีๆ ก็ให้ผมตามไปทำงานกับอาจารย์ อาจารย์เป็นใคร ทำงานอะไรผมก็ยังไม่รู้เลย” อย่างมากผมก็รู้แค่อาจารย์ทำงานให้ใครสักคน อาจารย์ชอบเรียกพวกนั้นว่าเบื้องบน ส่วนงานก็ช่วยเหลือผู้คน และ กำจัดพวกมารร้ายต่างๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานหลังเสียมากกว่า ฟังๆ ดูแล้วเหมือนอาชีพรับจ้าง แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่

          อันที่จริงก็คิดคำตอบไว้แล้วแหละ แต่ผมพยายามมองข้ามมันไปเอง

          อาจารย์แกดูจะอึดอัดที่จะบอกความจริง เหมือนกลัวว่าบอกไปแล้วผมจะกระโดดหน้าต่างหนีพี่แกงั้นแหละ

          “คือ....เธอเคยสงสัยมั้ยว่า....เอ่อ ทำไม คนของทางศาสนจักร ถึงไม่เคยเข้ามายุ่มย่าม....กับเธอเลย ทั้งๆที่....เธอก็” นั่น สรรพนามเริ่มเปลี่ยนแล้วไง

          อันที่จริง ถ้าหากพบว่าใครมีความสามารถใช้รูนได้ ทางการก็จะแค่ออกจดหมายเชิญให้ไปเรียนที่ราเซ็นไฮน์ เพื่อเรียรู้เกี่ยวกับการใช้รูน จะไปหรือไม่ไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นเซอร์ไวเวอร์นั้นทางการจะส่งเรื่องไปยังศาสนจักร และเมื่อใดที่ทางศาสนจักรเจอตัวก็จะเข้าชาร์จคุณในทันที

          นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับที่สุด และพยายามใช้เซอร์ไวเวอร์รูนให้น้อยที่สุด แต่นั่นก็ก่อนที่ผมจะได้เจออาจารย์ เพราะหลังจากที่ผมโดนอาจารย์ร่วงรู้ความลับเข้าให้แล้วก็มีอยู่แค่สองทางเลือกเท่านั้น หนึ่งทำงานให้อาจารย์ กับ สองโดนศาสนจักรพาตัวไป

          ผมต้องเลือกทางแรกอยู่แล้ว ก็อย่างน้อยชีวิตผมก็ยังเป็นอิสระ แต่ถ้าเลือกทางที่สองมันก็ไม่ตางกับการโดนส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่มีกฎเคร่งครัด แม้สวัดดิการจะดีเพียงใดแต่หากไร้ซึ่งอิสรภาพแล้วผมขอไปเกิดใหม่ดีกว่า

          ตอนแรกๆ ผมก็ไม่กล้าใช้พลังเซอร์ไวเวอร์สักเท่าไร แต่เมื่อไม่มีทางเลือก(ผมโดนบังคับอะ) ก็เลยต้องใช้ ไปๆ มาๆ ไม่เห็นมีศาสนจักรโผล่หัวมาสักที ผมก็เลยเริ่มติดลม ใช้มันแบบไม่เก็บอีกต่อไป แต่ก็ยังคงต้องอยู่ในขอบเขตคำสั่งของอาจารย์อยู่ดี

          นั่นทำให้ผมคิดมาตั้งนานแล้วหละว่า.......

          “อาจารย์เป็นคนของศาสนจักร” ผมว่าแล้วจ้องหน้าอาจารย์เขม็ง  ผมพยายามอุตส่าห์ พยายามที่จะไม่คิดแล้วเชียว เห็นว่าที่แล้วๆมาไม่มีคนของทางศาสนจักรหรือทางการเข้ามายุ่งวุ่นวายเลย ผมจึงเผื่อใจไว้แล้วล่ะว่าอาจารน์อาจจะเป็นคนของศาสนจัก แถมไม่ใช่แค่ตำแหน่งธรรมดา แต่เป็นคนระดับสูงเสียด้วย ไม่งั้นคงทำให้ทางการกับศาสนจักรไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับผมได้หรอก

          รู้ทั้งรู้ว่าอาจารย์อาจจะเป็นคนของทางศาสนจักร แต่ผมก็พยายามหลับตาข้างลืมตาข้าง เพราะเชื่อใจอาจารย์ว่าจะไม่ส่งผมไปให้ทางศาสนจักร

          “อือ” แต่อาจารย์ทำเพียงแค่ตอบรับเบาๆเท่านั้น

          ผมรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว น้ำใสๆ ก็เอ่อคลอ พูดออกไปด้วยเสียงอันสั่นเครือ “อาจารย์......จะผิดคำสัญญาหรือครับ”

          อาจารย์มองผมด้วยสายตาอึ้งๆ เหมือนจะตกใจกับคำพูดของผม เห็นอาจารย์ร้อนรนเหมือนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ผมจึ่ง ทำ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากตาซ้าย มันสะท้อนกับแสงไฟของเปลวเทียนเป็นประกายดั่งหยาดเพชรงาม อาจารย์ถึงกับสะอึกไปเลยทีเดียว

          ฮุ ฮุ ฮุ รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมแห่งปีอยู่ไหน รีบเอามาให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะ ผมจะเอาตุ๊กตาทอง.......ไม่ๆ ผมจะเอาตุ๊กตาทองฝังเพชร!

          “อ่า.......ไม่ๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ฉะ....ฉัน อาจารย์ไม่เคยคิดจะส่งเรื่องของนายให้ทางศาสนจักรเลยนะ.....ถึงมันจะดีกับตัวนายเองก็เถอะ” ประโยคหลังนี้อาจารย์พูดเบาเสียจนผมไม่ได้ยินเลย “จริงอยู่ว่าอาจารย์เป็นคนของศาสนจักร และงานที่อาจารย์ชวนไปทำก็อยู่ที่ศูนย์กลางศาสนจักร และ อาจารย์ก็รู้ว่าเธอรักอิสระมากจนกระทั่งยอมตายหากไม่มีมัน อาจารย์ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรเธอถึงเกลียดการถูกบังคับและกักขังขนาดนั้น แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่อาจารย์ไม่เคยคิดจะส่งตัวเธอให้ทางศาสนจักรเลยสักครั้ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่อาจารย์เชื่อว่าเธอต้องมีเหตุผลเป็นของตนเอง และเหตุผลนั้นก็คงสำคัญมาก อาจารย์จะไม่บังคับ แต่อาจารย์อยากขอร้องเธอมากกว่า ได้ไหม”

          อาจารย์พูดจบก็จ้องผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแววขอร้อง......ผมว่ามันเหมือนแววตาของลูกหมาเวลาขออาหารเลย ให้ตายสิผมยิ่งเป็นคนรักสัตว์อยู่

          “ไม่รู้สิฮะ ผม.....ไม่อยาก”

          “เธอไม่อยากให้ศาสนจักรรู้ตัวตนของเธอสินะ ไม่เป็นไร อันนั้นอาจารย์คิดไว้เรียบร้อยแล้วหละ ไม่ต้องห่วง”

          ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ อาจารย์แกก็แทรกมาก่อนเลย แต่ก็เดาถูก เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ตัวตนของผม เพราะหากรู้แล้ว ก็ยากที่จะถอนตัว แหมสมเป็นพยาธิในท้องผมจริงๆ

          “แล้ว.....อาจารย์จะไปเมื่อไหร่ละ” นี่คืออีกปัญหาหนึ่งเรื่องเวลา ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอสองตัวที่บ้านผมเนี่ยสิ คงต้องใช้เวลานานเลยละกว่าจะรักษาหาย

          จะอะไรซะอีกละครับ ก็เมื่อวันก่อนอยู่ดีๆ ฝนมันก็ตกหนักเฉยเลย ผมที่กำลังเดิยเฉื่อยกลับบ้านเป็นอันต้องใช้ทางลัดวิ่งกลับบ้านแทน

          เพราะทางนี้ค่อนข้างเปลี่ยว และมักจะเกิดเรื่องเป็นประจำจึงไม่ค่อยมีคนผ่าน ไอผมรึก็อุตส่าห์ภาวนาว่าอย่าเกิดเรื่องเลย จะได้รีบกลับไปกินเค้กก้อนโตที่เป็นรางวัลพิเศษที่อาจารย์อุตส่าห์เอามาให้นอกเหนือจากเงินรางวัล ที่ไหนได้พอกำลังจะผ่านตรอกสุดท้ายอยู่แล้วเชียว ดันได้กลิ่นเลือดโชยมาเตะจมูกซะได้

          ว่าจะไม่สนใจแล้วเชียว แต่ขามันก็ก้าวนำไปก่อนซะแล้ว จนสุดท้ายก็ได้ช่วยลูกแมวสองตัวที่กำลังถูกทำร้ายไว้ได้ เฮ้อ เห็นว่ามันสวยดีหรอกนะถึงได้เก็บกลับบ้านน่ะ

          “ก็.....ประมาณเดือนนึงอะ เธอมีอะไรรึเปล่า แล้วตกลง.....ไปใช่มั้ย” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหวังมากขึ้น คงรู้แล้วละฮะว่าผมเริ่มเอนเอียงไปทางไหนมากขึ้น แต่.....

          “ถ้าผมไปแล้ว ใครจะเลี้ยงน้องๆ ผมละ” นั่นสิ ถ้าไม่มีผมอยู่ทั้งคน พวกน้องๆ ผมเขาจะเอาอะไรกิน ยิ่งทุกวันนี้น้องๆ ผมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกที เหตุก็เนื่องมาจากพวกพ่อแม่ไร้ความรับผิดชอบส่วนหนึ่ง พวกมารร้ายส่วนหนึ่ง และอีกหลายๆ ปัจจัยส่วนหนึ่ง

          บ้านผมอยู่บนเขา......แต่เรียกว่าคฤหาสน์จะเหมาะกว่า ส่วนตีนเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่ง อย่างน้อยมันก็เก่าแก่กว่าผมสักสิบชั่วอายุคนได้

          ผมที่ต้องเดินผ่านทางนั้นทุกวันจึงรู้จักคนที่โบสถ์นั้นดี ซึ่งก็ประกอบไปด้วยบาทหลวงหรือก็คือคุณพ่อ และก็เด็กๆ นั่นเอง มีทั้งที่อายุน้อยกว่าผม เท่าผม และก็มากกว่าผม เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ทุกวันผมกับน้องจึงแบ่งเอาผลไม้ที่ขึ้นรอบบ้านพวกเราไปให้คนที่โบสถ์กิน แม้กระทั่งน้องผมไม่อยู่แล้วผมก็ยังเอาไปให้พวกเขาอยู่ดี ต้นไม้รอบบ้านผมมักจะออกดอกออกผลทั้งปี ไม่เว้นกระทั่งหน้าหนาว

          แต่ส่วนมาก คนที่อายุเท่าผมหรือมากกว่าผมในตอนนั้นก็ต่างแยกย้ายไปทำงานหาเลี้ยงตัวเองกันหมดแล้ว อาจมีกลับมาทักทายบ้าง เอาเงินมาบริจาคบ้าง เป็นบางครั้ง

          “อันนี้ก็แล้วแต่เธอนะ เพราะอาจารย์มีเงินเดือนให้ ส่วนจะแบ่งไปให้พวกน้องๆ เธอกี่เปอร์เซ็นก็ตามใจ”

          “อือ.....คือ เมื่อวันก่อนผมเพิ่งเก็บลูกแมวได้สองตัว แล้วมันก็บาดเจ็บมากด้วย ผมไม่อยากทิ้...”

          “ไม่เป็นไร ที่นั่นเลี้ยงสัตว์ได้ ทีนี้หมดข้ออ้างยัง” เง้อ โดนดักทุกทางเลยอะ

          ในเมื่อหมดข้ออ้างแล้ว ผมจึงได้แต่พยักหนายอมรับแต่โดยดี เท่านั้นแหละครับ อาจารย์แกยิ้มแก้มแทบปริ สลัดบทดราม่าเมื่อกี้ทิ้งไปจนไม่เหลือซาก

          “ต้องอย่างนี้สิ ลูกศิษย์ฉัน ฮา ฉลองกันหน่อย”

          พูดจบอาจารย์ก็ดีดนิ้วขึ้นมาทีนึง ก่อนจะมีบริกรมาเสริฟของหวานบนโตะมากมาย เล่นเอาผมน้ำลายแทบหก

          อานะ ผมว่าบางทีไปกับอาจารย์ก็คงไม่เลวร้ายเท่าไรหรอก........มั้ง?

     



     

          “กลับมาแล้วคราบบบบบ!

          “............”

          เงียบ สงสัยเจ้าลูกแมวสองตัวนั่นคงยังไม่ตื่น........ฟิ้ว!

          เพล้ง!

          เฮ้ยๆ นี่ถ้าหลบไม่ทันมีหวังไอที่แตกไปนั่นต้องเป็นหัวผมไม่ใช่แจกันอย่างแน่นอน ให้ตาสิ ใครมันช่างกล้ามากระตุกหนวดสิงห์อย่าผม วอนตายซะแล้ว

          กรร!!!

          ผมคำรามออกมา ก่อนจะถอดแว่นออกแล้วกางกงเล็บ รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายชะงักไปที แต่ก็เปิดโอกาสให้ผมกระโจนเข้าใส่จนเราทั้งคู่ล้มลง

          ฟุบ!

          มือหนึ่งผมบีบคอคนที่อยู่ข้างใต้ไว้ อีกมือก็จับไม้อะไรสักอย่างที่กำลังจะฟาดลงบนหัวผมแล้วกระชากทั้งคนทั้งไม้ลงไปกองกับพื้น แล้วใช้มือกดหัวมันไว้

          หือๆ เสร็จผมละ จะขโมยทั้งทีก็ดันไม่ดูตาม้าตาเรือ จะบอกอะไรให้นะตั้งแต่ผมอยู่บ้าน(คฤหาสน์)นี้มา 16 ปี ยังไม่เคยมีโจรขึ้นเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่โจรเลย แม้แต่แขกก็ยังไม่มีสักคน เว้นไอเจ้าแมวสองตัวนั่น

          “หึ จะขโมยทั้งทีก็ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ พวกนายเนี่ย....”

          “มะ.....ไม่ใช่  แคกๆ พวกเรา ไม่ใช่ ขโมย” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เจ้าบ้าที่โนผมบีบคออยู่ก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

          ว่าแต่ เมื่อกี้เจ้านี่บอกว่าไม่ใช่โจรสินะ แล้วไอที่ลอบทำร้ายเจ้าของบ้านเมื่อกี้มันอะไรกัน ฆ่าตกรรม? งั้นก็ไม่ใช่โจรแต่เป็นฆ่าตกรนะสิ

          พอดีกับที่แสงจันทร์ส่องรอดหน้าต่างเข้ามาทำให้ผมได้เห็นหน้าตาเจ้าสองตัวนี้มากขึ้น ไอคนที่อยู่ข้างใต้ผมเป็นผู้ชายผมยาวสีแดงเหมือนเลือด สวมแว่นอันเล็กๆไว้บนจมูก.......จะว่าไป หน้าไอหมอนี่ก็คุ้นๆแฮะ ส่วนอีกคน มองไม่เห็นหน้าเห็นแต่ผมสีเขียวเพอริดอท.........อ๊ะ เจ้าพวกนี้มัน

     



     

          “ต้องขออภัยจริงๆ พวกเราแค่ตกใจไปหน่อย” คนหัวเขียวที่ผมมารู้ชื่อภายหลังว่า ซูเลีย ทำท่าขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ปล่อยให้ผู้ชายอีกคนที่ชื่อซอพันแผลให้ แน่นอนนั่นไม่ใช่ฝีมือผม แต่เป็นแผลที่เจ้าตัวได้มาก่อนหน้านี้ต่างหากเล่า ให้ตายสิ แผลหนักขนาดนั้นแล้วยังซ่าได้อีก

          ว่าแต่เมื่อกี้ที่บอกว่าแค่ตกใจไปหน่อยมันหมายความว่าไง แปลว่าถ้าไม่หน่อยนี่คงเอามีดมาสับกันเลยใช่มั้ย

          “ตกลงว่าพวกคุณใช่คนรึเปล่าเนี่ย บาดเจ็บหนักขนาดนี้ยังลุกขึ้นมาเอาไม้ฟาดหัวคนอื่นเขาได้น่ะ” บ่นไปสายตาก็จ้องจับผิดเจ้าสองคนนี้ไป ตกลงว่าผมเก็บลูกแมวหรือลูกเสือได้กันแน่ละเนี่ย

          “แฮะๆ สงสัยยาของคุณคงดีมั้งครับ” ซูเลียหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเจือนๆ เหมือนอยากหลีกเลี่ยงความจริงมากกว่า

          ช่างเถอะ ผมมันก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเค้าอยู่แล้ว(?)

          “ว่าแต่พวกคุณเถอะ ไปทำอะไรมาถึงได้โดนมารพวกนั้นเล่นงานเอาได้น่ะ” จริงอยู่ที่คนโดนมารทำร้ายจะไม่แปลกอะไรมาก แต่ปรกติเจ้าพวกนั้นมักจะไม่รวมกันเป็นกลุ่ม ยิ่งมารระดับ S ยิ่งแล้วใหญ่ เจ้าพวกนี้ถือเป็นมารระดับสูงทีเดียว กว่าผมจะจัดการมันได้ก็เหนื่อยใช่เล่นเหมือนกัน โชคดีที่พวกมันก็ค่อนข้างร่อแรอยู่แล้ว

          หากดูจากการแต่งตัว สองคนนี้ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านธรรมดาสักเท่าไร ทั้งสองคนแต่งตัวด้วยชุดคลุมสีขาวปักดิ้นทอง สไตล์ยังกับจะไปออกรบ ดีที่คนนึงโกนหนวดแล้วหน้าเลยไม่ค่อยจะเหมือนมหาโจรเท่าไร

          แต่จะว่าไปไอชุดพวกนี้มันก็คุ้นอยู่เหมือนกัน รู้สึกเหมือนเคยเห็นในทีวีหรือไงเนี่ยแหละ

          “อืม.....จะว่าไงดีละ คงต้องเรียกว่างานละมั้ง.......จะว่าไป ฝีมือเธอจะใช่ย่อย สนใจจะมาทำงานกับเรามั้ยละ” ซูเลียมองผมด้วยประกายตาที่คาดหวัง รู้สึกว่าไอแววตาแบบนี้ผมเพิ่งจะได้เห็นไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ แถมคำถามยังคล้ายๆ กันอีก

          “งาน?” ผมทวนคำเสียงสูง ยังไม่บอกเลยว่าตัวเองทำงานอะไรก็จะมาชวนคนอื่นซะแล้ว

          “ใช่ งานของศาสนจักรน่ะ เงินดีนะ สนใจมั้ย”

          “พวกคุณเป็นคนของศาสนจักร?.....เวรกรรม” ให้ตายสิ ไม่รู้ว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกร้ายอะไรอยู่ถึงได้ลากให้คนของทางศาสนจักรเข้ามาหาผมอยู่เรื่อย

          “เอ่อ เราไม่ได้บัง...”

          “ไม่ได้บังคับ แต่อยากขอร้อง ถ้าไม่ตอบตกลงเราก็ไม่ส่งเรื่องของเธอให้ทางศาสนจักรหรอก......เฮอะ! พอเถอะ ผมเพิ่งได้ยินคำพูดทำนองนี้มาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง” ผมไม่ได้ปล่อยให้ซูเลียพูดจบแต่พูดขัดขึ้นมาแทน แค่ได้ยินคำแรกๆ ผมก็พอจะรู้แล้วละว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป

          “ให้ตายสิ คนของศาสนจักรพูดแบบนี้กันทุกคนเลยหรือไง” ผมบ่นให้ซูเลียฟังเสียงดัง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะที่ดังยิ่งกว่า ไม่เว้นแม้แต่ซอ

          “เปล่าหรอก ถ้าเป็นปรกติเจอเซอร์ไวเวอร์แบบเธอพวกเราก็จะรวบตัวกลับศาสนจักรทันที.......ว่าแต่ ใครเป็นคนชวนเธอละ ดูท่าแล้วคงเป็นคนใจดีหน้าดู” คราวนี้เป็นซอที่ถาม ผมที่ไม่มีอะไรจะเสียหายจึงบอกความจริงเรื่องที่คุยกับอาจารย์วันนี้ไป

          เมื่อเล่าจบ คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะสองเสียงที่ประสานกันมา ไม่รู้ว่ามันมีอะไรหน้าขำนักหนา

          “อ๋อ หมอนั่นนะหรอ เรารู้จักดีเลยละ ฮา ฮา แต่ว่านะอย่าเพิ่งบอกมันละว่ารู้จักกับพวกเรา ถือว่าขอร้องละกัน”

          ผมก็ได้แต่ยักไหล่ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก แล้วผมก็ไม่คิดจะบอกอาจารย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย

          “อืม.......งั้นถือว่านี่เป็นสินบนละกัน” พูดจบ ซูเลียก็โยนบัตรอะไรสักอย่างมาให้ผม มันเป็นบัตรสีขาวมีรวดลายสีทองเป็นรูปราชสีห์สองตัวกางปีกเข้าหากัน ตรงกลางเป็นดาบคว่ำลง

          “งั้นพวกเราไปก่อนละ ยังมีธุระสำคัญต้องไปทำอีก หวังว่าอีกไม่นานพวกเราคงได้เจอกัน” ซูเลียพูดก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่ยังมิวายหันมาถามชื่อผมอีก

          “ราซิส เพอซิเรีย” ผมว่าพวกเขาดูน่าไว้ใจพอสมควรจึงบอกชื่อจริงไปโดยไม่ปิดบัง

          “เพอซิเรีย......งั้นหรอ อือ พวกเราจะจำไว้ให้แม่นเลยละ ราซิส เพอซิเรีย ฮาๆๆ” ทวนชื่อผมเสร็จเขาก็หัวเราะอีกยกใหญ่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อผมมันมีอะไรน่าขำนักหนา

          แต่ก็ดีแล้วหละที่พวกเขาไปได้สักที คนแปลกๆ แบบนั้นขืนอยู่บ้านผมต่อมีหวังได้นำเรื่องวุ่นวายมาให้แน่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×