คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
ในคืนที่ฝนตกกระหน่ำ ท้องฟ้ากรีดเสียงร้องคำรามราวจะประกาศสักดา
ทั้งๆที่ไม่ควรจะมีใครหรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตตัวไหนออกมาเดินเพ่นพ่านในยามนี้ แต่กลับมีคนกลุ่มนึงยืนนิ่งประจันหน้ากัน กลุ่มแรกมีประมานสิบคนได้แต่อีกกลุ่มนี่สิมีแค่สองคนแถมาสองคนที่ว่าหนึ่งในนั้นยังสลบสะไหลไม่ได้สติอีก ถือว่าเป็นคราวซวยของอีกคนจริงๆ
ตาชักเริ่มพร่าแล้วสิ ชายผมยาวไว้หนวดไว้เคราหน้าเหมือนมหาโจรคิดก่อนจะเหร่ตามองเด็กหนุ่มอีกคนข้างตัว
ขณะยังไม่ทันตั้งตัวอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาเตรียมเอาเล็บที่ยาวจนผิดปรกตินั่นแทงทะลุพุงคนผมยาวที่ใกล้จะไปเฝ่าพระอินเต็มที
ก่อนที่เล็บนั้นจะมาถึงตัวคนผมยาวหน้ามหาโจรเขาก็เห็นแสงสว่างวาบเสียจนแสบตามาจากด้านหลังเจ้าพวกนั้น ในใจพลันคิดว่าตัวเองคงได้เวลาไปอยู่กับพวกลูกน้องของตนที่ร่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่จะติดก็ตรงคนหัวเขียวที่สรบอยู่ข้างตัวนี่แหละ ถ้าหากตัวตายไปแล้วจะปกป้องเจ้าเด็กนี่ได้ยังไง.....
กรร!!!
“ฮ้าว ~” ผมหาวเป็นรอบที่สิบของวันได้แล้วมั้ง การเรียนนี่มันหน้าเบื่อชะมัดเลย ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไรจริงๆ ผมว่าหลายๆคนคงคิดเหมือนผม
พวกนั้นจะให้เราหารูทไปคิดราคาอาหารรึไงกัน หรือจะให้พวกเราเรียนเรื่องอะตอมไปสร้างระเบิดนิวเคลีย?
แต่จะว่าก็ว่าเถอะนะผมไม่ได้จะโม้แต่อย่างใด ที่จริงแล้วเรื่องพวกนี้หรือต่อให้ยากกว่านี้อีกสิบเท่าผมก็ทำข้อสอบได้สบายๆเพียงแต่ว่าที่มันจะตกแหล่ไม่ตกแหล่นั่นผมจงใจต่างหาก ไม่ได้โม้จริงๆไอคะแนนแบบห่วยแต่กแบบสุดๆนั่นนะผมตั้งใจเอง
ไม่ใช่เพราะจะประชดครอบครัวหรือใครทั้งนั้น(อันที่จริงไม่มีครอบครัวหรือใครให้ประชดมากกว่า) ก็แค่ไม่อยากเด่นก็เท่านั้นเอง
จริงปะละ คนที่เรียนห่วยแตกแล้วยังทำตัวเหลวไหลอย่างผมใครเค้าอยากจะมาคบค้าสมาคมด้วย นอกจากคนที่สนิทกันจริงๆเท่านั้นเหละถึงจะรู้ธาตุแท้ของผมซึ่งก็มีไม่กี่คนจนแทบจะยกนิ้วขึ้นมานับได้เลยทีเดียว
ก็นะ ถ้าอยากใช้ชีวิตสงบเรียบง่ายไม่มีใครมาวุ่นวายก็คงต้องทำตัวอย่างนี้เอาไว้ไม่งั้นก็เป็นเหมือนไอเจ้าพวกเด็กบ้าเรียนชอบอวดเก่งอวดรวยพวกนั้น วันดีคืนดีเจอเจ้าพวกระดับบิ๊กบอสที่มีอำนาจมากกว่ามาเรียกไถเงินแถมยังยัดการบ้านให้ทำอีก ไม่ใช่ว่าผมสู้เจ้าพวกนี้ไม่ไหวแต่ขี้เกียดวุ่นวาย สู้ทำตัวเหลวแหลกแล้วหาเพื่อนที่เห็นคุณค่าในตัวเราไม่ใช่แค่ที่ภายนอกและหวังแต่จะหาผลประโยชน์กำไรเข้าตัว มาคุยเล่นดีกว่า
เฮ้อ~ หลังจากหาวก็ต่อด้วยถอนหายใจ ชีวิตผมนี่ชักจะเหมือนคนแก่เข้าไปทุกทีแล้วสิเนี่ย
ก็มันหน้าเบื่อจริงๆนิ คิดดูดิเรียนแต่เลขมาจะครึ่งวันแล้ว เหตุก็เพราะอาจารย์ประจำชั้นคนเก่าลาออกเนื่องจากทนห้องผมไม่ไหวแล้วอาจารย์ประจำชั้นที่เคารพคนใหม่ก็ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ไหนอาจารย์ที่มาคุมพวกเราก็เกิดใจดีไม่อยากให้พวกเราโง เลยสอนเลขมันทั้งช่วงเช้ากันเลยทีเดียว
ผมภาวนาให้เสียงกริ่งดังไวๆและอาจารย์ใหม่มาในคาบบ่าย ซึ่งก็ไม่ต้องให้รอนานเมื่อเสียงในใจผมส่งออกไปสักพักเสียงกริ่งสวรรค์ก็ดังขัดเสียงของอาจารย์ทันที
พวกเราไม่มีใครรออาจารย์อนุอนุญาตสักคนต่างวิ่งออกจากห้องราวเกิดเหตุไฟไหม้ยังไงยังงั้น.......
ยกเว้นก็แต่ผมคนเดียว
ช่วยไม่ได้ก็ผมมันเด็กดีนี่นา.......ชะเมื่อไหร่กันเล่า ไอเจ้าอาจารย์โรคจิตนั่นมันคว้าคอเสื้อผมไว้ได้ก่อนจะก้าวออกจากห้องเพียงเสี้ยววินาที
“นี่! ปล่อยผมนะอาจารย์” โอ้ย จะฆ่าตกรรมเด็กนักเรียนรึไงกันเล่นดึงซะแรงขนาดนี้กลัวผมไม่ขาดอากาศตายหรอครับ แอก ออก
หึ! อาจารย์ส่งเสียงออกมาทีนึงก่อนจะยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ ผมว่าถ้าช้าไปกว่านี้อีกนิดเดียวมีหวังผมได้ไปรายงานตัวกับท่านยมแน่เลย ครูที่ผมรู้จักแต่ละคนโหดกันทั้งนั้น
“เรียกผมไว้ทำ(ซาก)ไมครับ.....หิวข้าวใจจะขาดแล้วเนี่ย” ผมถามแล้วจึงค่อยหันไปจ้องอาจารย์หัวทองและเขาเองก็กำลังใช้ดวงตาสีเขียวมรกตมองผมอยู่.........จากที่สูงกว่า
แงะ ผมไม่ได้เตี้ยน้าก็แค่ยังโตไม่เต็มที่ก็เท่านั้นเอง อายุ 16 สูง 164 ก็พอดีแล้วนิเดี๋ยวอีกหน่อยตัวมันก็ยืดเองแหละ....มั้ง ก็หวังว่ามันจะยืดนะเห็นสูงเท่านี้มาตั้งสองปีและมันยังไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่คนอื่นนี่สิสูงเอ้าสูงเอาจนจะไปแข่งกะเสาไฟหน้าโรงเรียนได้อยู่แล้ว
“ฉันจะให้เธอไปรับอาจารย์คนใหม่ด้วยกันหน่อยน่ะ” พูดประโยคนี้จบพี่แกก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที แน่ใจนะว่าแค่ไปรับอาจารย์ใหม่ไม่ใช่เอานักเรียนไปฆ่าหมกส้วมสาธารณะที่ไหนสักแห่ง ผมละไม่ไว้ใจพี่แกจริงๆ งานแต่ละอย่างที่ให้ผมทำงามหน้ากันทั้งนั้น ดูสิตาขวาผมกระตุกใหญ่แล้วเนี่ย
“แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วยละคนอื่นมีกันตั้งเยอะตั้งแยะ” นั่นสิทำไมต้องเป็นผม พวกผูหญิงมีกันตั้งเยอะ.......เอ่อ ตั้ง 8 คน แล้วอาจารย์คนใหม่ก็เป็นผู้ชายแถมผมยังได้ข่าวมาว่าหล่อมากด้วย เพราะฉะนั้นผมว่าให้พวกเธอไปพวกเธอคงเต็มใจเป็นแน่แท้ ดีไม่ดีอาจจะตบกันเลยด้วยซ้ำ
“ก็เพราะ แก-เป็น-หัว-หน้า-ห้อง นะสิ” อาจารย์แกใช้สายตาที่เหมือนจะบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่หน้าถาม
ผมจี๊ดเลยครับ จารย์พูดแบบนี้เอามีดมาแทงกันดีกว่าผมอุตส่าห์ทำเป็นลืมไปแล้วเชียว ใช่ว่าผมอยากเป็นซะเมื่อไรไอตำแหน่งหัวหน้าห้องเนี่ย เหนื่อยก็เหนื่อย (อันที่จริงผมใช้เพื่อนตลอดอะ) ไม่คุ้มเลยสักนิดเดียว แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะผมดันดวงซวยจับได้ใบแดงพอดี เจ้าตำแหน่งหัวหน้าห้องสามปีซ้อนก็เลยตกเป็นของผมไปโดยปริยาย
เฮ้อ~ ช่างหน้าเศร้าดีแท้
ถ้าเป็นอาจารย์คนอื่นผมคงเมินไปแล้วละ แต่กับหมอนี่ขืนเมินละก็ชีวิตผมพังไปทั้งชีวิตแน่นอน เพราะดันโดนล้วงความลับระดับชาติมาซะนี่
ส่วนไอความลับที่ว่านี่ผมขอไม่บอกดีกว่า
“แล้วอาจารย์จะไปที่ไหนละ” ขอให้มันไม่ไกลมากก็พอเพราะถึงแม้ว่าโรงเรียนนี้จะให้เวลาพักถึงสองชั่วโมงเต็มแต่ผมก็อยากหาเวลาว่างเพื่อนอนต่อไม่ก็ไปสุงสิงกับเพื่อนๆในกลุ่มหาอะไรอร่อยๆกิน แต่ดูเหมือนอาจารย์จะไม่ต้องการให้ผมมีเวลาว่างมากนักเลยเลือกไปซะไกลเชียว
“สนามบินนอกเมืองน่ะ......ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย เดี๋ยวขากลับจะพาไปเลี้ยงซันยู” อาจารย์รีบพูดดักไว้ก่อนเมื่อเห็นผมเบะปากน้ำตาไหลพรากๆเหมือนญาติสักคนเสีย(เอ็งมีญาติให้เสียด้วยเรอะ)
ผมหูผึ่งทันที ซันยู~ ร้านขนมชื่อดังอันดับหนึ่งของเมืองและเป็นอันดับห้าของโลกที่นอกจากขนมแล้วยังมีอาหารอื่นๆอีกมากมายหลากหลายให้เลือก ว่ากันว่าถ้าอยากกินร้านนี้ละก็ต้องจองเป็นเดือนแถมไม่แน่ว่าจะได้กินรึเปล่ายังไม่รู้เลย
โอ้ว......การเป็นหัวหน้าห้องนี่มันดีจริงๆเลยเชียว!
สนามบินยังคงวุ่นวายเหมือนเดิม นี่ถ้าไม่สังเกตให้ดีๆจะไม่รู้สึกถึงความผิดปรกติของมันเลยสักนิดเดียว แต่พอดีผมมันเป็นคนช่างสังเกตเลยรับรู้ได้ทันทีที่เดินเข้ามาภายในนี้
หัวหน้าแก๊งมาเฟียระดับประเทศคนไหนจะเดินทางมาแถวนี้รึไงกันฟะ! ที่ผมคิดแบบนี้ก็เพราะ 30% ของคนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่นอน ดูได้จากเฮดโฟน อาวุต สายตาและสีหน้าของแต่ละคนแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในดงมาเฟียยังไงยังงั้นเลย
“นิ อาจารย์คนที่อาจารย์มารับคงไม่ใช่เจ้าพ่อแก๊งมาเฟียหรือลูกรัฐมนตรีคนไหนหรอกนะ” ผมกระซิบกับอาจารย์หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าคนพวกนั้นจับจ้องพวกผม.....ไม่สิอาจารย์ของผมมากเป็นพิเศษ
จะว่าเป็นเพราะอาจารย์เหมือนผู้ใช้รูนก็ไม่หน้าใช่เพราะมันไม่เหมือนสายตาจ้องจับผิดหรือหาเรื่องแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นสายตาอยากรู้อยากเห็นปนชื่นชมเสียมากกว่า
ผมว่าอาจารย์คนนี้มีปริศนามากมายอยู่แล้วเพิ่มมาอีกสักเรื่องสองเรื่องก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“หึ หึ ฉันมั่นใจว่ายิ่งกว่าที่เธอคิดอีกนะราซิส” ผมไม่ชอบเสียงหัวเราะแบบนี้ของอาจารย์เลยให้ตายสิ โดยเฉพาะการที่อาจารย์เรียกชื่อเต็มของผมทีไรเป็นต้องมีงานหินตกมาใส่หัวผมทุกทีเลยสิน่า
“ซอน!!!” ผมได้ยินเสียงเหมือนใครสักคนคำรามเรียกชื่ออาจารย์ จากนั้นก็รู้สึกว่าอาจารย์มากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูผม
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจที่อาจารย์พูดสักเท่าไรแต่พอได้เห็นอาจารย์ ‘ลอยละลิ่ว’ ไปกระแทกกำแพงที่อยู่ห่างออกไปอีกเกือบห้าเมตรผมก็ใจกระตุกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
และที่หน้าใจหายกว่านั้นคือตรงหน้าอาจารย์มีใครบางคนยืนถือปืนจ่ออยู่ แบบพร้อมจะเหนี่ยวไกใส่เต็มที่
‘ถ้าฉันมีรอยขีดข่วนแม้แต่นิด...เธอได้มีงานเพิ่มแน่’
อ้าก~ แค่งานที่อาจารย์โยนมาสุมหัวผมในตอนนี้มันยังไม่พออีกหรือไง
อ๊ะ! เดี๋ยวดิ ถ้าอาจารย์ตายชีวิตผมก็เป็นอิสระ ไม่ต้องโดนกดขี่ข่มเหง ไม่ต้องกลัวว่าความลับจะรั่วไหล.....แล้วน้องๆในโบสถ์ผมจะเอาอะไรกินละ? ถึงงานจะหนักแต่อย่างน้อยเงินที่ได้มาก็ขาวสะอาด แถมยังมากพอจะประทังชีวิตพวกของผมน้องๆได้ อันที่จริงผมมีวิธีหาเงินที่ดีกว่านี้ แต่ก็นะเงินที่ได้มาง่ายๆมักจะไม่สะอาดนัก
ตัดสินใจไดแล้วผมจึงพุ่งเข้าไป ยันโครมเข้าให้กลางหลังผู้ชายคนนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คนรอบค้างที่คาดว่าน่าจะมารอรับเขาเช่นกัน แต่หลังจากพวกเขาตั้งสติได้ปืนทุกกระบอกเท่าที่มีก็เล็งมาทางผมลูกเดียว ส่วนชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องก็พากันกรีดร้องแล้วพากันวิ่งออกสนามบินไป
“เฮ่ย!! เจ้าหนูสู้เต็มที่เลยเดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง” อาจารย์ซอนตะโกนมาจากที่ไกลๆ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ไหน
เยี่ยม ทีนี้ก็ไม่มีใครมาเกะกะ ผมก็จะได้สนุก เอ้ย! สู้อย่างเต็มที่ อีกอย่างหนึ่งสู้อย่างเต็มที่นี่หมายความว่าผมสามารถใช้รูนได้ด้วย โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนจับ
ปัง! เสียงสัญญาณการต่อสู้เริ่มขึ้น ผมจึงหันกลับไปซัดพลังรูนใสเจ้าคนที่ยิงคนแรกจนมันล้มลง แล้วจึงใช้ ‘หาง’ ใช่แล้ว คุณฟังไม่ผิดหรอก หางจริงๆ หางสีขาวตรงปลายเป็นพุ่มเหมือนหางสิงห์ที่ยาวมากกว่าครึ่งตัวของผมกวาดรวบอาวุธที่อยู่บนมือพวกนั้นทั้งหมดทิ้ง
ผมได้ยินเสียงพึมพำของบางคนว่า ‘เซอร์ไวเวอร์ รูน’ แน่หละที่พวกนั้นจะตกใจ ในเมื่อผู้ที่มีพลังของรูนอยู่ในตัว อย่างน้อยไม่ตาก็ผมมักจะมีสีประหลาด โดยเฉพาะดวงตาที่เห็นได้ชัดที่สุด หากคนที่ดูเป็นมองทีเดียวก็รู้ได้ในทันทีเลยเพราะดวงตาของผู้ที่ใช้รูนนั้นจะเป็นประกายมากกว่าคนปรกติ และยิ่งดูในที่มืดก็จะยิ่งเห็นมันเลืองแสงจางๆ ส่วนเส้นผมนั้นก็ดูไม่ยากเช่นกัน เพราะคนที่มีพลังรูนในตัวนั้นสีผมจะค่อนข้างประหลาด มีตั้งแต่สีดำไปจนถึงฟ้าเลยทีเดียว แต่ก็ดูไม่เหมือนผมย้อม ยกตัวอย่างคนที่ผมดำ ก็จะไม่ใช่แค่ดำธรรมดาแต่ดำสนิทเหมือนรัตติการที่ไร้สิ้นซึ่งแสงสว่าง หรืออย่างอาจารที่แม้หัวสีทองก็ไม่ใช่สีประหลาดนัก แต่ของอาจารย์นั้นกลับเหมือนทองจริงๆ เหมือนกับว่าผมทุกเส้นนั้นของอาจารย์ทำจากทอง (ผมเคยกะจะดึงไปขายสักสองสามเส้นแต่กลับโดนอาจารย์จับได้ซะก่อน)
แต่ของผมนั้น หัวก็ดำปรกติ ตาก็ดำปรกติแต่อยู่ดีกลับเปลี่ยนเป็นสีขาวซะงั้นอะ ผมว่าเจ้าพวกนั้นคงต้องคิดแบบนี้แน่นอน
อันที่จริงผมก็เหมือนผู้ใช้รูนทั่วไป สีผมกับสีตาไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เส้นผมของผมเป็นสีขาว ไม่ใช่ขาวเหมือนผมหงอกนะ แต่เป็นขาวแบบสีขาวบริสุทธิ์ ขาวยิ่งกว่าหิมะและสว่างยิ่งกว่าแสงสว่าง ส่วนตากก็...เป็นสีทอง สีทองที่สวยยิ่งกว่าทองคำ ผมจำได้ว่าน้องชายของตัวเองเคยบอกแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้เจอเขามาตั้งแปดปีแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นไงมั่ง
กลับเข้าเรื่อง เพราะผมใส่แว่น แต่แน่นอนมันไม่ใช่แว่นธรรมดา แต่มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ผสมผสานระหว่างเวทย์มนต์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน เป็นหนึ่งใน ‘ของเล่น’ ที่คุณพ่อในโบสถ์ประดิษฐ์ขึ้น พี่แกบอกว่ามีอันเดียวในโลก ให้รักษาเท่าชีวิต ไม่งันแกจะมาเอาชีวิตผมไปเอง
สู้กันไปสู้กันมาจากเกือบๆห้าสิบคนก็เหลือรอดแค่สิบกว่าคน เจ้าพวกนั้นเริ่มถอยแล้ว คงรู้ว่าไม่มีทางสู้กับเซอร์ไวเวอร์ได้ละมั้ง
เซอร์ไวเวอร์ ตรงตามความหมายของมัน แปลว่าสิ่งที่เหลืออยู่ หรือผู้ที่เหลือรอด เรียกได้ว่าผู้ที่เป็นเซอร์ไวเวอร์นั้นหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ถ้าหากตีความเป็นเปอร์เซ็นละก็ ผู้ที่ใช้รูนในโลกนี้ก็มีแค่ประมาณ 40% แถมที่ใช้ได้จริงๆยังมีแค่ 30% และพวกที่เป็นเซอร์ไวเวอร์ยังมีไม่ถึง 5% เรียกได้ว่าเป็นของหายากแบบสุดๆ ที่ทางศาสนจักรเห็นแล้วต้องตาวาวเพราะเซอร์ไวเวอร์ถือเป็นข้ารับใช้สูงสุดของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นไกอาเทพแห่งแสงสว่าง รูซิเฟอร์หรือก็คือซาตานเทพแห่งความมืด
ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ไกอาคือพี่ ส่วนรูซิเฟอร์คือน้อง ไกอาดูแลสวรรค์ ส่วนของแสงสว่าง รูซิเฟอร์ดูแลแดนปีศาจ ส่วนของความมืด
มีครั้งหนึ่ง เมื่อนานแสนนานมาแล้ว เกิดสงครามขึ้น ทั้งไกอาและรูซิเฟอร์ต่างก็ต้องต่อสู้กับจอมมาร...โลกิ ทั้งสองท่านทำสำเร็จ แต่ก็ต้องเสียข้ารับใช้ผู้สื้อสัตย์ทั้งหมดของตนไป ซึ่งก็มีกันอยู่ท่านละสิบสององค์
ว่ากันว่าพลังของพวกเขาทั้งหมดแบ่งแยกออกเป็นพันๆส่วน ล่องรอยอยู่ในสายลมและอากาศ รอคอยดวงวิญญาณที่เหมาะสม แล้วรวมกันรอเวลาเกิดเพื่อกลายเป็นเซอร์ไวเวอร์ จิตวิญญาณของเซอร์ไวเวอร์นั้นไม่มีวันตาย เพราะหลังจากร่างเนื้อนั้นหมดอายุขัย วิญญาณของพวกเขาก็จะกลับไปอยู่ข้ากายนายของพวกตน นั่นก็คือ ไกอา และ รูซิเฟอร์เพื่อรอการเกิดใหม่
แต่ก็มีแค่ส่วนของพลังเท่านั้นที่ไปเกิดใหม่ยังโลกมนุษย์ ส่วนของหัวใจและจิตวิญญาณยังคงอยู่กับองค์ท่านทั้งสอง ทั้งไกอาและรูซิเฟอร์ต่างก็คอยดูแลและฟูมฟักจิตวิญญาณเหล่านั้นให้กลับมาดังเดิม เพื่อกลับมารับใช้ท่านทั้งสองอีก
ผู้ที่ใช้รูนได้กับ ผู้ที่เป็นเซอร์ไวเวอร์ ต่างกัน เพราะรูนคือพลังที่พระเจ้าทั้งสองมอบให้มนุษย์ปกป้องตนเองจากเหล่ามารร้ายที่หนีรอดมาจากนรกภูมิ ส่วนเซอร์ไวเวอร์ก็อย่างที่เล่าไปแล้ว
แต่ว่าข้ารับใช้ของมหาเทพทั้งสองที่จริงแล้วไม่ได้มีรูปร่างที่ใกล้เคียงกับมนุษย์เลย พวกเขาอยู่ในรูปคล้ายสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะนก หรือ มังกร และทั้งหมดมี 12 ชนิด
แต่ที่จะไม่มีวันเหมือนก็คือเซอร์ไวเวอร์ที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับสิงโต เพราะราชสีห์นั้นเป็นสัญลักษน์ของมหาเทพทั้งสอง
ผมว่าต้องมีใครสักคนเข้าใจผิดแหงเลย หรือไม่ก็คนที่เก็บข้อมูลเหล่านี้คงไม่เคยเห็นเซอร์ไวเวอร์ที่มีรูปร่างเหมือนราชสีชัว เพราะไม่งันร่างของเซอร์ไวเวอร์ผมทำไมมันถึงได้เป็นราชสีได้ละ ผมว่าต้องมีคนทำข้อมูลตกหายไปที่ไหนสักแห่งแน่แท้ ไม่แน่บางทีข้ารับใช้ของทั้งสองท่านอาจมีสักองค์ที่รูปร่างเหมือนราชสีห์น่ะนะ หรือไม่ก็เศษเสี้ยวพลังของเทพทั้งสองอาจจะกระเด็นหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจก็ได้
แปะๆๆ
เสียงปรบมือดังขึ้นก่อนที่ผมจะได้ต่อยหน้าเจ้าคนสุดท้าย หมอนี่เก่งสุด สู้กับเซอร์ไวเวอร์ด้วยมือเปล่าแถมยังบาดเจ็บแค่เล็กน้อยอีกต่างหาก นับว่าเก่งมากจริงๆ
“ฮาๆๆ พอแล้วละราส ฉันกับนายแพ้แล้ว......เอาละตามที่ตกลงกันเอาไว้ฉันต้องเป็นคนเลี้ยงข้าวนาย” อาจารย์หันไปพูดกับคนที่เพิ่งจะเอาปืนจ่อหัวตัวเองไป เสร็จแล้วก็จิบชาที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนนั่นอีกหนึ่งอึก ส่วนคนๆนั้นก็ได้แต่พยักหน้าแล้วมองมาทางผมเหมือนบอกกลายๆว่าเมื่อไรจะปล่อยลูกน้องเขาไปสักที
“ไปกันเถอะ...หิวแล้ว” คนๆนั้นพูดขึ้นก่อนจะเดินนำไป และก็มีอาจารย์เดินตาม
เอ๋!
เอ๋!
ผมหันไปมองหน้าคนที่ตนเองกำลังกำคอเสื้ออยู่ แล้วก็ได้แต่ร้องออกมาพร้อมกัน ดูท่าเขาเองก็โดนหลอกใช้เหมือนผม
“อะ อาจารย์แล้วคนพวกนี้ละ” จะปล่อยไว้เกลื่อนสนามบินอย่างนี้เหรอ ผมหันไปตะโกนใสอาจารย์ที่เกินไปไกลริบริ่วแล้ว
“เออ ปล่อยไว้งั้นแหละ ใครมีปัญญาตามมาก็เชิญได้เลย”
ในเมื่ออาจารย์บอกให้ปล่อยไป ผมก็ไม่ต้องทำอะไรแค่เดินตามอาจารย์ไปก็พอแล้ว และพอเจ้านั่นเห็นผมเดินไปมันก็เลยเดินตามมาด้วย
เฮ้ย! นี่เอ็งไม่คิดจะห่วงเพื่อนเลยหรือไงฟะ อย่างน้อยหันกลับไปดูสักหน่อยก็ยังดี ไม่ใช่อยู่ๆก็เดินมาแบบนี้ จะไร้น้ำใจไปไหนฟระ
เฮ้อ~
“นี่ๆ อาจารย์ทำไมต้องให้ผมไปอัดคนก่อนกินข้าวด้วยอะ” หลังจากขึ้นรถของอาจารย์แล้วพวกเราก็นั่งกันเงียบๆ แต่ผมว่ามันเงียบไปอะ สองคนนั้นเค้าไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่เงียบอย่างเดียวไม่แม้แต่จะแนะนำชื่อตัวเองด้วยซ้ำ เย็นชาฉะมัด
แต่ไม่เป็นไร พวกเค้าไม่พูดผมก็พูดกับอาจารย์แค่สองคนก็ได้
“เฮอะ เจ้าเด็กโง่ อย่างนี้เค้าเรียกว่าแผนตัดกำลังเฟ้ย แผนตัดกำลัง” อาจารย์บอกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูชั่วร้ายแบบสุดๆ แต่ไอแผนตัดกำลังที่ว่าเนี่ย มันหมายความว่าไงกัน ผมได้ข่าวว่าเจ้าพวกนั้นก็เป็นคนของอาจารย์คนใหม่(น่าจะใช่มั้ง)ไม่ใช่หรอ
“ตัดกำลัง? แต่คนพวกนั้นก็เป็นคนของเขาไม่ใช่หรอฮะ” นั่นดิ แล้วจะไปตัดกำลังพวกเดียวกันเองทำไม
“ชิชะแกนี่น้า ไม่รู้อะไร เจ้าพวกนั้นเป็นคนของหมอนั่นไม่ใช่คนของฉันสักหน่อย แล้วก็อีกอย่างนึงคนเยอะซะขนาดนั้น ต่อให้ตามมาแค่สิบคน มันก็เยอะอยู่ดีนั่นแหละ ฉันไม่ดีใจดีขนาดจะเลี้ยงคนได้เป็นสิบนะเฟ่ย แค่นี้ก็มี ‘ส่วนเกิน’ มาหนึ่งคนแล้ว (ผมว่าผมแอบเห็นเจ้าส่วนเกินนั่นสะดุ้งผ่านกระจกมองหลังด้วยล่ะ) และอีกอย่างนึงถึงเจ้าพวกนั้นไม่กิน แต่มีคนสิบกว่าคนมานั่งมองตัวเองกิน มันอร่อยนักหรือไง”
“อ้อ อย่างงี้นี่เอง งั้นแล้วคราวหน้าผมต้องอัด ‘ส่วนเกิน’ พวกนั้นด้วยรึเปล่า” อืมผมว่าที่อาจารย์ว่ามาก็มีเหตุผลดีเหมือนกัน
“ก็ต้องอัดสิ แต่คราวหน้าต้องอัดให้หมดนะ อย่าให้มี ‘ส่วนเกิน’ มาแม้แต่คนเดียวไม่งั้นนายก็จะโดนแย่งกินและเงินนายก็จะหายไปด้วย” อาจารย์พูดจบก็เอามือมาลูบหัวผม เหมือนปรกติเวลาที่แกจะสั่งสอนอะไรสักอย่าง
“อืม!” ส่วนผมก็ตอบรับตามปรกติ
ปั่ง!!!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ผ่ากลางผมกับอาจารย์พอดี นี่ถ้าหลบไม่ทัน มีหวังมืออาจารย์ได้มีรูเพิ่มขึ้นมาแน่
“ทะ ทำอะไรของแกฟระเจ้าบ้าคาเรียส” อาจารย์โวยวายออกมาทั้งๆที่หน้ายังซีดเผือด แหงละเป็นใครก็ต้องหน้าซีดกันทั้งนั้นแหละ เกือบได้เป็นไอง่อยแล้วมั้ยละอาจารย์ผม
“ชิ ก็แล้วแกสอนอะไรเด็กมันละฟระไอหัวฝอยทอง” อาจารย์คนใหม่....เอ่อ ผมขอเรียกว่าคุณคาเรียสละกันตวาดอาจารย์เสียยกใหญ่ เขาหาว่าอาจารย์สอนสิ่งที่ไม่ดีให้กับเด็ก
ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหนเลยนิ อาจารย์ไม่ได้สอนให้ผมไปปล้ำใครสักหน่อย อีกอย่างนึงอาจารย์ก็พูดถูกกระเป๋าตังอาจารย์ก็เหมือนกระเป๋าตังผม แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปเสียเงินฟรีๆให้กับคนที่ไม่รู้จักด้วยละ
อืม...ก็อยากพูดออกไปอยู่หรอกนะ แต่พอดีว่าผมยังไม่อยากมีหัวเป็นรูสักเท่าไร มันคงไม่งามแน่ๆที่จะพกหัวเป็นรูโบ๋ไปกินอาหารร้านชื่อดังน่ะ
ความคิดเห็น