ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Coffee Break . [ HaeEun ]

    ลำดับตอนที่ #1 : Intro . {Re-write}

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 61






     คำว่า “เลิกรา” อาจเป็นคำที่ทำร้ายคนฟัง .. จนไม่กล้า “เริ่มต้นใหม่”

    คำว่า “แฟนเก่า” อาจเป็นคำที่ทำให้คนฟังพูดอะไรไม่ออก ... จนไม่กล้า “มีแฟนใหม่”

    แต่คำว่า “เลิกรา” ก็อาจจะเป็นคำที่ทำให้ใครบางคนยิ้มได้ ..

    หากสถานะของ “แฟนเก่า” มีคำต่อท้ายว่า “ห้ามมีแฟนใหม่”

    สถานะ : แฟนเก่า ที่ห้ามมีแฟนใหม่


     

    รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าหวานของลีฮยอกแจทำให้กลุ่มลูกค้าประจำพากันอมยิ้มตามกันเพราะความน่ารักสดใสของเจ้าของคาเฟ่ขนาดเล็กใกล้ๆโรงเรียนมัธยมปลายเอกชนแถบชานเมือง

    ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงขาวยาวสีขาวพันผ้ากันเปื้อนเอาไว้ที่เอวหยิบจับชงกาแฟอย่างชำนิชำนาญ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นเข้ากับบรรยากาศยามเช้าวันทำงานในปลายฤดูหนาว

    “วันนี้วันจันทร์ยิ้มแย้มเชียวนะฮยอกแจ”ผู้ร่วมหุ้นเจ้าของร้านกาแฟอีกคนเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักยิ้มหวานตั้งใจชง ‘กาแฟแก้วพิเศษ’ ให้กับคนสำคัญที่จะมาอุดหนุนที่ร้านเฉพาะวันทำงาน

    “อะไรล่ะซองมิน วันจันทร์แล้วไง ลูกค้าเยอะแยะ รีบๆมาช่วยกันชงกาแฟเร็ว”คนโดนแซวเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนจะปิดฝาแก้วกาแฟร้อนเป็นอย่างสุดท้าย เตรียมเอาไว้ให้ลูกค้าคนพิเศษมารับ

    “กาแฟที่ต้องชงก็ชงหมดแล้วไม่ใช่รึไง? หรือต้องตัดเค้กรสใหม่ประจำเดือนนี้ให้ด้วยล่ะ”ซองมินว่าขำๆพลางเหลือบตาไปมองเค้กสีชมพูก้อนโตในตู้โชว์ที่เขาตั้งใจทำเพื่อต้อนรับฤดูแห่งความรักที่กำลังมาถึง

    “อะไรล่ะ ทงเฮไม่ชอบกินเค้กจำไม่ได้รึไง”

    “ก็ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้หรอก แต่เห็นว่าเมื่อวานคุยโทรศัพท์กันไม่ใช่รึไงว่าวาเลนไทน์หมอนั่นจะมาหาตอนเย็นด้วยน่ะ”ยิ่งเห็นเพื่อนรักหน้าแดงก็ยิ่งแกล้งแซวหนักๆ เวลาได้เห็นเพื่อนรักเขินน่ะมันน่าแกล้งที่สุดเลยสำหรับลีซองมิน!

    “อะไร นี่มาแอบฟังชั้นคุยโทรศัพท์ด้วยเหรอ!!!”ฮยอกแจโวยวายแม้พวงแก้มจะขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด ซองมินเห็นดังนั้นจึงหัวเราะลั่น

    กริ๊ง กริ๊งเสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีลูกค้าคนใหม่เข้ามาทำให้ทั้งฮยอกแจและซองมินหยุดเล่นแล้วเอ่ยต้อนรับตามหน้าที่

    “เชิญครับ ^^

    “อรุณสวัสดิ์ฮยอกแจ ซองมิน วันนี้อากาศหนาวเหมือนเดิมเลยเนอะ”ลูกค้าที่เข้ามาใหม่เอ่ยทักด้วยความสนิทสนม ร่างสูงในเสื้อเชิตสีขาวใส่สูทสีดำทับด้วยเสื้อโค้ทสีน้ำตาลอีกชั้น ยูนิฟอร์มเรียบง่ายของอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ที่คุ้นตา

    “อื้อ วันนี้รถติดเหรอ ทำไมมาช้ากว่าปกติล่ะ”ฮยอกแจเอ่ยถามพลางหยิบแก้วคาปูชิโน่ร้อนเครื่องดื่มประจำของคนตรงหน้ายื่นให้

    “อ่อ..ตื่นสายนิดหน่อยน่ะ เมื่อคืนนั่งตรวจข้อสอบย่อยถึงตีสามกว่าแน่ะ”ร่างสูงตอบกลับพลางยื่นค่ากาแฟให้ตามเคยชิน

    ฮยอกแจรับเงินมาใส่ลิ้นชักแล้วยื่นเงินทอนกลับไป บทสนทนาง่ายๆถามสารทุกข์สุขดิบคร่าวๆยามเช้าจบลงเหมือนอย่างเคย ฮยอกแจมองตามแผ่นหลังแกร่งที่เดินออกไปจากร้านจนลับสายตาก่อนจะหันกลับไปมองหน้าซองมินที่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์รอล้ออยู่

    “แหมๆๆ ยิ้มหน้าบานเชียวนะแค่ทงเฮมาน่ะ”

    “เออน่ะ แล้วมันทำไมเล่า มันก็เรื่องของชั้นป่ะ”

    “ก็เปล๊า..ชั้นก็แค่ไม่เข้าใจนายสองคนก็แค่นั้น”ซองมินว่าพลางยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับฝาครอบเค้กในตู้โชว์ที่เริ่มขึ้นฝ้า มืออวบเปิดตู้เข้าไปคว้ามันออกมาเช็ดทำความสะอาด

    “จะถามเรื่องนั้นอีกล่ะสิ ก็บอกแล้วว่ามันเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย”ฮยอกแจตอบตามที่คิด ร่างบางไล่ดูบัญชีที่ตัวเองจดพร้อมกับนับจำนวนกาแฟที่ขายไปได้ทวนอีกรอบ

    “ไม่มีอะไรตลอดอ่ะ ถามจริงเลิกกันไปแล้วยังคุยยังไปมาหาสู่กันแบบนี้ไม่รู้สึกเจ็บแปลบ สยิว หรืออยากกลับไปเป็นแฟนหรอ”ซองมินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    “ก็.. มีบ้าง”ฮยอกแจตอบผ่านๆ ยังคงให้ความสนใจกับเลขจำนวนบนแผ่นกระดาษไม่เปลี่ยน

    “แล้วทำไมไม่กลับมาคบกันวะ?”

    “เป็นแบบนี้ก็ดีไม่ใช่หรอ? เป็นแฟนเก่า .. ที่ทั้งคู่ก็ไม่มีแฟนใหม่”

    “แบบนี้ก็หมายความว่าถ้ามีคนมาจีบมายุ่งกับทงเฮก็ไม่หึงหรอ?”

    “หื้ม..”

    “เอ่อ..ก็แบบ..มันไม่มีสิทธิอะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ..”

    “อ้อ..ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้ง .. มันก็หวงก็หึง แต่ก็ทำอะไรได้ที่ไหน”

    “เฮ้ยยย แกพูดแบบนี้ดูโคตรพ่อพระอ่ะ ทำใจได้อ่อวะเวลามีคนมายุ่งกะทงเฮอ่ะ”

    “หึ”ฮยอกแจสายหน้ารัว ทำเอาคนที่กำลังฟังขมวดคิ้ว บอกไม่มีสิทธิหึง ไม่หวง แต่ก็ทำใจไม่ได้ ตกลงมันแปลว่ายังไงวะ?

    “เอ้า แกหมายความว่าไงวะ”

    “หวง หึง ไม่ชอบ แต่ก็.. ทำใจว่ะ ก็ทำไงได้ .. ก็เป็นแค่แฟนเก่านี่หว่า”ฮยอกแจยักไหล่น้อยๆ ซ่อนความเจ็บแปลบเล็กๆที่เกิดขึ้น ต่อให้คิดมากแค่ไหน มันก็ต้องทำใจแหละนะ .. ทำยังไงได้ ..แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า

    “แล้วแกสองคนมีเหตุผลอะไรที่จะทำแบบนี้วะ? คบก็ไม่คบ จะเลิกเด็ดขาดก็ไม่เด็ดขาด แถมท่าทางก็ยังดูเหมือนรักกันอีก ไม่คลุมเครือไปเหรอ?”

    “เฮ้อออ.. ก็บอกแล้วไงว่ามันมีเหตุผลของมัน จริงๆแม่งโคตรคลุมเครือ มันอึดอัด โคตรจะอึดอัดเลยแหละ แต่มันก็มีเหตุผลที่ไม่ควรกลับไปคบกันอีกนั่นแหละ ถ้าคบกันมันค ถ้าจะตัดขาดกันไปเลย ความรู้สึกที่มีมันก็ตัดไม่ได้อีกนั่นแหละ”

    “แกนี่มัน.. โคตรนายเอกซีรี่ย์เลยอ่ะ ชั้นว่าให้ใครพาตัวแกไปแคสสักทีสองทีคงได้ไปฮอลลิวูดอ่ะ”

    “เอ้อ.. พูดแบบนี้ก็พ่อพระ แบบนี้ก็นายเอก พูดแบบไหนมันถึงจะเป็นคนปกติได้วะ”ฮยอกแจบ่นอุบเมื่อเพื่อนรักเอาแต่ถามนู่น ว่านี่ เปรียบเทียบนั่นอะไรอยู่ได้

    “แกก็ขอเขาคบไปเลยดิ มันถึงเป็นแบบคนปกติ”

    “ไร้สาระว่ะ ก็บอกแล้วไงว่ามันมีเหตุผลที่คบกันไม่ได้”

    “แล้วถามจริง .. แกกับทงเฮเลิกกันเพราะอะไรวะ?”

    “แกเป็นนักข่าวปาปารัซซี่หรอ? ทำไมอยากรู้เรื่องชีวิตชั้นจัง”ฮยอกแจถามพลางยกไม้พายที่ใช้สำหรับปาดหน้าเค้กขึ้นหมายจะเคาะหัวเพื่อนรักหนักๆสักที มันจะเซ้าซี้อะไรกันนักกันหนาวะ!

    “เออ..ก็อยากรู้นี่หว่า..ตอนรักกันก็โคตรหวานชื่น หวานจนชั้นเองยังรำคาญเลย แต่พอทะเลาะกันทีก็แทบจะฆ่ากันตาย แต่พอจะเลิกก็เสือกเลิกง่ายๆไม่บอกใคร แล้วใครจะตามทันล่ะ”

    “เออ.. ก็มันมีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยนั่นแหละ ความจริง.. ช่วงนี้มันเรียกว่ากำลังดูๆใจอยู่แหละ...มั้งนะ”ฮยอกแจเอ่ยเรียบๆ

    “ดูๆใจ? เหอะ ตลกไปป่ะ”

    “ตลกบ้าอะไรล่ะ ก็พูดจริงอ่ะ”

    “เออๆ ไม่ถามเซ้าซี้แล้วก็ได้วะ แล้วนี่แกจะทำเค้กอะไรอ่ะ ชอตเค้กหรอ?”ซองมินถามเมื่อเห็นเพื่อนรักเปิดตู้เย็นไปเลือกครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก

    “อยากลองทำชาเขียวอ่ะ ลองทำได้ป่ะ อร่อยไม่อร่อยให้แกชิม”

    “โหววว แกก็รู้ว่าชั้นไม่ชอบชาเขียว”

    “ทำอย่างกะชั้นชอบนั้นแหละ”ฮยอกแจสวนกลับ

    “แล้วแกจะทำทำไมวะ? ทรมาณคนชิมตายชัก”

    “ก็แค่อยากลองทำรสใหม่ๆที่ไม่หวานมาก เผื่อคนที่ไม่ชอบกินหวานไง”ฮยอกแจว่าพลางหยิบกล่องวิปครีมและเครื่องตีส่วนผสมออกมาวางเตรียมพร้อม

    “ไอ้คนนั้นที่แกหมายถึงนั่นหมายถึงลีทงเฮป่ะวะฮยอกแจ”

    “ก็ไม่ได้ระบุนี่ว่าใคร ทำไม? คนที่เกลียดรสหวานจะมีแค่ทงเฮคนเดียว?”ฮยอกแจเลิกคิ้วมองกวนๆ ซองมินเห็นสีหน้าเพื่อนก็ขี้เกียจจะเถียงด้วยจึงถอนหายใจเสียงดังแล้วเดินเลี่ยงไปจัดของหลังร้าน

     

    ฮยอกแจที่ชอบทดลองทำรสเค้กใหม่ๆลองเทผงนู่นผสมนี่ใส่กะตามสีกลิ่นที่น่าจะให้รสชาติที่พอดี เครื่องตีผสมอาหารค่อยๆตีวิปครีมสีเขียวอ่อนค่อยๆฟูขึ้น กลิ่นอ่อนๆของใบชาที่ใส่ทำให้ฮยอกแจอมยิ้มกับผลงานที่ทดลอง

    “เห้เห้เห้!! ทำเค้กใหม่เหรอวันนี้น่ะ”ลูกค้ารายประจำอีกคนที่เปิดประตูเสียงดังเข้ามาทักทาย ร่างเพรียวในชุดเสื้อยืดแขนยาวสบายๆกับกางเกงขายาวขาดลุ่ยสีดำสนิท ผมดัดหยิกๆที่ยาวออกโผล่พ้นจากหมวกใบสีแดงสดทำให้ฮยอกแจจำได้ทันทีว่าเป็นใคร

    “อ้าว พี่ฮีชอล สวัสดีครับ”ฮยอกแจทักผู้มาใหม่อย่างสนิทสนม

    “อื้อ วันนี้ทำเค้กอะไรเนี้ย สีเขียวอี๋เลย ชาเขียวหรอ หรือวาซาบิ?”

    5555 ชาเขียวสิพี่ คงไม่มีใครอยากกินเค้กวาซาบิหรอกมั้ง ^^ พี่อยากลองกินมั้ยครับ? ช่วยผมชิมหน่อยสิผมเพิ่งลองทำครั้งแรกน่ะ”

    “ห๊ะ? เพิ่งลองทำแล้วให้พี่ชิมเนี้ยนะ?”ฮีชอลถามเสียงสูง แต่ก็เอื้อมแขนผ่านเค้าท์เตอร์มาปาดครีมสีเขียวที่ติดตามขอบโถปั่นเข้าปาก

    “แค่ก.. นี่มันครีมเค้กหรือถ้วยชาเนี้ย ทำไมมันขมแบบนี้”ฮีชอลบ่นอุบ

    “ไม่เห็นจะขมขนาดนั้นซักหน่อย กินหวานมากๆเดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก”เสียงหวานจากผู้มาใหม่ที่จู่ๆก็ถือวิสาสะชิมครีมสีอ่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต คำวิพากษ์วิจารณ์ที่หักหน้ากันทำให้ฮีชอลตวัดสายตาใส่

    ใบหน้าคมติดไปทางหวานนิดๆ เข้ากันกับทรงผมสั้นระคอสีน้ำตาลอ่อนสีเดียวกับดวงตาสีชา รอยยิ้มมุมปากคล้ายจะท้าทายอีกคนทำให้ฮีชอลรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ไหนจะเสื้อผ้าสีขาวเหมือนกับเด็กอนามัยแบบที่ฮีชอลไม่ชอบอีก

    “เห..อย่างนั้นเหรอครับ รสชาติมันโอเคแล้วจริงๆเหรอ”ฮยอกแจถามอย่างกระตือรือร้น เมื่อนึกถึงคำชมของผู้มาใหม่ได้”

    “ก็อยากทำเค้กให้คนที่ไม่ชอบกินหวานกินไม่ใช่เหรอ ประมาณนี้ก็พอแล้วล่ะมั้งถ้ากินกับชาหรือกาแฟ หวานกว่ามีหวังแสบลิ้นตายชัก”ร่างโปร่งจงใจเหน็บแนมร่างที่กำลังถลึงตามองใส่เขาไม่วางตา ดวงตาคู่สวยตวัดมองตอบคนหน้าสวยไม่ยอมแพ้

    “อ้าววว พี่จองซูมาถึงแล้วเหรอครับ ทำไมมาเร็วจัง”เสียงใสๆของซองมินทำให้สงครามประสาทผ่านสายตาถูกระงับลง แล้วหันไปให้ความสนใจกับซองมินแทน

    “นี่รู้จักกันด้วยเหรอเนี้ย”ฮีชอลถามซองมินพร้อมกับชี้ไปทางคนตาสวยอย่างไม่อยากเชื่อ

    “ครับ ^^ พี่จองซูเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยผมน่ะครับพี่ฮีชอล เอ..น่าจะรุ่นเดียวกับพี่มั้งครับ”ซองมินตอบพลางซื่อ หาได้รู้ไม่ว่าตอนนี้ฮีชอลกำลังรู้สึกควันพุ่งปรี๊ดออกหูกับท่าทางกวนโมโหของคนที่เพิ่งรู้จัก

    “นายชื่อฮีชอลเหรอ? ชั้นชื่อจองซูนะ เกิดปี 83 แล้วนายล่ะ?”จองซูถามพลางยื่นมือไปหมายจะได้เพื่อนใหม่ แต่คนตาสวยก็ต้องยิ้มเก้อเมื่อฮีชอลไม่มีท่าทีจะอยากสัมพันธไมตรีด้วย

    “ก็ปีเดียวกันนั่นแหละ ไม่ต้องมาแอ๊บเสียงทำอยากรู้จักกับฉันหรอก ไม่ได้อยากรู้จัก”

    “อย่าเถียงกันสีครับพี่สองคน นี่เพิ่งรู้จักกันเองไม่ใช่เหรอ ใจเย็นๆสิครับ”ซองมินรีบห้ามศึกของรุ่นพี่ทั้งสอง ก่อนจะเหลือบหันไปมองเพื่อนรักที่ไม่มีวี่แววว่าจะมาช่วยห้ามศึกอะไรเลยสักนิด

    แต่แล้วซองมินก็ต้องพบกับ...

    ร่างบางที่ยืนปาดหน้าเค้กชิ้นใหม่สีหน้าระรื่นไม่ได้รู้สึกรู้สาสนใจโลกภายนอกสักนิด มือข้างนึงก็ถือโทรศัพท์มือถือพิมพ์ข้อความส่งหาใครบางคนที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร

    “เฮ้อออ คนอินเลิฟมันน่าหมั่นไส้ซะจริ๊ง”ซองมินพึมพำพลางส่ายหน้า ทั้งนึกอิจฉา ทั้งเหนื่อยใจ คนนึงก็อินเลิฟไม่สนใจภายนอก อีกคนก็เอาแต่หาเรื่องเถียงกันทำเหมือนว่ารู้จักกันมานานหลายปี

    คนกลางอย่างลีซองมิน ‘ปวดหัว!!’

     

    ข้อความบนหน้าจอมือถือปรากฏขึ้นโต้ตอบกันไปมาอย่างรวดเร็วตามประสาคนติดแชท

    leehj: 'ทงเฮ เย็นนี้เลิกงานแล้วมาที่ร้านหน่อยได้มั้ย'

    leedh: 'xD ทำไมเหรอ มีอะไรพิเศษอย่างนั้นเหรอ'

    leehj: 'อื้ม รีบๆมาละกันน่า'

    leedh: 'โอเคๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวเลิกสอนตอนคาบ 8 แล้วจะไปหานะ'

    leehj: 'อื้อ ตั้งใจสอนล่ะ สู้ๆ <3'

    leedh: 'โอเคครับ ฮยอกแจก็เหมือนกันนะ สู้ๆ <3333'

    ร่างบางเงยหน้าจากโทรศัพท์ก่อนจะระบายยิ้มกว้างชวนให้อีกสามคนที่ยืนอยู่เบ้ปากมองบนใส่

    "ไหนบอกเลิกกันไปแล้วไง แล้วไอ้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่มันเพราะหมาตัวไหนเนี่ย"ฮีชอลเหน็บแนมเพราะรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ มือเรียวพยายามแย่งมือถือจากมือเล็กของฮยอกแจ แต่เจ้าตัวก็รีบจัดการยัดมันใส่กระเป๋ากางเกง แล้วอมยิ้มไม่พูดอะไรต่อ

    "ขี้เสือกอะ"จองซูพึมพำเบาๆจงใจให้ฮีชอลที่อยู่ใกล้ได้ยิน ก่อนที่สงครามย่อมๆจะเกิดขึ้นอีกครา ในขณะที่ซองมินได้แต่กุมขมับสลับมองเพื่อนรักที่มัวแต่ทำเค้กยิ้มแล้วยิ้มอีกจนกลัวว่าจะเป็นบ้า สลับรุ่นพี่ทั้งสองที่เพิ่งรู้จักกันแต่เอาแต่เถียงกันไม่หยุดหย่อน

    'เฮ้ออ..นี่มันแค่เริ่มต้นแล้วมันจะรอดมั้ยเนี้ย = ='

     

    Talk’ 2018/1/31

    สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่หายไปนานเลย .. แนนจะกลับมารีไรท์เรื่องนี้ และแต่งต่อนะคะ : )

    ขอโทษที่ปล่อยให้ทุกคนรอกันนานถึง 4 ปี แนนจะกลับมาต่อจนกว่าเรื่องนี้จะจบไปในที่สุดนะคะ อาจจะมีคนรอ หรืออาจจะไม่มีแล้ว แต่ยังไงก็ .. ต้องฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

    แนนจะไม่ลบตัวบทความตอนต่อๆไป เพราะบอกตรงๆว่าเสียดายเม้น แฮะๆ แต่จะใช้วิธีอีดิทลบเนื้อหาออก แล้วค่อยๆรีไรท์ไปใหม่เรื่อยๆนะคะ สาเหตุที่แนนต้องรีไรท์ คือ ... พอกลับมาอ่านภาษาตัวเองในตอนนั้นแล้วรู้สึกว่าเด็กน้อยมากกก และคิดว่ามีหลายๆตรงที่ดูโลกสวย ไม่เข้ากับคาแรกเตอร์ของผู้ชายวัยกลางคนเลยสักนิด จึงต้องทำการเกลาภาษากันใหม่เนอะ มาสู้ไปด้วยกันน้าาาาาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×