คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : +เรื่องที่ 1 ::: แต่งงานกับพี่นะครับ (จบ)
ก๊อก! ก๊อก!! ก๊อก!!!
เสียงบางอย่างดังขึ้นจากหน้าประตู สร้างอารมณ์ขุ่นเคืองให้ผมเป็นอย่างมาก...ใครนะ รบกวนช่วงเวลาเช้าวันหยุดอันแสนสุขจริงๆ...
ถึงจะแอบบ่นในใจ แต่ผมก็จำใจต้องลุกจากเตียงโปรดไปเปิดประตูต้อนรับผู้มาใหม่ตามารยาท (ที่ไม่ดีนัก) หน้าตาเผ้าผมรุงรัง ฟันไม่แปรง น้ำไม่อาบ และที่สำคัญที่สุด...ผมไม่นิยมใส่เสื้อและกางเกงเวลานอน...
หากก่อนออกไปเปิดประตู ผมก็ยังมีสติสัมปชัญญะพอที่จะหาผ้าเช็ดตัวมาปิดบังส่วนล่าง เดินงัวเงียงึมงำปลดล็อคประตูหน้าห้อง แล้วประตูบานนั้นก็ถูกผลักจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม้บานใหญ่ แถมแข็งสุดๆ ชนปั้งกับศีรษะที่มีความแข็งน้อยกว่า
“โอ๊ย! ใครวะ!!!” ผมร้องขึ้นอย่างหงุดหงิด แค่มาเคาะประตูแต่เช้าก็อารมณ์เสียพอแล้ว...แล้วนี่อะไร จู่ๆ ก็มาโดนประตูตบหน้า โอย...ใครกันนะช่างชั่วร้ายนัก งานนี้สงสัยได้มีด่ากันสักหน่อยล่ะ
“อ๊ายยย! พี่กิตติ์...รสขอโทษ”
“อ่อ...เฮอะๆ ไม่เป็นไรครับ”
จากตอนแรกที่กะจะด่าให้แหลก กลับเปลี่ยนเป็นต้อนรับขับสู้เธอเป็นอย่างดี...ก็ใครจะกล้าด่าคนรักของตัวเองล่ะ เธอยิ่งงอนเก่งอยู่ ขืนพลั้งปากไป มีหวังผมต้องไม่ได้เจอหน้าเธออีกแน่
ผมเชิญรสรินเข้ามาให้ห้องเช่าสุดหรู (แต่รกสุดๆ) ของตัวเอง หาน้ำหาท่าให้เธอเป็นอย่างดี ก่อนจะรีบวิ่งปรื๋อไปหาเสื้อผ้าใส่ให้ดูสุภาพพอที่จะอยู่กับสาวตามลำพังสองต่อสอง
“พี่กิตติ์...รสว่าพี่กิตติ์ไปอาบน้ำเลยดีกว่านะ”
“รสจะไม่รอนานเหรอ”
“ถ้าให้เลือกระหว่างรอกับคุยกับผู้ชายเหม็นๆ ล่ะก็...รสขอเลือกรอดีกว่า”
น้ำคำของเธอทำให้ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยอย่างเร่งรีบด้วยความที่ว่ากลัวคนรักจะรอนานและกลับไปเสียก่อน
“พี่กิตติ์อาบน้ำเร็วเนอะ” เธอส่งเสียงเมื่อผมบิดลูกบิดจนได้ยินเสียงแกร๊ก ก่อนจะโผล่ตัวที่มีผ้าเช็ดตัวผืนเดิมออกไปพร้อมกับหยดน้ำพรายทั่วร่าง ทำเอาเธอร้องวี๊ดกับความไม่ระวังตัวของกระผมเอง (แหะๆ) “ทำไมออกมาอย่างนั้นเล่าพี่กิตติ์ น่าจะเอาเสื้อผ้าเข้าไปใส่ในห้องน้ำด้วย!”
“อ่าว...ก็พี่ไม่เคยชินนี่นา พี่ไม่ผิดนะ รสมาเช้าเกินไปเอง” ผมแก้ตัวไปเรื่อย ความจริงก็อยากคุยกับเธอในสภาพนี้เหมือนกัน ดูเธอหน้าแดง ร้องโวยวายน่ารักดี
“กวนประสาท อนาจาร ไม่รู้เป็นพระเอกหนังได้ไง น่าเกลียดที่สุด!!!” ดูเธอสิ...ใส่ผมไม่ยั้ง ถึงผมจะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำแบบนี้ไม่ได้นี่นา...กฎหมายก็ไม่ได้มีห้ามสักหน่อย
“มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกันสักนิด”
“ไม่เกี่ยวกัน...แต่พี่ก็ต้องรักษาภาพพจน์ไม่ใช่เหรอ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เดี๋ยวก็ได้คะแนนนิยมลดลงหรอก”
“ก็มันไม่มีใครรู้นี่นา รสเนี่ย...ได้โอกาสรู้คนแรกเลยนะ” ผมตอบเสียงเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มพรายผุดขึ้นบนดวงหน้าหล่อๆ ของผม (ไม่ค่อยหลงตัวเองอ่ะ) ทำเอาเธอค้อนใส่ผมวงใหญ่ ฮ่าๆ...แกล้งใครก็ไม่สนุกเท่าแกล้งผู้หญิงที่ตนรักหรอก...จริงไหมครับ
“แหยะ...” เธอทำท่าเหมือนจะอาเจียน เฮ้อ...แฟนผม “รีบๆ ไปแต่งตัวเลยพี่กิตติ์ หึ! เผลอเถียงด้วยซะตั้งนาน” ประโยคหลังรสรินเหมือนพึมพำกับตัวเอง แต่ขอโทษนะ...เผอิญผมได้ยิน...
==+==+==+==+==+==+==+==+==+==+==
ผมใช้เวลาไม่นานในการเลือกสรรเสื้อผ้าและแต่งตัว ใครๆ ต่างก็บอกว่าผมเป็นคนมีรสนิยมในการแต่งตัวดีเยี่ยมทั้งที่เสื้อผ้าที่ผมใส่ก็ออกจะสุดแสนธรรมดา หาซื้อได้ตามท้องถนนและตลาดเปิดท้ายมือสองทั่วไป ผมยิ้มให้ผู้ชายที่ทำหน้าหล่ออยู่ในกระจกตรงหน้า ก่อนเปิดประตูออกไปหาผู้หญิงที่อยากอยู่ด้วยทั้งวันไม่มีเบื่อ
“วันนี้ไม่มีถ่ายละครเหรอ” รสรินถามทันทีที่เห็นผม สงสัยเป็นเพราะเสื้อยืดสีขาวค่อนข้างเก่าของผมล่ะมั้งที่ทำให้เธอรู้ได้
“ใช่...ละครเรื่อง ‘ฟ้านำทางรัก’ ปิดกล้องไปแล้ว พี่กะว่าจะพักงานสักพัก” ผมหมายถึงละครเรื่องล่าสุดที่ผมเล่นคู่กับนางเอกสาววัยใสจนมีข่าว ‘คาว’ ออกมาทำผมปวดหัวจนต้องวิ่งแก้ข่าวอยู่เป็นเดือน เวลานั้นผมไม่กลัวใครเข้าใจผิดนอกจากผู้หญิงที่ชื่อรสรินคนนี้ โชคยังดีที่เธอยังพยายามทำความเข้าใจ แม้ว่าจะขาดความมั่นใจในตัวผมไปมากทีเดียว
“ฮ้อ...ปิดกล้องไปแล้วก็ดี พี่จะได้อยู่ห่างๆ ยัยกระแต๊นนั่นซะที”
ดูเธอพูดสิครับ นางเอกคนนั้นเขาชื่อ ‘กระแต’ คุณเธอดันเรียกจนชื่อเค้าเสียหายยับเยิน ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แขกผู้มาเยือน
“อยากกอดรสจัง”
เธอขมวดคิ้วใส่ผมเชิงดุทันทีตามคาด แต่ผมรู้ว่าเธอไม่ว่าอะไรหรอก ผมยิ้มกว้าง เธอยิ้มตอบ...เป็นยิ้มที่มองอย่างไรก็ไม่มีวันเบื่อ มองอย่างไรก็มีความสุข
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่รู้ว่าพี่ไม่ค่อยมีเวลาให้รสเท่าไหร่...รสไม่โกรธพี่นะ”
“ไม่โกรธ แต่น้อยใจ...มากๆ” เธอย้ำคำสุดท้ายชัดเจน เล่นเอาความรู้สึกผิดแล่นปรี๊ดขึ้นมาในจิตใจ
“พี่ขอโทษ” ผมตอบเสียงอ่อย
“รสไม่ได้ว่าอะไรพี่สักหน่อย รสแค่บอกว่าน้อยใจ ไม่ต้องทำหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสารขนาดนั้นก็ได้” รสรินยิ้มหวาน ทำผมใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง ผมเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของเธอไว้...มือเธอนุ่ม...หากไร้สิ่งใดประดับอยู่...
ความคิดหนึ่งบังเกิดขึ้นในสมองของผม...
“รสรักพี่ไหม”
“น่าจะรู้แล้วนา” เธอเบือนสายตาไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ราวกับคำถามนั้นเป็นคำถามอาถรรพ์...ผมถามเธอทีไร เธอได้ทำท่าอย่างนี้ได้ทุกครั้งไปสิหน่า
“แต่พี่อยากฟังจากปากรส รสยังไม่เคยบอกรักพี่เลยนะ”
“อย่างกับพี่กิตติ์เคยบอกรสงั้นแหละ” เธอสวนกลับทันควัน สร้างความขบขันให้ผมอยากกวนประสาทเธอเล่นยิ่งนัก
“อ้าว! พี่ยังไม่เคยบอกรสเลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“พี่ว่าพี่บอกไปหลายครั้งแล้วนะ”
“ตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง”
“อ้าว!”
“ไม่ต้องมาอ้าว”
ในที่สุดผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในขณะที่รสรินไม่มีทีท่าว่าจะขำด้วย หลายคนเคยบอกว่าคำว่า ‘รัก’ คือคำที่ผู้หญิงต้องการฟังจากปากผู้ชายที่คบหาด้วยที่สุด แต่ผมชอบบอกรักเธอด้วยการกระทำมากกว่า...มันดูจริงใจกว่ากันเยอะ
“หัวเราะอะไรนักหนา รสไม่เห็นว่ามันจะขำตรงไหน”
“ก็ขำรสไง รสกำลังอารมณ์เสีย รู้ตัวหรือเปล่า”
รสรินเชิดหน้าเบือนสายตามองไปทางอื่นตามนิสัยส่วนตัวของเธอที่ผมชักชินเสียแล้วสิ ผมยิ้มขำแต่ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมาให้เธอหัวเสียอีก มือหนาทั้งสองข้างกุมจับมือบางไว้แล้วยกขึ้นมาตรงหน้า...ผมกำลังจะทำในสิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องใช้เวลาตัดสินใจนานมากๆ พร่ำถามตัวเองซ้ำๆ ว่า ‘แน่ใจหรือ’ อยู่เป็นเดือน
“พี่ขอถามรสอีกครั้งนะครับ...รสรักพี่ไหม” น้ำเสียงของผมนุ่มนวลและจริงจังจนเธอสามารถสัมผัสได้ รสรินหันมาหาผมอีกครั้ง แต่ก็ต้องหลุบตาต่ำด้วยอยากซ่อนดวงตาอันฉายแววไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัดเอาไว้
“คือรส...” เธอส่งเสียงเบา แต่ผมก็ได้ยิน ณ เวลานี้ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ...เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของเธอ...มันเต้นในจังหวะเดียวกับผมเด๊ะ...จังหวะร็อก...
“พี่รักรสนะ...รักมาก”
เธอส่งยิ้มมาให้ผม เป็นยิ้มที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันแฝงความซาบซึ้งใจด้วยน้ำหน่วยเล็กที่คลอออกมาจากขอบตา
“รสก็รักพี่กิตติ์ค่ะ”
แค่ฟังถึงคำว่า ‘รัก’ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งคว้างโดยมีเธอจับมืออยู่ข้างๆ แล้วล่ะ ไม่มีคำพูดคำไหนที่ฟังแล้วจะให้ความรู้สึกดีขนาดนี้...ผมไม่อยากจะเชื่อ!
เวลานี้หัวใจผมเต้นตุบตับจนมันแทบทะลุออกมาจากอกไปกองแทบเท้าผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ สิ่งที่อยากพูดออกไปตั้งแต่แรกก็ชักจะเริ่มติดขัด
“อะ...เอ่อ...”
รสรินหัวเราะคิก ทำเอาผมอยากด่าตัวเองที่ไม่กล้าพูดอะไรที่ต้องการออกไป
“จะขอรสแต่งงานเหรอคะ”
“หา...” ผมหน้าหวอ...เธอรู้...โอ...ถ้าพื้นกระเบื้องห้องผมเป็นรอยแยกล่ะก็ ผมจะกระโดดลงไปโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้นเลยล่ะ “ระ...รสรู้ได้ยังไง”
“ก็ตอนพี่กิตติ์เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รสเห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงวางอยู่บนตู้โชว์...พอจะรู้ล่ะนะ ว่าข้างในมันเป็นอะไร”
ผมผ่อนลมหายใจอย่างสุดเซ็ง อยากทึ้งผมตัวเองให้หลุดร่วงออกมาทั้งหัวเสียจริงๆ ...รู้งี้เก็บในห้องนอนซะก็สิ้นเรื่อง...ไอ้โง่เอ๊ย!!
“ทำไมตาดีจัง”
แฟนผมหัวเราะร่า มันขำนักใช่ไหมที่ผมจะขอสาวแต่งงานทั้งที แต่เจ้าตัวดันรู้ตัวก่อน...เสียเซลฟ์ชะมัด!
ผมทำคอตกพร้อมกับที่จิตตกไปตามๆ กัน เป็นพระเอกหนังรักโรแมนติกมาสิบกว่าเรื่อง บอกรักนางเอกในบทก็แทบจะครึ่งร้อย เคยซ้อมขอผู้หญิงแต่งงานมาก็มาก แต่พอมากระทำจริงๆ กับเธอ ผมกลับเสียศูนย์อย่างไม่น่าให้อภัย
“โธ่! อยากทำหน้าอย่างนั้นสิ เดี๋ยวไม่หล่อนะ”
ผมยิ้มให้เธอ แต่มันเป็นยิ้มที่เจื่อนสิ้นดี...ผมรู้ตัว...
“จะขอก็รีบขอนะคะ รสเป็นคนใจร้อน เดี๋ยวไม่รอนา”
ผมเบิกตากว้าง...’เดี๋ยวไม่รอนา’...หมายความว่าเธอจะไปไหน เธอมีคนอื่นรองจากผมงั้นเหรอ แววตาเปล่งประกายแสงแรงกล้าของผมส่งไปยังเธออย่างรวดเร็ว รสรินทำหน้ามุ่ย
“ห้ามหน้าดุนะพี่กิตติ์ รสแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง”
“ก็รสบอกว่าจะไม่รอพี่”
“รสจะไม่รอ ต่อเมื่อพี่ไม่ขอรสแต่งงานภายในสิบนาทีนี้” รสรินยิ้มเหมือนผู้เหนือกว่า ก็จริงล่ะ...เธอเหนือกว่าผมจริงๆ นี่ผมต้องรีบใช่ไหม...
ผมยิ้มกว้างตามแบบที่เธอเคยบอกว่าเธอชอบ หากเธอพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าเธอจะยอมแต่งงานกับผมล่ะสิ แหม...ว่าที่ภรรยาผมนี่ไม่ใช่เล่นแฮะ
ผมลุกขึ้นไปหยิบกล่องกำมะหยี่เจ้ากรรมนั้นอย่างเบามือแล้วกลับมาทรุดตัวลงนั่งที่เดิม รสรินมองผมสลับกับกล่องกำมะหยี่ตาปริบ...สงสัยจะตื่นเต้น...
มือใหญ่เอื้อมเอามือเรียวไว้ อ๊ะ! ใส่แหวนต้องใส่ข้างซ้าย แล้วผมจับมือข้างขวาของเธอทำไมล่ะนี่...เสียเซลฟ์รอบสอง...เธอกลั้นหัวเราะผมอีกแล้ว
ผมค่อยเปลี่ยนมือเธอจากขวาเป็นซ้าย หน้าแตกละเอียดแบบหมอไม่รับทำศัลยกรรมเลยแหละ...หน้าตายเข้าไว้นายกิตติ์
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่เหตุการณ์ปกติและสมดุล (เล่นเอาเหงื่อตกไปหลายเม็ด) ผมก็...
“รสครับ...แต่งงานกับพี่นะครับ”
ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มกริ่ม เธอส่ายหน้าให้ผมเห็นชัดเจน...ใจแป้วลงทันใดครับท่าน
“ไม่ซึ้งเลยพี่กิตติ์ แล้วรสก็ยังไม่ได้เห็นแหวนเลย”
หา...อ๊ากกก! ผมยังไม่ได้เปิดกล่องกำมะหยี่หรือนี่ เสียเซลฟ์รอบที่สามจนได้ (กระซิก)
ผมหัวเราะแหะๆ จนเธอต้องยิ้มตาม ก่อนเปิดเจ้ากล่องสีแดงเข้มออกให้เห็นของที่อยู่ภายใน...แหวนเพชร...เป็นแหวนที่ผมเก็บหอมรอมริบแทบตายกว่าจะได้มันมาวงหนึ่ง หวังว่ารสรินคงพอใจ
“เพชรเนื้องามนะคะ เสียดายเม็ดเล็กไปนิด คงไม่ถึงหนึ่งกะรัตใช่ไหมคะ”
เอาแล้วไง...เธอทำผมเสียความมั่นใจอีกจนได้ แล้ววันนี้ผมจะขอเธอสำเร็จไหมล่ะนี่
“เร็วๆ นะคะ ผ่านไปห้านาทีแล้ว” ยังมีทวงอีกแน่ะ ไม่ลืมหรอกครับ “อ้อ! อย่าลืมนะคะ เอาซึ้งๆ ให้สมกับที่ทำเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตหน่อย”
ใช่ เธอพูดถูก สิ่งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย แต่คำพูดไหนล่ะที่จะทำให้รสรินซึ้งได้ คำพูดจากบทละครที่ผมเคยผ่านมามันคงจะเน่า เลี่ยน และโบราณน่าเบื่อไปหน่อยล่ะมั้ง
เอาจากละครหลายๆ เรื่องแล้วกันวุ้ย ผสมๆ กันเอา หวังว่าคงใช้ได้
“รส...” ผมเอ่ยชื่อให้เธอหันมาสนใจกับคำพูดของผม หยุดไปชั่วอึดใจจึงค่อยพูดประโยคยาวเหยียดออกมา “พี่ยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้นะ วันนั้นรสหัวยุ่งมอมแมมอย่างกับอะไร พี่เห็นล่ะรู้สึกขยะแขยงเต็มที่ วันที่สองรสสวยมาก พี่อยากบอกว่าพี่รู้สึกชอบรสตั้งแต่วันนั้นแหละ ยิ่งได้รู้จัก พี่ก็ยิ่งชอบเป็นทวีคูณจนเพิ่มพูนไปเป็นความรัก เราคบกันมานาน แต่ความรักที่พี่มีให้รสไม่เคยเสื่อมคลาย ถึงพี่จะมีผู้หญิงมาติดพันมากมาย แอบเหลือบมองใครบ้าง แต่พี่รับรอง...พี่จะรักนางสาวรสรินคนนี้คนเดียว...และตลอดไป...”
คนฟังยิ้มทั้งที่มีบ่อน้ำตาน้อยๆ เอ่อบริเวณขอบตา หากกระนั้นก็ไม่วายแหย่ผมเล่นอีกจนได้ “เน่าบวกเลี่ยนได้ที่เลยล่ะค่ะ”
ผมยิ้มรับ ทำหน้าไม่ถูก กว่าจะพูดประโยคมหายาวจบก็เล่นเอาใจเต้นซะเหนื่อย “แล้วซึ้งไหมล่ะครับ”
รสรินยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาอย่างตื้นตัน ก่อนพูดว่า “นิดนึงค่ะ แต่รสไม่เห็นจะมีประโยคขอแต่งงานสักประโยค”
เสียเซลฟ์รอบที่สี่...ลืมไปได้ยังไงฟร่ะ?...
“เอ่อ...เหอะๆ” ผมเกาหัวแกรก ไม่นึกว่าการขอใครสักคนแต่งงานมันจะยากเย็นอะไรขนาดนี้ ขอแค่คนเดียวเล่นเอาเสียหายหลายแสน หน้าแตกละเอียด ฟอร์มหดหายวิ่งหนีไปไหนไม่รู้
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เรื่องนี้ใกล้จบแล้ว เล่นดีๆ หน่อย เดี๋ยวท่านผู้อ่านด่าตาย (นอกเรื่องแล้วย่ะ) ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ผู้หญิงที่รักที่สุด (อยากบอกจัง...เธอหน้าแดงด้วยล่ะ) จับมือเรียวเข้ามาในอุ้งมือหนาซึ่งตอนนี้ชักจะมีเหงื่อ บีบกระชับเบาๆ ก่อนโน้มใบหน้าลงไปกดริมฝีปากที่หลังมือของเธอ
“พี่คงคิดคำพูดที่เลิศเลอไม่ออกแล้วล่ะครับ ตอนนี้ขอพูดแค่ภาษาธรรมดาๆ ที่ผู้ชายส่วนใหญ่เขาพูดกันแล้วกันนะครับ” ผมยิ้มบางๆ มองลึกเข้าไปในดวงตากลมสวย “พี่รักรส...แต่งงานกับพี่นะครับ”
เธอก้มหน้าลงจนผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธอทำหน้าอย่างไร ความหวั่นกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในส่วนลึก เธอจะตอบว่าอะไร...ตกลงหรือไม่...เวลานี้ผมลุ้นจนตัวโก่ง
“ค่ะ” รสรินเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ผมคลั่งนักคลั่งหนา “รสจะแต่งงานกับพี่กิตติ์...ถ้าพี่ไปหาซื้อแหวนเพชรที่กะรัตใหญ่กว่านี้มาให้รส”
“โธ่! รส...นี่เต็มที่ของพี่แล้วนะเนี่ย” ผมหน้างอ
“ฮิๆ รสล้อเล่นค่ะ”
“หือ...แสบนักนะ อย่างนี้ต้องทำโทษ!”
ผมขยับไปชิดร่างของเธอจนเธอไม่สามารถหนีผมไปไหนได้ ก่อนก้มหน้าลงประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากบางของเธออย่างนุ่มนวล ผมไม่เคยจูบเธอมาก่อน พูดไปคงไม่มีใครเชื่อ แต่ผมขอรับประกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าล่วงเกินเธอได้ขนาดนี้ เพราะอีกไม่นานเธอก็จะเป็นของผม เป็นของผมคนเดียว...ตลอดไปตราบจนวันตาย...
อ๊ะ! ผมลืมสวมแหวนให้เธอ
...เสียเซลฟ์รอบที่ห้า...
...?????...
==+==+==+==+==+=The End=+==+==+==+==+==
---เชื่อว่าหลายคนที่อ่านเรื่องนี้จบคงควานหากระโถนอ๊วกกัน เหอะๆ ที่จริงข้าน้อยก็ไม่อยากเอาให้มันขนาดนี้หรอกนะ มันหวานเกินตัวเราไปมากๆ นิสัยเราออกจะห้ามหาญ มาดแมน (แต่ไม่ได้เป็นทอมนะจ๊ะ)
---แต่จะว่าไปก็ถือว่า ‘ฮา’ ในระดับหนึ่งเนอะ (หรือไม่ฮาหว่า???...เอาล่ะๆ ถึงไม่ฮาก็น่าจะอมยิ้มกันบ้างนา) ถ้าพิมพ์อะไรผิด หรือคำๆ ไหนมีความหมายไม่ตรงกับเนื้อหาก็ช่วยๆ กันบอกกันสักหน่อยเนอะ เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้า (ฮี่ๆ)
---เรื่องสั้นเรื่องต่อไป...แง่มๆ ยังคิดพล็อตไม่ออกแฮะ ช่วยกันคิดหน่อยก็จะดีมากๆ จะรักคนๆ นั้นสุดๆ เลย
---อยากได้คอมเม้นจัง ต้องการคอมเม้นที่สุดในโลก แค่พิมพ์แล้วกด ง่ายนิดเดียว เนอะๆๆๆๆ
ปล. อ่านจบแล้ว กรุณาอย่าหาว่าเรากวน teen น้า ... ขอร้อง ...
ความคิดเห็น