คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The Guardians :: Mission 01 – เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท
The
Guardians :: Mission 01 – เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท
“ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่ใช่มนุษย์หรอก..จริงมั้ย?”
-เอมไพน์
เวนท์เวิร์ท-
“นายน้อย..”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ชายชราท่าทางดูใจดีมองไปยังโซฟาสีแดงเลือดหมูด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก
มือเหี่ยวย่นลูบหน้าตัวเองก่อนจะถอนหายใจ
เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเขาต้องมาทำงานอะไรแบบนี้ด้วย
แต่ก็เอาเถอะ..นายน้อยของเขาเป็นแบบนี้เสมออยู่แล้ว
“....”
“นายน้อย..”
“....”
“นายน้อยครับ!!”
หลังจากที่เรียกอยู่นานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
ชายชราก็ตัดสินใจเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นเสียจนเด็กหนุ่มที่นอนเหม่ออยู่บนโซฟาสีแดงเลือดหมูสะดุ้งอย่างตกใจ
ดวงตาสีฟ้าใสคู่คมคายกระพริบตาถี่ๆก่อนจะมองไปที่ชายชราในชุดสูทสีดำขลับดูภูมิฐาน
มือเรียวยีผมตัวเองจนยุ่งฟูก่อนจะลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วจัดท่านั่งให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย
ก่อนที่เขาจะมองไปที่ชายชราอย่างตั้งคำถาม
“มีอะไร..เรจิส”
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่พอใจซักเท่าไรนัก
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจดจ้องไปยังคู่สนทนาพร้อมแผ่รังสีกดดันเป็นการบอกว่าหากไม่พูดก็ไสหัวไปซะอะไรทำนองนั้น..
พ่อบ้านวัยชราถอนหายใจก่อนจะยื่นซองจดหมายสีขาวที่มีรอยประทับตาสีแดงเป็นรูปพญาอินทรีให้เด็กหนุ่ม เรจิส เลบิเนียร์..เขาคือพ่อบ้านของเด็กหนุ่ม
แล้วก็เลี้ยงดูเด็กหนุ่มมาได้เกือบ 3 ปีแล้ว..
มือเรียวรับซองจดหมายมาก่อนจะเปิดแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งเมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายจบ
ชีวิตของเขามันช่างน่าปวดหัวเสียนี่กระไร..
น่าเบื่อ
“มีอะไรรึเปล่าครับ
นายน้อย?”
เสียงทุ้มของชายชราเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าแลดูเหนื่อยใจเป็นอย่างมากของผู้เป็นนาย
แต่เอาเถอะ..หากไม่ใช่จดหมายเชิญไปงานเลี้ยงเต้นรำก็เป็นจดหมายขอดูตัวนั่นแหละ
ตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมาของเจ้านายของเขาก็วนเวียนอยู่กับสองเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ก็แค่จดหมายขอดูตัว..”
ผิดคาดซะที่ไหนล่ะ..
เอมพ์
หรือชื่อจริงๆคือ เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท
เป็นบุตรของผู้นำตระกูลเวนท์เวิร์ทคนก่อน
ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีฐานะ..แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลตายด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เกือบๆ
2
ปีก่อน และคนที่รอดก็มีเพียงเอมไพน์เพียงคนเดียวเท่านั้น
รวมถึงคนรับใช้ทุกคนในบ้านหลังนี้..เป็น ‘คนใหม่’
ทั้งหมด..ทุกคนคือคนที่พึ่งย้ายเข้ามาหลังจากเกิดอุบัติเหตุได้ไม่นาน
ทรัพย์สินทั้งหมดตกทอดมายังเอมไพน์..ซึ่งเป็นบุตรเพียงคนเดียวของตระกูล
น่ายินดีใช่มั้ยล่ะ..?
แต่สำหรับเอมไพน์..นั่นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยซักนิด
เพราะมีสีตาไม่เหมือนทั้งบิดาและมารดา..จึงถูกนินทาว่าร้ายว่าเป็นลูกของเมียน้อยที่บิดาของตนซ่อนเอาไว้อย่างลับๆ
น่าตลกดีที่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ คนเหล่านั้นรังเกียจเขาจนแทบจะไม่สูดอากาศหายใจร่วมกัน
แต่พอเขารับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปเท่านั้นแหละ คนพวกนั้นกลับยกยอเชิดชูเขาราวกับเขาเป็นวีรบุรุษกู้ชาติอะไรเทือกๆนั้น
อำนาจและเงินทองเปลี่ยนคนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้เพียงพริบตาเดียว
...น่าขยะแขยง...
แต่พูดๆก็พูดเถอะ..เอมไพน์ก็ไม่ได้ต่างไปจากคนพวกนั้นซักเท่าไหร่นัก
“จะปฏิเสธไปดีมั้ยครับ..”
ชายชราถามพลามก้มหัวให้อย่างนอบน้อม
แต่ในใจนั้นรู้ดีว่านายน้อยของเขาจะตอบมาอย่างไร..
“ปฏิเสธไปตระกูลของเราก็เสียผลประโยชน์น่ะสิ..ส่งจดหมายตอบตกลงไปก็แล้วกัน”
..ก็เป็นแบบนี้ทุกที..
“เฮ้อ..”
ชายชราถอนหายใจอีกครั้ง..ก่อนจะมองไปที่นายน้อยของตนด้วยสายตาเหนื่อยใจ
ก็รู้อยู่หรอกว่านายน้อยทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล..แต่ถ้าจะฝืนตัวเองให้ทำอะไรที่ไม่อยากทำแบบนี้มันก็ไม่สมควรนัก
เพียงแต่เตือนไปทำไหร่ก็ไม่ยอมฟัง..เขาก็ยอมใจกับนายน้อยเพียงคนเดียวของตระกูลนี้ซะจริงๆ..
“ช่วยไม่ได้นะเรจิส..นั่นบัตรเชิญจากตระกูลไนท์เรย์นี่
ตระกูลของชนชั้นสูงซะด้วย..” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาสีเลือดหมู
ที่จักรวรรดิเอดินเบิร์กแห่งนี้ปกครองด้วยระบบชนชั้นวรรณะ ชนชั้นที่สูงที่สุดคือจักรพรรดิหรือจักรพรรดินี
รองลงมาคือราชวงศ์และผู้สืบทอดพันธะสัญญาของสัตว์เทพทั้ง 5 รองจากนั้นก็คือชนชั้นสูงหรือพวกขุนนางชั้นสูงที่มีเชื้อสายราชวงศ์
รองจากนั้นอีกก็คือขุนนาง ทหาร สามัญชน และสุดท้ายก็คือทาส..
ถึงตระกูลเวนท์เวิร์ทจะเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่..แต่ก็เป็นเพียงขุนนางเท่านั้น
จดหมายขอเชิญมาดูตัวกับลูกสาวหรือลูกชายอะไรนั่นเอมไพน์เจอจนชินไปแล้ว..เพราะเขาเกิดมาพร้อมหน้าตาที่หล่อเหลาจนสาวน้อยใหญ่หรือเด็กหนุ่มหน้าเคะเป็นอันต้องสยบอยู่แทบเท้า
ใบหน้าที่หล่อคมได้รูป ผมสีดำราวกับรัตติกาล และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลใส
ผิวขาวเรียบเนียนเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้เจอแดดซักเท่าไหร่ จมูกโด่งเป็นสัน
และอีกทั้งร่างกายที่สูงโปร่ง..ความจริงก็ไม่ถือว่าสูงนะถ้าเทียบกับผู้ชายวัยเดียวกัน
แต่มันก็ดูดีอยู่ดีนั่นแหละ..
และคฤหาสน์ที่เขาปกครองอยู่ก็คือคฤหาสน์ตระกูลเวนท์เวิร์ทในเขต
3
ของแคว้นอัลเบิร์ต ก็ถือว่ามันเป็นคฤหาสน์ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยล่ะนะ
รูปหล่อ..แถมฐานะดี ไม่ว่าใครก็อยากจะวิ่งเข้าหาทั้งนั้นล่ะ..
...น่าสมเพช...
“แล้วเป็นคุณหนูตระกูลไนท์เรย์คนไหนล่ะครับ?”
เรจิสถามต่อเมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองดูจะไม่ค่อยพอใจในอะไรบางอย่างซักเท่าไหร่
พูดก็พูดเถอะ..ถึงจะไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กแต่เรจิสก็แทบจะรู้ใจนายน้อยของเขาไปซะทุกอย่างแล้ว
“เกรซ
ไนท์เรย์..” แค่นี้เรจิสก็รู้แล้วว่าทำไมเอมไพน์ถึงดูไม่พอใจแบบนี้..
เกรซ
ไนท์เรย์ คุณหนูคนสุดท้องของตระกูลที่ดูเหมือนจะชอบและตามตื๊อเอมไพน์มาตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน
พูดตรงๆเลยว่าการตามตื๊อของเธอคือสิ่งที่เอมไพน์จะหลอนไปตลอดชีวิต!
คุณคงไม่อยากรู้หรอกนะว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง..งั้นข้ามประเด็นนี้ไปเถอะ!
“เรจิสออกไปเถอะ
ฉันจะอยู่คนเดียวซักพัก” เอมไพน์พูดก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะลืมตาขึ้นมาเหม่อมองเพดานของห้องโถงที่มีลักษณะเป็นโดม
มีลวดลายเป็นเสมือนภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง
มันเป็นรูปที่มีสุนัขจิ้งจอกเก้าหางสีขาวบริสุทธิ์ตนหนึ่งกำลังมองไปที่สัตว์ตัวอื่นๆอีก
4
ตัว อันได้แก่ หงส์แดง เสือขาว หมาดำ และงูขาว
เขาไม่รู้ว่าภาพนี้สื่อถึงอะไร..แล้วก็ไม่ได้อยากจะรู้ด้วย
เอมไพน์กลอกตาไปมาพลางนึกไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตของเขามันน่าเบื่อมาเกินพอแล้ว..
เด็กหนุ่มหลับตาลงอีกครั้งคล้ายกับกำลังข่มตาให้หลับเพื่อที่จะได้ตกอยู่ในห้วงนิทรา
พ่อบ้านวัยชรามองนายน้อยของตนด้วยดวงตาที่ทอประกายความอบอุ่น
ก็จริงที่เขาไม่ค่อยชอบนิสัยบางอย่างของเอมไพน์
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าไม่มีเอมไพน์ก็คงไม่มีเขาในวันนี้
เอมไพน์คือผู้ที่ดึงเขาให้ขึ้นมาจากขุมนรก
พ่อบ้านและคนรับใช้ทุกคนในตระกูลเวนท์เวิร์ทที่นายน้อยรับมา..ทุกคนเป็นทาสมาก่อน และทาสก็คือชนชั้นที่ต่ำที่สุดในจักรวรรดิเอดินเบิร์กแห่งนี้
ไม่มีใครชอบ..มีแต่คนรังเกียจ
ทั้งๆที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่กลับไร้ซึ่งสิทธิการดำรงชีวิต
แต่ไม่มีแม้แต่คำว่ารังเกียจ
เอมไพน์มอบโอกาสให้พวกเขาใหม่อีกครั้ง..
ต่อให้ตาย..เขาก็ขอปกป้องนายน้อยด้วยชีวิต
“งั้นผมไปเตรียมของว่างสำหรับมื้อบ่ายนะครับ
นายน้อย” พูดจบก็เดินออกจากห้องโถงไปทันที
เมื่อมั่นใจว่าเรจิสคงจะเดินไปได้ไกลแล้วดวงตาสีฟ้าใสก็ลืมตาขึ้นมา
เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก เขาไม่ใช่คนดีมากมายขนาดนั้น เรจิสและคนใช้คนอื่นๆในคฤหาสน์ล้วนเป็นทาสมาก่อน
เขาก็แค่ยื่นโอกาสเล็กๆน้อยๆด้วยการให้มาเป็นคนของตระกูลเวนท์เวิร์ท
เปลี่ยนจากฐานะทาสกลายมาเป็นสามัญชนได้ภายในคืนเดียว
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่คิดว่าพวกเรจิสจะอยู่ดูแลเขาได้ถึง 2
ปีกว่าแบบนี้ด้วยซ้ำ..
ทั้งๆที่เขาก็คิดไว้แล้วว่าพวกเรจิสก็คงเหมือนมนุษย์ทั่วไป..เห็นแก่ตัว
ไม่สิ..ตั้งแต่วันแรกที่รับพวกนั้นเข้ามา
เขาก็เตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วว่าซักวันคงถูกพวกนั้นฆ่าแน่ๆ..
โลกนี้มันสกปรกโสมมจะตาย..ใครๆก็รู้
แต่พวกนั้นกลับไม่ทำ..จนเวลาผ่านไปเกือบ
3 ปีก็ยังไม่ทำ..
มิหน่ำซ้ำยังรักและดูแลเขาจนเขาโตมาได้ขนาดนี้อีกต่างหาก
“รักงั้นเหรอ..ฮึ..”
เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมาดร้าย เขาไม่เชื่อในคำว่า รัก
และเขาก็ไม่เชื่อในคำว่า ครอบครัว จะบอกว่าว่าเขามองโลกในแง่ร้ายก็ได้
แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตั้งแต่เกิดมานั่นคือมนุษย์ชอบเสแสร้ง หรอกลวง โกหก
เห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก นั่นคือสิ่งที่เขาเกลียด..เขาเกลียดมนุษย์
“เรจิส
ฉันน่ะนะ..” เด็กหนุ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางแค่นยิ้มอย่างสมเพชในชะตาชีวิตของตนเอง
ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวอีกครั้ง..”ไม่ได้ดีเหมือนที่นายคิดหรอก J”
เจ้าเล่ห์
เพทุบาย เสแสร้ง โป้ปด หลอกลวง ทะเยอทะยาน..
นั่นคือนิยามของ
เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท ..
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางนึกถึงอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดของตนเอง
พ่อตาย แม่ตาย
คนรับใช้ทุกคนในตอนนั้นตายทั้งหมด..ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนวางเพลิงคฤหาสน์หลังนั้นของเขา
แต่เอาเถอะ..ถึงจะจับคนร้ายได้พ่อกับแม่ก็ไม่มีวันกลับมาหรอก
“น่าเบื่อ..”
พึมพำเสียงแผ่วก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีฟ้าคู่คมคายมองไปรอบห้องโถง..เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่จึงเปิดประตูไม้ขนาดใหญ่เพื่อที่จะเดินออกไปจากคฤหาสน์ โดยไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อฮู้ดสีดำขึ้นมาใส่ปิดหน้าปิดตา ผมสีดำรัตติกาลถูกปกปิดด้วยฮู้ดสีดำสนิท
ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำจนผมปิดหน้าปิดตาทำให้คนในเมืองที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ทันสังเกตว่าเขาคือใคร
ที่นี่คือเขต
3
ของแคว้นอัลเบิร์ต จักรวรรดิเอดินเบิร์ก
แคว้นอัลเบิร์ตที่เขาอาศัยอยู่นี้ปกครองโดยผู้สืบทอดพันธะสัญญาสุนัขจิ้งจอกเก้าหางซึ่งมีคฤหาสน์ประจำตระกูลอยู่ที่เขต
1 จักรวรรดิเอดินเบิร์กนั้นถูกแบ่งออกเป็น 5 แคว้น กับเขตการปกครองแบบพิเศษอีก 1 เขต นั่นก็คือ
แคว้นแฮมิลตัน แคว้นแอนเดรีย แคว้นเวย์น แคว้นคิงส์ตัน และแคว้นอัลเบิร์ต
รวมถึงเขตการปกครอง White Heaven ซึ่งเป็นเมืองลอยฟ้าที่ถือเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ
เอมไพน์ไม่เคยเจอผู้สืบทอดพันธะสัญญาคิทซึเนะหรอกนะ..และเขาก็ไม่คิดอยากจะเจอด้วย
เขาเดินไปเรื่อยๆตามทางในเมือง
หากดูแบบผ่านๆจะดูเหมือนว่าประชากรในเมืองอยู่กันอย่างมีความสุข
แต่หากลองมองเจาะลึกเข้าไปอีกซักนิดแล้วลองวิเคราะห์พฤติกรรมของแต่ละคนก็จะพบว่า..ไม่มีใครมีความสุขเลย การกดขี่ข่มเหงผู้ด้อยกว่า การรีดไถ่เงิน
การใช้อำนาจข่มขู่บังคับ หรือการกระทำอื่นๆที่พวกขุนนางชนชั้นสูงเขาทำกัน
การกระทำเหล่านั้นทำให้ประชากรในเมืองแต่ละเมืองต่างอยู่อย่างหวาดระแวงและไม่มีความสุข หากถามว่าแล้วจักรพรรดิไม่แก้ไขบ้างเหรอ..แก้ไขเหรอ?
เหอะ! เผลอๆอาจจะสนับสนุนเสียด้วยล่ะมั้ง
บางครั้งพอมองไปมองมาก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้..พวกคนรวยมีชาติตระกูลมักจะมีสัตว์เลี้ยง
แต่หากรวยมากสัตว์เลี้ยงที่ว่านั่นก็คือ ‘มนุษย์’
ระบบชนชั้นของที่นี่น่ะ..ชนชั้นที่ต่ำที่สุดก็คือทาส..
อยู่ที่ว่าจะเป็นทาสสำหรับอะไรก็เท่านั้น หากเป็นทาสต่อสู้ก็มีสิทธิตายได้ทุกเมื่อ
หรือหากเป็นทาสสัตว์เลี้ยงก็จะถูกกระทำเหมือนหมูหมากาไก่..
หรือถ้าหากเป็นทาสรับใช้ก็ต้องรับใช้เจ้านายของตนจนกว่าตัวจะตาย
แต่ถามว่าทาสแบบไหนที่อัปยศที่สุด..ทาสสัตว์เลี้ยงกับทาสกามนั่นล่ะคือสิ่งที่อัปยศที่สุด
ทาสสัตว์เลี้ยงนั่นคือทาสที่ละทิ้งศักดิ์ศรีและความรู้สึกแบบมนุษย์ไปจนหมดสิ้นแล้ว
ต้องยอมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทำตามคำสั่งทุกอย่างของเจ้านาย ไม่มีสิทธิพูด
ไม่มีสิทธิต่อรอง ไม่มีสิทธิอะไรทั้งนั้น ต่อให้ถูกสั่งว่าให้เลียเท้าต่อหน้าคนนับร้อยคนก็ต้องทำ
ส่วนทาสกาม..หรือก็คือคนที่ทำหน้าที่ในหอนางโลม
อาจจะใช้คำโบราณไปหน่อยแต่เขาก็คิดว่าคำนี้แหละเหมาะดี..ก็คล้ายทาสสัตว์เลี้ยงแต่อาจจะมีสิทธิมากกว่า
มีสิทธิพูดได้ แต่ไม่มีสิทธิขัดคำสั่งหรือต่อรอง
และเพราะแบบนี้นี่ไง..ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นทาส
“น่ารังเกียจชะมัด..พวกสวะ..”
เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วเบา
มนุษย์ที่น่ารังเกียจ..
แต่ถามว่าเอมไพน์จะไปทำอะไรได้?
นั่นสิ..คนอย่างเขาจะไปทำอะไรได้?
เขาไม่ใช่คนดี..เขาไม่มีทางยอมเสียเงินเพื่อไปไถ่ตัวพวกทาสนั่นมาเป็นของตัวเองหรอก
อีกอย่างต่อให้มีเงินจริงก็ใช่ว่าจะไปต่อรองกับพวกชนชั้นสูงได้เสียเมื่อไหร่
คิดดูว่าคนในจักรวรรดิเอดินเบิร์กมีทาสรวมแล้วกี่คน..ให้เขาไปใช้เงินทองที่มีเพื่อช่วยซื้อทุกคนงั้นเหรอ?
บ้ารึเปล่า..เขาเป็นขุนนางนะไม่ใช่พ่อพระ!!
ปึก!
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ..รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีใครซักคนเดินมาชนเขาจนต่างคนต่างกระเด็นกันไปคนละทาง
แรงเยอะเป็นบ้า..เอมไพน์หลับตาคิด ถ้าไม่ใช่พวกผู้ชายร่างถึกก็เป็นผู้หญิงร่างกายสูงใหญ่ล่ะนะ..
“หวา..ขอโทษครับ”
จากน้ำเสียงของเดาว่าเป็นผู้ชาย..คนแปลกหน้าที่เดินชนเขากล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงหวานที่ฟังแล้วรู้เลยว่าคงกำลังรู้สึกผิดแบบสุดๆ
ฮู้ดที่คุมปกปิดหน้าตาของเอมไพน์ถูกแรงลมทำให้หลุดโดยไม่ได้ตั้งใจ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังคนที่เดินชนเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ผิดคาดจากที่คิดเยอะ..เพราะเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งบาง
เขามีผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวเรี่ยต้นคอ
ดวงตาสีฟ้าราวกับสีของท้องนภาในเวลานี้จดจ้องมาที่เขาพร้อมทอประกายความรู้สึกผิด
ผิวขาวเนียนและใบหน้าหล่อหวานนั่นทำให้แม้แต่เอมไพน์ยังอดที่จะมองตาค้างไม่ได้..
และอีกอย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าก็สูงประมาณ 175 เซนฯ
น่าจะเตี้ยกว่าเขาประมาณ 5-6 เซนติเมตร ให้ตาย..เขานึกว่าจะเป็นผู้ชายร่างถึกที่มีแรงเยอะๆซะอีก
ไม่คิดเลยว่าคนร่างโปร่งบางจนแทบจะปลิวไปกับลมแบบนี้จะมีแรงเยอะซะขนาดนั้น
โลกนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน..
“ไม่เป็นไร
ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกัน..” เอมไพน์พูดต่อโดยไม่คิดที่จะมีหางเสียงอะไรทั้งสิ้น
ดูยังไงๆเด็กหนุ่มตรงหน้าก็คงอายุเท่าเขาไม่ก็อายุน้อยกว่าเขา อีกทั้งเครื่องแบบการแต่งกายและลักษณะบรรยากาศรอบตัวที่มีออร่าความเป็นคนดีแผ่ออกมาวิ้งๆแบบนั้นก็คงเป็นสามัญชนที่มีชนชั้นต่ำกว่าเขาแน่ๆ
“อ่า..ครับ
งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ แหะๆ”
เด็กหนุ่มที่วิ่งชนเขายกยิ้มเจื่อนๆก่อนจะวิ่งผ่านเขาไปทันที..เอมพ์ไม่คิดจะสนใจหรอกนะว่าทำไมเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น
เพราะเราทั้งคู่เป็นแค่คนแปลกหน้ากันที่พระเจ้าเล่นตลกจับพวกเรามาเจอกันก็เท่านั้น..ไม่จำเป็นต้องสนใจ
การเจอกันในครั้งนี้..ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องได้เจอกันอีกซักหน่อย เด็กหนุ่มสวมฮู้ดสีดำขลับของตัวเองก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินไปตามท้องตลาด
เพราะทรัพยากรของโลกเริ่มหมดไปตั้งแต่เมื่อ 1000 กว่าปีก่อน..ทำให้มนุษย์จำต้องรู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัด
ดังนั้นเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นตัดไปได้เลย
เพราะพวกเขาคิดค้นพลังงานรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องทำลายธรรมชาติ
มันเป็นพลังงานที่มีลักษณะคล้ายกับเซราฟอนที่มนุษย์ใช้ในการต่อสู้ แต่มันสามารถประยุกต์ใช้กับเครื่องมือต่างๆแทนพลังงานไฟฟ้าได้อย่างไม่มีที่ติ
มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ..แต่พูดๆพูดเถอะ
ถึงจะผลิตพลังงานรูปแบบใหม่นั้นได้แต่สุดท้ายก็ใช้แค่ในเมืองหลวงของแต่ละอาณาจักรเท่านั้น
อย่าง White Heaven ของเอดินเบิร์ก ซินเธียของเวลล์
อันวอร์ทของเอลโดร่า เป็นต้น ส่วนเมืองอื่นๆและหมู่บ้านตามชนบทก็เริ่มที่จะใช้เมจิเนียร์ของตนในการดำรงชีวิต
ไม่ได้มีเทคโนโลยีทันสมัยเหมือนเมืองหลวงแต่ก็ยังอยู่ได้อย่างสุขสบาย
เหมือนได้ย้อนกลับไปในสมัยอังกฤษยุคกลางเมื่อพันกว่าปีก่อน
ความจริง..ถ้าเทียบตามคริสต์ศักราชปีนี้คือ
ค.ศ. 3300
ซึ่งหากนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2020
ที่เริ่มเกิดเหตุการณ์กำเนิดพลังจิตนั้น นับว่าผ่านมา 1280 ปีแล้ว นับเป็น M.E.1280
หรือก็คือการนับศักราชแบบเมจิเนียร์ ย่อเป็น M.E. ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่ปีแรกที่มีผู้ใช้พลังจิตถือกำเนิดขึ้นมา
และผู้ที่เป็นคนคิดค้นและทำให้ M.E. เป็นระบบศักราชที่ใช้กับทั่วทวีปแบล็คอีเดนก็คือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเอดินเบิร์กรุ่นแรกนั่นเอง
ดวงตาสีฟ้าอ่อนกวาดสายตามองรอบๆทางเดิน สองข้างถนนคือแผงไม้สำหรับขายของขนาดย่อมๆของพ่อค้าแม่ค้าทั่วไป
บนแผงแต่ละแผงมีสินค้ามากมายที่แทบจะไม่ซ้ำกัน
“พ่อหนุ่ม
สนใจซื้อน้ำมะเขือเทศมั้ย?”
เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งทำให้เอมไพน์ต้องหยุดชะงักแล้วหันไปตามเสียงก่อนจะชี้มาที่ตัวเองแบบงงๆ
ตรงหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนที่มีผิวคล้ำคงเพราะต้องทำงานออกแดด
ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับอยู่ดูเหมือนผู้ใหญ่ใจดีที่มักจะพบได้บ่อยๆในชนชั้นสามัญชน
เอมไพน์ดึงฮู้ดให้ปิดหน้าปิดตามากขึ้นก่อนจะส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ
“ไม่เอาจริงๆเหรอ?”
แต่ดูเหมือนพ่อค้าวัยกลางคนจะยังไม่ละพยายาม..เขาถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างขึ้นอย่างคนอารมณ์ดี
แต่เอมไพน์ก็ส่ายหัวอีกครั้ง..
“แก้วเดียวก็ได้”
จนท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม..เขาล่ะเกลียดนักคนชอบตื๊อ
โดยเฉพาะคนที่ชอบตื๊อให้เขาซื้อสิ่งที่เขา ‘เกลียด’
มากอย่างน้ำมะเขือเทศ เด็กหนุ่มจ่ายเงินแบบไม่มีเศษให้ทอนก่อนจะรีบก้าวขาออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
“ทำไมฉันต้องซื้อแกมาด้วยนะ..”
หลังจากที่เดินออกมาได้ซักพักจึงหยุดอยู่หน้าซอยๆหนึ่ง
เขาพึมพำเสียงเบาก่อนจะจ้องมองแก้วที่บรรจุน้ำมะเขือเทศชวนอ้วกในมือ
หากปล่อยลำแสงเลเซอร์ออกจากตาให้ทำลายแก้วนี่ทิ้งได้เขาก็คงทำมันไปนานแล้ว..
“เฮอะ..”
สบถในลำคอเบาๆก่อนจะโยนมันทิ้งไปแถวนั้นโดยที่ไม่ได้ชายตาแลมองเลยว่ามันตกอยู่ในสภาพไหนหรือมีใครโดนลูกหลงเพราะมันบ้าง..
“นี่เห็นเมื่อกี้รึเปล่า..”
เสียงของหญิงวัยกลางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่มากนักเอ่ยขึ้นพลางมีสีหน้าหวาดระแวง
เธอกำลังพูดอยู่กับหญิงสาววัยทำงานอีก 2 คนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
สีหน้าทั้ง 3 ดูหวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างปิดไม่มิด
หรืออย่างน้อยพวกหล่อนคงไม่คิดที่จะปกปิดมัน
บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องไร้สาระก็ได้ใครจะไปรู้..ความจริงเขาควรจะไม่สนใจเรื่องนี้แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ๆเป็นเป้าหมายในการเดินเข้ามาในเมือง
แต่ประโยคต่อไปก็ทำให้เขาชะงักขา..
“อ๋อ..ทหารของ
Silver
Paradin ใช่มั้ย..ยศสูงน่าดูนี่”
Silver
Paeadin?
ไม่ใช่ว่าเอมไพน์ไม่รู้ว่าซิลเวอร์พาราดินคืออะไร
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทหารของกองทัพซิลเวอร์พาราดินเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกหล่อนกำลังคุยกันอยู่ Silver Paradin หรือที่ย่อๆว่า SP คือกองทัพที่ขึ้นตรงต่อจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเอดินเบิร์ก..
เป็นที่รวบรวมทาสนักสู้ชั้นยอดและทหารฝีมือฉกาจทั่วจักรวรรดิ ว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้บรรจุอยู่ในกองทัพต่างได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติแม้ว่าตำแหน่งจะเป็นทหารระดับทั่วไปก็ตาม
“เด็กที่โดนทำร้ายนั่นน่าสงสารจังนะ..เป็นทหารยศสูงแท้ๆทำไมทำอย่างนี้..”
เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำให้เขาจับใจความได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น คงจะเป็นทหารยศสูงๆที่ทะนงตนว่าตัวเองเก่งกล้ามีความสามารถไม่มีใครเทียบจึงไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาขัดขวางอยู่แล้ว
เอมไพน์เหลือบมองเหล่าสตรีไว้กลางคนพวกนั้นก่อนจะแค่นหัวเราะอย่างนึกสมเพช..ไม่ว่าจะเป็นใครตราบใดที่เป็นมนุษย์ก็ยังเห็นแก่ตัวกันไปหมด
ปากก็บอกว่าสงสารอย่างนู้นสงสารอย่างนี้..แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลืออะไร
เอมไพน์ก็เป็นมนุษย์..และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เขายอมรับเลย..เขาก็เป็นมนุษย์
เขาก็ย่อมเห็นแก่ตัว..
“แต่เด็กคนนั้นคุ้นๆนะ
จากตระกูลเวนท์เวิร์ทรึเปล่าน่ะ..”
!!!!!!!!!
โอเค..บางทีกรณีนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้น เด็กรับใช้ที่อายุต่ำกว่า 18
ในตระกูลเวนท์เวิร์ทนั้นมีอยู่คนเดียว และเด็กคนนี้ก็เป็นตัวหมากสำคัญของเขาซะด้วย..มีประโยชน์แบบสูงสุด..ใครแตะต้อง..
ตายสถานเดียว!
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความขาเจ้ากรรมก็ดันพาร่างของเขาวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุตามสัญชาตญาณที่มีทันที
และบางทีเอมไพน์ก็รู้สึกเกลียดสัญชาตญาณของตัวเองที่มันแม่นมาก..แม่นจนเกินไป
ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นคือนายทหารหนุ่มอายุประมาณ
20
กว่าปี..เขามีร่างกายถึกกำยำแบบคนที่เคยผ่านสนามรบ
ดวงตาสีนิลดูดุดันและแข็งกร้าว ผิวสีแทนแบบคนที่ทำงานออกแดดมาเป็นเวลานาน
รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่บริเวณดวงตาข้างขวา
ผมสีน้ำตาลชี้ตั้งฟูฟ่องจนบางทีเอมไพน์ก็คิดเล่นๆว่าคนตรงหน้าเป็นกอลิล่า..เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารของกองทัพซิลเวอร์พาราดิน
เสื้อข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตคอพับสีขาว เสื้อชั้นนอกเป็นเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวแขนทรงกระบอก ติดกระดุมสีทองเยื้องมาทางไหล่ขวาของลำตัว ชายเสื้อยาวลงมามากจนเกือบถึงข้อเท้า
มีผ้าคลุมสีดำบริเวณไหล่ซ้ายซึ่งเป็นผ้าที่ยึดติดกับตัวเสื้อโค้ทและเป็นที่ประดับเครื่องประดับบอกยศเป็นสีทอง
กางเกงขายาวสีดำ และเข็มขัดสีทองที่รัดนอกตัวเสื้อโค้ท
โดยมีสายห้อยเป็นที่พกดาบอยู่ทางด้านซ้ายของลำตัว รองเท้าบูทยาวทำจากหนังมีสีดำ
และสัญลักษณ์บอกยศที่บริเวณผ้าคลุมไหล่นั้นเป็นตัวบ่งบอกว่าชายคนนี้คงมียศอยู่ที่ตำแหน่งพันตรีหรือพันโท
ไม่น่าจะสูงหรือต่ำไปกว่านั้น..
แต่ภาพที่ทำให้เอมไพน์รู้สึกอยากจะเชือดชายตรงหน้าให้ตายก็เพราะการกระทำของชายตรงหน้าที่กำลังกดเด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนลงกับพื้นดินทรายที่ขรุขระ..มือหนาที่พยายามฉีกกระชากเสื้อผ้าของเด็กสาวใต้ร่าง
ให้ตาย..นั่นมันข่มขืนกันชัดๆ
คิดจะทำเรื่องบัดซบตอนกลางวันแสกๆแบบนี้เลยรึไง!
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
เด็กสาวร่างเล็กใต้ร่างกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุด..ดวงตาสีฟ้าใสคลอไปด้วยน้ำหยาดน้ำตา แต่เจ้าทหารกอลิล่านั่นกลับชกเธอที่ท้องน้อยจนร่างเล็กๆของเธอกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป
เกินไปแล้ว..สิ่งที่เจ้าบ้านั่นทำมันเกินไปแล้ว กับเด็กสาวตัวเล็กๆที่อายุแค่ 15
ปีอย่าง..เทียเซ่..เจ้านั่น..เจ้านั่น..
อา..ไม่สิ
ถ้าดูจากสถานะทางชนชั้นแล้วนายทหารระดับพันตรีน่าจะมีสถานะทางชนชั้นพอๆกับเขาที่เป็นขุนนาง
การทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำซักเท่าไหร่..
เอมไพน์กระตุกยิ้มมุมปาก..
“เห..เทียเซ่
มาทำอะไรที่นี่เหรอ~”
เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆราวกับสถานการณ์ตรงหน้าเป็นการไล่ตีกันของเด็กอายุ
2 ขวบ(?)
ใบหน้าหล่อเหลาปรากฎรอยยิ้มเสแสร้งขึ้นมาก่อนที่เอมไพน์จะก้าวขาไปยังจุดที่นายทหารกับเด็กสาวร่างเล็กอยู่โดยไม่เกรงกลัวเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายของนายทหารกอลิล่าเลยซักนิด
“แกมายุ่งอะไร!!” นายทหารกอลิล่า..(ก็ไม่รู้ชื่อนี่..)ตวาดด้วยน้ำเสียงอันดังกึกก้อง
สมมุติถ้าเสียงของเขาเป็นพลังทำลายล้างล่ะก็ป่านนี้แคว้นอัลเบิร์ตทั้งแคว้นคงพังย่อยยับซะจนไม่เหลือชิ้นดี
ก็นะ..เสียงดังซะขนาดนั้นจนนกที่บินอยู่ดีๆพากันหัวใจวายตายร่วงลงมาจากท้องฟ้าเสียหมด
“ก็จะไม่ให้ฉันยุ่งได้ไงล่ะ..สาวน้อยตรงนั้นน่ะเด็กของตระกูลเวนท์เวิร์ทนะ”
เอมไพน์ตอบก่อนจะฉีกยิ้มหวานดูเป็นมิตรแบบสุดๆส่งให้ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้แต่เด็กอนุบาลคงยังดูออกเลยล่ะมั้งว่านั่นมันเสแสร้งทั้งเพ
“ตระกูลเวนท์เวิร์ท..เฮอะ! ไอ้ตระกูลกระจอกที่ถูกทำลายล้างทั้งครอบครัวน่ะเหรอ?”
นายทหารคนนั้นแค่นหัวเราะอย่างดูถูกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่เอมไพน์ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความสมเพชอย่างปิดไม่มิด
ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน..
“อ้อ..งั้นแกก็ไอ้ทายาทตระกูลกระจอกนั่นที่เขาว่าอัจฉริยะนักอัจฉริยะหนางั้นสิ?”
“เห..จำไม่ได้เลยว่าเคยมีใครเขาพูดถึงแบบนั้นด้วย”
เอมไพน์ยังคงคุมสติได้ดีกว่า..เขาเพียงแค่เอียงคอมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับระบายรอยยิ้มหวานอย่างเสแสร้ง
ลมที่พัดแรงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุทำให้ฮู้ดที่คลุมปกปิดใบหน้าหลุดเป็นครั้งที่ 2
ของวัน..
บางทีนี่อาจจะเป็นวันฮู้ดหลุดแห่งชาติ..
“ยังไงฉันก็จะกำจัดคนเกะกะอย่างแกให้พ้นทาง!”
สิ้นเสียงคำราม(?)ของกอลิล่า(?)เอมไพน์ก็เบี่ยงตัวหลบอะไรบางอย่างที่พุ่งมาในทันทีแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นว่ามันคืออะไรก็ตาม
เอมไพน์ลอบยิ้มอย่างพอใจ..เหมือนที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด..
“เมจิเนียร์ของนายคือภาพลวงตาสินะ..ระดับความอันตรายแค่
3
เองเหรอ?” เอมไพน์พูดด้วยสีหน้าระรื่นทำเอานายทหารกอลิล่าหน้าเสียไปเล็กน้อย เมจิเนียร์..หรือที่เรียกว่าพลังจิต
เป็นพลังเหนือธรรมชาติที่กำเนิดขึ้นมาตั้งแต่หนึ่งพันปีก่อน
เมจิเนียร์มีมากมายหลายประเภทและแบ่งตามความอันตรายออกเป็น 5 ระดับ ระดับ 1 คืออันตรายน้อยมาก เรียงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงอันดับ
5 ที่มีความอันตรายมากที่สุด
อย่างที่บอกไปข้างต้นนั้นว่าเมจิเนียร์มีมากมายหลากหลายประเภท..แต่มนุษย์จะมีเมจิเนียร์แค่คนละอย่างเท่านั้น
หรือบางคนอาจจะมีเมจิเนียร์เหมือนกันแต่ระดับความอันตรายของเมจิเนียร์ที่ว่านั่นอาจจะต่างกันก็ได้ตามความสามารถของผู้ใช้
และดูจากเมื่อกี้แล้วเมจิเนียร์ของนายทหารกอลิล่าคงจะหนีไม่พ้นภาพลวงตาแน่ๆ
เมื้อกี้นี้คงจะเป็นมีดสั้นที่ถูกเขวี้ยงมาโดยที่เจ้าทหารกอลิล่านั่นใช้เมจิเนียร์ภาพลวงตาอำพลางมีดนั่นเอาไว้
ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นเขาไม่ได้เบี่ยงตัวหลบป่านนี้มีดนั่นคงเจาะอยู่ที่ลูกตาเขาแล้ว
แม่นดีจริงๆ..สมกับที่มียศเป็นถึงนายพัน
“แล้วเมจิเนียร์ของแกคืออะไรล่ะ!?
จะดีกว่าภาพลวงตาของฉันซักแค่ไหนเชียว!”
นายทหารกอลิล่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวนเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียหน้าที่ถูกคนอายุน้อยกว่าเดาชนิดของเมจิเนียร์ออกได้ภายในเวลาแค่นิดเดียว
เอมไพน์ไม่ตอบ..เขาเพียงแค่ระบายรอยยิ้มเสแสร้งรับคำพูดนั้นโดยไม่พูดอะไรออกไป
มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มยกขึ้นมาก่อนที่นิ้วชี้เรียวจะขยับวนไปมาเป็นวงกลม
เมื่อสังเกตดีๆจะพบว่ามีอักขระแปลกประหลาดเรียงตัวกันเป็นประโยคลอยวนอยู่รอบนิ้วชี้ของเขา..
“แก..แกเป็นผู้ใช้เซราฟอนเรอะ!!” นายทหารกอลิล่าเบิกตากว้างอย่างตกใจ ร่างกายขนาดใหญ่ของมันสั่นราวกับลูกนกทั้งๆที่ศัตรูตรงหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ
17 เท่านั้น
Seraphon หรือ
เซราฟอน คือ เวทมนต์ที่ได้รับมาจากการดึงพลังของสิ่งรอบตัวไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติ
หรือแม้แต่พลังของตัวเองมาใช้โดยการบีบอัดพลังงานแล้วร่ายคำสั่งในรูปแบบของตัวอักษรรูน
เป็นพลังที่ไร้ซึ่งขีดจำกัดเพราะสามารถดึงพลังงานเหล่านั้นมาได้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
ควบคุมโดยใช้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ใช้ในขณะนั้นเป็นหลักสำคัญ
มีอนุภาพของพลังพอๆกับเมจิเนียร์ระดับ 4 ถึงระดับ
5 เซราฟอนนั้นต่างจากเมจิเนียร์ตรงที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้งานได้
สำหรับเมจิเนียร์นั้นมนุษย์ทุกคนจะต้องมีคนละ 1 ชนิด
ทว่ากับเซราฟอนนั้นไม่ใช่..มีมนุษย์เพียง 25% ของจักรวรรดิเอดินเบิร์กเท่านั้นที่สามารถใช้เซราฟอนได้
หรือถึงแม้ว่าจะมีเมจิเนียร์ที่แข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะสามารถใช้เซราฟอนได้เสมอไป..
เซราฟอนจะแบ่งออกเป็น 5 สาย ก็คือ..
-
สายโจมตี
เป็นสายที่เน้นในการทำลายและการต่อสู้ทุกรูปแบบ มีลักษณะเฉพาะคือการสร้างความเสียหายให้กับคู่ต่อสู้
มักจะเป็นตัวอักษรรูนสีดำที่มีออร่าสีแดงทาบทับอีกที
-
สายรักษา
เป็นสายที่มีไว้สำหรับการบำรุงรักษา เช่น การรักษาอาการบาดเจ็บ
ลักษณะเฉพาะคือการบำรุงซ่อมแซมรักษา มักจะเป็นตัวอักษรรูนสีดำที่มีออร่าสีขาวเปล่งประกายออกมา
-
สายป้องกัน
เป็นสายที่เน้นในการป้องกันและการปกป้อง มีลักษณะเฉพาะคือการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย
มักจะเป็นตัวอักษรรูนสีดำที่มีออร่าสีน้ำเงินเข้ม
-
สายพลังแฝง
เป็นเซราฟอนที่อาจเป็นโจมตี ป้องกันหรือรักษาก็ได้ แต่ต้องมีคฑาหรืออาวุธสำหรับเป็นตัวกลางส่งผ่านเซราฟอน
เพราะสายพลังแฝงนี่หมายถึงไม่สามารถปลดปล่อยเซราฟอนออกมาโดยตรงโดยไร้ซึ่งตัวกลางได้
-
สายอัญเชิญ
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเซราฟอนสายนี้..เพียงแต่มันเป็นเซราฟอนสายที่มีเพียงจักรพรรดิและผู้สืบทอดพันธะสัญญาสัตว์เทพเท่านั้นที่ใช้ได้
ว่ากันว่าการจะใช้จะต้องมีบทร่ายเวทย์ยาวๆ
และตัวอักษรรูนนั้นจะเป็นตัวอักษรสีดำที่มีออกร่างสีทองทำให้ดูศักดิ์สิทธิสมกับเป็นสายอัญเชิญซึ่งเป็นเซราฟอนสายสูงสุด
แน่นอนว่ามนุษย์คนหนึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีเซราฟอนเพียงสายเดียว..
และ..เอมไพน์ก็คือผู้ใช้เซราฟอน..
เด็กหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยมอย่างเลือดเย็น..ดวงตาสีฟ้าทอประกายสว่างวาบอย่างน่ากลัว
ผมสีดำราวกับความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดพลิ้วไสวไปตามแรงลม..
อักขระที่เรียงตัวกันเป็นประโยคซึ่งกำลังหมุนวนเป็นวงกลมที่ปลายนิ้วของเอมไพน์มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่ากำลังตอบรับความรู้สึกของผู้ใช้อย่างเอมไพน์..
เพียงแค่ชี้นิ้วไปที่นายทหารกอลิล่าคนนั้นอักขระที่เรียงตัวกันเป็นประโยคเหล่านั้นก็กลายเป็นวงแหวนเวทย์ที่พุ่งเข้าโจมตีใส่นายทหารผู้โชคร้ายคนนั้นทันที
“อ๊ากกกกกกกกกกก!” เสียงกรีดร้องอย่างทรมาณดังขึ้นจากนายทหารผู้นั้นเมื่อเขาพบว่าแขนของเขานั้นถูกตัดจนขาดออกไปข้างหนึ่ง
โลหิตสีแดงฉานพุ่งออกมาราวกับน้ำพุจนทำให้แม้แต่เจ้าของร่างเองยังรู้สึกอยากจะอาเจียนซะปะเดี๋ยวนี้
เอมไพน์มองภาพนั้นด้วยสายตาสมเพช..ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังพูดจาอวดดีแถมยังกำลังจะทำเรื่องบัดซบกับเทียเซ่อีก
แต่ตอนนี้กลับกำลังมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนร้องขอชีวิต
มนุษย์น่ะ..เห็นแก่ตัวเสมอแหละ
และเอมไพน์..ก็เช่นกัน!
“อ๊ากกกกกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มร่ายเซราฟอนอีกครั้ง..และครั้งนี้ก็ทำให้เกิดการระเบิดดังตู้มจนร่างนายทหารคนนั้นกลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆชวนให้รู้สึกอยากจะอาเจียน
เด็กหนุ่มมองภาพนั้นด้วยสายตานิ่งเฉย..นี่คือผลของการที่เจ้านั่นบังอาจมายุ่งกับหมากตัวสำคัญของเขา
สวะแบบนี้..ไม่คู่ควรพอที่จะให้เขาเป็นคนจัดการด้วยตัวเองเลยซักนิด
“รายงานครับนายท่าน”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมมืดภายในซอยเปลี่ยวๆ..ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบของทหารในกองทัพซิลเวอร์พาราดินกำลังกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เขามีผมสีน้ำตาลอมเทา..นัยน์ตาสีเชสนัทของเขาสบตากับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ด้วยกันอย่างนอบน้อม
ใบหน้าที่ดูหวานเล็กน้อยทำให้เขาดูเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นมากกว่าชายหนุ่มที่กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
เครื่องประดับบอกยศเช่นพวกอิงธนูที่ติดอยู่บนบ่าทำให้ทราบว่าเขาคงมียศอยู่ในระดับสูงมากเลยทีเดียว
“ว่ามาสิ..”
เสียงทุ้มฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นก่อนที่จะเงียบไปเพื่อรอฟังผลรายงานของลูกน้องของตน
“พบเด็กหนุ่มอัจฉริยะ..ผู้ใช้เซราฟอนสายทำลายขั้นสูงแล้วครับ”
“เอมไพน์
เวนท์เวิร์ท..เหรอ?”
“ครับ เอมไพน์
เวนท์เวิร์ท.. คนๆนั้นแหละครับ”
“งั้นเหรอ..งั้นช่วยนำเรื่องนี้ไปบอกสังกัดจิ้งจอกเก้าหางด้วยล่ะ
มาคัส..”
“Yes
your highness.” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเจ้าของนามขานรับคำสั่ง..ก่อนจะเดินออกมาจากซอยเปลี่ยว
เขาหันหลังกลับไปคำนับผู้เป็นนายที่ยังคงอยู่ที่เดิมก่อนจะเดินจากไปอีกทาง
แล้วไม่นานหลังจากนั้นก็มีใครบางคนเดินออกมาจากซอยนั้นด้วยเช่นกัน..
เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีผมสีขาวราวกับหิมะที่ยาวลงมาถึงระดับบ่าจนต้องมัดรวบไว้หลวมๆ ดวงตาสีขาวโพลนที่ดูว่างเปล่าแต่กลับแอบแฝงไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน..
ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า และท่าทางดูมีฐานะชาติตระกูลทำให้รู้ว่าเขาคนนี้คือผู้เป็นเจ้านายของชายหนุ่มคนเมื่อกี้แน่นอน..
“เอมไพน์..งั้นเหรอ?
ฮึ..น่าสนุกดีนะ~”
ฮัลโหลลลลล..ความจริงตอนนี้ควรจะอัพสัปดาห์หน้าแหละค่ะ! แต่เพราะว่าพึ่งมาระลึกชาติได้ว่ามันเป็นช่วงสอบกลางภาคเลยไม่ว่าง
แถมยังต้องขอลาหยุดยาวๆไป 3 สัปดาห์
ดังนั้นจึงมาอัพลงในวันนี้ไว้ก่อนเนอะ อีก 3 สัปดาห์กลับมาเจอกันจ้า!
3 สัปดาห์ไปไหน?
-สัปดาห์แรกเตรียมสอบกลางภาคค่ะ
-สัปดาห์ที่สองสอบกลางภาคค่ะ
-สัปดาห์ที่ 3
ติดกีฬาสีและเข้าค่ายติวสอบเข้า ม.4 ค่ะ!
จะกลับมาอัพวันที่ 7
สิงหา นะคะ!
ตอนนี้ตัวละครที่เคยรับสมัครไปบางตัวก็เริ่มจะโผล่หัว(?)ออกมากันแล้วนะคะ
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจะเป็นตอนที่ให้ทำความรู้จักกับนิสัยของตัวเอกของเราอย่างเอมไพน์ผ่านๆ
ซึ่งถ้าอยากจะรู้นิสัยเบื้องหน้านิสัยเบื้องหลังของเจ้าตัว ก็คงต้องติดตามกันต่อไปนะคะ!
ปล.ยังไม่ตรวจคำผิดค่ะ
ความคิดเห็น