ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mythology of Guardian ตำนานผู้พิทักษ์เลือดมังกร

    ลำดับตอนที่ #4 : The Guardians :: Mission 01 – เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 62
      0
      15 ก.ค. 59

    The Guardians :: Mission 01 – เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท

     

     

     

     

    “ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่ใช่มนุษย์หรอก..จริงมั้ย?”

    -เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท-

     

     

     

     

              “นายน้อย..” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ชายชราท่าทางดูใจดีมองไปยังโซฟาสีแดงเลือดหมูด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก มือเหี่ยวย่นลูบหน้าตัวเองก่อนจะถอนหายใจ เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเขาต้องมาทำงานอะไรแบบนี้ด้วย แต่ก็เอาเถอะ..นายน้อยของเขาเป็นแบบนี้เสมออยู่แล้ว

     

              “....”

     

              “นายน้อย..”

     

              “....”

     

              “นายน้อยครับ!!” หลังจากที่เรียกอยู่นานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ชายชราก็ตัดสินใจเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นเสียจนเด็กหนุ่มที่นอนเหม่ออยู่บนโซฟาสีแดงเลือดหมูสะดุ้งอย่างตกใจ ดวงตาสีฟ้าใสคู่คมคายกระพริบตาถี่ๆก่อนจะมองไปที่ชายชราในชุดสูทสีดำขลับดูภูมิฐาน  มือเรียวยีผมตัวเองจนยุ่งฟูก่อนจะลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วจัดท่านั่งให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะมองไปที่ชายชราอย่างตั้งคำถาม

     

              “มีอะไร..เรจิส” ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่พอใจซักเท่าไรนัก ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจดจ้องไปยังคู่สนทนาพร้อมแผ่รังสีกดดันเป็นการบอกว่าหากไม่พูดก็ไสหัวไปซะอะไรทำนองนั้น.. พ่อบ้านวัยชราถอนหายใจก่อนจะยื่นซองจดหมายสีขาวที่มีรอยประทับตาสีแดงเป็นรูปพญาอินทรีให้เด็กหนุ่ม  เรจิส เลบิเนียร์..เขาคือพ่อบ้านของเด็กหนุ่ม แล้วก็เลี้ยงดูเด็กหนุ่มมาได้เกือบ 3 ปีแล้ว..

     

              มือเรียวรับซองจดหมายมาก่อนจะเปิดแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งเมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายจบ ชีวิตของเขามันช่างน่าปวดหัวเสียนี่กระไร..

     

              น่าเบื่อ

     

              “มีอะไรรึเปล่าครับ นายน้อย?” เสียงทุ้มของชายชราเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าแลดูเหนื่อยใจเป็นอย่างมากของผู้เป็นนาย แต่เอาเถอะ..หากไม่ใช่จดหมายเชิญไปงานเลี้ยงเต้นรำก็เป็นจดหมายขอดูตัวนั่นแหละ ตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมาของเจ้านายของเขาก็วนเวียนอยู่กับสองเรื่องนี้อยู่แล้ว

     

              “ก็แค่จดหมายขอดูตัว..”

     

              ผิดคาดซะที่ไหนล่ะ..

     

              เอมพ์ หรือชื่อจริงๆคือ เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท เป็นบุตรของผู้นำตระกูลเวนท์เวิร์ทคนก่อน ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีฐานะ..แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลตายด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เกือบๆ 2 ปีก่อน และคนที่รอดก็มีเพียงเอมไพน์เพียงคนเดียวเท่านั้น รวมถึงคนรับใช้ทุกคนในบ้านหลังนี้..เป็น คนใหม่ ทั้งหมด..ทุกคนคือคนที่พึ่งย้ายเข้ามาหลังจากเกิดอุบัติเหตุได้ไม่นาน  ทรัพย์สินทั้งหมดตกทอดมายังเอมไพน์..ซึ่งเป็นบุตรเพียงคนเดียวของตระกูล

     

              น่ายินดีใช่มั้ยล่ะ..?

     

              แต่สำหรับเอมไพน์..นั่นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยซักนิด

     

              เพราะมีสีตาไม่เหมือนทั้งบิดาและมารดา..จึงถูกนินทาว่าร้ายว่าเป็นลูกของเมียน้อยที่บิดาของตนซ่อนเอาไว้อย่างลับๆ น่าตลกดีที่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ คนเหล่านั้นรังเกียจเขาจนแทบจะไม่สูดอากาศหายใจร่วมกัน แต่พอเขารับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปเท่านั้นแหละ คนพวกนั้นกลับยกยอเชิดชูเขาราวกับเขาเป็นวีรบุรุษกู้ชาติอะไรเทือกๆนั้น

     

              อำนาจและเงินทองเปลี่ยนคนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้เพียงพริบตาเดียว

     

              ...น่าขยะแขยง...

     

              แต่พูดๆก็พูดเถอะ..เอมไพน์ก็ไม่ได้ต่างไปจากคนพวกนั้นซักเท่าไหร่นัก

     

              “จะปฏิเสธไปดีมั้ยครับ..” ชายชราถามพลามก้มหัวให้อย่างนอบน้อม แต่ในใจนั้นรู้ดีว่านายน้อยของเขาจะตอบมาอย่างไร..

     

              “ปฏิเสธไปตระกูลของเราก็เสียผลประโยชน์น่ะสิ..ส่งจดหมายตอบตกลงไปก็แล้วกัน”

     

              ..ก็เป็นแบบนี้ทุกที..

     

              “เฮ้อ..” ชายชราถอนหายใจอีกครั้ง..ก่อนจะมองไปที่นายน้อยของตนด้วยสายตาเหนื่อยใจ ก็รู้อยู่หรอกว่านายน้อยทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล..แต่ถ้าจะฝืนตัวเองให้ทำอะไรที่ไม่อยากทำแบบนี้มันก็ไม่สมควรนัก เพียงแต่เตือนไปทำไหร่ก็ไม่ยอมฟัง..เขาก็ยอมใจกับนายน้อยเพียงคนเดียวของตระกูลนี้ซะจริงๆ..

     

              “ช่วยไม่ได้นะเรจิส..นั่นบัตรเชิญจากตระกูลไนท์เรย์นี่ ตระกูลของชนชั้นสูงซะด้วย..” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาสีเลือดหมู ที่จักรวรรดิเอดินเบิร์กแห่งนี้ปกครองด้วยระบบชนชั้นวรรณะ ชนชั้นที่สูงที่สุดคือจักรพรรดิหรือจักรพรรดินี รองลงมาคือราชวงศ์และผู้สืบทอดพันธะสัญญาของสัตว์เทพทั้ง 5 รองจากนั้นก็คือชนชั้นสูงหรือพวกขุนนางชั้นสูงที่มีเชื้อสายราชวงศ์ รองจากนั้นอีกก็คือขุนนาง ทหาร สามัญชน และสุดท้ายก็คือทาส..

     

              ถึงตระกูลเวนท์เวิร์ทจะเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่..แต่ก็เป็นเพียงขุนนางเท่านั้น

     

              จดหมายขอเชิญมาดูตัวกับลูกสาวหรือลูกชายอะไรนั่นเอมไพน์เจอจนชินไปแล้ว..เพราะเขาเกิดมาพร้อมหน้าตาที่หล่อเหลาจนสาวน้อยใหญ่หรือเด็กหนุ่มหน้าเคะเป็นอันต้องสยบอยู่แทบเท้า ใบหน้าที่หล่อคมได้รูป ผมสีดำราวกับรัตติกาล และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลใส ผิวขาวเรียบเนียนเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้เจอแดดซักเท่าไหร่ จมูกโด่งเป็นสัน และอีกทั้งร่างกายที่สูงโปร่ง..ความจริงก็ไม่ถือว่าสูงนะถ้าเทียบกับผู้ชายวัยเดียวกัน แต่มันก็ดูดีอยู่ดีนั่นแหละ..

     

              และคฤหาสน์ที่เขาปกครองอยู่ก็คือคฤหาสน์ตระกูลเวนท์เวิร์ทในเขต 3 ของแคว้นอัลเบิร์ต ก็ถือว่ามันเป็นคฤหาสน์ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยล่ะนะ รูปหล่อ..แถมฐานะดี ไม่ว่าใครก็อยากจะวิ่งเข้าหาทั้งนั้นล่ะ..

     

            ...น่าสมเพช...

     

              “แล้วเป็นคุณหนูตระกูลไนท์เรย์คนไหนล่ะครับ?” เรจิสถามต่อเมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองดูจะไม่ค่อยพอใจในอะไรบางอย่างซักเท่าไหร่ พูดก็พูดเถอะ..ถึงจะไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กแต่เรจิสก็แทบจะรู้ใจนายน้อยของเขาไปซะทุกอย่างแล้ว

     

              “เกรซ ไนท์เรย์..” แค่นี้เรจิสก็รู้แล้วว่าทำไมเอมไพน์ถึงดูไม่พอใจแบบนี้..

     

              เกรซ ไนท์เรย์ คุณหนูคนสุดท้องของตระกูลที่ดูเหมือนจะชอบและตามตื๊อเอมไพน์มาตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน พูดตรงๆเลยว่าการตามตื๊อของเธอคือสิ่งที่เอมไพน์จะหลอนไปตลอดชีวิต! คุณคงไม่อยากรู้หรอกนะว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง..งั้นข้ามประเด็นนี้ไปเถอะ!

     

              “เรจิสออกไปเถอะ ฉันจะอยู่คนเดียวซักพัก” เอมไพน์พูดก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะลืมตาขึ้นมาเหม่อมองเพดานของห้องโถงที่มีลักษณะเป็นโดม มีลวดลายเป็นเสมือนภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง มันเป็นรูปที่มีสุนัขจิ้งจอกเก้าหางสีขาวบริสุทธิ์ตนหนึ่งกำลังมองไปที่สัตว์ตัวอื่นๆอีก 4 ตัว อันได้แก่ หงส์แดง เสือขาว หมาดำ และงูขาว เขาไม่รู้ว่าภาพนี้สื่อถึงอะไร..แล้วก็ไม่ได้อยากจะรู้ด้วย เอมไพน์กลอกตาไปมาพลางนึกไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตของเขามันน่าเบื่อมาเกินพอแล้ว.. เด็กหนุ่มหลับตาลงอีกครั้งคล้ายกับกำลังข่มตาให้หลับเพื่อที่จะได้ตกอยู่ในห้วงนิทรา

     

              พ่อบ้านวัยชรามองนายน้อยของตนด้วยดวงตาที่ทอประกายความอบอุ่น ก็จริงที่เขาไม่ค่อยชอบนิสัยบางอย่างของเอมไพน์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าไม่มีเอมไพน์ก็คงไม่มีเขาในวันนี้ เอมไพน์คือผู้ที่ดึงเขาให้ขึ้นมาจากขุมนรก

     

              พ่อบ้านและคนรับใช้ทุกคนในตระกูลเวนท์เวิร์ทที่นายน้อยรับมา..ทุกคนเป็นทาสมาก่อน  และทาสก็คือชนชั้นที่ต่ำที่สุดในจักรวรรดิเอดินเบิร์กแห่งนี้ ไม่มีใครชอบ..มีแต่คนรังเกียจ ทั้งๆที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่กลับไร้ซึ่งสิทธิการดำรงชีวิต

     

              แต่ไม่มีแม้แต่คำว่ารังเกียจ เอมไพน์มอบโอกาสให้พวกเขาใหม่อีกครั้ง..

     

              ต่อให้ตาย..เขาก็ขอปกป้องนายน้อยด้วยชีวิต

     

              “งั้นผมไปเตรียมของว่างสำหรับมื้อบ่ายนะครับ นายน้อย” พูดจบก็เดินออกจากห้องโถงไปทันที เมื่อมั่นใจว่าเรจิสคงจะเดินไปได้ไกลแล้วดวงตาสีฟ้าใสก็ลืมตาขึ้นมา เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก เขาไม่ใช่คนดีมากมายขนาดนั้น เรจิสและคนใช้คนอื่นๆในคฤหาสน์ล้วนเป็นทาสมาก่อน เขาก็แค่ยื่นโอกาสเล็กๆน้อยๆด้วยการให้มาเป็นคนของตระกูลเวนท์เวิร์ท เปลี่ยนจากฐานะทาสกลายมาเป็นสามัญชนได้ภายในคืนเดียว แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่คิดว่าพวกเรจิสจะอยู่ดูแลเขาได้ถึง 2 ปีกว่าแบบนี้ด้วยซ้ำ..

     

              ทั้งๆที่เขาก็คิดไว้แล้วว่าพวกเรจิสก็คงเหมือนมนุษย์ทั่วไป..เห็นแก่ตัว

     

              ไม่สิ..ตั้งแต่วันแรกที่รับพวกนั้นเข้ามา เขาก็เตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วว่าซักวันคงถูกพวกนั้นฆ่าแน่ๆ..

     

              โลกนี้มันสกปรกโสมมจะตาย..ใครๆก็รู้

     

              แต่พวกนั้นกลับไม่ทำ..จนเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปีก็ยังไม่ทำ.. มิหน่ำซ้ำยังรักและดูแลเขาจนเขาโตมาได้ขนาดนี้อีกต่างหาก 

     

              “รักงั้นเหรอ..ฮึ..” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมาดร้าย เขาไม่เชื่อในคำว่า รัก และเขาก็ไม่เชื่อในคำว่า ครอบครัว จะบอกว่าว่าเขามองโลกในแง่ร้ายก็ได้  แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตั้งแต่เกิดมานั่นคือมนุษย์ชอบเสแสร้ง หรอกลวง โกหก เห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก นั่นคือสิ่งที่เขาเกลียด..เขาเกลียดมนุษย์

     

              “เรจิส ฉันน่ะนะ..” เด็กหนุ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางแค่นยิ้มอย่างสมเพชในชะตาชีวิตของตนเอง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวอีกครั้ง..”ไม่ได้ดีเหมือนที่นายคิดหรอก J

     

              เจ้าเล่ห์ เพทุบาย เสแสร้ง โป้ปด หลอกลวง ทะเยอทะยาน..

     

              นั่นคือนิยามของ เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท ..

     

              เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางนึกถึงอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดของตนเอง พ่อตาย แม่ตาย คนรับใช้ทุกคนในตอนนั้นตายทั้งหมด..ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนวางเพลิงคฤหาสน์หลังนั้นของเขา แต่เอาเถอะ..ถึงจะจับคนร้ายได้พ่อกับแม่ก็ไม่มีวันกลับมาหรอก

     

              “น่าเบื่อ..” พึมพำเสียงแผ่วก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีฟ้าคู่คมคายมองไปรอบห้องโถง..เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่จึงเปิดประตูไม้ขนาดใหญ่เพื่อที่จะเดินออกไปจากคฤหาสน์  โดยไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อฮู้ดสีดำขึ้นมาใส่ปิดหน้าปิดตา  ผมสีดำรัตติกาลถูกปกปิดด้วยฮู้ดสีดำสนิท ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำจนผมปิดหน้าปิดตาทำให้คนในเมืองที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ทันสังเกตว่าเขาคือใคร

     

              ที่นี่คือเขต 3 ของแคว้นอัลเบิร์ต จักรวรรดิเอดินเบิร์ก แคว้นอัลเบิร์ตที่เขาอาศัยอยู่นี้ปกครองโดยผู้สืบทอดพันธะสัญญาสุนัขจิ้งจอกเก้าหางซึ่งมีคฤหาสน์ประจำตระกูลอยู่ที่เขต 1 จักรวรรดิเอดินเบิร์กนั้นถูกแบ่งออกเป็น 5 แคว้น กับเขตการปกครองแบบพิเศษอีก 1 เขต นั่นก็คือ แคว้นแฮมิลตัน แคว้นแอนเดรีย แคว้นเวย์น แคว้นคิงส์ตัน และแคว้นอัลเบิร์ต รวมถึงเขตการปกครอง White Heaven ซึ่งเป็นเมืองลอยฟ้าที่ถือเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ

     

              เอมไพน์ไม่เคยเจอผู้สืบทอดพันธะสัญญาคิทซึเนะหรอกนะ..และเขาก็ไม่คิดอยากจะเจอด้วย

     

              เขาเดินไปเรื่อยๆตามทางในเมือง หากดูแบบผ่านๆจะดูเหมือนว่าประชากรในเมืองอยู่กันอย่างมีความสุข แต่หากลองมองเจาะลึกเข้าไปอีกซักนิดแล้วลองวิเคราะห์พฤติกรรมของแต่ละคนก็จะพบว่า..ไม่มีใครมีความสุขเลย  การกดขี่ข่มเหงผู้ด้อยกว่า การรีดไถ่เงิน การใช้อำนาจข่มขู่บังคับ หรือการกระทำอื่นๆที่พวกขุนนางชนชั้นสูงเขาทำกัน การกระทำเหล่านั้นทำให้ประชากรในเมืองแต่ละเมืองต่างอยู่อย่างหวาดระแวงและไม่มีความสุข  หากถามว่าแล้วจักรพรรดิไม่แก้ไขบ้างเหรอ..แก้ไขเหรอ? เหอะ! เผลอๆอาจจะสนับสนุนเสียด้วยล่ะมั้ง

     

              บางครั้งพอมองไปมองมาก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้..พวกคนรวยมีชาติตระกูลมักจะมีสัตว์เลี้ยง แต่หากรวยมากสัตว์เลี้ยงที่ว่านั่นก็คือ มนุษย์  ระบบชนชั้นของที่นี่น่ะ..ชนชั้นที่ต่ำที่สุดก็คือทาส.. อยู่ที่ว่าจะเป็นทาสสำหรับอะไรก็เท่านั้น หากเป็นทาสต่อสู้ก็มีสิทธิตายได้ทุกเมื่อ หรือหากเป็นทาสสัตว์เลี้ยงก็จะถูกกระทำเหมือนหมูหมากาไก่.. หรือถ้าหากเป็นทาสรับใช้ก็ต้องรับใช้เจ้านายของตนจนกว่าตัวจะตาย แต่ถามว่าทาสแบบไหนที่อัปยศที่สุด..ทาสสัตว์เลี้ยงกับทาสกามนั่นล่ะคือสิ่งที่อัปยศที่สุด ทาสสัตว์เลี้ยงนั่นคือทาสที่ละทิ้งศักดิ์ศรีและความรู้สึกแบบมนุษย์ไปจนหมดสิ้นแล้ว ต้องยอมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทำตามคำสั่งทุกอย่างของเจ้านาย ไม่มีสิทธิพูด ไม่มีสิทธิต่อรอง ไม่มีสิทธิอะไรทั้งนั้น ต่อให้ถูกสั่งว่าให้เลียเท้าต่อหน้าคนนับร้อยคนก็ต้องทำ ส่วนทาสกาม..หรือก็คือคนที่ทำหน้าที่ในหอนางโลม อาจจะใช้คำโบราณไปหน่อยแต่เขาก็คิดว่าคำนี้แหละเหมาะดี..ก็คล้ายทาสสัตว์เลี้ยงแต่อาจจะมีสิทธิมากกว่า มีสิทธิพูดได้ แต่ไม่มีสิทธิขัดคำสั่งหรือต่อรอง

     

              และเพราะแบบนี้นี่ไง..ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นทาส

     

              “น่ารังเกียจชะมัด..พวกสวะ..” เด็กหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วเบา

     

            มนุษย์ที่น่ารังเกียจ..

     

              แต่ถามว่าเอมไพน์จะไปทำอะไรได้? นั่นสิ..คนอย่างเขาจะไปทำอะไรได้? เขาไม่ใช่คนดี..เขาไม่มีทางยอมเสียเงินเพื่อไปไถ่ตัวพวกทาสนั่นมาเป็นของตัวเองหรอก อีกอย่างต่อให้มีเงินจริงก็ใช่ว่าจะไปต่อรองกับพวกชนชั้นสูงได้เสียเมื่อไหร่ คิดดูว่าคนในจักรวรรดิเอดินเบิร์กมีทาสรวมแล้วกี่คน..ให้เขาไปใช้เงินทองที่มีเพื่อช่วยซื้อทุกคนงั้นเหรอ? บ้ารึเปล่า..เขาเป็นขุนนางนะไม่ใช่พ่อพระ!!

     

              ปึก!

     

              ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ..รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีใครซักคนเดินมาชนเขาจนต่างคนต่างกระเด็นกันไปคนละทาง แรงเยอะเป็นบ้า..เอมไพน์หลับตาคิด ถ้าไม่ใช่พวกผู้ชายร่างถึกก็เป็นผู้หญิงร่างกายสูงใหญ่ล่ะนะ..

     

              “หวา..ขอโทษครับ”  จากน้ำเสียงของเดาว่าเป็นผู้ชาย..คนแปลกหน้าที่เดินชนเขากล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงหวานที่ฟังแล้วรู้เลยว่าคงกำลังรู้สึกผิดแบบสุดๆ  ฮู้ดที่คุมปกปิดหน้าตาของเอมไพน์ถูกแรงลมทำให้หลุดโดยไม่ได้ตั้งใจ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังคนที่เดินชนเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ผิดคาดจากที่คิดเยอะ..เพราะเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งบาง เขามีผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวเรี่ยต้นคอ ดวงตาสีฟ้าราวกับสีของท้องนภาในเวลานี้จดจ้องมาที่เขาพร้อมทอประกายความรู้สึกผิด ผิวขาวเนียนและใบหน้าหล่อหวานนั่นทำให้แม้แต่เอมไพน์ยังอดที่จะมองตาค้างไม่ได้.. และอีกอย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าก็สูงประมาณ 175 เซนฯ น่าจะเตี้ยกว่าเขาประมาณ 5-6 เซนติเมตร ให้ตาย..เขานึกว่าจะเป็นผู้ชายร่างถึกที่มีแรงเยอะๆซะอีก ไม่คิดเลยว่าคนร่างโปร่งบางจนแทบจะปลิวไปกับลมแบบนี้จะมีแรงเยอะซะขนาดนั้น

     

              โลกนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน..

     

              “ไม่เป็นไร ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกัน..” เอมไพน์พูดต่อโดยไม่คิดที่จะมีหางเสียงอะไรทั้งสิ้น ดูยังไงๆเด็กหนุ่มตรงหน้าก็คงอายุเท่าเขาไม่ก็อายุน้อยกว่าเขา อีกทั้งเครื่องแบบการแต่งกายและลักษณะบรรยากาศรอบตัวที่มีออร่าความเป็นคนดีแผ่ออกมาวิ้งๆแบบนั้นก็คงเป็นสามัญชนที่มีชนชั้นต่ำกว่าเขาแน่ๆ 

     

              “อ่า..ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ แหะๆ” เด็กหนุ่มที่วิ่งชนเขายกยิ้มเจื่อนๆก่อนจะวิ่งผ่านเขาไปทันที..เอมพ์ไม่คิดจะสนใจหรอกนะว่าทำไมเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น  เพราะเราทั้งคู่เป็นแค่คนแปลกหน้ากันที่พระเจ้าเล่นตลกจับพวกเรามาเจอกันก็เท่านั้น..ไม่จำเป็นต้องสนใจ การเจอกันในครั้งนี้..ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องได้เจอกันอีกซักหน่อย  เด็กหนุ่มสวมฮู้ดสีดำขลับของตัวเองก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินไปตามท้องตลาด

     

              เพราะทรัพยากรของโลกเริ่มหมดไปตั้งแต่เมื่อ 1000  กว่าปีก่อน..ทำให้มนุษย์จำต้องรู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัด ดังนั้นเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นตัดไปได้เลย เพราะพวกเขาคิดค้นพลังงานรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องทำลายธรรมชาติ มันเป็นพลังงานที่มีลักษณะคล้ายกับเซราฟอนที่มนุษย์ใช้ในการต่อสู้ แต่มันสามารถประยุกต์ใช้กับเครื่องมือต่างๆแทนพลังงานไฟฟ้าได้อย่างไม่มีที่ติ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ..แต่พูดๆพูดเถอะ ถึงจะผลิตพลังงานรูปแบบใหม่นั้นได้แต่สุดท้ายก็ใช้แค่ในเมืองหลวงของแต่ละอาณาจักรเท่านั้น อย่าง White Heaven ของเอดินเบิร์ก ซินเธียของเวลล์ อันวอร์ทของเอลโดร่า เป็นต้น ส่วนเมืองอื่นๆและหมู่บ้านตามชนบทก็เริ่มที่จะใช้เมจิเนียร์ของตนในการดำรงชีวิต ไม่ได้มีเทคโนโลยีทันสมัยเหมือนเมืองหลวงแต่ก็ยังอยู่ได้อย่างสุขสบาย เหมือนได้ย้อนกลับไปในสมัยอังกฤษยุคกลางเมื่อพันกว่าปีก่อน

     

              ความจริง..ถ้าเทียบตามคริสต์ศักราชปีนี้คือ ค.ศ. 3300  ซึ่งหากนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2020 ที่เริ่มเกิดเหตุการณ์กำเนิดพลังจิตนั้น นับว่าผ่านมา 1280 ปีแล้ว นับเป็น M.E.1280 หรือก็คือการนับศักราชแบบเมจิเนียร์ ย่อเป็น M.E. ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่ปีแรกที่มีผู้ใช้พลังจิตถือกำเนิดขึ้นมา และผู้ที่เป็นคนคิดค้นและทำให้ M.E. เป็นระบบศักราชที่ใช้กับทั่วทวีปแบล็คอีเดนก็คือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเอดินเบิร์กรุ่นแรกนั่นเอง

     

              ดวงตาสีฟ้าอ่อนกวาดสายตามองรอบๆทางเดิน สองข้างถนนคือแผงไม้สำหรับขายของขนาดย่อมๆของพ่อค้าแม่ค้าทั่วไป บนแผงแต่ละแผงมีสินค้ามากมายที่แทบจะไม่ซ้ำกัน

     

              “พ่อหนุ่ม สนใจซื้อน้ำมะเขือเทศมั้ย?” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งทำให้เอมไพน์ต้องหยุดชะงักแล้วหันไปตามเสียงก่อนจะชี้มาที่ตัวเองแบบงงๆ ตรงหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนที่มีผิวคล้ำคงเพราะต้องทำงานออกแดด ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับอยู่ดูเหมือนผู้ใหญ่ใจดีที่มักจะพบได้บ่อยๆในชนชั้นสามัญชน เอมไพน์ดึงฮู้ดให้ปิดหน้าปิดตามากขึ้นก่อนจะส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ

     

              “ไม่เอาจริงๆเหรอ?” แต่ดูเหมือนพ่อค้าวัยกลางคนจะยังไม่ละพยายาม..เขาถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างขึ้นอย่างคนอารมณ์ดี แต่เอมไพน์ก็ส่ายหัวอีกครั้ง..

     

              “แก้วเดียวก็ได้” จนท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม..เขาล่ะเกลียดนักคนชอบตื๊อ โดยเฉพาะคนที่ชอบตื๊อให้เขาซื้อสิ่งที่เขา เกลียด มากอย่างน้ำมะเขือเทศ เด็กหนุ่มจ่ายเงินแบบไม่มีเศษให้ทอนก่อนจะรีบก้าวขาออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

     

              “ทำไมฉันต้องซื้อแกมาด้วยนะ..” หลังจากที่เดินออกมาได้ซักพักจึงหยุดอยู่หน้าซอยๆหนึ่ง เขาพึมพำเสียงเบาก่อนจะจ้องมองแก้วที่บรรจุน้ำมะเขือเทศชวนอ้วกในมือ หากปล่อยลำแสงเลเซอร์ออกจากตาให้ทำลายแก้วนี่ทิ้งได้เขาก็คงทำมันไปนานแล้ว..

     

              “เฮอะ..” สบถในลำคอเบาๆก่อนจะโยนมันทิ้งไปแถวนั้นโดยที่ไม่ได้ชายตาแลมองเลยว่ามันตกอยู่ในสภาพไหนหรือมีใครโดนลูกหลงเพราะมันบ้าง..

     

              “นี่เห็นเมื่อกี้รึเปล่า..” เสียงของหญิงวัยกลางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่มากนักเอ่ยขึ้นพลางมีสีหน้าหวาดระแวง เธอกำลังพูดอยู่กับหญิงสาววัยทำงานอีก 2 คนที่ยืนอยู่ด้วยกัน สีหน้าทั้ง 3 ดูหวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างปิดไม่มิด หรืออย่างน้อยพวกหล่อนคงไม่คิดที่จะปกปิดมัน บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องไร้สาระก็ได้ใครจะไปรู้..ความจริงเขาควรจะไม่สนใจเรื่องนี้แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ๆเป็นเป้าหมายในการเดินเข้ามาในเมือง แต่ประโยคต่อไปก็ทำให้เขาชะงักขา..

     

              “อ๋อ..ทหารของ Silver Paradin ใช่มั้ย..ยศสูงน่าดูนี่”

     

              Silver Paeadin?

     

    ไม่ใช่ว่าเอมไพน์ไม่รู้ว่าซิลเวอร์พาราดินคืออะไร เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทหารของกองทัพซิลเวอร์พาราดินเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกหล่อนกำลังคุยกันอยู่  Silver Paradin หรือที่ย่อๆว่า SP คือกองทัพที่ขึ้นตรงต่อจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเอดินเบิร์ก.. เป็นที่รวบรวมทาสนักสู้ชั้นยอดและทหารฝีมือฉกาจทั่วจักรวรรดิ ว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้บรรจุอยู่ในกองทัพต่างได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติแม้ว่าตำแหน่งจะเป็นทหารระดับทั่วไปก็ตาม

     

    “เด็กที่โดนทำร้ายนั่นน่าสงสารจังนะ..เป็นทหารยศสูงแท้ๆทำไมทำอย่างนี้..” เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำให้เขาจับใจความได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น คงจะเป็นทหารยศสูงๆที่ทะนงตนว่าตัวเองเก่งกล้ามีความสามารถไม่มีใครเทียบจึงไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาขัดขวางอยู่แล้ว

     

    เอมไพน์เหลือบมองเหล่าสตรีไว้กลางคนพวกนั้นก่อนจะแค่นหัวเราะอย่างนึกสมเพช..ไม่ว่าจะเป็นใครตราบใดที่เป็นมนุษย์ก็ยังเห็นแก่ตัวกันไปหมด ปากก็บอกว่าสงสารอย่างนู้นสงสารอย่างนี้..แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลืออะไร

     

    เอมไพน์ก็เป็นมนุษย์..และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

     

    เขายอมรับเลย..เขาก็เป็นมนุษย์

     

    เขาก็ย่อมเห็นแก่ตัว..

     

    “แต่เด็กคนนั้นคุ้นๆนะ จากตระกูลเวนท์เวิร์ทรึเปล่าน่ะ..”

     

    !!!!!!!!!

     

    โอเค..บางทีกรณีนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้น  เด็กรับใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ในตระกูลเวนท์เวิร์ทนั้นมีอยู่คนเดียว และเด็กคนนี้ก็เป็นตัวหมากสำคัญของเขาซะด้วย..มีประโยชน์แบบสูงสุด..ใครแตะต้อง..

     

    ตายสถานเดียว!

     

    ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความขาเจ้ากรรมก็ดันพาร่างของเขาวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุตามสัญชาตญาณที่มีทันที และบางทีเอมไพน์ก็รู้สึกเกลียดสัญชาตญาณของตัวเองที่มันแม่นมาก..แม่นจนเกินไป

     

    ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นคือนายทหารหนุ่มอายุประมาณ 20 กว่าปี..เขามีร่างกายถึกกำยำแบบคนที่เคยผ่านสนามรบ ดวงตาสีนิลดูดุดันและแข็งกร้าว ผิวสีแทนแบบคนที่ทำงานออกแดดมาเป็นเวลานาน รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่บริเวณดวงตาข้างขวา ผมสีน้ำตาลชี้ตั้งฟูฟ่องจนบางทีเอมไพน์ก็คิดเล่นๆว่าคนตรงหน้าเป็นกอลิล่า..เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารของกองทัพซิลเวอร์พาราดิน เสื้อข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตคอพับสีขาว เสื้อชั้นนอกเป็นเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวแขนทรงกระบอก  ติดกระดุมสีทองเยื้องมาทางไหล่ขวาของลำตัว  ชายเสื้อยาวลงมามากจนเกือบถึงข้อเท้า มีผ้าคลุมสีดำบริเวณไหล่ซ้ายซึ่งเป็นผ้าที่ยึดติดกับตัวเสื้อโค้ทและเป็นที่ประดับเครื่องประดับบอกยศเป็นสีทอง กางเกงขายาวสีดำ และเข็มขัดสีทองที่รัดนอกตัวเสื้อโค้ท โดยมีสายห้อยเป็นที่พกดาบอยู่ทางด้านซ้ายของลำตัว รองเท้าบูทยาวทำจากหนังมีสีดำ และสัญลักษณ์บอกยศที่บริเวณผ้าคลุมไหล่นั้นเป็นตัวบ่งบอกว่าชายคนนี้คงมียศอยู่ที่ตำแหน่งพันตรีหรือพันโท ไม่น่าจะสูงหรือต่ำไปกว่านั้น..

     

    แต่ภาพที่ทำให้เอมไพน์รู้สึกอยากจะเชือดชายตรงหน้าให้ตายก็เพราะการกระทำของชายตรงหน้าที่กำลังกดเด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนลงกับพื้นดินทรายที่ขรุขระ..มือหนาที่พยายามฉีกกระชากเสื้อผ้าของเด็กสาวใต้ร่าง ให้ตาย..นั่นมันข่มขืนกันชัดๆ

     

    คิดจะทำเรื่องบัดซบตอนกลางวันแสกๆแบบนี้เลยรึไง!

     

    “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” เด็กสาวร่างเล็กใต้ร่างกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุด..ดวงตาสีฟ้าใสคลอไปด้วยน้ำหยาดน้ำตา  แต่เจ้าทหารกอลิล่านั่นกลับชกเธอที่ท้องน้อยจนร่างเล็กๆของเธอกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป เกินไปแล้ว..สิ่งที่เจ้าบ้านั่นทำมันเกินไปแล้ว กับเด็กสาวตัวเล็กๆที่อายุแค่ 15 ปีอย่าง..เทียเซ่..เจ้านั่น..เจ้านั่น..

     

    อา..ไม่สิ ถ้าดูจากสถานะทางชนชั้นแล้วนายทหารระดับพันตรีน่าจะมีสถานะทางชนชั้นพอๆกับเขาที่เป็นขุนนาง การทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำซักเท่าไหร่..

     

    เอมไพน์กระตุกยิ้มมุมปาก..

     

    “เห..เทียเซ่ มาทำอะไรที่นี่เหรอ~” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆราวกับสถานการณ์ตรงหน้าเป็นการไล่ตีกันของเด็กอายุ 2 ขวบ(?) ใบหน้าหล่อเหลาปรากฎรอยยิ้มเสแสร้งขึ้นมาก่อนที่เอมไพน์จะก้าวขาไปยังจุดที่นายทหารกับเด็กสาวร่างเล็กอยู่โดยไม่เกรงกลัวเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายของนายทหารกอลิล่าเลยซักนิด

     

    “แกมายุ่งอะไร!!” นายทหารกอลิล่า..(ก็ไม่รู้ชื่อนี่..)ตวาดด้วยน้ำเสียงอันดังกึกก้อง สมมุติถ้าเสียงของเขาเป็นพลังทำลายล้างล่ะก็ป่านนี้แคว้นอัลเบิร์ตทั้งแคว้นคงพังย่อยยับซะจนไม่เหลือชิ้นดี ก็นะ..เสียงดังซะขนาดนั้นจนนกที่บินอยู่ดีๆพากันหัวใจวายตายร่วงลงมาจากท้องฟ้าเสียหมด 

     

    “ก็จะไม่ให้ฉันยุ่งได้ไงล่ะ..สาวน้อยตรงนั้นน่ะเด็กของตระกูลเวนท์เวิร์ทนะ” เอมไพน์ตอบก่อนจะฉีกยิ้มหวานดูเป็นมิตรแบบสุดๆส่งให้ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้แต่เด็กอนุบาลคงยังดูออกเลยล่ะมั้งว่านั่นมันเสแสร้งทั้งเพ

     

    “ตระกูลเวนท์เวิร์ท..เฮอะ! ไอ้ตระกูลกระจอกที่ถูกทำลายล้างทั้งครอบครัวน่ะเหรอ?” นายทหารคนนั้นแค่นหัวเราะอย่างดูถูกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่เอมไพน์ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความสมเพชอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน..

     

    “อ้อ..งั้นแกก็ไอ้ทายาทตระกูลกระจอกนั่นที่เขาว่าอัจฉริยะนักอัจฉริยะหนางั้นสิ?”

     

    “เห..จำไม่ได้เลยว่าเคยมีใครเขาพูดถึงแบบนั้นด้วย” เอมไพน์ยังคงคุมสติได้ดีกว่า..เขาเพียงแค่เอียงคอมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับระบายรอยยิ้มหวานอย่างเสแสร้ง ลมที่พัดแรงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุทำให้ฮู้ดที่คลุมปกปิดใบหน้าหลุดเป็นครั้งที่ 2 ของวัน..

     

    บางทีนี่อาจจะเป็นวันฮู้ดหลุดแห่งชาติ..

     

    “ยังไงฉันก็จะกำจัดคนเกะกะอย่างแกให้พ้นทาง!” สิ้นเสียงคำราม(?)ของกอลิล่า(?)เอมไพน์ก็เบี่ยงตัวหลบอะไรบางอย่างที่พุ่งมาในทันทีแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นว่ามันคืออะไรก็ตาม เอมไพน์ลอบยิ้มอย่างพอใจ..เหมือนที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด..

     

    เมจิเนียร์ของนายคือภาพลวงตาสินะ..ระดับความอันตรายแค่ 3 เองเหรอ?” เอมไพน์พูดด้วยสีหน้าระรื่นทำเอานายทหารกอลิล่าหน้าเสียไปเล็กน้อย  เมจิเนียร์..หรือที่เรียกว่าพลังจิต เป็นพลังเหนือธรรมชาติที่กำเนิดขึ้นมาตั้งแต่หนึ่งพันปีก่อน เมจิเนียร์มีมากมายหลายประเภทและแบ่งตามความอันตรายออกเป็น 5 ระดับ ระดับ 1 คืออันตรายน้อยมาก เรียงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงอันดับ 5 ที่มีความอันตรายมากที่สุด อย่างที่บอกไปข้างต้นนั้นว่าเมจิเนียร์มีมากมายหลากหลายประเภท..แต่มนุษย์จะมีเมจิเนียร์แค่คนละอย่างเท่านั้น หรือบางคนอาจจะมีเมจิเนียร์เหมือนกันแต่ระดับความอันตรายของเมจิเนียร์ที่ว่านั่นอาจจะต่างกันก็ได้ตามความสามารถของผู้ใช้ และดูจากเมื่อกี้แล้วเมจิเนียร์ของนายทหารกอลิล่าคงจะหนีไม่พ้นภาพลวงตาแน่ๆ

     

    เมื้อกี้นี้คงจะเป็นมีดสั้นที่ถูกเขวี้ยงมาโดยที่เจ้าทหารกอลิล่านั่นใช้เมจิเนียร์ภาพลวงตาอำพลางมีดนั่นเอาไว้ ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นเขาไม่ได้เบี่ยงตัวหลบป่านนี้มีดนั่นคงเจาะอยู่ที่ลูกตาเขาแล้ว

     

    แม่นดีจริงๆ..สมกับที่มียศเป็นถึงนายพัน

     

    “แล้วเมจิเนียร์ของแกคืออะไรล่ะ!? จะดีกว่าภาพลวงตาของฉันซักแค่ไหนเชียว!” นายทหารกอลิล่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวนเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียหน้าที่ถูกคนอายุน้อยกว่าเดาชนิดของเมจิเนียร์ออกได้ภายในเวลาแค่นิดเดียว

     

    เอมไพน์ไม่ตอบ..เขาเพียงแค่ระบายรอยยิ้มเสแสร้งรับคำพูดนั้นโดยไม่พูดอะไรออกไป มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มยกขึ้นมาก่อนที่นิ้วชี้เรียวจะขยับวนไปมาเป็นวงกลม เมื่อสังเกตดีๆจะพบว่ามีอักขระแปลกประหลาดเรียงตัวกันเป็นประโยคลอยวนอยู่รอบนิ้วชี้ของเขา..

     

    “แก..แกเป็นผู้ใช้เซราฟอนเรอะ!!” นายทหารกอลิล่าเบิกตากว้างอย่างตกใจ ร่างกายขนาดใหญ่ของมันสั่นราวกับลูกนกทั้งๆที่ศัตรูตรงหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 17 เท่านั้น

     

    Seraphon หรือ เซราฟอน คือ เวทมนต์ที่ได้รับมาจากการดึงพลังของสิ่งรอบตัวไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ หรือแม้แต่พลังของตัวเองมาใช้โดยการบีบอัดพลังงานแล้วร่ายคำสั่งในรูปแบบของตัวอักษรรูน เป็นพลังที่ไร้ซึ่งขีดจำกัดเพราะสามารถดึงพลังงานเหล่านั้นมาได้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ควบคุมโดยใช้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ใช้ในขณะนั้นเป็นหลักสำคัญ มีอนุภาพของพลังพอๆกับเมจิเนียร์ระดับ 4 ถึงระดับ 5  เซราฟอนนั้นต่างจากเมจิเนียร์ตรงที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้งานได้ สำหรับเมจิเนียร์นั้นมนุษย์ทุกคนจะต้องมีคนละ 1 ชนิด ทว่ากับเซราฟอนนั้นไม่ใช่..มีมนุษย์เพียง 25% ของจักรวรรดิเอดินเบิร์กเท่านั้นที่สามารถใช้เซราฟอนได้ หรือถึงแม้ว่าจะมีเมจิเนียร์ที่แข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะสามารถใช้เซราฟอนได้เสมอไป.. เซราฟอนจะแบ่งออกเป็น 5 สาย ก็คือ..

     

    -         สายโจมตี เป็นสายที่เน้นในการทำลายและการต่อสู้ทุกรูปแบบ มีลักษณะเฉพาะคือการสร้างความเสียหายให้กับคู่ต่อสู้ มักจะเป็นตัวอักษรรูนสีดำที่มีออร่าสีแดงทาบทับอีกที

     

    -         สายรักษา เป็นสายที่มีไว้สำหรับการบำรุงรักษา เช่น การรักษาอาการบาดเจ็บ ลักษณะเฉพาะคือการบำรุงซ่อมแซมรักษา มักจะเป็นตัวอักษรรูนสีดำที่มีออร่าสีขาวเปล่งประกายออกมา

     

    -         สายป้องกัน เป็นสายที่เน้นในการป้องกันและการปกป้อง มีลักษณะเฉพาะคือการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย มักจะเป็นตัวอักษรรูนสีดำที่มีออร่าสีน้ำเงินเข้ม

     

    -         สายพลังแฝง เป็นเซราฟอนที่อาจเป็นโจมตี ป้องกันหรือรักษาก็ได้ แต่ต้องมีคฑาหรืออาวุธสำหรับเป็นตัวกลางส่งผ่านเซราฟอน เพราะสายพลังแฝงนี่หมายถึงไม่สามารถปลดปล่อยเซราฟอนออกมาโดยตรงโดยไร้ซึ่งตัวกลางได้

     

    -         สายอัญเชิญ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเซราฟอนสายนี้..เพียงแต่มันเป็นเซราฟอนสายที่มีเพียงจักรพรรดิและผู้สืบทอดพันธะสัญญาสัตว์เทพเท่านั้นที่ใช้ได้ ว่ากันว่าการจะใช้จะต้องมีบทร่ายเวทย์ยาวๆ และตัวอักษรรูนนั้นจะเป็นตัวอักษรสีดำที่มีออกร่างสีทองทำให้ดูศักดิ์สิทธิสมกับเป็นสายอัญเชิญซึ่งเป็นเซราฟอนสายสูงสุด

     

    แน่นอนว่ามนุษย์คนหนึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีเซราฟอนเพียงสายเดียว..

     

    และ..เอมไพน์ก็คือผู้ใช้เซราฟอน..

     

    เด็กหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยมอย่างเลือดเย็น..ดวงตาสีฟ้าทอประกายสว่างวาบอย่างน่ากลัว ผมสีดำราวกับความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดพลิ้วไสวไปตามแรงลม.. อักขระที่เรียงตัวกันเป็นประโยคซึ่งกำลังหมุนวนเป็นวงกลมที่ปลายนิ้วของเอมไพน์มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ากำลังตอบรับความรู้สึกของผู้ใช้อย่างเอมไพน์..

     

    เพียงแค่ชี้นิ้วไปที่นายทหารกอลิล่าคนนั้นอักขระที่เรียงตัวกันเป็นประโยคเหล่านั้นก็กลายเป็นวงแหวนเวทย์ที่พุ่งเข้าโจมตีใส่นายทหารผู้โชคร้ายคนนั้นทันที

     

    “อ๊ากกกกกกกกกกก!” เสียงกรีดร้องอย่างทรมาณดังขึ้นจากนายทหารผู้นั้นเมื่อเขาพบว่าแขนของเขานั้นถูกตัดจนขาดออกไปข้างหนึ่ง โลหิตสีแดงฉานพุ่งออกมาราวกับน้ำพุจนทำให้แม้แต่เจ้าของร่างเองยังรู้สึกอยากจะอาเจียนซะปะเดี๋ยวนี้ เอมไพน์มองภาพนั้นด้วยสายตาสมเพช..ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังพูดจาอวดดีแถมยังกำลังจะทำเรื่องบัดซบกับเทียเซ่อีก แต่ตอนนี้กลับกำลังมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนร้องขอชีวิต มนุษย์น่ะ..เห็นแก่ตัวเสมอแหละ

     

    และเอมไพน์..ก็เช่นกัน!

     

    “อ๊ากกกกกกกกกก!!!” เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มร่ายเซราฟอนอีกครั้ง..และครั้งนี้ก็ทำให้เกิดการระเบิดดังตู้มจนร่างนายทหารคนนั้นกลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆชวนให้รู้สึกอยากจะอาเจียน  เด็กหนุ่มมองภาพนั้นด้วยสายตานิ่งเฉย..นี่คือผลของการที่เจ้านั่นบังอาจมายุ่งกับหมากตัวสำคัญของเขา

     

    สวะแบบนี้..ไม่คู่ควรพอที่จะให้เขาเป็นคนจัดการด้วยตัวเองเลยซักนิด

     

     

     

     


     

     

     

     

    “รายงานครับนายท่าน” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมมืดภายในซอยเปลี่ยวๆ..ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบของทหารในกองทัพซิลเวอร์พาราดินกำลังกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขามีผมสีน้ำตาลอมเทา..นัยน์ตาสีเชสนัทของเขาสบตากับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ด้วยกันอย่างนอบน้อม ใบหน้าที่ดูหวานเล็กน้อยทำให้เขาดูเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นมากกว่าชายหนุ่มที่กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เครื่องประดับบอกยศเช่นพวกอิงธนูที่ติดอยู่บนบ่าทำให้ทราบว่าเขาคงมียศอยู่ในระดับสูงมากเลยทีเดียว

     

    “ว่ามาสิ..” เสียงทุ้มฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นก่อนที่จะเงียบไปเพื่อรอฟังผลรายงานของลูกน้องของตน

     

    “พบเด็กหนุ่มอัจฉริยะ..ผู้ใช้เซราฟอนสายทำลายขั้นสูงแล้วครับ”

     

    “เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท..เหรอ?”

     

    “ครับ เอมไพน์ เวนท์เวิร์ท.. คนๆนั้นแหละครับ”

     

    “งั้นเหรอ..งั้นช่วยนำเรื่องนี้ไปบอกสังกัดจิ้งจอกเก้าหางด้วยล่ะ มาคัส..”

     

    Yes your highness.” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเจ้าของนามขานรับคำสั่ง..ก่อนจะเดินออกมาจากซอยเปลี่ยว เขาหันหลังกลับไปคำนับผู้เป็นนายที่ยังคงอยู่ที่เดิมก่อนจะเดินจากไปอีกทาง แล้วไม่นานหลังจากนั้นก็มีใครบางคนเดินออกมาจากซอยนั้นด้วยเช่นกัน.. เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีผมสีขาวราวกับหิมะที่ยาวลงมาถึงระดับบ่าจนต้องมัดรวบไว้หลวมๆ ดวงตาสีขาวโพลนที่ดูว่างเปล่าแต่กลับแอบแฝงไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน.. ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า และท่าทางดูมีฐานะชาติตระกูลทำให้รู้ว่าเขาคนนี้คือผู้เป็นเจ้านายของชายหนุ่มคนเมื่อกี้แน่นอน..

     

    “เอมไพน์..งั้นเหรอ? ฮึ..น่าสนุกดีนะ~

     

     

     

     


    ฮัลโหลลลลล..ความจริงตอนนี้ควรจะอัพสัปดาห์หน้าแหละค่ะ! แต่เพราะว่าพึ่งมาระลึกชาติได้ว่ามันเป็นช่วงสอบกลางภาคเลยไม่ว่าง แถมยังต้องขอลาหยุดยาวๆไป 3 สัปดาห์ ดังนั้นจึงมาอัพลงในวันนี้ไว้ก่อนเนอะ อีก 3 สัปดาห์กลับมาเจอกันจ้า!

    3 สัปดาห์ไปไหน?

    -สัปดาห์แรกเตรียมสอบกลางภาคค่ะ

    -สัปดาห์ที่สองสอบกลางภาคค่ะ

    -สัปดาห์ที่ 3 ติดกีฬาสีและเข้าค่ายติวสอบเข้า ม.4 ค่ะ!

    จะกลับมาอัพวันที่ 7 สิงหา นะคะ!

    ตอนนี้ตัวละครที่เคยรับสมัครไปบางตัวก็เริ่มจะโผล่หัว(?)ออกมากันแล้วนะคะ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจะเป็นตอนที่ให้ทำความรู้จักกับนิสัยของตัวเอกของเราอย่างเอมไพน์ผ่านๆ ซึ่งถ้าอยากจะรู้นิสัยเบื้องหน้านิสัยเบื้องหลังของเจ้าตัว ก็คงต้องติดตามกันต่อไปนะคะ!

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิดค่ะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    style-anime theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×