ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] ปรัชญาช่างกลยามศึกเรารบยามสงบเราซ้อมรักกันเอง by aoikyosuke

    ลำดับตอนที่ #44 : ปรัชญาช่างกล ฯ ภาค ภาคี-ต้นสน ตอน แล้วเราก็รักกัน (ภาควันปีใหม่)

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 53


     ปรัชญาช่างกลยามศึกเรารบยามสงบเราซ้อมรักกันเอง ตอน แล้วเราก็รักกัน (ภาควันปีใหม่)














    ปีใหม่น่ะเหรอ


    สำหรับต้นสนแล้ว เขาเกือบลืมไปด้วยซ้ำเรื่องวันปีใหม่อะไรนั่นน่ะ คืนนี้เขาก็ยังคงทำงานที่ร้านสะดวกซื้อกะดึกอยู่เช่นเดิม และภาคีก็มาซื้อบุหรี่ ตอนตี 2 อีกเหมือนเดิม แล้วก็ไปนั่งรอเขาเพื่อไปกินข้าวเช้าตอนตีห้าครึ่งเหมือนเดิม แต่มันจะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ว่า วันนี้ลูกค้าเข้าร้านน้อยก็แค่นั้นเอง

    "สน...ป่านนี้คนอื่นเขาคงฉลองปีใหม่กันแล้วเนอะ" หญิงสาวที่เข้างานกะดึกเหมือนกับเขาและไม่ได้หยุด หันมาบอกกับร่างโปร่งบางที่หันมายิ้มตอบรับ

    อัษฎาเหลือบสายตามอง ร่างสูงของคนที่นั่งมองไฟถนนไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากจุดที่เขายืนอยู่
    วันปีใหม่ทั้งที ทำไมยังจะมาตามเฝ้าเขาอีก น่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า

     

    ร่างสูงนั้นไม่เคยบอกสักคำว่าชอบ ว่ารักเขาหรือเปล่า แต่เอาเวลาทั้งหมดมาทุ่มให้เขาหมด ต้นสนไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนัก ไปเที่ยวด้วยกันก็แล้ว แต่ไปดูหนังกับกินข้าว..ธรรมดาแบบนั้น จะเรียกว่าไปเดทได้เหรอ ภาคีอาจจะหาเพื่อนไปเที่ยว แก้เบื่อก็ได้ แล้วที่มาตามรอเขาทุกวันเนี่ย อาจจะแค่มาขอโทษเรื่องที่ทำเลวๆ กับเขาไว้ก็ได้

    แต่เรื่องนั้น หมอนั่นก็ขอโทษไปแล้ว ที่มารับเขาไปกินข้าวทุกวัน จะแปลว่าภาคีชอบเขาบ้างได้หรือเปล่านะ

     

    แต่ว่า.....แต่ว่า อัษฎาเองไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด

     
    เขากับภาคีเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แค่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียว แบบที่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ประทับใจนักหรอก แทนที่ภาคีจะถอยห่างจากเขา กลับเข้ามาใกล้ เขากับภาคีแทบไม่พูดกันเลยด้วยซ้ำ แต่ภาคีก็รู้ทุกอย่างว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอหรอกที่จะแปลว่าภาคีรักเขาน่ะ

    ถ้าเวลานี้ มันยังคงเดินไปด้วยกันได้เรื่อยๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่อึดอัดใจกับความสัมพันธ์แบบนี้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมเขาจะต้องคิดอะไรให้มากกัน

    ต้นสนเหลือบมองร่างสูงที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่งนอกร้านอีกครั้ง ก่อนจะหันมาสนใจกับการคิดเงินหน้าเคาน์เตอร์เมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านต่อไป

    ******************

    "กลับก่อนนะครับพี่...." ร่างโปร่งบางคว้ากระเป๋าเป้เดินออกนอกร้าน เมื่อเวลาตีห้าครึ่งเหมือนเช่นทุกวัน และคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งก็หันกลับมามองและเดินตามเขามา แต่มีบางสิ่งที่ต่างออกไป

    "ตักบาตรกัน.." ภาคีเดินนำเขาไปที่ร้านข้าวต้มร้านเดิมและวางชุดอาหารตักบาตรลงบนโต๊ะสองชุด

    ไปซื้อมาตอนไหนกัน เห็นนั่งอยู่ตลอดนี่นา

    "กินข้าวก่อนแล้วไปตักบาตรปีใหม่กัน..." ภาคีรู้ว่าเขาและต้นสนไม่ได้มีโอกาสฉลองปีใหม่เหมือนกับคนอื่นแน่นอน เขาไม่คิดว่าปีใหม่จะต่างจากทุกวัน ในเมื่อเขาก็ยังชอบต้นสนเหมือนทุกวัน ไม่ว่าปีไหนๆ ก็เหมือนกัน

    ร่างโปร่งบางเหลือบตามองเขาเหมือนไม่เข้าใจ ก่อนจะสนใจกับการตักกับข้าวตรงหน้าใส่จานแล้วก็ลงมือเคี้ยวเหมือนทุกวัน ต่างคนก็ต่างกิน ไม่มีใครชวนใครคุย กินเสร็จจ่ายตังค์ และก็เดินออกจากร้านเหมือนเดิมทุกประการ แต่วันนี้ต่างออกไป

     
    "อ่ะ...ของสน.." ร่างสูงนั้นยื่นข้าวปลาอาหารที่จัดชุดมาเรียบร้อยให้กับอัษฎา และตัวเองก็ถือไว้หนึ่งชุด และนำให้ต้นสนเดินตามเขามาที่ทางเดินที่ภาคีสังเกตทุกวันว่าจะมีพระมาเดินบิณฑบาตในตอนเช้า

    และในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน พระหนึ่งรูปพร้อมกับเด็กวัดหนึ่งคนก็เดินผ่านมา

    สองร่างย่อกายลงและใส่อาหารในบาตรพระ วางตามด้วยดอกไม้และนั่งคุกเข่าลง ไหว้รับศีลรับพรจากพระรูปนั้นในวันปีใหม่ เป็นอันเสร็จพิธี

    "สน...กรวดน้ำด้วย.." ภาคีถือขวดน้ำเล็กๆ เดินมาที่ใต้ต้นไม้ และดึงให้มืออัษฎาจับขวดน้ำไว้ ก่อนจะเริ่มบทกรวดน้ำ

    ร่างโปร่งหันมองคนที่นั่งเคียงข้าง เออเนอะ...เห็นโหดๆ เถื่อนๆ ธรรมะธรรมโมเหมือนกันนี่หว่า

    "มีสมาธีด้วย..." ภาคีเอ็ดร่างที่นั่งอยู่เคียงข้างเสียงเบา ก่อนจะค่อยเทน้ำลงที่โคนต้นไม้จนหมดขวด แล้วต่างคนต่างก็ลุกขึ้นยืน ไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อเหมือนเดิม

    "เอ่อ...ไม่ไปเที่ยวปีใหม่กับเพื่อนเหรอ..." ต้นสนเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนเมื่อเดินย้อนกลับมาในทางเดินกลับบ้านของเขา โดยมีภาคีเดินตาม

    "ไม่.." นั่นก็เป็นคำตอบสั้นๆ ของภาคี ทั้งที่ในใจของเขาคิดว่า ---ไปเที่ยวไม่เห็นสนุกเลย...สู้อยู่ตักบาตรกับต้นสนแบบนี้ดีกว่า--- แต่ก็เหมือนเดิม ภาคีก็ไม่เคยพูดอะไรอีกเหมือนเดิม

     

    นั่นเท่ากับเป็นการตัดบทสนทนา ได้อย่างดีเยี่ยม ภาคีนี่มันเป็นอะไรของมัน จะพูดกับต้นสนเกินสองประโยคไม่ได้เลยหรือไง

     

    "เฮ้ย....ไม่อยากพูดด้วยก็บอกนะเว้ย....ไม่ได้อยากคุยเหมือนกัน" ปีใหม่ทั้งทีแต่ต้นสนต้องมาหงุดหงิดกับไอ้ท่าที นิ่งเฉยของอีกฝ่าย ใจคอมันจะปล่อยให้เขาเอาแต่เดาความรู้สึกของมันโดยไม่พูดเลยหรือไงกัน

    "อยาก...ก็เลยซื้อนี่มาด้วย" ร่างสูงหยุดชะงักเท้าแล้วก็ยื่นโทรศัพท์บ้านแบบเติมเงินที่มีโปรโมชั่น โทรหากันในโครงข่ายเดียวกันฟรีแบบแพ็คคู่ออกมา ลวดลายเหมือนกัน เป๊ะ รุ่นเดียวกัน อีกต่างหาก แต่มันขายเป็นคู่แค่นั้นเอง

    อัษฎารับมาถือไว้แบบงงๆ เขาก็มีโทรศัพท์อยู่แล้ว จะเอามาให้เขาทำไมกัน

    "คือว่า....พี่...พูดไม่ค่อยเป็น...แต่ว่าพี่...ก็เอ่อ...อยากคุยกับต้นสนนะ...แต่ว่าพี่ก็....เอ่อ...ไงดีล่ะ...คือว่านะ"

    หลังจากร่ายไปยาวโดยไม่เป็นประโยคสักที แล้วร่างสูงนั้นก็หยุดพูดไปดื้อๆ เมื่อไม่รู้จะเรียบเรียงประโยคต่อไปยังไง เขาแค่อยากจะบอก อยากคุยกับต้นสน ขอให้ต้นสนรับ โทรศัพท์ที่เขาให้ แล้วก็ได้โปรดคุยกับเขาด้วย

    ถ้าเขาจะโทรไปหา ต้นสนก็จะต้องด่าเขา หาว่าเขาไม่ประหยัด แล้วถ้าเขาโทรวันละหลายๆ รอบ ต้นสนก็อาจจะยิ่งด่าเขาเรื่องสิ้นเปลือง รอให้ต้นสนโทรมาหาเขา นั่นยิ่งไม่ต้องคิด แต่ถ้าโทรหากันฟรีแบบนี้ ต้นสนก็จะได้โทรมาหาเขาบ้าง ก็เท่านั้นเอง

    แต่ปัญหาก็คือ เขาจะพูดมันออกมายังไงดี

    "อ๋อ...เข้าใจแล้ว..." อัษฎาหันมามองหน้าร่างสูงนั้นแบบเซ็งๆ รับโทรศัพท์มาแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

    "อ่ะ...." มือเล็กๆ ยื่นเงินให้กับภาคี

     
    ร่างสูงนั้นทำหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้นสนยื่นเงินให้ ก็แล้วมันเป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมรับเงินกันล่ะ แฟนก็ไม่ใช่....

    "ทำไมต้องให้...ผมไม่ใช่ผู้หญิงอีกล่ะสิ..." ภาคีขมวดคิ้วมุ่น ทำไมต้นสนต้องใช้ประโยคนี้ตลอดเวลา เขาก็ไม่ได้เห็นต้นสนเป็นผู้หญิงสักหน่อย คิดมากไปได้

    "เราไม่ได้เป็นอะไรกัน...มาเลี้ยงข้าวซื้อนั่นซื้อนี่ให้...ผมไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอกนะ ถึงจะรับนั่นรับนี่ฟรีๆ ตลอดน่ะ" มือเล็กๆ บังคับยัดเยียดเงินใส่มือของภาคีอีกครั้งเมื่อร่างสูงนั้นยืนนิ่งเฉย
    "เราเป็นแฟนกัน..." ฝ่ามืออุ่นร้อนรีบยัดเงินกลับคืนให้กับอัษฎา พูดประโยคที่ทำให้ร่างโปร่งบาง อ้าปากค้าง
    และไม่รอให้ตกใจ ภาคีเดินลิ่วๆ ไปโดยไม่หันกลับมามองหน้าคนที่ยืนหน้าเอ๋ออีก โบกแท็กซี่แล้วก็นั่งกลับบ้านไปต่อหน้าต่อตาต้นสน

    ทิ้งให้ต้นสนยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

    เราเป็นแฟนกัน
    เราเป็นแฟนกัน
    เราเป็นแฟนกัน

    เราเป็นแฟนกันเนี่ยอะนะ ทั้งที่ไม่เคยบอกรักเขาเลยงั้นเหรอ
    แล้วก็ไม่เคยตกลงกันด้วยว่าคบกัน
    แล้วไปเป็นแฟนกันตอนไหนวะ

    อัษฎาเดินกลับเข้าบ้านอย่างงงๆ เขาไม่เข้าใจภาคีเลย ทั้งที่พูดอย่างนั้นกับเขา แล้วก็ไม่ยอมรอคำตอบ เดินลิ่วไปเฉยเลย

    มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อพบว่ามีสายเรียกเข้า และเมื่อเขากดรับสายที่โทรเข้ามา เจ้าของปลายสายก็พูดกับเขาว่า

    "เราเป็นแฟนกันนะต้นสน..." เสียงของภาคีนั่นเอง

    อัษฎายืนอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรตอบไปดี แต่ปากเจ้ากรรมก็ตอบรับไปแล้วก่อนที่สมองเขาจะคิดเสร็จ

    "ครับ"

     

    นั่นคือคำตอบของเขา ก่อนที่สายที่โทรมาจะกดวางไปเรียบร้อยหลังจากได้ยินคำตอบของเขา ร่างโปร่งบางยืนนิ่งอยู่กลางซอย มองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาด้วยความอาย

    ไอ้สนเอ้ยไอ้สน...เอ็งตอบรับเขาไปแล้วนะเว้ย เอ็งตอบรับเขาไปแล้ว ตอนนี้เป็นแฟนกับไอ้บ้าภาคีแล้วนะเว้ย

    ใบหน้าสวยหวาน กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนจะหน้าแดงจัด เดินเข้าบ้านแทบไม่ตรงทาง เนื่องจากอาการทั้งเขินทั้งอาย

    ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากภาคีนักหรอก

    เมื่อได้ยินประโยคตอบรับของอัษฎา เขาก็แทบจะตะโกนร้องออกมาเสียงดัง แต่ก็รีบกดวางสาย แล้วก็นั่งมองโทรศัพท์ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงรูหู เหม่อมองข้างทางที่พระอาทิตย์กำลังจะจะขึ้น สลับไปมาระหว่างข้างทางกับโทรศัพท์ในมือ

    เขาเป็นแฟนกับต้นสนแล้ว

    เขาเป็นแฟนกับต้นสนแล้ว
    เขาเป็นแฟนกับต้นสนแล้ว

    ไชโย่

    .........................................................

    ภาคนี้ไม่สนุกหรอค่ะ  ทำไมไม่ค่อยเม้นกันเลย  ส่วนตัวกลับชอบภาคนี้นะ  อยากมีความรักแบบนี้  ไม่ต้องพูดอะไรมาก  แค่มองตาก็เข้าใจกันอ่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×