คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 木マリ (4) - ‘ขอโทษฉันทำไมคะ’– มัลลิกา
Haikyuu!!
縁と浮世は末を待て
Haikyuu!!
Bokuto x oc
***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ
(8)
‘ขอโทษฉันทำไมคะ’
– มัลลิกา
“มีอะไรมังกือ” มัลลิกากรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือไปเมื่อเห็นว่าน้องชายฝาแฝดโทรมาหาเธอผ่านแอปพลิเคชันไลน์
“อารายย น้องชายจะโทรหาพี่สาวฝาแฝดไม่ได้เลยหรือไงหืมมะลิเน่า?” ‘มกรา เฑียรมงคล’ ตอกกลับใส่พี่สาวอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้มีเค้าไม่พอใจใดๆ ทั้งสิ้นที่ถูกอีกฝ่ายแกล้งเปลี่ยนชื่อเล่นเท่ๆ จาก ‘มังกร’ เป็น ‘มังกือ’ แต่กระนั้นก็ยังแอบมีแว้งกัดเรียกชื่อเล่นแย่ๆ ของอีกฝ่ายกลับไปบ้างเพื่อเป็นการเอาคืน
แฝดพี่ยิ้มออกมาตามลำพังในห้องน้ำที่ตัวเองแอบเข้ามานั่งอู้งาน เพราะอีกเดี๋ยวเธอก็จะต้องลงไปตรวจเมนูประจำวันนี้ที่แคนทีนกับรุ่นพี่ฮอนโดแล้ว “เปล่าหรอก โทรได้สิ”
“หึ! ก็แค่อยากโทรมาถามเฉยๆ น่ะว่างานใหม่เป็นยังไงบ้าง บรรยากาศในที่ทำงานดีไหม เพื่อนร่วมงานโอเคหรือเปล่า”
“ดีสิ เจ้าของสโมสรเขาหัวก้าวหน้าทันสมัยจะตาย ไม่ได้ลำบากเลย ออฟฟิศก็เยี่ยม แถมยังมีเครื่องชงกาแฟอย่างหรูให้ด้วยนะ”
“เริ่ดนะ ฉันสิวันๆ อยู่แต่ในครัว ต้องมาทนรองรับอารมณ์เฮดเชฟที่นิสัยอย่างกับกอร์ดอน แรมซี่— และฉันหมายถึงกอร์ดอนจากรายการ Hell’ s Kitchen นะไม่ใช่ Master Chef Junior! แล้วไหนจะต้องมาปวดหัวกับงานบริหารและรายรับรายจ่ายที่ร้านอาหารของคุณย่าอีก”
มกราเป็นเชฟมืออาชีพ ตอนนี้ทำงานเป็นเชฟผู้ช่วยอยู่ที่โรงแรมห้าดาวชื่อดังในกรุงเทพฯ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มีบ้างที่เจ้าตัวจะเข้าไปช่วยงานในร้านอาหารของที่บ้านซึ่งจะตกอยู่ในความดูแลของเขาเมื่อคุณย่าคิดจะวางมือ ซึ่งก็คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอนเพราะถึงจะอายุเจ็ดสิบหกเข้าไปแล้ว แต่คุณย่าก็ยังแข็งแรงดีไม่แพ้สมัยสาวๆ เลย
“เหนื่อยมากหรือเปล่ามังกร” มัลลิกาถามน้องชายฝาแฝดอย่างเป็นห่วง เพราะถึงแม้น้องชายจะบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงติดตลกทุกคำ แต่ก็เป็นการบ่นที่ยาวมากอยู่ดีจนไม่อาจเชื่อได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้จริงๆ
“เฮ้ย! ทำไมทำเสียงอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย!”
“ก็มัน…”
“ฉันพูดจริงๆ นะมะลิ ฉันไม่เป็นไร! ไอ้เหนื่อยมันก็เหนื่อยแหละ แต่ก็ไม่ได้มากขนาดที่ว่าทนไม่ไหวหรอก”
“…”
“เงียบทำไมเล่า? อย่าบอกนะว่ายังรู้สึกผิดอยู่?”
“…”
“เฮ้อ! เรื่องที่ผิดสัญญาไม่ไปเรียนต่อเชฟด้วยกันน่ะ ฉันหายโกรธนานมากแล้วเถอะ! ไม่งั้นเราคงไม่คุยกันได้ปกติแบบนี้หรอก ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไป เลยไม่ได้คิดถึงใจมะลิเท่าไหร่”
“ฉันก็แค่… รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทิ้งนายให้อยู่คนเดียวยังไงไม่รู้น่ะสิ”
“ไม่เอาน่า ต่อให้เป็นฝาแฝดกันแต่เธอก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองนะ อีกอย่างเราสองคนพี่น้องก็อยู่ด้วยกันมาจะทั้งชีวิตแล้ว แยกกันอยู่บ้างเถอะจะได้ไม่เบื่อขี้หน้ากันไง”
มัลลิกายิ้มออกมาจากใจจริงได้ในที่สุด “โตขึ้นมากเลยนี่นามังกือ”
“แน่นอนเซ่!” มกรากล่าวอย่างอวดๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “ดีแล้วล่ะนะที่วันนั้นมะลิกล้าบอกฉันตรงๆ ว่าไม่ได้ชอบการเป็นเชฟขนาดนั้น เธอเลยได้ออกไปทำอะไรอย่างที่อยากทำจริงๆ ไง แถมยังได้ไปทำงานอยู่ที่เมืองนอกอีกแบบนี้เท่จะตายไป”
“อืม”
“ฉันดีใจนะที่ตั้งแต่กลับมาจากแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นคราวนั้น มะลิก็กล้าพูดความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองออกมา ไม่ใช่อะไรก็โกหกว่าตัวเองไหวเพื่อให้คนอื่นสบายใจอยู่ได้”
หญิงสาวหลุบตาลงมองรองเท้าผ้าใบสีขาวลายเหลืองมัสตาร์ดของตัวเองเงียบๆ พอนึกถึงตัวเองเมื่อสมัยยังเป็นเด็กก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าและอับอายขึ้นมา ตัวเธอเมื่อก่อนเป็นแบบที่มกราว่ามาจริงๆ นั่นแหละ ไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกของตัวเอง อยากให้คนอื่นดีใจก็เลยยอมโกหกจนหลายครั้งที่ทำตัวเองเดือดร้อนและร้องไห้มาก็มาก
“ก็นะ… กว่าจะยอมเลิกนิสัยเสียๆ ได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย”
มกราหัวเราะเหอะๆ ออกมาเพราะรู้ดีว่าพี่สาวของตนนั้นมีนิสัยเสียอะไรบ้างที่น่าหนักใจที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นวันนี้มัลลิกาก็โตขึ้นแล้ว และเลิกนิสัยโกหกเพื่อคนอื่นได้เสียที “สบายดีก็ดีแล้วล่ะมะลิ ไว้ได้วันหยุดยาวมาเมื่อไหร่ฉันจะบินไปเยี่ยมที่ญี่ปุ่นนะ”
“อยากมาเที่ยวก็บอกเถอะ ไม่ต้องอ้างว่าจะมาเยี่ยมฉันเลย”
“อ่านบรรยากาศบ้างพี่สาว! ฉันกำลังเล่นบทน้องชายที่แสนดีอยู่นะเฮ้ย!”
มัลลิกาหลุดหัวเราะออกมาจนเสียงดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องน้ำ ดีที่เวลานี้มีแค่เธอเท่านั้น ไม่งั้นคงเสียมารยาทแย่ “คุณย่าสบายดีใช่ไหม”
“โอ๊ย! แข็งแรงอย่างกับช้างแบบนั้นต้องสบายดีอยู่แล้วสิ” มกราตอบติดตลกกลับมา “เอาล่ะ! ฉันต้องไปทำงานแล้ว ขืนไปสายกอร์ดอนเมืองไทยต้องด่าฉันเช็ดแน่”
“อ่อ… พยายามเข้าล่ะ”
“แน่นอน เธอด้วยนะ”
“อืม บายนะ”
“บาย”
เมื่อร่ำลากันเสร็จ มัลลิกาก็กดวางสายไป แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงข้อความเข้าใหม่ดังขึ้นมาแบบแทบจะทันที
Asuka is art:
มะลิจัง ฉันมาถึงมุสึบิแล้วล่ะ!
ถ้าประชุมกับทีมการตลาดเสร็จแล้วจะรีบไปหานะ
อยากเจอที่สุดเลย คิดถึงมากจ้ะ (。>ω<)。
มัลลิกายิ้มดีใจออกมาก่อนจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
ลา มะลิลา:
จ้า ヽ (´∀`ヽ)
ถ้าเสร็จแล้วไลน์มานะ
แล้วเราไปกินข้าวเที่ยวด้วยกันสองคนเนอะ
Asuka is art:
โอเคจ้า ถือเป็นเดทเนอะ
ลา มะลิลา:
(´ ∀ ') b
พออดีตรูมเมทสมัยไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกาส่งข้อความมาแบบนี้ มัลลิกาก็เลยได้ทีแอบอู้อยู่ในห้องน้ำต่อได้นานขึ้นอีกหน่อย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดีอย่างมากที่จู่ๆ ‘ฮิโนะ อาสึกะ’ ก็มีธุระให้ต้องมาคุยงานกับสโมสรมุสึบิแบล็กแจ็กเกิลแบบนี้
รูมเมทชาวญี่ปุ่นของมัลลิกาคนนี้เรียนจบจากวิทยาลัยศิลปะที่เป็นสถาบันเพื่อนบ้านกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มัลลิกาเรียนจบมา พวกเธอบังเอิญเจอกันที่งานปาร์ตี้แห่งหนึ่งที่เจ้าของงานเชิญนักศึกษาจากทั้งสองสถาบันให้มาร่วมงานด้วย ช่วงนั้นอาสึกะกำลังมีปัญหากับรูมเมทเก่าและคนที่อยู่หอพักเดียวกันพอดี ส่วนรูมเมทของมัลลิกานั้นก็กำลังจะย้ายออกไปอยู่กับแฟน สุดท้ายพวกเธอก็เลยจับพลัดจับผลูได้มาเป็นรูมเมทกันแบบเลยตามเลย แต่เพราะนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ดีเลยทำให้พวกเธอสนิทกันมาตลอดจนกระทั่งเรียนจบ ซึ่งหลังจากที่สำเร็จการศึกษาพวกเธอก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง โดยอาสึกะนั้นเลือกที่จะเดินทางกลับไปหางานทำต่อที่ประเทศบ้านเกิด ส่วนมัลลิกานั้นก็อยู่หางานทำต่อที่อเมริกา
ช่วงแรกๆ นั้นหญิงสาวชาวไทยได้ข่าวว่าอาสึกะได้งานทำอยู่ที่สตูดิโอผลิตทีวีแอนิเมชันที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่งของญี่ปุ่น แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เป็นมิตรและภาระงานก็หนักมากเกินกว่าที่อาสึกะจะแบกไหว สุดท้ายอดีตรูมเมทของเธอก็ตัดสินใจลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว ซึ่งก็ดูเหมือนจะไปได้ดีมากเสียด้วย เพราะสติกเกอร์ไลน์ ‘อุชิซัง’ ที่อาสึกะออกแบบตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาศิลปะอยู่นั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนเจ้าวัวหน้านิ่งหุ่นตันๆ แต่น่ารักตัวนั้นแทบจะกลายเป็นดาราหลักประจำแอปพลิเคชันไปแล้ว ยังไม่นับค่าลิขสิทธิ์ที่ตัวการ์ตูนอุชิซังถูกซื้อไปออกแบบเป็นสินค้าประเภทต่างๆ อีกนะ แถมที่อาสึกะมาที่สโมสรมุสึบินี้ก็มาในฐานะศิลปินนามปากา Hinoka ที่ถูกฝ่ายการตลาดจ้างมาให้วาดรูปสติกเกอร์ไลน์ออฟฟิเชียลของทีมแบล็กแจ็กเกิลเพื่อเป็นการโปรโมตทีมอีกทางหนึ่งนั่นเอง
ถึงจะไม่เคยได้มีโอกาสไปทานข้าวเย็นร่วมกับทีมนั้นเท่าไหร่ แต่มัลลิกาก็รู้ว่าทีมการตลาดของมุสึบินั้นทำงานกันแบบสู้ตายเอามากๆ เลยล่ะ ไม่ว่าจะเรื่องการดูแลภาพลักษณ์นักกีฬาเอย การรับงานอื่นเมื่อไม่มีทัวร์นาเมนต์เอย แล้วไหนจะสินค้าที่ระลึกต่างๆ อีก บอกเลยว่านักกีฬาของมุสึบิน่ะแทบจะไม่ต่างจากดาราหรือเซเลบเลยก็ว่าได้
มัลลิกาดูนาฬิกาบนจอมือถืออีกครั้ง ตอนนี้สิบโมงสิบห้าแล้ว ก่อนจะออกมาเข้าห้องน้ำ ฮอนโดซัง— รุ่นพี่และเมนเทอร์ของเธอบอกเอาไว้ว่าถ้าทำธุระเสร็จแล้วให้รีบตามไปเจอกับเขาที่แคนทีนของสโมสรทันที
ความจริง ตามปกตินักโภชนาการไม่ต้องลงมาคุมแผนกครัวเองทุกวัน แค่ส่งเมนูที่คำนวณค่าแคลอรีและสารอาหารอย่างเหมาะสมส่งไปให้ผ่านทางอีเมลก็ถือว่าเรียบร้อย แต่เพราะตั้งแต่เดือนนี้ไปจนถึงช่วงพฤศจิกายน พวกนักกีฬาจะต้องเข้ามาฝากท้องที่แคนทีนอยู่บ่อยๆ เนื่องจากการแข่งวีลีกประจำปีนี้กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นานแล้ว ทีมเทรนเนอร์ทั้งหมดจึงต้องพิถีพิถันและให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายของนักกีฬามากเป็นพิเศษ
หลังจากที่ล้างมือ เติมลิปสติกและเช็กความเรียบร้อยของผมเผ้าเสร็จแล้ว มัลลิกาก็ประคองไอแพดของตัวเองขึ้นมาถือเอาไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะรีบสับเท้าเดินออกจากห้องน้ำไปที่แคนทีนทันทีด้วยความเร่งรีบ
“รุ่นพี่ฮอนโด ขอโทษที่ให้รอค่ะ” หญิงสาวรีบเอ่ยปากขอโทษชายหนุ่มผิวขาวผมยาวที่มายืนคอยอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันมาไวเอง” รุ่นพี่หนุ่มวัยสามสิบปีโบกมือไม่ให้รุ่นน้องคิดมาก “เอาตารางเมนูประจำวันนี้มาแล้วใช่ไหมมะลิจัง”
“ค่ะ เอกสารทั้งหมดอยู่ในไอแพดแล้ว”
“อืม งั้นเราก็เข้าไปกันเถอะ”
หญิงสาวรับคำก่อนจะก้าวขาตามร่างสูงของฮอนโดเข้าไปที่ห้องครัวด้านหลังที่มีพนักงานกว่ายี่สิบชีวิตกำลังวิ่งวุ่นไปมาประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในรายการทำอาหารก็ไม่ปาน
“สวัสดีครับ ขอรบกวนหน่อยนะครับ/สวัสดีค่ะ ขอบรบกวนหน่อยนะคะ” ทั้งฮอนโดและมัลลิกาต่างก็ก้มหัวทักทายพนักงานของแผนกครัวทั้งหมดอย่างอ่อนน้อมและแข็งขัน
“อ้าว! ฮอนโดซัง มะลิซัง มาได้เวลาพอดีเชียว อาหารกลางวันวันนี้เพิ่งทำเสร็จสดๆ ร้อนๆ เลยค่ะ” อุเอฮาระ ซาจิโยะ— หัวหน้าแม่ครัววัยห้าสิบต้นๆ ออกปากทักทายหนุ่มสาวนักโภชนาการอย่างเป็นมิตร
“กลิ่นหอมฟุ้งน่าทานมากเลยค่ะอุเอฮาระซัง” มัลลิกาเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มพร้อมกับสูดกลิ่นหอมของเนื้อย่างและซุปมิโซะเข้าไปจนเต็มปอด
“จะชิมก่อนสักหน่อยไหมครับ เหลือเวลาอีกตั้งสี่สิบนาทีกว่าจะถึงเวลาพักเที่ยง” นานามิ ฮารุโตะ— ผู้ช่วยหัวหน้าแม่ครัวถามขณะที่มือก็คอยคนซุปมิโซะในหม้อไปด้วย
ฮอนโดรีบปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่ต้องหรอกครับนานามิซัง ยังไงก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว ที่มาก็เพราะจะมาตรวจเมนูอาหารรอบสุดท้ายก่อนพักเที่ยงเฉยๆ เท่านั้นเอง”
“อ๋อ! เพราะตั้งแต่อาทิตย์นี้เป็นต้นไปพวกนักกีฬาจะมาทานอาหารที่แคนทีนสินะครับ”
“ครับ เราอาจจะต้องเพิ่มปริมาณวัตถุดิบขึ้นกว่าเดือนก่อนเยอะหน่อยนะครับ เพราะหนุ่มๆ แต่ละคนน่าจะทานเยอะกันน่าดู” ฮอนโดแบมือขอไอแพดมาจากมัลลิกาก่อนจะเลื่อนนิ้วเปิดเอกสารที่เขียนว่า ‘อาหารกลางวันประจำวันพุธ’ ขึ้นมาอ่านพร้อมกับไล่มองอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นสเต๊กเนื้อลูกเต๋าฉ่ำซอสพอนสึ ข้าวสวยร้อนๆ ซุปมิโสะสาหร่ายเต้าหู้ ผักย่างเสิร์ฟคู่กับน้ำสลัดฟักทอง พร้อมกับเมนูของหวานที่เป็นไอศกรีมอะโวคาโดไปทีละอย่าง
“ถ้าเรื่องนั้นละก็ มะลิซังหมายเหตุเพิ่มเอาไว้ให้ในอีเมลฉบับก่อนหน้าแล้วล่ะครับ” นานามิเอ่ย
“อ้าว! งั้นเหรอครับ— ทำได้ดีมากมะลิจัง” คนเป็นรุ่นพี่หันมาชมเชยคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผงกหัวรับคำชม
หลังจากที่เช็กดูเรียบร้อยแล้วว่าอาหารเที่ยงประจำวันนี้ทั้งหมดเป็นไปตามเมนูที่เธอและฮอนโดช่วยกันออกแบบและคำนวณแคลอรี่กันเอาไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน มัลลิกาจึงอนุญาตให้พนักงานในครัวนำอาหารทั้งหมดออกไปสแตนด์บายที่แคนทีนได้เลย ส่วนฮอนโดนั้นขออยู่ปรึกษาเรื่องเมนูประจำสัปดาห์นี้ทั้งหมดกับอุเอฮาระซังและนานามิซังอีกครั้งเพราะดูเหมือนว่าทางแผนกครัวจะติดปัญหากับเมนูบางอย่างอยู่ ซึ่งในฐานะนักโภชนาการ มัลลิกาเองก็ต้องอยู่ฟังและถกถึงปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนว่าปัญหาใหญ่ๆ ตอนนี้ก็คือทางแผนกครัวไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบบางอย่างได้ในช่วงฤดูกาลนี้สินะ มัลลิกาคอยฟังและสังเกตรุ่นพี่เวลาทำงานไปด้วยอย่างตั้งใจ ในหัวก็จดจำเอาไว้ว่าการหาวัตถุดิบจำเป็นจะต้องคำนึงถึงฤดูกาลด้วยว่ามีผลผลิตนั้นๆ ออกมาขายตามท้องตลาดมากน้อยแค่ไหน หากเลือกของที่หายากหรือไม่มีในฤดูกาลนั้นๆ ก็อาจจะเป็นการเพิ่มงบประมาณมากเกินไปโดยใช่เหตุได้
หลังจากที่หารือและปรับเมนูบางอย่างกันแบบเฉพาะหน้าไปแล้วบางส่วนจนแล้วเสร็จ มัลลิกาก็ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หลายคนดังมาจากทางด้านนอกพอดี ตาสีดำล้ำลึกมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลติดผนังในห้องครัวก็พบว่าถึงเวลาพักเที่ยงแล้วนั่นเอง
ดูท่าว่าวันนี้โค้ชฟอสเตอร์จะใจดีปล่อยให้นักกีฬาได้พักแบบตรงเวลาพอดีเป๊ะสินะ
“หอมไปหมดทุกอย่างเลยครับ!” เสียงของฮินาตะคุงดังนำมาก่อนใครเพื่อน
“โอ้! สเต๊กเนื้อ!” ตามมาด้วยเสียงของโบคุโตะที่มัลลิกาจำได้ดีจนขึ้นใจ
แสดงว่าเขายังชอบทานเนื้อย่างอยู่สินะ ดีจังที่เธอเดาใจเขาถูก
“โชโยคุง! อย่าวิ่งสิ! โบคุโตะก็เหมือนกัน! เป็นรุ่นพี่แท้ๆ ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่หน่อย” เมย์อันส่งเสียงดุเพื่อตักเตือนตามประสากัปตันทีม
“ดูเหมือนว่าพวกหนุ่มๆ จะหิวโซกันมาน่าดูเชียวนะ” แม่ครัวอย่างอุเอฮาระกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นปลื้มที่วันนี้แคนทีนของหล่อนดูจะคึกคักมากกว่าปกติ
“งั้น ทางผมก็ขอรบกวนแค่นี้นะครับ ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยครับอุเอฮาระซัง” ฮอนโดตัดจบบทสนทนาอย่างสุภาพ
“ค่ะ ขอบคุณที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยนะคะฮอนโดซัง มะลิซัง”
“ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยค่ะ” มัลลิกาโค้งตอบแม่ครัวใหญ่อย่างสุภาพ
“มะลิจัง พักเที่ยงแล้ว จะอยู่ทานข้าวที่นี่เลยก็ได้นะ” ฮอนโดหันมาพูดกับมัลลิกา
“เอ่อ… พอดีฉันนัดทานข้าวเที่ยงกับเพื่อนเอาไว้น่ะค่ะ”
คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ “งั้นเหรอ ไม่ยักรู้ว่ามะลิจังมีเพื่อนอยู่ที่โอซาก้าด้วย”
“เพื่อนฉันมาจากโตเกียวค่ะ พอดีว่ามีธุระมาทำที่นี่พอดีก็เลยนัดเจอกันสักหน่อยเพราะตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ได้เจอกันเลย”
“อ้อ งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ ส่วนฉันคงกินเบนโตะที่ซื้อมาเมื่อเช้าเอาน่ะ”
“รุ่นพี่คะ กินของร้อนๆ ทำสดใหม่ๆ จะไม่ดีกว่าเหรอ” มัลลิกาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก จะทิ้งก็เสียดายน่ะ” ฮอนโดโบกมืออย่างไม่คิดมาก
มัลลิกาไม่ใช่คนช่างตื๊ออะไร พออีกฝ่ายยืนกรานแบบนั้นก็เลยได้แต่ปล่อยไป “ถ้างั้นก็… ขอตัวนะคะ”
“จ้ะ” ฮอนโดพยักหน้าส่งก่อนจะแยกตัวเดินออกไปจากแคนทีนตามลำพัง
มัลลิกายืนส่งรุ่นพี่ไปจนลับตา ก่อนจะหยิบมือถือของตนขึ้นมาเช็กดูอีกครั้ง
ยังไม่มีข้อความจากอาสึกะแต่อย่างใด คงจะยังประชุมอยู่สินะ ว่าแล้วนิ้วเรียวก็พิมพ์ข้อความไปหาอดีตรูมเมทว่าตัวจะเตร็ดเตร่คอยอยู่ที่แคนทีนสักพัก ถ้าเสร็จแล้วก็ให้โทรหาได้เลย
“เอ๋?! ไม่จริงน่า สเต๊กเนื้อหมดแล้วเหรอ” เสียงของฮินาตะดังขึ้นอย่างโอดครวญ ทำให้มัลลิกาต้องเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์แล้วหันไปมอง ร่างสันทัดของวิงก์สไปเกอร์ร่างเล็กกำลังยืนคอตกอยู่ที่เคาน์เตอร์บุฟเฟ่ต์พอดี เห็นแบบนั้นมัลลิกาก็อดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปทัก
“เอ่อ ฮินาตะคุง”
พอเห็นคนคุ้นหน้าที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อเช้าวันนี้ ชายหนุ่มเจ้าของผมสีส้มสว่างก็รีบทักทายกลับทันที “มะลิซัง หวัดดีครับ!”
“หวัดดีจ้ะ” หญิงสาวทักตอบด้วยรอยยิ้ม ปราดตามองเพียงไม่นานก็พบว่าสเต๊กเนื้อลูกเต๋านั้นหมดไปแล้วจริงๆ ตามที่นักกีฬาหนุ่มว่า “จะเติมเนื้อใช่ไหมจ๊ะ เดี๋ยวฉันไปบอกในครัวให้นะ ยังมีอีกเยอะเลยไม่ต้องห่วง อ๊ะ! นานามิซังคะ รบกวนเติมสเต๊กเนื้อลูกเต๋าให้ทีนะคะ”
“หา?! หมดแล้วเหรอครับ ไวอะไรขนาดนั้น!” ผู้ช่วยแม่ครัวที่เพิ่งจะนำจานชามมาวางเพิ่มร้องเสียงหลง แต่พอเห็นหลักฐานคาตา พ่อครัวหนุ่มก็ได้แต่จุ๊ปากเดินกลับเข้าไปด้านในเพื่อนำของมาเติมให้แต่โดยดี
“ข้าวเที่ยงวันนี้อร่อยมากเลยครับมะลิซัง” ระหว่างที่รอฮินาตะก็ชวนหญิงสาวต่างชาติคุยไปด้วย
“เหรอจ๊ะ ไว้บอกนานามิซังหรือไม่ก็อุเอฮาระซังได้เลยนะ คนทำคงดีใจมากแน่ๆ”
“ครับ! จะบอกแน่ๆ ครับ!”
“ของหวานวันนี้ก็อร่อยนะฮินาตะคุง เป็นไอศกรีมอะโวคาโดจ้ะ”
“อู้ว! ไฮโซสุดๆ เลยครับ!” ฮินาตะตาเป็นประกายน้ำลายสอทันที “อ๊ะ! โบคุโตะซัง จะมาเติมกับข้าวเหมือนกันใช่หรือเปล่าครับ” หางตาของเจ้าน้องเล็กเหลือบไปเห็นรุ่นพี่หนุ่มเดินมาทางนี้พอดี เจ้าตัวก็เลยรีบร้องทักตามประสาคนที่ร่าเริงอยู่เป็นนิจ
“อะ อืม ใช่แล้วล่ะ” โบคุโตะตอบรับสั้นๆ ผิดกับวิสัยของเจ้าตัว
“คุณพนักงานกำลังไปเอามาเติมให้อยู่ครับ อ๊ะ! มาแล้วนั่นไง”
นานามิจัดการยกถาดหลุมอันเดิมออกแล้วใส่ถาดใหม่ที่บรรจุสเต๊กเนื้อลูกเต๋าร้อนๆ มาจนพูนไปให้อย่างคล่องแคล่ว “ทานให้อร่อยล่ะหนุ่มๆ”
“ขอบคุณมากครับ!” ฮินาตะโค้งขอบคุณ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำแค่โบกมือมาให้เป็นเชิงว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ’ ก่อนจะเดินกลับไปจัดการเรื่องในครัวต่อ
“ว้าว! กำลังร้อนๆ เลย” ตาสีน้ำตาลกลมโตของฮินาตะเป็นประกายแวววาว “โบคุโตะซัง ส่งชามมาสิครับ เดี๋ยวผมตักเผื่อให้เลย”
“อะ อื้ม! ขอบใจนะฮินาตะ” คนผมตั้งสีเทากล่าวก่อนจะส่งชามไปให้รุ่นน้องแต่โดยดี ส่วนหางตาก็เหลือบไปมองร่างโปร่งบางในชุดเสื้อโปโลลายของสโมสรกับกางเกงขายาวห้าส่วนพอดีตัวที่กำลังยืนตักสลัดผักย่างใส่จานอยู่เงียบๆ อย่างไม่วางตา
“เอ่อ มะลิ…”
“คะ?” คนหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมาด้วยอาการติดสะดุ้งเล็กน้อย
“คือว่า… เอ่อ… คือ” มือใหญ่ร้อนผ่าวยกขึ้นลูบไปที่หลังคอตัวเองเบาๆ ก่อนถามเรื่องที่สงสัยอยู่ในใจออกไปในที่สุด “มะลิไม่ได้เป็นคนทำอาหารของวันนี้เหรอ”
“เอ่อ… ค่ะ ไม่ได้ทำค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ “ฉันเป็นแค่นักโภชนาการ พอกำหนดเมนูประจำวันส่งให้ฝ่ายครัวเสร็จก็หมดหน้าที่ฉันแล้วค่ะ”
“เหรอ…”
“ทำไมเหรอคะ มีอะไรไม่อร่อยอย่างนั้นเหรอ” มัลลิกาถามอย่างเป็นกังวล
“เปล่า! อร่อยสิ! แต่ว่า… ฉันแค่ชอบแบบที่มะลิเป็นคนทำมากกว่าน่ะ”
สิ้นประโยคนั้น ฮินาตะถึงกับต้องหยุดมือที่กำลังถือทัพพีเอาไว้กลางอากาศ ส่วนมัลลิกานั้นก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะแสร้งทำเป็นหัวเราะแก้เก้อออกมาเบาๆ “คุณพูดเหมือนกับว่าจำรสมือฉันได้อย่างนั้นแหละค่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ! ไม่งั้นฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะว่ามะลิโกหกฉันเอาไว้น่ะ” โบคุโตะโพล่งออกมาอย่างลืมตัว เล่นเอาฮินาตะถึงกับต้องหันขวับมาจ้องหน้ารุ่นพี่ที่ตัวเองเคารพรักเสียคอแทบหัน ในขณะที่นักโภชนาการสาวนั้นมีสีหน้าที่ดูจืดเจื่อนลงไปทันตา
พอเห็นแบบนั้นโบคุโตะก็กัดปากเม้มเอาไว้แน่นอย่างลืมตัว ในใจก็ก่นด่าตัวเองไม่หยุดว่าเผลอพูดอะไรจี้ใจดำระหว่างพวกเขาออกไปเสียแล้ว “ขะ… ขอโทษมะลิ”
มัลลิกามองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อห้าปีก่อนเท่าไหร่อย่างงุนงง “ขอโทษฉันทำไมคะ”
“เอ้อ… ก็… ฉัน…” ชายหนุ่มพูดไม่เป็นคำ “ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าอยากขอโทษน่ะ”
“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อตอนนั้นล่ะก็ ฉันควรจะเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่านะคะ” หญิงสาวบอกโดยไม่ได้สบตากับอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“อะ อืม แต่ว่ามะลิก็ขอโทษฉันเรื่องนั้นไปตั้งนานแล้วนี่นา”
“ค่ะ ก็ใช่ แต่… เหมือนคุณยังไม่หายโกรธฉันเท่าไหร่เลยนี่คะ”
โบคุโตะแตกตื่นก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงดังลั่น “ไม่นะ! ฉันไม่ได้โกรธมะลิแล้ว! จริงๆ นะ!”
“แต่คุณชอบทำท่าทางแปลกๆ เวลาเจอฉันนี่คะ”
โบคุโตะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ไม่กล้าบอกออกไปว่าสาเหตุของไอ้ท่าทีพิลึกที่ตัวเองแสดงออกมานั้นมันมาจากอะไร ชายหนุ่มอยากจะส่งสายตาไปหาฮินาตะเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าตัวเล็กผมส้มก็ดันแอบหนีกลับไปที่โต๊ะกินข้าวคนเดียวอย่างเอาตัวรอดเสียแล้ว
ตอนนั้นเองที่มิยะ อัตสึมุเข้ามาแทรกกลางระหว่างบทสนทนาของพวกเขาเข้าพอดี
“โอ่ย มะลิซัง! มากินข้าวด้วยกันสิครับ โต๊ะของเรายังว่างอยู่นะ ใช่ไหมโบคุโตะ!” เซตเตอร์หนุ่มผมทองเอ่ยชวนขณะตักข้าวใส่ถ้วยเพิ่มให้ตัวเอง แถมยังแกล้งกระแทกศอกเข้าที่สีข้างของเจ้านกฮูกอ๊องอย่างต้องการจะช่วยเพิ่มโอกาสสานสัมพันธ์อย่างเต็มที่
“เอ่อ อื้ม! ใช่แล้วล่ะ มะลิก็มากินข้าวพร้อมพวกฉันเลยสิ พักเที่ยงแล้วนี่นา” โบคุโตะรีบเปลี่ยนเรื่องรับมุกอย่างดี
“เอ่อ… พอดีว่าฉันมีนัดทานข้าวกับเพื่อนเอาไว้แล้วค่ะ” มัลลิกาปฏิเสธเสียงนุ่ม
“เพื่อนเหรอ?” ตาโตๆ ของโบคุโตะดูจะเบิกกว้างขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ในใจก็นึกสงสัยว่านอกจากอาคาอาชิแล้วมัลลิกามีเพื่อนที่ญี่ปุ่นคนไหนอีกงั้นเหรอ
“ค่ะ เป็นรูมเมทเก่าสมัยไปเรียนที่อเมริกาน่ะค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นโบคุโตะก็ดูจะคลายความกังวลไปได้บ้าง ถ้าเป็นรูมเมทกัน ก็คงเป็นผู้หญิงล่ะมั้ง…
แต่เดี๋ยวก่อนสิ! อเมริกาเป็นประเทศเสรีนี่นา ในหนังกับซีรีส์ก็มีออกบ่อยไปที่รูมเมทจะเป็นเพศตรงข้ามกันได้ อย่างในซิทคอมเรื่อง New Girl ไง! ที่นางเอกย้ายเข้าอพาร์ทเม้นต์ใหม่แล้วได้รูมเมทเป็นผู้ชายสามคนน่ะ! โบคุโตะจำเรื่องนี้ได้ดีเพราะเห็นว่าพี่สาวนั้นชอบดู
พอคิดแบบนี้เจ้านกฮูกก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอีก เขาไม่ได้จะบอกว่าผู้หญิงผู้ชายเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกนะ แต่เขากลัวว่ามันจะเป็นเพื่อนไม่จริงน่ะสิ แล้วถ้าเกิดว่ามัลลิกามีแฟนหรือคนคุยๆ ด้วยอยู่ตอนนี้เขาจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย!
“หืม~ เพื่อนจริงหรือเปล่ามะลิซัง ระวังทำคนแถวนี้อกหักโดยไม่รู้ตัวนะ” อัตสึมุทำทีเป็นหลอกถามทีเล่นทีจริงแบบเนียนๆ แต่ก็ไม่วายแอบแว้งกัดแกล้งให้โบคุโตะแตกตื่นเล่น และก็ได้ผลดีเสียด้วย เพราะเจ้านกฮูกบ้าหน้าแดงแจ๋เชียว
“เอ่อ ไม่ใช่แฟนหรอกค่ะมิยะซัง รูมเมทฉันเธอมีแฟนอยู่แล้วค่ะ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเพิ่งแต่งงานไปด้วยนะ” มัลลิกาเองก็ดูจะหน้าแดงไม่แพ้กัน แต่ก็ยังเก็บอาการได้ดีกว่าเป็นไหนๆ
“งั้นเหรอ~ ว่าแต่จะไปกินอะไรกันล่ะ” อัตสึมุถาม ส่วนโบคุโตะก็ได้โอกาสเงี่ยหูฟังไปด้วย
“ยังไม่รู้เลยค่ะ” หญิงสาวต่างชาติสั่นศีรษะเบาๆ ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ! มิยะซังเป็นคนพื้นที่แถบนี้ใช่ไหมคะ”
“จริงๆ ฉันมาจากเฮียวโงะ แต่ถ้าเทียบกับทุกคนที่นี่ฉันก็ชำนาญพื้นที่มากกว่าจริงๆ นั่นแหละ”
“งั้นพอจะแนะนำร้านดีๆ ให้ได้ไหมคะ”
อัตสึมุทำหน้านึกสักพักก่อนจะยิ้มกริ่มมาให้แล้วหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดส่งอะไรยุกยิกอยู่สักพัก เมื่อส่งเสร็จ เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นมาที่มือถือของมัลลิกาพอดี
“ฉันส่งโลเกชั่นร้านไปให้แล้ว พร้อมกับโบชัวร์แนะนำโปรโมชั่นและเมนูแบบออนไลน์ ลองไปดูแล้วกันนะมะลิซัง รับรองอร่อยเด็ด!”
“สึมุ! ทำไมนายถึงมีไลน์ของมะลิได้ล่ะ!” โบคุโตะทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“เอ้า! ก็แลกไลน์กันตั้งแต่เมื่อคืนที่นายไปเมาแอ๋เอาไว้แล้วไงเล่า ไม่ใช่แค่ไลน์นะ เบอร์โทรมะลิซังฉันก็มี” เซตเตอร์หนุ่มกล่าวอย่างอวดๆ ดูก็รู้ว่าตั้งใจเกทับให้อีกฝ่ายลนลานหนักขึ้นไปอีก
ผมที่เซตตั้งมาอย่างดีแม้ว่าจะเหงื่อแตกซกแค่ไหน เวลานี้กลับดูเหมือนจะแฟบลงไปตามอารมณ์ของเจ้าของได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ขอบคุณนะคะมิยะซัง” จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน พอเห็นว่าเป็นสายจากอาสึกะ มัลลิกาก็รีบกดรับทันที
“มะลิจัง ฉันยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าสโมสรแล้วนะ” เสียงสดใสของอาสึกะดังมาตามสายเป็นภาษาอังกฤษ
“อ้าว! งั้นเหรอจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะรีบออกไปนะ” ว่าจบก็รีบวางสาย ก่อนจะหันไปบอกลาหนุ่มๆ นักกีฬาที่อุตส่าห์ยืนคุยเป็นเพื่อนเธออยู่นานสองนาน “เพื่อนฉันมาแล้วค่ะ— เอ่อ… โบคุโตะซังคะ สลัดนี่ฉันตักให้คุณนะคะ” มือบางเลื่อนจานสลัดที่จัดเสียสวยงามจนเหมือนอาหารจากเชฟโรงแรมไปให้
“หะ ให้ฉันงั้นเหรอมะลิ?!” โบคุโตะถามกลับด้วยสีหน้าดีใจผิดกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ถึงจะไม่ค่อยชอบกินผักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ถ้าเป็นของที่มะลิให้โบคุโตะก็เต็มใจกินทั้งนั้นแหละ!
“ค่ะ อย่ามัวแต่ทานเนื้อจนลืมผักนะคะ มิยะซังกับคนอื่นๆ ด้วยนะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวอาสึกะจังรอนาน”
“อ้อ! อืม ไปดีมาดีนะ” อัตสึมุกล่าวลาสั้นๆ พร้อมกับมองร่างโปร่งบางที่วิ่งออกไปจากแคนทีนอย่างรวดเร็ว พอถอนสายตากลับมาก็เห็นโบคุโตะกำลังประคองสลัดชามเล็กไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอมจนน่าหมั่นไส้
“น้อยๆ หน่อยโบคุโตะ! มะลิซังแค่ตักสลัดให้ชามเดียว ไม่ต้องหน้าบานขนาดนั้นก็ได้!”
________
“อาสึกะจัง!”
“มะลิจัง!”
สองสาวอดีตรูมเมทโผเข้ากอดกันทันทีที่ได้เห็นหน้า และมัลลิกาเองก็ตาดีมากพอที่จะสังเกตเห็นแหวนแต่งงานที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของอาสึกะเสียด้วย
“แต่งงานแล้วจนได้สินะอาสึกะจัง กับคุณแฟนสุดเท่คนนั้นใช่ไหม” มัลลิกาส่งยิ้มล้อๆ ไปให้เพราะรู้ดีว่าอาสึกะกับแฟนนั้นรักกันมากแค่ไหน แถมสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่อเมริกานั้น มัลลิกาเองก็มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตา ‘คุณแฟนสุดเท่’ คนนั้นอยู่บ้างสองสามครั้ง
ใบหน้ากลมเปื้อนกระพยักเบาๆ เป็นคำตอบ “จ้ะ แต่งแล้วเรียบร้อย”
“ยินดีด้วยมากๆ เลยนะ แล้วฮันนีมูนเป็นยังไงบ้างล่ะ หวานอย่างที่คนอื่นเขาร่ำลือกันหรือเปล่าเอ่ย”
“มะลิจังนี่ล่ะก็ เลิกแซวฉันได้แล้วน่า” อาสึกะแกล้งตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ “ฮันนีมูนอะไรนั่นไม่ได้ไปหรอก พอจบงานแต่งวากะโทชิซังก็ต้องไปเก็บตัวซ้อมเตรียมแข่งฤดูกาลนี้แล้ว ส่วนฉันก็มีโปรเจ็กต์ใหญ่กับทางมุสึบิพอดีนี่ไงเล่า”
“ทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวเลยนะพวกเธอสองคนเนี่ย” นักโภชนาการสาวกล่าวยิ้มๆ “ฉันดีใจนะที่ได้เจอเธออีก”
“ฉันเองก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอมะลิจังอีกแบบนี้ นึกว่าจะหางานทำต่อที่อเมริกาเสียอีก”
“ก็นะ ฉันอยากทำงานเป็นนักโภชนาการกีฬามากกว่า แต่งานมันหายากน่ะ พอมีคนชวนให้มาทำที่มุสึบิฉันก็รีบตะครุบไว้ทันทีเลย”
“อย่างนั้นเหรอ”
“อือฮึ! เรียกว่าโชคเข้าข้างพอดีน่ะ แต่ถึงไม่มีข้อเสนอนี้มาฉันก็คงพยายามหางานทำต่อจนได้แหละ ขอแค่ไม่ต้องกลับไทยก็พอ”
“เป้าหมายยังชัดเจนเหมือนเดิมเลยนะ” อาสึกะหัวเราะร่วนออกมา
“ลองถ้าเรามาจากประเทศกำลังพัฒนามาหลายทศวรรษแล้วได้ไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้วสี่ปีเต็มดู ประเทศที่เราจากมาก็ไม่ต่างจากโรงงานนรกเลยแหละ ฉันน่ะ รักบ้านเกิดตัวเองนะอาสึกะจัง แต่ฉันเกลียดระบบอะไรหลายๆ อย่างที่นั่น แล้วอีกอย่าง… ฉันเองก็มีปัญหาส่วนตัวที่โน่นด้วยก็เลยไม่อยากกลับไปน่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันเข้าใจ— ไปหาของอร่อยทานกันเถอะ ฉันเพิ่งเคยมาโอซาก้าครั้งแรกเลย มะลิจังมีร้านอะไรแนะนำบ้างไหม” ว่าแล้วอาสึกะก็ควงแขนมัลลิกาเอาไว้หลวมๆ แล้วออกเดินไปด้วยกัน
“ฉันเองก็เพิ่งมาอยู่เมืองนี้ไม่นาน คงแนะนำอะไรไม่ได้มากนักหรอก แต่ก็ถามมิยะซังมานิดหน่อยแล้วนะ เขาส่งโลเคชั่นร้านมาให้ด้วยแหละ”
“งั้นเหรอ เอาสิๆ ว่าแต่เป็นร้านอะไรเหรอมะลิจัง”
“เออ เดี๋ยวนะ— มิยะ โอนิกิริ สาขาโอซาก้า? เปิดกิจการสาขาใหม่วันนี้วันแรก ลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ทุกเมนู?” มัลลิกาอ่านข้อความบนรูปภาพโบชัวร์ที่อัตสึมุส่งมาให้ไปทีละบรรทัด
เดี๋ยวสิ… มิยะเนี่ยนะ? ไม่ใช่ว่าเป็นร้านของเขาเองหรอกเหรอนั่น!
นี่เธอถูกอัตสึมุขายตรงหรือเปล่าเนี่ย?
________
โอเค… รู้ล่ะ ‘มิยะ โอนิกิริ’ เป็นร้านของฝาแฝดของอัตสึมุที่ชื่อว่ามิยะ โอซามุ ร้านนี้เป็นสาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดนอกจังหวัดเฮียวโงะเป็นที่แรก แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในภูมิภาคคันไซแหละนะ ตอนแรกที่รู้ว่าอัตสึมุแนะนำร้านของฝาแฝดมาให้มัลลิกาก็แอบเตรียมใจเอาไว้นิดหน่อยเรื่องรสชาติว่าอาจจะไม่ได้เด็ดดวงอะไรขนาดนั้น แต่พอได้มากินจริงๆ แล้วก็แทบจะก้มหัวโขกพื้นขอโทษแทบไม่ทัน มันอร่อยมากๆ อร่อยแบบที่เธอสามารถตายหลังจากกินหมดมื้อนี้ก็ยังได้ ว่าแล้วก็ชักอยากจะไปกินสาขาต้นตำรับที่เฮียวโงะดูบ้างเสียแล้วสิ
“โคโตเนะจังก็กลับมาญี่ปุ่นแล้วใช่ไหมอาสึกะจัง” มัลลิกาถามถึงเพื่อนสาวในกลุ่มอีกคนขึ้นมา ฟุคุดะ โคโตเนะ เป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่ม. 4 ของอาสึกะ และได้มีโอกาสไปเรียนต่อที่อเมริกาเหมือนกัน ติดก็แต่โคโตเนะนั้นได้ไปเรียนการแสดงอยู่ที่นิวยอร์กตามลำพัง ส่วนมหาวิทยาลัยของมัลลิกากับอาสึกะนั้นตั้งอยู่ที่แพซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย
“กลับมาตั้งนานแล้วล่ะ ละครเวทีเรื่องแรกก็กำลังจะเปิดการแสดงแล้วด้วยนะ เห็นว่าโรงละครที่จัดการแสดงอยู่ที่โอซาก้าด้วยแหละ ไว้เราไปดูด้วยกันนะมะลิจัง ฉันจะให้โคโตเนะจังหาตั๋วเผื่อให้อีกหนึ่งใบ”
“จะดีเหรอ ฉันซื้อตั๋วเองก็ได้นะ จะได้สนับสนุนโคโตเนะจังด้วยไง”
“ถ้าโคโตเนะได้ยินคงดีใจมากเลยจ้ะ แต่ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ตั๋วขายหมดเกลี้ยงแล้วล่ะ”
“เห? งั้นเหรอ? สุดยอดไปเลย!” มัลลิการ้องออกมาอย่างทึ่งจัด
“ช่าย เราอาจจะมีเพื่อนเป็นคนดังเร็วๆ นี้นะมะลิจัง”
“นั่นสินะ ขอลายเซ็นเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหมเนี่ย แต่จะขอได้ก็ต้องเจอตัวจริงก่อนเนอะ แล้วแบบนี้ฉันจะได้เจอโคโตเนะจังอีกเมื่อไหร่เนี่ย”
“ไว้เข้าโตเกียวเมื่อไหร่ก็บอกฉันล่วงหน้าสิ เราสามคนจะได้นัดไปกินข้าวด้วยกันไง”
มัลลิกาดีใจและตกลงรับปากอาสึกะอย่างเป็นมั่นเหมาะ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ต้องหาเวลาเข้าโตเกียวไปเจออาคาอาชิสักวันอยู่แล้ว
ได้มาเจออาสึกะแบบนี้ ทำให้มัลลิการู้สึกผ่อนคลายและสดใสขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่แหละนะ ถึงแม้ตอนนั้นจะลำบากและเหงาที่ต้องจากครอบครัวมา แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มัลลิการู้สึกสนุกที่สุดและได้เติบโตจนกลายเป็นเธอในทุกวันนี้ บอกตามตรง ถ้าหากไม่ได้เจออาสึกะที่งานปาร์ตี้วันนั้นล่ะก็ การมาทำงานที่ญี่ปุ่นของมัลลิกาคงจะเหงามากกว่าตอนนี้แน่ เพราะถ้าไม่รวมอาสึกะกับโคโตเนะที่ไปเจอกันที่อเมริกาล่ะก็ เธอเองก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นที่ญี่ปุ่นอีกแล้วนอกจากอาคาอาชิ
“อาสึกะจัง ยังจำเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้ฟังตอนที่เจอกันครั้งแรกได้หรือเปล่า” หลังจากที่กินจนอิ่มแล้ว มัลลิกาก็เอ่ยถามถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา
ใบหน้ากลมขาวผ่องเงยขึ้นสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะหลับตานึกถึงความหลังสักครู่ “หมายถึง… เรื่องที่เธอเคยแอบชอบผู้ชายในชมรมวอลเลย์บอลตอนมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นน่ะเหรอ”
มัลลิกาพยักหน้า
“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ” อาสึกะถามกลับบ้าง
“คือว่า… ตอนนี้… ฉันทำงานอยู่ที่เดียวกับผู้ชายคนนั้นน่ะสิ”
“หา?” อาสึกะร้องออกมาอย่างตกใจ
“บังเอิญดีนะว่าไหม ขนาดฉันพยายามไม่สืบหาว่าเขาเล่นอยู่ทีมไหนในวีลีกแท้ๆ” มัลลิกากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่มีให้กับโชคชะตาของตัวเอง
“คงจะ… อึดอัดแย่สินะมะลิจัง” อาสึกะมองอดีตรูมเมทอย่างเป็นห่วง
“ไม่เลยจ้ะ” มัลลิกาโบกมือและส่ายศีรษะไปด้วยพร้อมกัน “ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ฉันน่ะ… ดีใจมากจริงๆ ที่ได้เจอโบคุโตะซังอีก”
“เอ๊ะ? งั้นเหรอ แต่เธอเคยบอกว่ามันเป็นรักที่ไม่สมหวังนี่”
“ก็… ใช่แหละจ้ะ”
“แล้ว… มะลิจังอยากถือโอกาสนี้เริ่มต้นใหม่กับโบคุโตะซังที่ว่าดูหรือเปล่าล่ะ” อาสึกะมั่นใจว่ามัลลิกาน่าจะยังรู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่มากทีเดียว
ได้ยินคำถามนั้นเข้ามัลลิกาก็เผลอยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง เป็นนิสัยเสียอย่างเดียวที่หญิงสาวแก้ไม่หายเสียที ลำบากใจก็กัดเล็บ ว้าวุ่นใจก็กัดเล็บ ใช้ความคิดก็ต้องกัดเล็บ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้เล็บของเธอจะสั้นกุดและเยินมากแค่ไหน
“ฉันคง… ไม่กล้าหรอกจ้ะ” เสียงหวานเอ่ยคำตอบของตัวเองออกมา
“อ้าว! ทำไมล่ะ?”
“ฉันกลัวตัวเองทำเสียเรื่องอีกน่ะสิ”
อาสึกะเอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก “นี่… ตอนอยู่อเมริกาฉันไม่กล้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาถามเท่าไหร่เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องอ่อนไหวของเธอ แต่ไหนๆ เธอก็เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเองแล้ว งั้นฉันจะขอถามเลยแล้วกันนะ— เรื่องเมื่อตอนนั้นมันหนักหนามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“สำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดก็คงถือว่าหนักหนาล่ะนะ”
“อยากเล่าไหม ฉันมีเวลาอยู่ฟังนะ”
มัลลิกายิ้มออกมา หลังจากที่เงียบมานาน ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจที่จะเล่ามันออกไป
________
T A L K
กลับมาอยู่กับพาร์ทปัจจุบันเพื่อพักหายใจกันสักนิดดดดด ฮาาา แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อึดอัดน้อยกว่าพาร์ทอดีตสักเท่าไหร่หรอกค่ะ ก็สองคนนี้ยังดูท่าทีกันไปมาอยู่เลย ;--; เห็นทีคงต้องให้สึมุไปช่วยปั่นช่วยสร้างสถานการณ์บ่อยๆ เสียแล้ว 5555555
อยากให้ได้เห็นว่าตอนพาร์ทปัจจุบันนี้มะลิโตขึ้นแล้ว เลิกนิสัยโกหกเพื่อคนอื่นได้แล้วจริงๆ ค่ะ แต่ก็ยังแอบกลัวและไม่กล้าเรื่องของโบคุโตะอยู่นะ โธ่ ลูกกกก แล้วก็เวลาที่มะลิอยู่กับเพื่อนผู้หญิงจะคุยเก่งขึ้นอีกหนึ่งสเต๊ปค่ะ ยิ่งถ้าสนิทกันมะลิจะกล้าล้อกล้าแซวอีกฝ่ายด้วย ประมาณว่าถ้าถึงจุดที่มะลิรู้สึก comfortable กับคนๆ นั้นแล้ว ก็จะเปิดใจและทำตัวสบายๆ มากขึ้น อาสึกะจังเองก็หนึ่งในคนที่มะลิรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วยค่ะ
ว่าแต่มีใครคิดถึงอาสึกะจังบ้างไหมคะเนี่ย แฮ่~
ใครที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้เรื่องแรก แล้วสงสัยว่าอาสึกะจังเป็นใคร ขอเชิญชวนให้ลองไปอ่านฟิคマネージャー (Ushijima x OC) ของเราได้เลย อาสึกะจังเป็นนางเอกของเรื่องนั้นเองค่ะ (ขายตรงแหละ ว่าง่ายๆ ลงจบแล้วด้วยนะ ไม่ค้างแน่นอน!)
#มะลิกับนกฮูก
sun&moon
04.05.2021
ความคิดเห็น