ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Haikyuu!! - 縁と浮世は末を待て (Bokuto x oc) END

    ลำดับตอนที่ #8 : 5 ปีก่อน part 4 - 'So I’m just left imagining'

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 64




    Haikyuu!!

    縁と浮世は末を待て






    Haikyuu!!

    Bokuto x oc





    ***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ



    (7)

    » ห้าปีก่อน «

    Part 4 – ‘So I’m just left imagining’


         “ฮานะจังเย็นนี้ว่างหรือเปล่า?! ไปหาขนมทานที่คาเฟ่แถวโรงเรียนด้วยกันไหม?” ก่อนเวลาเลิกเรียนในช่วงเปลี่ยนคาบสุดท้าย โบคุโตะก็ตัดสินใจลองแวะมาชวนฮานะไปเดทอีกรอบอย่างมีความหวัง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวใบไม้นั้นจะมีสีหน้าปั้นยากอยู่สักหน่อย


         “คือว่า… เย็นนี้คงไม่ได้ค่ะโบคุโตะซัง ฉันต้องไปช่วยงานที่ชมรมน่ะ”


         ถูกปฏิเสธอีกแล้วเหรอเนี่ย ครั้งที่ห้าได้แล้วมั้ง โบคุโตะคิดในใจอย่างเซ็งๆ เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์แต่อย่างใด


         “งั้นเหรอ! ลำบากแย่เลยนะ”


         “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ”


         หลังจากนั้นระหว่างพวกเขาก็จมอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นโบคุโตะก็ยังพยายามที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้นอย่างเต็มที่ให้ได้


         “จริงๆ ฉันอยากจะขอบคุณฮานะจังอยู่ตั้งหลายรอบนะที่ทำขนมกับข้าวกล่องมาให้ฉันน่ะ มันอร่อยทุกอย่างเลยแหละ วันไหนว่างๆ ช่วยทำมาให้ฉันอีกได้ไหม โดยเฉพาะหมูชุบแป้งทอดน่ะฉันชอบมากเลยนะ!”


         ฮานะมองโบคุโตะนิ่งๆ อย่างไม่เข้าใจสักพักก่อนจะปฏิเสธเสียงเรียบออกไป “ช่วงนี้ฉันคงไม่ว่างทำให้หรอกค่ะ มันใกล้สอบแล้ว และงานผู้จัดการฉันก็รัดตัวด้วย”


         “เหรอ…” โบคุโตะมีสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน “งั้นก็ไม่เป็นไรหรอกนะ! เอาไว้ว่างๆ ค่อยทำมาให้อีกก็ได้”


         “ค่ะ… ถ้าว่างนะคะ”


         เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าน้ำเสียงของฮานะออกจะเย็นชาเกินไปหน่อยหรือเปล่า แต่เพราะว่าอยากจะไปเดทกับอีกฝ่ายให้ได้สักครั้งก็เลยยังคงทู่ซี้ชวนคุยต่อไปด้วยความหวังและกำลังใจที่ริบหรี่ลงเรื่อยๆ


         “เอ่อ… ฮานะจัง เรื่องที่ฉันชวนไปเที่ยวหลังเลิกเรียนน่ะ ถ้าวันนี้ไม่ว่าง เอาไว้เป็นวันพรุ่งนี้ไหม ยังไงฉันก็…”


         “พรุ่งนี้ฉันก็ไม่ว่างค่ะโบคุโตะซัง” ฮานะรีบตอบปฏิเสธทันควันโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยคด้วยซ้ำ แถมยังทำท่าเหมือนกับว่าอยากจะรีบไปจากตรงนี้เต็มแก่แล้วด้วย


         “อ่อ… อืม งั้นก็ไปเถอะ ฉันไม่กวนแล้วล่ะ” เห็นฮานะเป็นแบบนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อยากรั้งให้เธออยู่ต่ออีกแล้ว ซึ่งพอได้โอกาสฮานะก็หมุนตัวเดินจากไปแบบไม่เหลียวหลังกลับมามองด้วยซ้ำ ทำเอาโบคุโตะรู้สึกชาหนึบไปหมด


         ดูท่าเย็นนี้เขาคงต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเสียแล้วล่ะมั้ง ช่วงนี้ใกล้สอบก่อนปิดเทอมฤดูร้อนแล้วด้วย ผู้กำกับทีมเลยใจดีให้หยุดพักผ่อนจากกิจกรรมชมรมได้สัปดาห์ละหนึ่งวัน ที่จริงพวกโคโนฮะก็ชวนโบคุโตะไปติวหนังสือด้วยกันเย็นนี้อยู่หรอก แต่เขาก็ดันปฏิเสธไปพร้อมกับโม้เอาไว้เสียใหญ่โตว่าจะไปเดทกับฮานะจัง ถ้าขืนเปลี่ยนใจขอตามไปด้วยกะทันหันละก็มีหวังเขาต้องโดนโคโนฮะกับโคมิยันล้อตายแน่


         โชคดีที่โบคุโตะไม่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกับเพื่อนๆ ในทีมเลยสักคน ก็เลยสามารถหลบหน้าเจ้าพวกนั้นแล้วแอบหนีมาเข้าห้องสมุดได้แบบไม่มีใครสังเกตเห็น และที่เลือกมาห้องสมุดนั้นก็เพราะเห็นว่าไหนๆ ก็ว่างแล้ว ก็เลยอยากถือโอกาสนี้มาทบทวนหนังสือเสียหน่อย เพราะหลังสอบเสร็จทีมฟุคุโรดานิมีค่ายเก็บตัวซ้อมที่ต้องไปเข้าร่วมกับทีมเนโกมะและทีมอื่นๆ ในเครือพันธมิตร เขาต้องสอบให้ผ่านไม่งั้นก็ต้องมาเสียเวลาเรียนเสริมจนอดไปเข้าค่ายตอนหน้าร้อนอีก มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นแหละที่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ๆ


         แต่ดูเหมือนว่าการอ่านทบทวนด้วยตัวเองนั้นจะไม่ใช่ทางของโบคุโตะเสียเท่าไหร่ แถมส่วนใหญ่แล้วเด็กหนุ่มก็ชอบสมาธิหลุดไปคิดถึงเรื่องของฮานะทุกที ไม่ใช่เพราะว่าคิดถึงจนทนไม่ได้อะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่มันเป็นเรื่องที่ว่าบางทีโบคุโตะอาจจะไม่ได้ชอบฮานะจังมากเหมือนเมื่อปีที่แล้วแล้วก็ได้


         ความรู้สึกนี้มันลอยวนเวียนอยู่ในหัวโบคุโตะมาสักพักใหญ่แล้วล่ะ


         เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะดูไม่ออกหรอกนะว่าฮานะกำลังหลอกใช้เขาเพื่อยั่วให้ฟุรุโอยะ ฮิเดกิหึงอยู่ โดนหลอกใช้แบบไม่เนียนขนาดนั้นอยู่เป็นใครจะยังรู้สึกดีอยู่ได้อีกเล่า แต่ที่เขายังพยายามชวนฮานะคุยและไปเที่ยวอยู่เนี่ยก็เพราะลึกๆ แล้วเขาเองก็อาจจะหวังอยู่นิดๆ ด้วยล่ะมั้งว่าเดี๋ยวอีกสักพักฮานะก็คงจะมูฟออนได้เอง ไอ้เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ขอแค่ฝ่ายหญิงให้โอกาสเขาอย่างจริงใจดูสักครั้งโบคุโตะก็พร้อมจะเทคแคร์เธอให้ดีไม่แพ้ใครที่ไหนเลย


         แต่ปรากฏว่ายิ่งโบคุโตะรอนานเท่าไหร่ ฮานะก็เหมือนจะยิ่งห่างจากเขาไปมากขึ้นทุกที ตอนนี้เด็กสาวแทบจะกลายเป็นคนละคนกับที่เขาเคยรู้จักด้วยซ้ำ อย่างน้อยหล่อนก็ไม่เหมือนกับฮานะจังที่เขาตกหลุมรักเมื่อปีที่แล้วแน่ๆ ฮานะจังตอนม. 4 นั้นสดใส ร่าเริง และมีพลังงานบวกล้นเหลือจนตัวเขาเองยังรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าไปด้วยทุกครั้งที่เจอ แต่ตอนนี้สิ่งที่โบคุโตะสัมผัสได้จากเธอมีแต่ความอึมครึม อมทุกข์ และก็เย็นชา ซ้ำยังชอบพาลเอาความหงุดหงิดจากเรื่องของฟุรุโอยะมาลงกับเพื่อนและคนรอบข้างอยู่เรื่อย รวมไปถึงโบคุโตะเองด้วยที่ต้องมาเป็นที่ระบายอารมณ์ของสาวสวยผู้จัดการชมรมเบสบอลคนนั้นอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ครั้งสองครั้ง


         ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าการที่จู่ๆ ฟุรุโอยะ ฮิเดกิมีแฟนเป็นเรื่องที่สะเทือนใจฮานะจังมาก บอกตามตรงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีบุคคลที่สามเข้ามาแทรกกลางระหว่างสองคนนี้ได้


         ทั้งที่อุตส่าห์ดีใจที่ฮานะจังยอมเอาคุกกี้มาให้ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องใช้มัลลิกาเป็นสื่อกลางแล้วแท้ๆ แถมเจ้าตัวยังเข้ามาพูดคุยกับโบคุโตะแบบใจดีและน่ารักสุดๆ อีกต่างหาก ไอ้เขาก็นึกว่าฮานะทำใจเรื่องเพื่อนชายคนสนิทได้แล้วด้วยซ้ำ ไม่งั้นหล่อนจะทำขนมและข้าวกล่องพวกนั้นมาให้เขาทำไมจริงไหม? แต่ปรากฏว่ามันก็แค่ช่วงแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วันโบคุโตะก็ไม่สามารถพูดคุยหรือจีบสาวสวยที่ตัวเองชอบได้แบบดีๆ เลยสักครั้งเพราะกลัวจะถูกโมโหใส่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกถ้าไม่ดูจังหวะให้ดีก่อน และเหมือนฝ่ายฮานะเองก็ไม่ได้มีแก่ใจอยากคุยหรือใช้เวลาอยู่กับเขาขนาดนั้นเท่าไหร่ด้วย มีแค่กรณีเดียวเท่านั้นที่ฮานะจะยอมยืนคุยและหัวเราะกับโบคุโตะแบบเสียงดังๆ ได้ก็คือตอนที่เจ้าหัวเกรียนจากชมรมเบสบอลเดินผ่านเท่านั้น แถมโบคุโตะยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าฮานะมองเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองด้วยสายตาละห้อยหาและเจ็บช้ำระกำใจแค่ไหน มีอยู่หนหนึ่งที่พอฟุรุโอยะเดินพ้นไปเด็กสาวก็ร้องไห้ออกมาจนโบคุโตะไม่รู้จะปลอบยังไง และเจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่รอให้ปลอบด้วยเพราะเลือกที่จะวิ่งหนีไปเสียก่อนที่กัปตันทีมวอลเลย์บอลจะเอ่ยคำแรกขึ้นมาได้เสียอีก


         นั่นคือตอนที่โบคุโตะเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกเด็กสาวรุ่นน้องหลอกใช้อยู่ เผลอๆ พวกขนมและข้าวกล่องทั้งหลายที่เคยทำและฝากมัลลิกาเอามาให้ก็อาจจะให้เพราะจุดประสงค์เดียวกันด้วย และที่ชอบมาหงุดหงิดใส่เขาก็คงเพราะว่าแผนลองใจนั้นไม่ได้ผลล่ะมั้ง เพราะจนถึงตอนนี้ฟุรุโอยะก็ยังไม่เลิกกับแฟนเลยนี่นา


         ไม่ชอบเลยแฮะ อย่างน้อยช่วยไปจัดการเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองให้ดีก่อนได้ไหม แบบนี้ก็เท่ากับว่าฮานะหลอกให้ความหวังเขาแบบลมๆ แล้งๆ น่ะสิ


         เด็กหนุ่มฟุบหน้าลงกับโต๊ะในห้องสมุดอย่างห่อเหี่ยว ผมเผ้าที่ใส่เจลเซตตั้งเอาไว้อย่างดีก็คล้ายกับจะแฟบลงตามอารมณ์ดิ่งของเจ้าของ


         ถึงจะเสียใจและไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่ดูท่าว่าโบคุโตะคงไม่แคล้วต้องอกหักแล้วแน่ๆ


         เอาเถอะ! ยังไงช่วงนี้โบคุโตะก็ไม่เหมาะจะจริงจังเรื่องมีแฟนอยู่แล้วด้วย ก็มันใกล้จะสอบแล้วนี่นา แถมยังมีแข่งคัดเลือกรอบฤดูใบไม้ผลิที่ต้องให้ความสำคัญอีก ใช่แล้ว! เขาไม่มีเวลามาเสียใจกับเรื่องผู้หญิงหรอก โดยเฉพาะผู้หญิงที่เหมือนจะไม่ได้แคร์อะไรในตัวเขาเลยสักนิด


         มูฟออน โบคุโตะ! มูฟออน!


         ฮือ พูดง่ายแต่ทำยากจังโว้ย! โบคุโตะโอดครวญในใจอย่างงอแง


         “ขอโทษนะคะ ขอยืมพจนานุกรมหน่อยได้หรือเปล่าคะ” เสียงหวานแต่สำเนียงแปร่งเล็กน้อยที่เป็นของมัลลิกาดังขึ้น ทำให้โบคุโตะที่กำลังนั่งหงอยอยู่คนเดียวในห้องสมุดถึงกับต้องลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วเอี้ยวคอหันไปมองร่างโปร่งบางที่ยืนคุยอยู่กับนักเรียนคนหนึ่งที่มาอยู่เวรเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์วันนี้


         “ไปที่หมวด E ได้เลยค่ะ ชั้นบนสุดซ้ายมือรหัส E001”


         “ขอบคุณค่ะ” เด็กแลกเปลี่ยนกล่าวพร้อมกับก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่ชั้นหนังสือตามที่อีกฝ่ายบอกโดยไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ามีดวงตาสีทองกลมโตเหมือนนกฮูกจับจ้องมาที่ตัวเองอยู่ทุกฝีเก้า


         พอได้เจอมัลลิกาโดยบังเอิญแบบนี้โบคุโตะก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้นิดหน่อย จะว่าไปหมู่นี้เขาก็ไม่ได้คุยกับแม่กามเทพน้อยของเขามาหลายวันแล้วด้วย ก็ตั้งแต่วันที่ได้คุกกี้จากฮานะจังนั่นแหละ ว่าแล้วโบคุโตะก็นึกสนุกขึ้นมาได้ ร่างสูงค่อยๆ ลุกจากโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่แล้วย่องตามหลังร่างโปร่งบางไปเงียบๆ เมื่อได้จังหวะที่คนตัวเล็กกำลังง่วนอยู่กับการหาหนังสืออยู่นั้น หนุ่มนักกีฬาก็แกล้งสะกิดเข้าที่แผ่นหลังเล็กจ้อยจนคนขวัญอ่อนขี้ตกใจสะดุ้งร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น แถมยังผงะแรงเสียจนถอยหลังไปชนเข้ากับชั้นหนังสือโครมใหญ่อีกต่างหาก ดีที่ชั้นหนังสือเจ้ากรรมไม่เอียงล้มไปด้วย ไม่งั้นคงได้เกิดหายนะครั้งใหญ่กลางห้องสมุดแน่


         “ขอโทษมะลิ! ไม่คิดว่าจะสะดุ้งแรงอย่างนี้! เจ็บตรงไหนไหม?!” แต่ดูเหมือนว่าโบคุโตะ โคทาโร่จะเป็นหายนะเคลื่อนที่โดยกำเนิด เพราะระดับเสียงที่เจ้าตัวใช้ถามนั้นดังมากพอๆ กับตอนที่เขาใช้ตะโกนเวลาอยู่ในคอร์ทวอลเลย์เลยทีเดียว


         “โบคุโตะซังพูดเบาๆ หน่อยสิคะ” มัลลิกาส่งเสียงชู่ออกมา แต่ก็ดูจะเป็นการเตือนที่สายไปเสียแล้ว เพราะนักเรียนที่อยู่เวรห้องสมุดเมื่อครู่นี้กำลังยืนจังก้าเท้าเอวคู่อยู่กับอาจารย์บรรณารักษ์ด้วยสีหน้าถมึงทึงสุดๆ ไปเลย


         “เธอทั้งสองคนน่ะออกไปจากห้องสมุดเดี๋ยวนี้เลย!”


         เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเรียนฟุคุโรดานิว่าอาจารย์บรรณารักษ์นั้นทั้งโหดทั้งน่ากลัวแค่ไหน ลองว่าออกปากไล่แล้วก็ถือว่าเป็นคำขาด ถ้าขืนยืนเถียงก็จะยิ่งไปสุมไฟให้โกรธมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนว่ามัลลิกาจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เพราะโบคุโตะเห็นเธอกำลังอ้าปากทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างอยู่ เห็นแบบนั้นคนตัวสูงก็รีบก้มหัวขอโทษแทนพวกเขาทั้งคู่ก่อนจะคว้าข้อมือบางมาจับเอาไว้แล้วพาเธอวิ่งกลับไปเก็บข้าวของของตัวเองที่โต๊ะแล้วออกจากห้องสมุดไปทันที


         “โบคุโตะซังทำอะไรคะเนี่ย ฉันยังไม่ได้ยืมพจนานุกรมเลยนะ” เสียงหวานโวยกลับมาขณะที่เดินตามแรงจูงของอีกฝ่ายไปอย่างขัดขืนไม่ได้


         “เราทำเสียงดังขนาดนั้น อาจารย์บรรณารักษ์ไม่มีทางให้ยืมแล้วล่ะมะลิ” โบคุโตะแย้งด้วยสีหน้าขนลุกขนพอง “มะลิมาใหม่เลยอาจจะไม่รู้ แต่อาจารย์ห้องสมุดโรงเรียนฉันน่ะโหดมากนะขอบอก”


         “ก็ความผิดคุณเองไม่ใช่เหรอคะที่จู่ๆ ก็มาทำให้ฉันตกใจน่ะ แถมยังตะโกนเสียงดังออกมาอีกต่างหาก” มัลลิกาตำหนิคนตัวสูงด้วยน้ำเสียงอุบอิบ


         “เอ่อ… เรื่องนั้นฉันขอโทษนะมะลิ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แค่กะจะแกล้งทักมะลินิดเดียวเอง” สีหน้าของโบคุโตะดูรู้สึกผิดจริงๆ จนมัลลิกาโกรธต่อไม่ลง


         “แล้ว… คุณไปทำอะไรที่ห้องสมุดเหรอคะ”


         “อ๋อ ไปทบทวนบทเรียนน่ะ!”


         เด็กสาวทำหน้าประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนแม้แต่โบคุโตะเองยังสังเกตได้


         “อะไรเล่ามะลิ! ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง?!” เด็กหนุ่มผมตั้งสีบลอนด์เทาทำแก้มพองอย่างงอนๆ


         “เอ้อ… เปล่าค่ะ แค่… เอ่อ… แบบว่า ทบทวนบทเรียนกับคุณมันดูไม่ไปด้วยกันเท่าไหร่” มัลลิกาเผลอตอบออกมาตามตรง


         “นี่เธอเห็นฉันเป็นคนยังไงกันเนี่ย” ดวงตากลมโตสีทองหรี่ลงอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย


         “ขอโทษค่ะ ก็ฉันนึกว่าคุณต้องไปซ้อมวอลเลย์ทุกวันเสียอีก เลยนึกไม่ถึงว่าจะเห็นคุณมาอ่านหนังสือหลังเลิกเรียนแบบนั้น”


         “จริงๆ ตารางของฉันทุกวันมันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่พอดีช่วงนี้ใกล้สอบแล้วโค้ชก็เลยให้หยุดพักผ่อนได้นิดหน่อย”


         “อ๋อ…” คนตัวเล็กพยักหน้าเข้าใจ


         “แล้ววันนี้อาคาอาชิไปไหนเสียล่ะ ปกติถ้าไม่มาชมรมก็เห็นตัวติดกับมะลิตลอดเลยนี่นา”


         “วันนี้อาคาอาชิคุงกลับเร็วค่ะ เห็นบอกว่าต้องไปทำธุระให้ที่บ้าน”


         “งี้นี่เอง” กัปตันทีมวอลเลย์พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะโพล่งเสียงดังออกมาอย่างไม่เตือนคู่สนทนาก่อนล่วงหน้า “จริงสิ!! มะลิเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนี่นา!”


         มัลลิกาสะดุ้งแรงอีกรอบ ในใจก็โอดครวญว่า ‘ขอได้ไหมโบคุโตะซัง ช่วยหยุดตะโกนออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ทีเถอะ’


         “แล้วมันทำไมเหรอคะ”


         “งี้ก็แปลว่ามะลิต้องเก่งภาษาอังกฤษน่ะสิ!”


         “ก็พอเอาตัวรอดได้ค่ะ…”


         “งั้นวันนี้ช่วยทบทวนภาษาอังกฤษให้ฉันหน่อยได้ไหม!”


         “เอ๊ะ?” เด็กสาวทำหน้าเหวอ ตาโตกะพริบปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทันกับคำขอนั้น


         “เถอะนะ~ ไหนๆ วันนี้ฉันก็ว่างแล้ว ไม่อยากกลับบ้านไปอ่านหนังสือคนเดียวน่ะ” เด็กหนุ่มประกบมือสองข้างเอาไว้เพื่อช่วยขอร้องคนตัวเล็กอีกแรง


         “แล้ว… จะให้ไปติวที่ไหนเหรอคะ ห้องสมุดเราก็เข้าไม่ได้แล้ว”


         เด็กหนุ่มทำหน้านึกสักพักก่อนจะเสนอไอเดียเดียวกับที่เคยเอ่ยชวนฮานะไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนขึ้นมา “เดินจากโรงเรียนไปสิบนาทีมีคาเฟ่อยู่นะ มะลิน่าจะชอบเพราะฉันเห็นพวกผู้หญิงในห้องชอบไปกัน”


         “เหรอคะ”


         “อื้ม! ไปกันเถอะมะลิ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง อยากกินอะไรสั่งได้เลย แล้วฉันก็จะซื้อพจนานุกรมให้มะลิด้วยดีไหม ถือเป็นการไถ่โทษที่วันนี้ฉันทำให้มะลิยืมพจนานุกรมไม่ได้ไง มะลิจะได้ไม่ต้องลำบากมายืมห้องสมุดบ่อยๆ ด้วย”


         “ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกค่ะ” มัลลิการีบปฏิเสธอย่างละล่ำละลัก แต่ก็อีกนั่นแหละที่โบคุโตะไม่ฟังเธอเลย


         “ไม่เป็นไรหรอกน่า! แค่พจนานุกรมเล่มเดียวเอง ฉันไม่ได้จะซื้อทอล์กกิ้งดิกให้เสียหน่อย!” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมากับท่าทางขี้เกรงใจเกินเหตุของคนหน้าหวาน


         “แต่มันก็…”


         “เอาเถอะน่า~ ถือว่าตอบแทนที่มะลิจะช่วยติวให้ฉันด้วยไง นะ! ไปกันเถอะ! เฮ เฮ เฮ้!”


         มัลลิกาถอนหายใจเบาๆ แล้วเธอเลือกอะไรได้ไหม อุตส่าห์หนีหน้าไม่คุยกับโบคุโตะมาได้ตั้งหลายวันแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ดันบังเอิญมาเจอกับเขาแบบสองต่อสองอีกจนได้ แถมอีกฝ่ายก็เล่นขอร้องกึ่งบังคับให้เธอตามไปช่วยติวหนังสือให้อีกแบบนี้ ใครเขาจะมีช่องว่างปฏิเสธทัน


         ว่าแต่… ดูเหมือนว่าโบคุโตะจะยังไม่รู้เรื่องที่มัลลิกาโกหกเอาไว้สินะ ไม่งั้นเขาไม่มีทางเข้ามาคุยกับเธอได้ดีๆ แบบนี้แน่



    ________



         โบคุโตะพามัลลิกาอ้อมไปที่ร้านหนังสือที่ใกล้ที่สุดก่อนแล้วถึงค่อยวกกลับมาที่ร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่มีชื่อว่า Secret Garden เมื่อมาถึงคาเฟ่ที่ว่า ท้องของเด็กหนุ่มวัยกำลังโตก็ร้องโครกครากออกมาด้วยความหิวพอดี เพราะกว่าจะได้ออกจากร้านหนังสือก็ต้องเสียเวลาเลือกพจนานุกรมที่เหมาะกับการใช้งานของมัลลิกาอยู่นานสองนานทีเดียว


         “เอาคลับแซนด์วิชชุด A ครับ แล้วก็พาเฟ่ต์ช็อกโกแลตกับน้ำแข็งไสผลไม้รวมด้วยนะครับ!”


         “จะกินทั้งหมดนั่นคนเดียวเหรอคะ” มัลลิกาถามอย่างทึ่งๆ เมื่อโบคุโตะสั่งเมนูของตัวเองเสร็จ


         “เปล่าหรอก น้ำแข็งไสฉันสั่งให้มะลิน่ะ ก็เห็นสั่งไปแค่ชอร์ตเค้กหนึ่งชิ้นกับชาเย็นเองนี่นา”


         “มะ… ไม่เห็นต้องสั่งเผื่อเลยนี่คะ” เด็กสาวถึงกับอึ้งที่อีกฝ่ายดูใส่ใจเธออย่างผิดคาด


         “ไม่เป็นไรน่า กินไม่หมดเดี๋ยวฉันช่วยนะ” เด็กหนุ่มโบกมืออย่างไม่คิดมากใดๆ ทำเอามัลลิกานึกสงสัยว่าที่มาถึงนี่เพราะจะมาติวหนังสือหรือว่ามากินให้อิ่มจริงจังกันแน่


         “แล้ว… เรื่องที่จะให้ฉันช่วยสอนภาษาอังกฤษล่ะคะ”


         “จริงด้วย! งั้นเดี๋ยวฉันให้มะลิดูหนังสือเรียนก่อนนะ” ว่าแล้วโบคุโตะก็รูดซิปกระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่มีตุ๊กตาพวงกุญแจห้อยอยู่เป็นพรวนออก ก่อนจะหยิบหนังสือเรียนพร้อมด้วยสมุดและกระเป๋าใส่ปากกาออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่คนละฝั่งกัน


         มือบางเอื้อมไปหยิบหนังสือเรียนเล่มนั้นขึ้นมาดูก่อนจะชะงักไป “โบคุโตะซัง อันนี้มันหนังสือเลขนี่คะ”


         “เอ้า! โทษทีหยิบผิด เดี๋ยวขอฉันหาแป๊บหนึ่งนะมะลิ พอดีช่วงนี้ฉันไม่ว่างจัดกระเป๋าเลยน่ะ”


         มัลลิกาแอบยิ้มขำอยู่เงียบๆ แล้วปล่อยให้เขาหาต่อไป ส่วนตัวเองก็ลองเปิดหนังสือเลขม. 6 ของญี่ปุ่นออกอ่านเล่นๆ ด้วยความอยากรู้ ทีแรกเธอยังนึกว่าหนังสือเรียนของโบคุโตะจะว่างเปล่าสะอาดสะอ้านไร้รอยขีดเขียนเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็พยายามจะเรียนอยู่เหมือนกันนะ ถึงจะแอบมีใจลอยเผลอวาดรูปเล่นไปบ้างก็เถอะ


         “เรียนเรื่องค่ามัธยฐานอยู่สินะคะโบคุโตะซัง” ถึงจะอ่านคำอธิบายภาษาญี่ปุ่นไม่ออกทุกคำ แต่มัลลิกาก็พอจะรู้ว่าบทล่าสุดที่เด็กหนุ่มกำลังเรียนอยู่นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่า ‘Med’ นั้นย่อมาจาก ‘Median’ ที่แปลว่าค่าตรงกลาง ส่วนไอ้คำว่ามัธยฐานภาษาญี่ปุ่นนั้นก็โชคดีที่มีตัวฟูริงานะเขียนกำกับเอาไว้บนตัวคันจิที่เป็นชื่อบทอยู่ด้วย มัลลิกาก็เลยอ่านออกและได้คำศัพท์วิชาการเพิ่มไปในคราวเดียวกัน


         “อ่ะ อืม ก็คงอย่างนั้นแหละมั้ง” โบคุโตะพยักหน้าตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะตอนเรียนเขาก็ไม่ได้ตั้งใจฟังตลอดคาบเสียด้วย “ว่าแต่มะลิเข้าใจเลขม. 6 ด้วยเหรอ มะลิเพิ่งอยู่ม. 5 เองนี่นา”


         เด็กสาวต่างชาติยกมือขึ้นจับผมตัวเองเล่นอย่างประหม่า “จริงๆ แล้วถ้าไม่มาแลกเปลี่ยนล่ะก็ ปีนี้ฉันก็อยู่ม. 6 แล้วค่ะ”


         “อ๊ะ อย่างนั้นเองหรอกเหรอ?! จริงๆ แล้วมะลิรุ่นเดียวกับฉันเหรอเนี่ย?!”


         เห็นแบบนั้นมัลลิกาก็ยิ้มอ่อนออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลยสินะ


         “จริงๆ แล้วไอ้วิชาเลขเนี่ยฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกนะ แต่เดี๋ยวค่อยให้เพื่อนในห้องติวให้วันหลังแล้วกัน วันนี้มะลิสอนอังกฤษให้ก่อนก็พอ” โบคุโตะว่า


         มัลลิกาลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปากออกมา “คือว่า… ถ้าเป็นเรื่องค่ามัธยฐานฉันพอจะช่วยสอนคุณได้อยู่นะคะ วันนี้จะสอนให้คร่าวๆ ก่อนก็ได้ หรือถ้าคุณอยากให้สอนทั้งสองวิชาเลยก็ได้ค่ะ”


         “จริงเหรอ?”


         “ค่ะ ตอนอยู่ไทยฉันเรียนเลขได้ค่อนข้างดีน่ะ แล้วหัวข้อนี้ก็ง่ายด้วย” อย่างน้อยตอนอยู่ไทยเธอก็อยู่ห้องวิทย์คณิตแหละนะ และเพราะต้องมาแลกเปลี่ยนแบบซ้ำชั้นที่นี่มัลลิกาก็เลยเอาหนังสือเรียนม. 6 ของที่ไทยมาอ่านล่วงหน้าด้วยเวลาที่ตัวเองว่างๆ (ถึงแม้จะอ่านไม่ได้มากเท่าไหร่ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ก็เถอะ เธอเองก็ขี้เกียจเป็นเหมือนกันนี่)


         “งั้นก็เอาสิ! ถ้าช่วยได้ก็ขอรบกวนหน่อยนะ!” ว่าเสร็จร่างสูงก็แทบจะโขกหัวกับโต๊ะเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างโอเวอร์


         เห็นแบบนั้นมัลลิกาก็เกือบจะหลุดขำออกมาเหมือนกัน แต่ยังดีที่ยั้งเอาไว้ได้ทัน เด็กสาวรวบรวมสมาธิสักพักก่อนจะแบมือขอยืมปากกาที่โบคุโตะถืออยู่พร้อมกับขอกระดาษจากสมุดโน้ตของเขาด้วย ซึ่งเด็กหนุ่มก็เต็มใจยกให้อย่างกระตือรือร้น


         “ค่ามัธยฐานก็คือค่าที่อยู่ตรงกลางค่ะ สมมติว่าฉันให้ข้อมูลคุณมาหนึ่งชุด ข้อมูลทั้งหมดมีห้าตัวตามนี้” มือบางเขียนตัวเลขมั่วๆ ขึ้นมาห้าจำนวนเรียงกันใส่กระดาษที่ขอโบคุโตะมาโดยเรียงลำดับข้อมูลจากน้อยสุดไปหามากสุดอย่างเป็นระเบียบ “คุณมองออกไหมคะว่าค่ามัธยฐานของข้อมูลชุดนี้คืออะไร”


         “เอ่อ… แปดเหรอ” หลังจากที่จ้องตัวเลข 2,5,8,11,15 ที่เขียนด้วยลายมือเล็กๆ ของมัลลิกาอยู่นาน ในที่สุดโบคุโตะก็บอกคำตอบที่ตัวเองคิดออกไปอย่างไม่ใคร่จะเต็มเสียงนัก แบบว่า— ก็เลขแปดมันอยู่ตำแหน่งที่สามซึ่งเป็นตำแหน่งตรงกลางจริงๆ นี่นา


         “ถูกต้องค่ะ คำตอบก็คือแปด”


         “จริงเหรอ?!” โบคุโตะทำตาโตอย่างตื่นเต้นที่ตัวเองตอบคำถามได้ถูก


         “ค่ะ” เด็กสาวยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่ายก่อนจะอธิบายต่ออย่างช้าๆ เพราะเธอเองก็ต้องเรียบเรียงทุกอย่างออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกทีหนึ่งเหมือนกัน “ในกรณีที่ชุดข้อมูลน้อย มองตาเปล่าเราก็พอหาคำตอบได้ใช่ไหมคะ แต่ว่าถ้าเกิดข้อมูลที่โจทย์ให้มามันเยอะมากๆ เป็นสิบหรือยี่สิบตัวล่ะก็ อันนี้เราต้องใช้สูตรช่วยหาค่ะ”


         “อ๊ะ! ใช่ไอ้ที่ N+1 หาร 2 หรือเปล่า” เด็กหนุ่มถามเมื่อเริ่มจำบทเรียนได้รางๆ


         “ใช่แล้วค่ะ! คุณก็จำได้นี่นา”


         “แต่ว่าไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะมะลิ พอฉันใช้สูตรนี่หาคำตอบทีไรฉันเป็นต้องตอบผิดทุกทีเลยน่ะสิ”


         “เอ๊ะ?” มัลลิกาทำหน้าแปลกใจ “คุณบวกหรือหารเลขผิดหรือเปล่าคะ”


         โบคุโตะส่ายหน้าพรืด “ไม่นะ! สูตรนี้คิดเลขง่ายจะตายไป และฉันก็มั่นใจว่าตัวเองคิดเลขถูกแล้วด้วย แต่พอเขียนคำตอบลงไปอาจารย์ก็ขีดตัวแดงมาให้ตลอดเลย! นี่ไง ฉันมีการบ้านเก่าอยู่กับตัวนะ ไม่เชื่อก็ดูได้เลย”


         เด็กหนุ่มรื้อสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋าใบเดิมพร้อมกับยื่นมันไปให้มัลลิกา มือบางรับมาเปิดหาดูโดยมีเจ้าของสมุดช่วยเปิดให้อีกแรงจนมาถึงหน้าล่าสุดที่เขาใช้ทำแบบฝึกหัดเรื่องมัธยฐานเอาไว้


         มัลลิกากวาดตาอ่านลายมือขยุกขยิกของโบคุโตะไปเงียบๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พบว่าจุดไหนที่เด็กหนุ่มนั้นพลาดไป


         “โบคุโตะซังคะ คุณคิดเลขถูกต้องแล้วค่ะ ไม่ผิดเลย”


         “เอ๊ะ? งั้นเหรอ?! แล้วทำไมอาจารย์ถึงขีดผิดมาให้ฉันล่ะ”


         “เพราะว่าคุณเขียนคำตอบจากสูตรที่หามาได้ไปโต้งๆ เลยน่ะสิคะ”


         “แล้ว… นั่นไม่ถูกเหรอ” โบคุโตะมองใบหน้าหวานหยดอย่างไม่เข้าใจ ทำให้มัลลิกาต้องอธิบายเพิ่ม


         “สูตร N+1 หาร 2 เนี่ยไม่ได้มีเอาไว้หาค่ามัธยฐานนะคะ มันเอาไว้หาตำแหน่งของค่ามัธยฐานต่างหาก”


         เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบโต้ใดๆ หนำซ้ำยังเอียงคอจ้องหน้าเธอหนักขึ้นไปอีกต่างหาก


         “สูตรมันแค่ช่วยบอกตำแหน่งน่ะค่ะ! อย่างข้อหนึ่งนี้ที่คุณตอบไปว่าห้า ห้าที่คุณหามาได้ไม่ใช่ค่ามัธยฐานของโจทย์ข้อนี้ แต่เป็นตำแหน่งของคำตอบที่ถูกต้องค่ะ”


         ดวงตาสีทองเป็นประกายรู้แจ้งขึ้นมาเมื่อเริ่มตามอีกฝ่ายทัน “งั้น… คำตอบที่ถูกต้องก็คือ 26 ที่เป็นข้อมูลลำดับที่ห้าใช่ไหม”


         “ใช่แล้วค่ะ” มัลลิกายิ้มอย่างโล่งอกที่ในที่สุดโบคุโตะก็เข้าใจ


         “มิน่าล่ะ เพราะฉันเข้าใจผิดมาตลอดนี่เอง ฉันนี่เบ๊อะชะมัดเลยเนอะ ฮ่าๆๆๆ!”


         “ชู่ว! เบาๆ สิคะ” มัลลิการีบโบกมือส่งเสียงบอกให้หนุ่มนักกีฬาเบาเสียงลงหน่อยเพราะถึงจะไม่ได้อยู่ในห้องสมุดแล้วแต่พวกเขาก็อยู่ในพื้นที่สาธารณะที่ต้องใช้ร่วมกับคนอื่นด้วยความเกรงใจ


         “ขอโทษครับ” โบคุโตะก้มหัวขอโทษลูกค้าคนอื่นก่อนจะหันไปพูดกับมัลลิกาต่อด้วยเสียงหงอยๆ “สอนต่อเถอะมะลิ”


         “เอ่อ… ค่ะ มาดูกรณีที่หาสูตรออกมาแล้วได้คำตอบเป็นเลขจุดทศนิยมนะคะ”


         โบคุโตะเท้าแขนกับโต๊ะและตั้งใจฟังที่มัลลิกาอธิบายไปเงียบๆ มีบ้างเหมือนกันที่พอบทเรียนเริ่มซับซ้อนและยากขึ้น ทำให้เด็กสาวไม่รู้จะอธิบายยังไงจนต้องสื่อสารกันอยู่หลายรอบกว่าจะทำให้เด็กหนุ่มตัวโตเข้าใจวิธีทำได้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณตัวโบคุโตะเองด้วยที่มีความพยายามจะฟังสิ่งที่ติวเตอร์จำเป็นสอนอย่างเต็มที่เช่นกัน


         พอได้มานั่งติวหนังสือด้วยกันแบบนี้โบคุโตะก็เริ่มรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่มัลลิกาพูดเยอะมากที่สุดตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมาเลย แล้วก็… เหมือนว่าเขาเพิ่งจะได้มองหน้าบัดดี้ของอาคาอาชิได้ชัดๆ ก็วันนี้นี่แหละ เพราะปกติเวลาที่คุยกันเด็กสาวมักจะชอบก้มหน้าหลบตาเขาตลอดเลย แถมตัวเธอก็เตี้ยกว่าเขาด้วย แต่ว่าตอนนี้พวกเขากำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันในระยะที่ถือว่าใกล้กันพอสมควรเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่โบคุโตะเห็นเครื่องหน้าของมัลลิกาชัดมากกว่าครั้งไหนๆ รวมไปถึงบทบาทติวเตอร์ที่เจ้าตัวรับอยู่ในขณะนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มสามารถได้ยินเสียงหวานจ๋อยของเธอได้อย่างชัดเจนแม้ว่าเจ้าตัวจะมีน้ำเสียงเบาและเนิบนาบแค่ไหนก็ตาม


         จะว่าไปแล้ว— ตาของมะลิเนี่ยโตชะมัดเลยแฮะ แถมยังเป็นสีดำสวยดูลึกลับสุดๆ ไปเลย มองๆ ไปแล้วก็เหมาะกับอุปนิสัยของเจ้าตัวดีเหมือนกัน ก็เธอเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรออกมาเท่าไหร่นี่นา บอกตามตรงบางครั้งโบคุโตะก็แอบทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับมะลิเหมือนกันนะ แบบว่าเขาเดาไม่ออกน่ะว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่ บางทีเธอก็ทำเหมือนกลัวเวลาที่เขาเข้าไปหา แต่ไปๆ มาๆ ก็เหมือนว่าจะเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายคิดมากไป เพราะเธอก็ดูเป็นแค่คนขี้อายที่ไม่ค่อยพูดธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง


         “ลองทำโจทย์พวกนี้ดูนะคะโบคุโตะซัง” เสียงหวานนั้นเรียกสติโบคุโตะให้กลับมาอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน


         “อะ อื้ม! โอเค!” เด็กหนุ่มรีบถอนสายตากลับมา พอดีกับที่พนักงานพาร์ทไทม์นำเมนูที่สองลูกค้าหนุ่มสาวสั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี


         มือใหญ่ขาวผ่องเลื่อนชามใส่น้ำแข็งไสประดับผลไม้รวมหลากหลายจนพูนเป็นภูเขาขนาดย่อมไปให้มัลลิกาก่อนเป็นอย่างแรก “กินอันนี้ก่อนเลยมะลิเดี๋ยวมันละลาย เพื่อนผู้หญิงในห้องฉันบอกว่าอร่อยมาก ส่วนชอร์ตเค้กนี่ก็เอาไว้ทีหลังเนอะ”


         มัลลิกาขี้เกียจเถียงเรื่องของกินกับอีกฝ่ายแล้ว แถมเธอยังต้องรอเขาทำโจทย์เลขให้เสร็จด้วย เด็กสาวก็เลยยอมหยิบช้อนมาตักน้ำแข็งไสทานแต่โดยดี พอได้ชิมคำแรกเท่านั้นมัลลิกาก็พบว่ามันอร่อยมากจริงๆ ตามที่โบคุโตะว่า ผลไม้ที่ใส่มาก็อร่อยและสดมากๆ จนมัลลิกาเผลอแสดงสีหน้าท่าทางออกมาหมดโดยไม่รู้ตัว ทำให้โบคุโตะที่นั่งมองอยู่ได้แต่ยิ้มขำอย่างนึกเอ็นดูกับท่าทางการกินเป็นเด็กๆ ของเธอ


         “อร่อยใช่ไหมล่ะ~ ฉันบอกแล้ว”


         ให้ตายสิ เกลียดท่าทางยิ้มยียวนเหมือนเหนือกว่าของเขาชะมัด แต่มัลลิกาก็ไม่ได้บ่นอะไรออกไปเพราะปากกำลังเคี้ยวกีวี่หงุบหงับอยู่ ส่วนโบคุโตะนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมากทีเดียวที่ได้มาเที่ยวและติวหนังสือกับมัลลิกาแบบนี้


         บางทีการที่ฮานะปฏิเสธไม่ยอมมาเที่ยวเขาอาจจะเป็นเรื่องดีแล้วก็ได้ เพราะโบคุโตะเองก็ไม่รู้ว่าถ้าฮานะยอมมาด้วยบรรยากาศระหว่างพวกเขาจะเป็นยังไง อาจจะอึดอัดและย่ำแย่จนกู่ไม่กลับเลยก็ได้ เพราะลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้ดีว่าฮานะนั้นไม่ได้มีใจอยากจะมาเที่ยวกับเขาแต่แรกอยู่แล้ว


         อย่างน้อยมากับมัลลิกาก็ไม่ได้แย่อะไร ถึงเธอจะเป็นคนเงียบๆ และเข้าใจยากไปบ้าง แต่บรรยากาศรอบตัวของเธอก็ให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก และโบคุโตะก็ค่อนข้างชอบมันมากทีเดียว


         “เป็นอะไรหรือเปล่าคะโบคุโตะซัง”


         ตาโตสีทองสบเข้ากับดวงตาสีดำล้ำลึกเข้าอย่างจัง ก่อนจะทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนไป “ทำไมถามแบบนั้นล่ะมะลิ”


         “จู่ๆ คุณก็เงียบไปนี่คะ”


         “อะไรเนี่ยมะลิ เห็นฉันเป็นคนพูดมากขนาดนั้นเลยเหรอ”


         “ก็… ค่ะ”


         แหนะ ทีอย่างนี้กล้าตอบตรงๆ ขึ้นมาเชียว โบคุโตะแอบเหน็บในใจอย่างมันเขี้ยว


         “ฉันก็แค่คิดว่าตัวเองไม่น่ารบกวนมะลิเรื่องฮานะจังเอาไว้มากขนาดนั้นเลยก็เท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มยอมรับออกมาตามตรงขณะที่มือก็หยิบช้อนอีกคันขึ้นมาตักน้ำแข็งไสทานเป็นเพื่อนมัลลิกาด้วยนิดหน่อย


         “ไม่… ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ” เด็กสาวกล่าวอย่างลนลาน ซ้ำยังไม่กล้าสบตาสีทองของอีกฝ่ายตรงๆ ด้วย


         “ไม่หรอก ฉันพูดจริงๆ นะมะลิ ที่ผ่านมาฉันบอกได้เลยว่ามัน… สูญเปล่า ฉันใช้คำถูกหรือเปล่านะ?” โบคุโตะกล่าวพร้อมกับทำหน้านึกอยู่สักพัก “อื้ม! ฉันว่าฉันใช้คำถูกแล้วแหละ ‘สูญเปล่า’ ที่ให้มะลิวิ่งส่งของสื่อรักให้อยู่หลายรอบเป็นเรื่องที่สูญเปล่ามากๆ เลย”


         เด็กสาวไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดเรื่องน่าเสียใจแบบนั้นออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มแบบนั้นได้


         “ทำไมมันถึงสูญเปล่าล่ะคะ”


         “ก็เพราะว่าฮานะจังเขาไม่มีวันจะชอบฉันได้เหมือนที่ชอบฟุรุโอยะคุงไงล่ะ”


         “แต่ว่า คิซากิซังเขาเอาคุกกี้มาให้คุณด้วยตัวเองแล้ว--”


         “ทีแรกฉันก็ดีใจอยู่หรอกนะ จนกระทั่งฉันมารู้ว่าที่ฮานะจังทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังจะให้ฟุรุโอยะคุงหึงเท่านั้นเอง”


         มัลลิกาถึงกับพูดไม่ออกขึ้นมา


         “จริงๆ แล้ววันนี้ฉันกะจะมาที่ร้านนี้กับฮานะจังแหละ แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธ อ้างว่าที่ชมรมงานยุ่งน่ะ”


         “…”


         “ขอโทษนะมะลิ ฉันเหมือนเอามะลิมาเป็นตัวแทนฮานะจังยังไงไม่รู้ ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ไม่มีใครแทนใครได้เสียหน่อย” โบคุโตะยิ้มให้อย่างเศร้าๆ ซึ่งมัลลิกาไม่ชินเอาเสียเลย


         “อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ ฉันไม่ได้โกรธอะไรเลย” เด็กสาวพยายามจะปลอบโดยแทบไม่ได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำ


         “ที่จริงฉันควรจะพอได้แล้วล่ะ”


         “พอเหรอคะ?”


         โบคุโตะพยักหน้า “ฉันไม่ได้อยากแช่งให้ฟุรุโอยะคุงเลิกกับแฟนหรอกนะ แต่บอกตามตรง ฉันว่าสุดท้ายแล้วทั้งฟุรุโอยะคุงกับฮานะจังอาจจะหนีกันไม่พ้นจริงๆ อย่างที่ทุกคนว่าก็ได้ และถ้าฉันทู่ซี้ตามตื๊อฮานะจังต่อสุดท้ายฉันอาจจะต้องเป็นคนเจ็บเสียเอง”


         “…”


         “เฮ้อออ! เอาเข้าจริงแล้วฉันว่าสองคนนี้ก็แอบน่ารำคาญเหมือนกันนะ ชอบกันอยู่แท้ๆ แต่ก็เล่นแง่กันอยู่ได้ ไม่รู้คิดมากอะไรอยู่ เป็นเพื่อนกันแล้วจะชอบกันไม่ได้หรือไง เนอะมะลิ!”


         คนถูกถามเขี่ยช้อนกลิ้งลูกสตรอว์เบอร์รีไปมา “บางทีพวกเขาอาจจะแค่กลัวความเปลี่ยนแปลงก็ได้มั้งคะ”


         “หืม? กลัวอะไรไม่เข้าท่าไปได้ มีเรื่องเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวันนั่นแหละมะลิ”


         “หมายถึง… พวกเขาคงกลัวว่าถ้าเปลี่ยนจากเพื่อนไปเป็นแฟนแล้ว พอมีเหตุให้เลิกกันก็อาจจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะค่ะ อารมณ์เสียดายมิตรภาพที่เคยมีมาน่ะ”


         โบคุโตะเอียงคอกะพริบตาปริบๆ ด้วยกิริยาเหมือนนกฮูก “แล้วมันต่างจากการเลิกกันของคู่รักที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรกตรงไหนเหรอมะลิ คนเลิกกันมันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะมองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้วนี่”


         มัลลิกาเถียงไม่ออก ส่วนเด็กหนุ่มก็พูดต่อไป “แล้วก็นะ ถึงจะแค่เล็กน้อยก็เถอะ แต่ถ้าความรู้สึกมันเปลี่ยนไปมากกว่าเพื่อนแล้วล่ะก็ มิตรภาพที่เคยมีให้กันก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อยู่แล้วล่ะ”


         ดวงตาสีดำล้ำลึกมองใบหน้าขาวผ่องที่แทบจะสะท้อนกับแสงแดดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างได้นิ่งนาน ไม่คิดมาก่อนเลยแฮะว่าโบคุโตะจะ… เป็นคนละเอียดอ่อนขนาดนี้ ทั้งที่ภายนอกดูไม่เป็นแบบนั้นแท้ๆ ว่าแล้วมัลลิกาก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ไปตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกแบบนั้น


         “เออนี่มะลิ ถ้าเป็นไปได้ละก็ช่วยมาติวหนังสือให้ฉันอีกจนกว่าจะถึงวันสอบได้ไหม”


         “คะ?”


         “มาติวที่โรงยิมระหว่างฉันซ้อมก็ได้นะ มะลิกลับดึกได้หรือเปล่า”


         “มันก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่ว่าให้คนนอกชมรมอย่างฉันเข้าไปป้วนเปี้ยนในโรงยิมบ่อยๆ มันก็ออกจะ--”


         “ถ้าเรื่องนั้นละก็ไม่ต้องห่วงเลย! เดี๋ยวฉันขออนุญาตโค้ชให้เอง!”


         “แต่ว่า…”


         “ทำไมล่ะ? หรือว่ามะลิรังเกียจฉันเหรอ”


         มัลลิการีบส่ายหัวทันที ก่อนจะแก้ตัวออกมาด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “ฉันแค่… กลัวว่าจะสอนคุณไม่รู้เรื่องน่ะค่ะ”


         “โธ่! มะลิล่ะก็! คิดมากอีกแล้วนะ! เธอน่ะสอนเข้าใจง่ายดีจะตายไป แล้วก็อดทนใจเย็นกับฉันมากด้วย ถ้าเป็นโคโนฮะหรือยูกิปเปละก็ป่านนี้ฉันถูกสันหนังสือฟาดเป็นสิบๆ รอบแล้ว” เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะพาดพิงถึงเพื่อนและผู้จัดการสาวของทีมตัวเอง


         “ฉันสอนเข้าใจง่ายจริงๆ เหรอคะ” มัลลิการู้สึกดีไม่น้อยที่ถูกอีกฝ่ายชม


         “อื้ม! ก็ต้องจริงน่ะสิ! นี่ขนาดว่ามะลิไม่ได้พูดภาษาเดียวกับฉันนะเนี่ย!” โบคุโตะพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างมาให้


         หลังจากเงียบไปสักพักในที่สุดเด็กสาวก็พยักหน้า “ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปช่วยติวให้ แต่ขอเน้นแค่ภาษาอังกฤษเป็นหลักนะคะ เลขม. 6 บางตัวที่นี่ฉันยังเรียนไม่ถึง”


         “ได้สิได้! มะลิใจดีที่สุดเลย! ช่วยฉันได้เยอะมากจริงๆ นะมะลิเนี่ย”


         “อย่าชมฉันขนาดนั้นเลยค่ะ” เสียงหวานแย้งขึ้นมาเบาๆ


         “ทำไมล่ะ ก็มะลิเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่นา”


         สีหน้าของมัลลิกานั้นดูปั้นยากและหมองลงไปบอกไม่ถูกอย่างไรชอบกล คล้ายกับว่าเธออยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้กับตัวอีกตามเคย


         เป็นคนเข้าใจยากจริงๆ ด้วยแฮะมะลิเนี่ย โบคุโตะคิดในใจ


         แต่ถึงจะติดใจสงสัยยังไง เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีความคิดที่อยากจะไปเซ้าซี้หรือเค้นถามให้ได้เดี๋ยวนั้นแต่อย่างใดเพราะกลัวจะไปทำให้มัลลิกาไม่สบายใจเข้า



    ________



    T A L K

         

         กว่าจะเข็นตอนนี้ออกมาได้ก็นานมากเลยค่ะ

         ช่วงนี้เครียดหลายอย่างมาก เพราะพนงที่บริษัทที่พ่อเราทำงานอยู่เขาติดโควิด วันนี้พ่อเราก็เพิ่งได้ไปตรวจหาเชื้อเอง ต้องมานั่งรอฟังผลอีก ถึงพ่อจะบอกว่าทำงานกันคนละชั้นก็เถอะ แต่มันก็เป็นอาคารพาณิชย์เล็กๆ เองอะค่ะ แถมรอบนี้เชื้อดุด้วย ;--; กลัวพ่อติดไม่พอยังต้องกลัวตัวเองกับแม่จะติดด้วยอีก ตอนนี้ก็ได้แต่กักตัวจนกว่าผลของพ่อจะออกค่ะ 

         มาที่เรื่องฟิคบ้าง คือ อยากจะบอกทุกคนว่า ขอให้อดทนกับความอึดอัดและทนกับความขี้ขลาดไม่กล้าพูดความจริงของมะลิสักนิดนะคะ ;-; เพราะเราจั่วหัวมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าสองคนนี้จะมีเหตุให้ผิดใจไม่พูดกันจนถึงวันที่มะลิกลับไทยเลย ดังนั้นเราเลยยังให้คุณโบรู้ความจริงที่มะลิโกหกไว้เร็วเกินไปไม่ได้ ต้องใส่โมเม้นต์เพื่อที่จะให้คุณโบรู้สึกดีและชอบมะลิขึ้นมาก่อนจะรู้ความจริงค่ะ เพราะในพาร์ทปัจจุบันคุณโบเขารักและคิดถึงมะลิมากนะ เราไม่คิดว่าคุณโบจะรู้สึกชอบมะลิแบบบ้ารักขนาดนั้นได้ถ้าหากรู้ความจริงเร็วไปค่ะ

        ปล. ไอ้เราคนนี้ก็เป็นเด็กสายศิลป์มาตลอด เลยไม่กล้าลงรายละเอียดเกี่ยวกับวิชาเลขอะไรมากนะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยค่ะ 



    #มะลิกับนกฮูก

    sun&moon

    27.04.2021


        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×