ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Haikyuu!! - 縁と浮世は末を待て (Bokuto x oc) END

    ลำดับตอนที่ #6 : 5 ปีก่อน part 2 - ‘You're the kind of reckless’

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 64




    Haikyuu!!

    縁と浮世は末を待て



    Haikyuu!!

    Bokuto x oc



    ***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ



    (5)

    » ห้าปีก่อน «

    Part 2

    ‘You're the kind of reckless’


    มัลลิกามาเรียนที่ฟุคุโรดานิได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของอาคาอาชิและเพื่อนๆ ในห้องหก ทำให้เด็กสาวเริ่มพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องแคล่วมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แม้ว่าจะยังติดพูดจาเหมือนการ์ตูนโชเน็นอยู่บ้างก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะเจ้าตัวดันใช้อนิเมะที่มีตัวเอกเป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นวิ่งไล่ตามความฝันเป็นสื่อการสอนนอกเวลานี่นา


    วันอังคารคาบที่สี่ก่อนพักเที่ยงของม. 5 ห้อง 6 ตามปกติจะเป็นวิชาวรรณกรรมภาษาญี่ปุ่น ซึ่งนั่นออกจะเป็นวิชาที่ยากไปสักหน่อยสำหรับเด็กต่างชาติอย่างมัลลิกา ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนก็เลยจัดตารางให้เด็กแลกเปลี่ยนทั้งสามคนไปเรียนเสริมวิชาภาษาญี่ปุ่นกันแบบเฉพาะกิจในคาบที่สี่นี้แทน ซึ่งต้องเดินไปเรียนกันที่ห้องศูนย์เรียนรวมภาษาต่างประเทศที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตึกเรียนปกตินั่นเอง


    “ไว้เจอกันนะมะลิจัง” แองจี้ หรือ แอนเจลีน่า อีวานอฟ เด็กสาวผมทองตาสีเทาอมฟ้าที่มาจากประเทศรัสเซียกล่าวลาหลังจากที่ออดพักเที่ยงดัง


    “อืม จ้ะ— บายนะซูโฮคุง” หลังจากโบกมือลาแอนเจลีน่าเสร็จ มัลลิกาก็หันไปกล่าวลาปาร์คซูโฮ เด็กแลกเปลี่ยนอีกคนที่มาจากเกาหลีใต้


    “จ้า!” เจ้าของเรือนผมย้อมสีแดงเข้มยาวปรกหน้ากล่าวตอบ ก่อนจะหันหลังวิ่งไปทางโรงอาหารของโรงเรียนเพื่อจะได้ไปสมทบทานข้าวกลางวันกับพวกเพื่อนๆ ในห้องของตัวเองได้ทัน


    “ฉันเองก็ต้องไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ เหมือนกัน มะลิจังจะไปด้วยไหม” แองจี้หันมาชวนตามมารยาท ซึ่งแน่นอนว่ามัลลิกาปฏิเสธด้วยการสั่นศีรษะไปมาเบาๆ


    “พอดีว่าเตรียมข้าวกล่องมาน่ะ”


    แอนเจลีน่าได้ยินแบบนั้นก็ไหวไหล่เบาๆ เป็นเชิงว่าตามใจ ก่อนจะขอแยกตัวไปด้วยอีกคน เหลือแค่มัลลิกาที่ต้องเดินกลับตึกเรียนคนเดียว ระหว่างทางนั้นต้องเดินผ่านตู้ขายของอัตโนมัติพอดี เด็กสาวจากไทยจึงหยุดแวะเพื่อจะซื้อชานมไปทานกับมื้อกลางวันที่โฮสต์ใจดีทำมาให้


    แต่ใครจะไปคิดว่าเธอจะเจอเข้ากับโบคุโตะที่มาซื้อน้ำที่ตู้อัตโนมัติเหมือนกันแบบนี้


    ร่างสูงใหญ่ในชุดนักเรียนที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่กำลังก้มหยิบขวดน้ำดื่มที่กดซื้อออกจากช่องด้านล่างพอดี ทันทีที่เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีทองกลมโตก็สบเข้ากับดวงตาสีดำของมัลลิกาเข้าอย่างจัง มัลลิกาถึงกับหายใจสะดุดไปชั่วขณะ


    “โอ๊ะ! มะลิ!”


    เด็กสาวหน้าแดงทุกทีที่ถูกอีกฝ่ายทักก่อน แต่กระนั้น หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้มัลลิกาเริ่มจะมีภูมิต้านทานออร่าของโบคุโตะมากขึ้นแล้ว เลยสามารถรวบรวมความกล้ากล่าวทักทายตอบไปได้ แม้ว่าเสียงที่หลุดออกไปนั้นจะค่อนข้างเบาหวิวก็ตามที “หวัดดีค่ะโบคุโตะซัง”


    “เธอนี่นะ ไม่ค่อยพูดแถมยังเดินเบาอีก ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเธอมายืนอยู่ใกล้ขนาดนี้แล้ว!”


    “ขอโทษค่ะ…”


    “เอ้า? แล้วจะขอโทษทำไมเล่า?! ตลกดีนะมะลิเนี่ย! ฮ่าๆๆ ” ว่าจบเด็กหนุ่มที่เซ็ตผมเป็นทรงชี้ตั้งเหมือนนกเค้าแมวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ จนใครต่อใครที่กำลังเดินผ่านไปมาต่างก็หันมามองกันใหญ่ เล่นเอามัลลิกาต้องรีบก้มหน้าหลบสายตาคนอื่นแทบแย่


    ถึงเธอจะชอบโบคุโตะแค่ไหนก็เถอะ แต่มันก็อดอายนิดๆ ไม่ได้อยู่ดีที่เขาชอบทำตัวเด่นเรียกสายตาผู้คนให้หันมามองอยู่ร่ำไป


    “จริงสิ! มะลิเรียนอยู่ห้องเดียวกับอาคาอาชิใช่ไหม!”


    มัลลิกาขมวดคิ้วเล็กน้อย อะไรกัน ผ่านมาตั้งเดือนหนึ่งแล้วยังจำไม่ได้อีกเหรอ แต่ถึงจะบ่นแบบนั้น สุดท้ายเธอก็ตอบคำถามของอีกฝ่ายไปอยู่ดี “ค่ะ”


    “งั้นแบบนี้มะลิก็ต้องอยู่ห้องเดียวกับฮานะจังด้วยน่ะสิ!”


    พอได้ยินชื่อของ ‘ฮานะ’ หลุดออกจากปากของโบคุโตะ หัวใจของมัลลิกาก็ห่อเหี่ยวลงไปในชั่วพริบตา


    เธอชอบลืมทุกทีเลยว่าผู้ชายคนนี้มีสาวในดวงใจอยู่แล้ว


    ก็อย่างว่า… คนเรามักจะชอบเข้าข้างตัวเองและหวังอะไรลมๆ แล้งๆ อยู่แล้ว มัลลิกาเองก็ไม่ได้วิเศษวิโสหรือมีสติดีเลิศมากไปกว่าใคร ยังคงเป็นมนุษย์ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง คนหนึ่งก็เท่านั้น


    แถม ‘คิซากิ ฮานะ’ ที่โบคุโตะชอบก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งเสียด้วย หล่อนตัวเล็ก คล่องแคล่ว พูดจาชัดถ้อยชัดคำ และยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานด้านบวกที่ชวนให้ใครต่อใครต่างก็อยากเข้าหา ตรงข้ามกับมัลลิกาที่เชื่องช้า แถมยังพูดน้อยและเสียงเบาอย่างสิ้นเชิง บอกตามตรง เธอไม่ใช่คนที่คุยเล่นด้วยแล้วสนุกเท่าไหร่นักหรอก มีก็แต่อาคาอาชิคนเดียวที่ยังคุยเล่นกับเธอได้อยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าเพราะเกรงใจกลัวอาจารย์ด่าหรือเพราะเจอคนนิสัยคล้ายกันก็เลยคุยด้วยง่ายกันแน่


    สรุปว่าตอนนี้อาคาอาชิกับมัลลิกาได้กลายสภาพเป็นบัดดี้คู่ซี้ประจำห้องหกไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ขนาดว่าเรื่องที่มัลลิกาสนใจมีแต่เรื่องของการทำอาหาร มังงะและอนิเมะแท้ๆ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาไม่ใช่อะไรที่เด็กหนุ่มอย่างอาคาอาชิสนใจเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสนิทกันได้แบบไม่ติดปัญหาอะไรแหละนะ


    “ฮัลโหล~ มะลิ~ ได้ยินที่ฉันถามเมื่อกี้ป่าว?” โบคุโตะโบกมือใหญ่ขาวจัดของตัวเองไปมาเพื่อเรียกสติของเด็กสาวให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอย


    “คะ? เอ่อ— ได้ยินค่ะ”


    “หรือฟังที่ฉันถามเมื่อกี้ไม่ทัน? งั้นฉันจะถามใหม่ช้าๆ ให้นะ ‘มะ-ลิ-อยู่-ห้อง-เดียว-กับ-คิ-ซา-กิ-ฮา-นะ-จัง-ใช่-หรือ-เปล่า’ ” โบคุโตะถามใหม่ช้าๆ ยานๆ ทีละคำจนเหมือนประชด


    “ค่ะ ฉันอยู่ห้องเดียวกับคิซากิซังค่ะ”


    “งั้นก็พอดีเลย!” ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มกว้างขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นกล่องขนมป๊อกกี้รสครีมวานิลลามาให้มัลลิกา “ฉันฝากมะลิเอาขนมนี่ไปให้ฮานะจังทีได้ไหม!”


    เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน “ทะ… ทำไมคุณไม่เอาไปให้เขาเองล่ะคะ”


    “ก็… ฉัน… เขินนี่นา” หูของโบคุโตะซับสีแดงเข้ม “จริงๆ ทีแรกก็ว่าจะเอาไปให้เองอยู่หรอก แต่มาเจอมะลิพอดีก็เลยคิดว่าฝากมะลิไปน่าจะดีกว่า”


    คนถูกขอให้ช่วยทำหน้าลำบากใจ “แต่ว่า…”


    ก็เธอไม่อยากเอาไปให้นี่นา ถึงมัลลิกาจะไม่กล้าลงไปท้าแข่งด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นคนดีขนาดที่จะยอมเป็นแม่สื่อให้อีกฝ่ายหรอกนะ


    “นะ~ มะลิ นะ!” เสียงแหบทุ้มของเด็กหนุ่มยังพยายามเว้าวอนออดอ้อน


    ให้ตายมัลลิกาสบถเบาๆ ในใจพร้อมกับหลบตาสีทองกลมโตเป็นพัลวัน


    “มะลิ~ ได้โปรดเถอะ ช่วยฉันหน่อยนะ แล้วฉันจะยกขนมปังยากิโซบะนี่ให้มะลิเลย!” คนตัวสูงว่าพร้อมกับยกของกินในมือขึ้นมาล่อ


    “แต่ฉันมีข้าวกล่อง…”


    “มะลิอะ~ จะไม่ช่วยฉันจริงๆ เหรอ!” ใบหน้าหล่อเหลาของโบคุโตะบูดบึ้ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปโทนเอาแต่ใจ ปากเชิดขึ้นเหมือนเป็ด แถมสองแก้มก็พองลมเป็นเด็กๆ อีกต่างหาก


    “โบคุโตะซัง…” มัลลิกาเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่ก แต่ก็ถูกอีกฝ่ายเบือนหน้าใส่พร้อมกับส่งเสียง ‘เชอะ’ กลับมาให้เบาๆ อีกด้วย


    “หยะ… อย่าเป็นแบบนี้สิคะ”


    “เชอะ! ไม่รู้ด้วยแล้ว! มะลิใจร้าย!”


    เอาจริงดิ! นี่เธอถูกเขาโกรธจริงๆ เหรอเนี่ย


    ก็รู้มาจากอาคาอาชิอยู่หรอกว่าโบคุโตะซังเป็นคนอารมณ์แปรปรวน โกรธก็ง่าย น้อยใจก็ง่าย วิธีง้อก็ไม่ตายตัว ต้องแล้วแต่สถานการณ์ ตอนไปดูอาคาอาชิซ้อมที่ชมรมก็เคยเห็นโหมดงอแง ขี้น้อยใจของเขามาบ้างสองสามครั้ง แต่พอต้องมาเจอกับตัวเองแบบนี้มัลลิกาก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน


    มัลลิกาไม่ใช่คนที่รับมือกับอารมณ์ของคนอื่นได้ดีนัก และมักจะหลีกเลี่ยงปัญหาโดยการยอมอีกฝ่ายไปให้มันจบๆ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่เธอแอบชอบโบคุโตะอยู่ เลยทำให้มัลลิกาไม่อยากถูกอีกฝ่ายโกรธหรือชักสีหน้าใส่แบบนี้


    “กะ… ก็ได้ค่ะ ฉันจะเอาขนมไปให้คิซากะซังเอง” สุดท้ายเด็กสาวก็ต้องยอมตามใจอีกฝ่ายจนได้


    “จริงนะ! ขอบใจมากนะมะลิ!” สีหน้าของโบคุโตะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมราวกับสับสวิตช์ มือใหญ่คว้ามือของมัลลิกาขึ้นมาก่อนจะยัดกล่องขนมใส่มือเล็กของเด็กสาวทันที


    “อย่าลืมบอกฮานะจังนะว่าโบคุโตะ โคทาโร่ฝากมาให้! — ส่วนขนมปังยากิโซบะนี่ฉันให้มะลิตามสัญญานะ”


    มือเล็กอีกข้างรับห่อขนมปังยัดไส้ยากิโซบะอุ่นๆ มาถือเอาไว้อย่างไม่ได้โต้เถียงอะไรอีก ปล่อยให้โบคุโตะพูดเองเออเองไปคนเดียว พอฝากฝังเสร็จเจ้าตัวก็เดินจากไปโดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าเผลอทำให้มัลลิกาลำบากใจแค่ไหน


    ______



    หนทางเดินกลับห้องเรียนดูช่างยาวนาน กล่องป๊อกกี้และขนมปังยากิโซบะในมือหนักอึ้งราวกับก้อนหิน ในหัวก็เอาแต่กรีดร้องว่าไม่อยากทำเรื่องที่ได้รับมอบหมายมาเลยสักนิด ถ้าโบคุโตะวานให้เธอไปช่วยทำเวรห้องแทน เธอจะยินดีทำให้อย่างมากเชียวล่ะ แต่การเอาขนมจากผู้ชายที่ตัวเองแอบชอบไปให้ผู้หญิงคนอื่นน่ะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย


    ว่าแต่โบคุโตะซังนี่ป๊อดกว่าที่คิดแฮะ ปกติดูออกจะเป็นคนเปิดเผยและไม่ค่อยกลัวอะไรแท้ๆ แต่กลับไม่กล้าเอาขนมไปบอกชอบสาวด้วยตัวเองเนี่ยนะ พิลึกคนจัง


    แต่มัลลิกาคงพิลึกกว่าที่ชอบคนแบบนั้นไปเสียได้


    ช่วยไม่ได้แฮะ ก็หน้าตาเขาน่ะเป็นแบบที่เธอชอบเลยนี่นา ส่วนเรื่องนิสัยแปลกๆ ของเจ้าตัวมัลลิกาคงต้องทำใจและเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันไปตามเรื่องตามราวด้วยตัวเอง


    แหม เธอก็ว่าไปนั่น พูดอย่างกับว่าตัวเองได้ตกล่องปล่องชิ้นเป็นแฟนสาวของเขาแล้วอย่างงั้นแหละ เจียมตัวหน่อยเถอะมะลิ สถานะของเธอคือคนที่แอบชอบเขาข้างเดียวนะอย่าลืมสิ!


    “กลับมาแล้วเหรอครับมะลิซัง” อาคาอาชิส่งเสียงทักเมื่อร่างโปร่งบางเดินผ่านประตูหลังห้องเข้ามา


    “อะ… อืม กลับมาแล้วจ้ะ”


    “ซื้อของกินมาเสียเยอะเชียวครับ แล้วนั่นขนมปังยากิโซบะเหรอ”


    “อะ อื้ม”


    “กินเหมือนโบคุโตะซังเลยนะครับ”


    “คือว่า… ฉันไม่ได้ซื้อมาเองหรอก โบคุโตะซังเขาให้มาน่ะ”


    เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีดำยุ่งเหยิงขมวดคิ้วมุ่น “เหรอครับ?”


    “อ๊ะ! คิซากิซังคะ!” มัลลิกาไม่ได้ตอบคำถามของอาคาอาชิ แต่กลับเดินเข้าไปหาร่างเล็กบอบบางของคิซากิ ฮานะแทน


    แม้ใจจะไม่อยากให้ แต่ไหนๆ ก็รับของเขามาแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จแหละนะ


    “มีอะไรเหรอคะมะลิซัง” ฮานะหันมาตามเสียงเรียก


    “คือว่า… มีคนฝากขนมมาให้ค่ะ”


    ตาโตสีเขียวใบไม้มองกล่องขนมที่มัลลิกายื่นมาให้อย่างแปลกใจ “หืม? ใครงั้นเหรอคะ”


    “เอ่อ… โบคุโตะซังน่ะค่ะ”


    ฮานะยิ้มจางๆ ออกมาอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะคะมะลิซัง แต่ว่า… ฉันไม่อยากได้น่ะ”


    “เอ๊ะ?” สาวไทยทำหน้าอึ้งกิมกี่ เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มตัวสูงผมเกรียนตาเรียวที่มาจากห้องข้างๆ โผล่เข้ามาพร้อมกับตะโกนเรียก


    “ฮานะ ไปกินข้าวกัน”


    “อื้ม! ไปเดี๋ยวนี้แหละฮิเดะ” ฮานะตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาประกบมือเป็นเชิงขอโทษให้มัลลิกา “ขอโทษอีกครั้งนะคะมะลิซัง ขนมนี่มะลิซังจะกินเองก็ได้นะ แต่ฉันคงไม่ขอรับไว้จริงๆ”


    ว่าเสร็จก็วิ่งออกจากห้องไปพร้อมกับหนุ่มผมเกรียนคนนั้นทันที ทิ้งให้มัลลิกายืนเคว้งอยู่กับกล่องป๊อกกี้ที่ถูกปฏิเสธตามลำพัง


    คนญี่ปุ่นพวกนี้! ทำไมชอบแข่งกันทำให้เธอลำบากใจอยู่เรื่อยเลยนะ! โบคุโตะซังก็คนหนึ่งแล้ว นี่ยังคิซากิซังอีก!


    “มะลิซังครับ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”


    ยกเว้นก็แต่อาคาอาชิคนเดียวที่เป็นคนดีที่หนึ่ง คอยถามไถ่ความรู้สึกนึกคิดของเธออยู่เสมอ


    มัลลิกาสั่นศีรษะเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอกอาคาอาชิคุง”


    เด็กหนุ่มมองดวงหน้าหวานหยดนิ่งนานก่อนจะเอ่ยดักอย่างรู้ทัน “คุณควรเลิกนิสัยโกหกขาวแบบนี้ได้แล้วนะครับ มันไม่ดีต่อตัวคุณเอาเสียเลย”


    มัลลิกาหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยที่ถูกบัดดี้จับได้อีกแล้ว “จะพยายามจ้ะ”


    “แล้วสรุปเรื่องป๊อกกี้กับขนมปังยากิโซบะนี่มีความเป็นมายังไงกันแน่ครับ” ดูท่าอาคาอาชิจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้หายไปง่ายๆ สินะ


    สุดท้ายเด็กสาวก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดออกไปในที่สุด


    เมื่อฟังจบ อาคาอาชิก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจก่อนจะก้มหัวให้มัลลิกาเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ผมขอโทษแทนโบคุโตะซังด้วยนะครับที่ทำให้คุณยุ่งยาก”


    มัลลิกาส่ายหน้าพรืด “ไม่เป็นไรหรอกน่าอาคาอาชิคุง”


    “เป็นสิครับ ไม่ได้สนิทกันแท้ๆ แต่กลับมาทำตัวเอาแต่ใจจนคุณต้องทำตามที่เขาต้องการแบบนั้น”


    เด็กแลกเปลี่ยนถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก


    อาคาอาชิคุงดุแล้ว!


    “แล้วก็… ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกครับที่คิซากิซังจะไม่รับน้ำใจจากโบคุโตะซัง เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”


    มัลลิกาเหมือนจะได้ยินเสียงติ๊ง! ดังขึ้นมาในหัว “ใช่ผู้ชายผมเกรียนที่อยู่ห้องข้างๆ เราหรือเปล่า”


    “มะลิซังก็เข้าใจอะไรง่ายดีนี่ครับ ถูกแล้วครับ ‘ฟุรุโอยะ ฮิเดกิ’ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของคิซากิซัง ถึงจะเรียนคนละห้อง แต่เขาสองคนก็อยู่ชมรมเบสบอลเหมือนกัน คิซากิซังตามไปเป็นผู้จัดการให้ชมรมนั้นก็เพราะฟุรุโอยะนี่แหละ”


    “อ๋อ… งั้นก็แสดงว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันแล้วเหรอ”


    อาคาอาชิเงียบคิดไปสักพักก่อนจะตอบ “ผมคิดว่าไม่นะครับ”


    “อ้าว?”


    “ปัญหาของพวกที่แอบชอบเพื่อนสมัยเด็กก็คือต่างฝ่ายต่างเคยชินกับสถานะความเป็นเพื่อนมากเกินไปจนกลัวที่จะก้าวข้ามเส้นแบ่งที่ตัวเองเคยขีดไว้ หรือหนักสุดก็คือไม่รู้ใจตัวเองว่าเผลอคิดเกินเพื่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วน่ะครับ”


    “งั้นเหรอ” มัลลิกาเปรยเบาๆ ก่อนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ด้วยความหวังอันรางเลือน “แล้วโบคุโตะซังรู้ไหมว่าคิซากิซังชอบคนอื่นอยู่แล้ว”


    “ก็คงรู้ล่ะมั้งครับ แต่เพราะคิซากิซังกับฟุรุโอยะต่างคนต่างก็ไม่ยอมคืบหน้าไปไหนเสียที ฝ่ายชายเองก็ปากแข็งและเก็บอารมณ์จนเดาใจไม่ถูกด้วยว่าคิดเหมือนกันกับฝ่ายหญิงหรือเปล่า โบคุโตะซังก็เลยมองว่าตัวเองยังมีโอกาสอยู่น่ะครับ”


    มัลลิการับฟังไปเงียบๆ ด้วยความผิดหวัง ก่อนที่ดวงตาสีดำจะหลุบมองของแทนใจจากโบคุโตะที่ยังถืออยู่ในมือ “แล้วฉันจะทำยังไงกับป๊อกกี้กล่องนี้ดีล่ะ?”


    “มะลิซังก็กินเองไปเถอะครับ โบคุโตะซังคงไม่มาถามอะไรหรอก”


    “เอ๊ะ? เอางั้นเหรอ จะดีเหรอ” แม้แต่อาคาอาชิก็ยังบอกแบบนี้เนี่ยนะ


    “ครับ ผมว่าเผลอๆ เย็นนี้เขาก็ลืมแล้วล่ะ”


    อาคาอาชิคุงนี่ก็แอบเย็นชาเหมือนกันแฮะ


    แต่เพราะเชื่อว่าบัดดี้ของเธอรู้จักโบคุโตะดีกว่า มัลลิกาก็เลยคล้อยตาม สุดท้ายเด็กสาวก็เลือกที่จะปล่อยวาง แล้วหยิบข้าวกล่องที่พกมาออกมาวางบนโต๊ะในที่สุด ส่วนขนมปังยากิโซบะที่เป็นสินบนนั้นเธอก็ยกให้ยาดะคุงที่เป็นหัวหน้าห้องไปกินแทน


    ก็แหม… ทำเรื่องที่เขาขอมาไม่สำเร็จ แล้วจะมีหน้าไปกินสินบนที่เขาให้มาได้ยังไงกันเล่า



    _______



    ทว่า เมื่อเวลาเลิกเรียนมาถึง มัลลิกาก็ได้พบว่าแม้แต่คนที่ฉลาดแบบอาคาอาชิก็ยังไม่สามารถคาดเดาหรืออ่านใจคนอื่นได้อย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะพอเด็กสาวกับบัดดี้หนุ่มเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่างของตึกเรียน โบคุโตะ โคทาโร่ก็วิ่งลิ่วเข้ามาถามเสียงดังลั่นทันที


    “มะลิ!!! เป็นไงบ้าง!? ฮานะจังชอบขนมที่ฉันให้ไหม?!!”


    คนถูกถามไม่ได้ตอบ แต่กลับหันขวับไปถลึงตาใส่อาคาอาชิที่ยืนตะลึงอยู่ทันที


    ไหนบอกว่าตอนเย็นเขาก็ลืมแล้วไง อาคาอาชิคุงขี้จุ๊!


    “ว่าไงมะลิ! ฮานะจังว่ายังไงบ้าง?” ไม่ว่าเปล่า แต่โบคุโตะยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนมัลลิกาต้องถอยหลังหนีไปหนึ่งก้าว


    “โบคุโตะซัง คุณทำเธอกลัวนะครับ” อาคาอาชิออกปากเตือน


    พอรู้ตัว ร่างสูงใหญ่ก็ยืดตัวตรงตามเดิมก่อนจะกล่าวอุบอิบออกไป “ขอโทษนะมะลิ”


    “มะ… ไม่เป็นไรค่ะ”


    “แล้วสรุปเรื่องของฮานะจังเป็นไงบ้าง” ดวงตากลมโตสีทองจ้องมาที่มัลลิกาไม่กะพริบ


    คนถูกจ้องกลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่ “คือว่า…”


    “ผมว่าจะดุคุณเรื่องนี้อยู่เชียวครับโบคุโตะซัง คุณไปขอให้คนที่เพิ่งรู้จักกันช่วยเรื่องแบบนี้ได้ยังไงครับ” อาคาอาชิรีบหาทางช่วยแก้สถานการณ์ให้อย่างเร็วจี๋ เพราะถ้าหากโบคุโตะรู้เข้าว่าฮานะปฏิเสธน้ำใจจากเขาอย่างเด็ดขาดและเย็นชาแบบนั้นมีหวังซ้อมแข่งวันนี้คงได้แพ้ยับเยินแน่


    “โธ่! อาคาอาชิล่ะก็ มาดุฉันทำไมเล่า” กัปตันทีมวอลเลย์โอดครวญ


    “ขอร้องล่ะครับ มะลิซังเขาพูดกับคนอื่นไม่เก่งหรอกนะ ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมห้องกันก็เถอะ”


    “ก็ดีแล้วนี่นาที่ฉันวานให้เขาช่วย! จะได้มีโอกาสคุยกับคนอื่นนอกจากอาคาอาชิบ้างไง เนอะมะลิ!”


    “เอ่อ… มั้งคะ” มัลลิกาตอบแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก


    “แล้วตกลงฮานะจังว่ายังไงบ้างเหรอมะลิ!”


    “โบคุโตะซังครับ…”


    “เถอะน่าอาคาอาชิ! อย่างน้อยก็ขอกำลังใจสักนิดสักหน่อยก่อนซ้อมแข่งวันนี้ก็ยังดีนะ”


    พอได้ยินว่าวันนี้ทีมวอลเลย์มีซ้อมแข่งนัดสำคัญก็ยิ่งทำให้มัลลิกาคิดหนักเข้าไปใหญ่ว่าควรจะตอบโบคุโตะไปว่ายังไงดีเพื่อไม่ให้เขาเสียใจหรือเอาอารมณ์ด้านลบไปลงกับการแข่งในวันนี้


    “ว่ายังไงล่ะมะลิ รีบๆ ตอบหน่อยเร็ว” เด็กหนุ่มผมตั้งก็ยังคงเซ้าซี้เร้าหรือไม่เลิก พอถูกกดดันมากๆ เข้าสุดท้ายมัลลิกาก็เผลอตอบออกไปว่า


    “คิซากิซังชอบมากค่ะ”


    “จริงเหรอ?!! / มะลิซังครับ?!” ทันทีที่เด็กสาวพูดจบ ทั้งโบคุโตะและอาคาอาชิต่างก็พูดโพล่งออกมาพร้อมกันด้วยปฏิกิริยาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งตาโตเป็นประกายสดใสด้วยความดีใจ ส่วนอีกคนเหงื่อตกด้วยความเลิ่กลั่กเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามัลลิกานั้นโกหก


    “อื้ม… ค่ะ เธอทานขนมจนหมดเลย” เด็กสาวชาวไทยไม่ได้สนใจสายตาที่ถลึงมองมาของอาคาอาชิ แต่เลือกที่จะปั้นเรื่องโกหกเพื่อให้โบคุโตะดีใจต่อไป


    “เหรอๆ แล้วฮานะจังเขาพูดอะไรถึงฉันบ้างหรือเปล่า”


    มัลลิกาอ้ำอึ้งเล็กน้อย สมองรีบคิดอย่างเร็วจี๋ก่อนจะตอบออกไปว่า “เธอ… ฝากมาบอกว่าขอบคุณมากค่ะ”


    โบคุโตะยกมือขึ้นกุมอกเอาไว้ “ฮืออ ฮานะจังน่ารักที่สุดเลย! ดีล่ะ! วันนี้ฉันก็จะตบทำแต้มให้ได้คมกริบทุกลูกเลย! มาพยายามด้วยกันนะอาคาอาชิ!!!”


    พอพูดเองเออเองจบ พ่อกัปตันตัวดีก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้เซตเตอร์หนุ่มและนักเรียนแลกเปลี่ยนสาวยืนอยู่ที่เดิมด้วยบรรยากาศสุดประดักประเดิดเกินจะบรรยาย


    “มะลิซัง เราคุยกันไว้ว่ายังไงครับเรื่องนิสัยชอบโกหกขาวของคุณน่ะ” เมื่อโบคุโตะพ้นสายตาไปแล้ว อาคาอาชิก็หันมาออกโรงดุเพื่อนสาวทันที


    มัลลิกาหดคออย่างรู้ตัวดีว่าทำผิดพลาดไปเสียแล้ว “ขอโทษอาคาอาชิ คือฉัน… เผลอไปน่ะ”


    เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางขยี้ผมสีดำยุ่งเหยิงของตัวเองไปด้วย “เอาเถอะครับ อย่างน้อยโบคุโตะซังก็เชื่อเรื่องที่คุณพูดแหละนะ ซ้อมแข่งวันนี้คงไม่มีปัญหาอะไร ผมต้องขอบคุณคุณเสียอีก”


    “ยินดีช่วยจ้ะ” เด็กสาวยิ้มมาให้


    “แต่ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะครับ การโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดี ต่อให้เป็นโกหกขาวก็เถอะ”


    มัลลิกาพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเหมือนว่ารับปาก


    ทว่าอาคาอาชินั้นดูถูกความใจอ่อนและขี้ขลาดของมัลลิกามากเกินไป เพราะการโกหกขาวครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น




    ________



    T A L K


    ชอบความสัมพันธ์ platonic ของมะลิกับอาคาอาชิมากค่ะ น่ารักที่สุด ;-;

    เริ่มจะเห็นลางร้ายๆ ของเรื่องพาร์ทอดีตแล้วใช่ไหมคะ 

    มันเริ่มจากที่มะลิโกหกเพื่อโบคุโตะสบายใจนี่แหละค่ะ และอย่างที่ทิ้งท้ายเอาไว้ในบทนี้ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ

    ตอนหน้าก็จะเป็นพาร์ทอดีตอยู่นะคะ แหะ~


    #มะลิกับนกฮูก

    sun&moon

    01.04.2021

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×