คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 5 ปีก่อน part 1 - 'We were both young when I first saw you'
Haikyuu!!
縁と浮世は末を待て
Haikyuu!!
Bokuto x oc
***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ
(3)
» ห้าปีก่อน «
Part 1
‘We were both young when I first saw you’
“เอ่อ… อาคา… ชิคุง” เสียงพูดสำเนียงแปร่งเรียกให้อาคาอาชิ เคจิที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋านักเรียนอยู่ต้องหันไปมอง
คนเรียกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมัลลิกาหรือ ‘มะลิซัง’ — เด็กแลกเปลี่ยนจากประเทศไทยที่โรงเรียนฟุคุโรดานิรับเข้ามาเป็นนักเรียนในปีการศึกษานี้นั่นเอง
นอกจากมัลลิกาแล้วยังมีเด็กจากรัสเซียและเกาหลีมาเข้าเรียนที่นี่อีกอย่างละคน เนื่องจากเป็นปีแรกที่รับเด็กต่างชาติให้เข้ามาเรียนด้วย ผอ. ก็เลยจำกัดจำนวนเอาไว้แค่สามคนเท่านั้นจะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึงไม่บกพร่อง โดยแต่ละคนถูกจับไปอยู่กันละห้องเพื่อจะได้ฝึกภาษาและผูกมิตรกับนักเรียนที่เป็นเจ้าบ้านได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมัลลิกานั้นก็ได้มาเรียนอยู่ชั้นม. 5 ห้อง 6 กับอาคาอาชินี่แหละ หนำซ้ำอาจารย์ซาวาดะหรือที่เด็กๆ ชอบเรียกกันว่า ‘โกโร่จัง’ ยังจับเด็กสาวต่างชาติคนนี้ให้มานั่งเรียนคู่กันกับอาคาอาชิพร้อมกับฝากฝังให้เด็กหนุ่มคอยช่วยดูแลเป็นบัดดี้ให้กับเจ้าหล่อนอีกต่างหาก
ก็ช่วยไม่ได้นะ พวกอาจารย์คงวางแผนกันมาแล้วตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมล่ะมั้ง ปกติอาคาอาชิก็นั่งคนเดียวอยู่แล้วด้วย จึงเหมาะเจาะพอดีที่จะจับเด็กใหม่ให้มานั่งด้วย แล้วเขาก็เป็นคนเดียวที่พอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ทุกอย่างก็เลยลงล็อก
แม้ว่ามัลลิกาจะเลือกมาเรียนที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเองแต่เจ้าตัวก็มีความรู้และสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้นิดเดียวเท่านั้น คำถามสั้นๆ ประโยคง่ายๆ ในชีวิตประจำวันยังพอพูดได้อยู่ แต่ถ้าแอดวานซ์มากกว่านั้นก็จะเริ่มอ้ำอึ้งแล้วเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษแทน ลำบากอาคาอาชิที่ต้องคอยแปลญี่ปุ่นเป็นอังกฤษให้อยู่เรื่อยจนคอแห้ง
“ผมชื่ออา-คา-อา-ชิ ครับมะลิซัง” เด็กหนุ่มแก้ไขชื่อตัวเองให้ถูก “มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”
“ขอโทษนะ เรียกผิดอีกแล้ว” มัลลิกาก้มหัวปลกๆ อย่างรู้สึกผิดที่เรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ถูกอยู่เรื่อย “คือว่าอาคาอาชิคุงพอจะวาดแผนที่เป็นไหม”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “ทำไมหรือครับ”
“อยากจะขอให้ช่วยวาดแผนที่ไปกลับระหว่างบ้านโฮสต์กับโรงเรียนให้หน่อยน่ะ ฉันยังไม่ชินกับเส้นทางในโตเกียวก็เลยยังหาทางขึ้นรถเมล์หรือรถใต้ดินไม่ถูก”
“อ้อ” อาคาอาชิทำหน้าเข้าใจก่อนจะถามต่อ “แล้วเมื่อเช้ามะลิซังมาโรงเรียนยังไงหรือครับ”
“คุณแม่ให้ลูกสาวขับรถมาส่งให้น่ะ แต่พี่เขาบอกว่าตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไปจะไม่มารับแล้ว ให้กลับเอง” สีหน้าของมัลลิกาดูซึมๆ จ๋อยๆ ไปอย่างถนัดตา ดูท่าจะเป็นกังวลกลัวกลับบ้านโฮสต์ไม่ถูกน่าดู
“มะลิซังพักอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“เอ่อ… อยู่ที่โรงแรมคาเคสึน่ะ เป็นห้องพักให้เช่าเล็กๆ ตั้งอยู่ข้างโรงแรมสตาร์โรยัลพอดีเลย อาคาอาชิคุงพอจะรู้จักไหม”
“สตาร์โรยัลผมรู้จักครับ เป็นโรงแรมใหญ่ทีเดียว”
“งั้นเหรอ?! ดีจัง อาคาอาชิช่วยบอกวิธีกลับจากโรงเรียนไปที่นั่นให้ฉันหน่อยได้ไหม”
เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีดำยุ่งเหยิงนั่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ผมพาคุณไปส่งเองเลยดีกว่า เพราะผมเองก็บอกทางไม่เก่ง กลัวทำคุณหลงทางเอาน่ะครับ”
“แต่ว่าวันนี้ฉันรบกวนอาคาอาชิคุงไว้เยอะมากแล้ว เกรงใจน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงพวกอาจารย์ก็ฝากให้ผมดูแลคุณตลอดปีนี้อยู่แล้ว” อาคาอาชิกล่าวพร้อมกับเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋าจนแล้วเสร็จเรียบร้อย “แต่ว่า… คงต้องรบกวนมะลิซังอยู่รอผมทำกิจกรรมชมรมให้เสร็จก่อนนะครับ อาจจะดึกสักหน่อย รอได้หรือเปล่า”
“ได้สิได้! ไม่มีปัญหา” มัลลิการีบตอบรับทันควัน นาทีนี้อาคาอาชิจะให้รอกี่ชั่วโมงเธอก็ยอมแล้วล่ะ กลับดึกหน่อยอย่างมากก็ถูกคุณป้าเจ้าของโรงแรมที่เป็นโฮสต์ดูแลเธอดุเอานิดหน่อย แต่ก็ดีกว่าต้องไปหลงทางอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ในมหานครโตเกียวแหละนะ
“งั้นก็ต้องรบกวนมะลิซังให้รอแล้วครับ” อาคาอาชิก้มหัวให้น้อยๆ อย่างมีมารยาท
มัลลิกามาเรียนอยู่ชั้นเดียวกับเขาก็จริง แต่ทางเทคนิคแล้วเด็กสาวคนนี้เป็นรุ่นพี่ของเขาหนึ่งปี พูดอีกอย่างก็คือถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเธอก็จะอยู่ชั้นม. 6 ในปีนี้นั่นเอง แต่เพราะตัดสินใจมาเรียนแลกเปลี่ยนเอาตอนที่เรียนจบชั้นม. 5 ที่ไทยไปแล้วเลยทำให้โรงเรียนต้องจับมัลลิกามาซ้ำชั้นอีกครั้งเพราะเกรงว่าถ้าให้ไปเรียนกับพวกพี่ม. 6 เด็กสาวจะเบื่อและไม่สนุกเอาเสียเปล่าๆ เนื่องจากพวกรุ่นพี่ปีสุดท้ายต้องเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยกัน เลยออกจะดูเคร่งเครียดไปสักหน่อยสำหรับเด็กต่างชาติที่มาหาประสบการณ์และฝึกภาษาในต่างแดนแบบนี้ แม้ว่ามัลลิกาจะบอกอาคาอาชิหลายรอบแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจหรือสุภาพกับเธอนัก ให้คิดเสียว่าเธอเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเขาก็ได้แต่อาคาอาชิก็ยังไม่ยอมทำตาม หรือไม่บางทีเด็กหนุ่มก็อาจจะสุภาพกับทุกคนอยู่แล้วก็เป็นได้
เมื่อมัลลิกาไม่ได้ว่าอะไรที่ต้องอยู่รอ อาคาอาชิเลยเดินนำเด็กสาวชาวไทยคนนี้ไปที่โรงยิมอันเป็นสถานที่ฝึกซ้อมประจำของชมรมวอลเลย์บอลชายโรงเรียนฟุคุโรดานิทันที โดยเด็กหนุ่มฝากให้คาโอริและยูกิเอะที่เป็นผู้จัดการทีมช่วยอยู่เป็นเพื่อนมะลิซังไปพลางๆ ระหว่างที่เขาไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องชมรม
“เฮ เฮ เฮ้! อาคาอาชิ!”
เข้ามาในห้องชมรมไม่ทันไรเสียงทักทายอันเป็นเอกลักษณ์ของโบคุโตะ โคทาโร่ที่ปีนี้ได้ขึ้นเป็นกัปตันทีมของฟุคุโรดานิก็ดังขึ้นทันที อาคาอาชิที่เพิ่งจะถอดเสื้อเบลเซอร์สีเทาเสร็จหันไปหาเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ไว้ผมเซ็ตตั้งไฮไลท์สีเทาเหมือนนกเค้าแมวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สวัสดีครับโบคุโตะซัง”
“ยังจะมาทำหน้านิ่งอยู่อีก นี่ใช่สีหน้าของคนที่เพิ่งจะพาสาวน้อยน่ารักมาดูตัวเองซ้อมจริงหรือนี่!” โบคุโตะกล่าวเสียงดังพร้อมกับตบฝ่ามือลงไปที่แผ่นหลังของรุ่นน้องแรงๆ หลายทีจนอาคาอาชิรู้สึกจุก แถมยังไม่เข้าใจสุดๆ ว่าเอสของทีมกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่
“ช่วยพูดอะไรที่มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้ไหมครับโบคุโตะซัง”
“หึๆๆๆ ฉันน่ะเดินตามหลังนายมานะอาคาอาชิ เพราะงั้นฉันรู้ฉันเห็นหมดทุกอย่างนั่นแหละว่านายพาใครมาที่ชมรมของเรา สาวน้อยผมดำหน้าตาน่ารักคนนั้นเป็นใครกันล่ะหืม? แฟนเหรอ?! ในที่สุดอาคาอาชิก็มีวันนี้กับเขาแล้วสินะ ฮ่าๆๆๆ”
อาคาอาชิทำหน้างงหนักมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็พอจะเดาๆ ได้อยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร “หมายถึงมะลิซังงั้นเหรอครับ?”
“เฮ เฮ เฮ้! แฟนของอาคาอาชิชื่อมะลิงั้นเหรอ?! ชื่อแปลกชะมัดเลยแฮะ!”
“โบคุโตะโวยวายอะไรอีกล่ะอาคาอาชิ” ‘โคโนฮะ อากิโนริ’ พี่ม. 6 ตำแหน่งวิงก์สไปเกอร์อีกคนเดินกระแทกตัวผ่านโบคุโตะเข้ามาเปลี่ยนเสื้อ เช่นเดียวกับรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่ต่างก็ทยอยกันเข้ามาในห้องชมรมทีละคนสองคน
“นี่ๆ โคโนฮะ รู้ป่าวว่าอาคาอาชิมีแฟนแล้วนะ!” โบคุโตะหันไปบอกข่าวที่เจ้าตัวคิดเองเออเองฝ่ายเดียวให้เพื่อนได้รู้
“บ้า! ถามจริง?!” โคโนฮะหันขวับมาอย่างตกใจ
“ไม่จริงครับ มะลิซังไม่ใช่แฟนผม เธอเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนเรารับเข้ามาเรียนด้วยปีนี้ต่างหาก” อาคาอาชิปฏิเสธหน้าตาย “ผมให้มะลิซังมารอเพราะเธอกลับบ้านโฮสต์ไม่ถูก จะเขียนแผนที่หรือบอกทางกลับให้ก็กลัวหลง เลยจะพาไปส่งเองดีกว่า ก็เลยต้องรบกวนให้เขามานั่งรอจนกว่าจะซ้อมเสร็จ มันก็แค่นั้นแหละครับ”
“อะไรเนี่ยอาคาอาชิ จะหน้าแดงสักหน่อยก็ได้นะ เล่นปฏิเสธและอธิบายหน้าตายแบบนี้ไม่หนุกเลย” โบคุโตะทำหน้างอแงนิดหน่อยที่แกล้งอาคาอาชิให้เสียอาการไม่ได้ คนอะไรใจเย็นได้ใจเย็นดี ไม่เคยหวั่นไหวอะไรเลย
“ก็ผมไม่ได้คิดอะไรกับมะลิซังน่ะสิครับ” อาคาอาชิกล่าวต่อ “แล้วก็ ถ้าหากผมชอบใครขึ้นมาจริงๆ ผมก็จะยอมรับความรู้สึกออกมาตรงๆ ไม่ปฏิเสธหรือปากแข็งไปเรื่อยหรอกครับ วางใจได้”
“แมนมากๆ อาคาอาชิ! พวกฉันหวั่นไหวหมดแล้ว” โคโนฮะกับ ‘ฮารุกิ โคมิ’ ที่เป็นลิเบอโร่ของทีมมองรุ่นน้องคนนี้อย่างนับถือพลางยกมือขึ้นกุมอกหน้าแดงประหนึ่งสาวน้อย พร้อมกับนึกสงสัยว่าอาคาอาชิออกจะมาดแมนแอนด์แฮนซั่มขนาดนี้ทำไมถึงไม่ป๊อปนะ กลับกัน คนบ้าๆ บอๆ เดาอารมณ์ยากแบบโบคุโตะทำไมถึงได้ป๊อปได้ป๊อปดีในหมู่สาวๆ ก็ไม่รู้ ก็จริงอยู่ว่าพออยู่ในสนามแล้วหมอนี่มันเท่บาดใจ แต่เวลาอื่นน่ะอย่าให้พูดถึงเลย! แล้วไอ้ที่บอกว่าเท่บาดใจน่ะก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้ตลอดด้วยนะ เพราะถ้าเจ้าตัวเกิดจะติสต์แตกอีโมจัดขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ ความเท่ที่มีมาทั้งหมดก็แทบจะหายวับไปกับตาเลยแหละ!
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มเซตเตอร์กล่าวขอบคุณรุ่นพี่สั้นๆ ที่ชม ก่อนจะขอตัวล่วงหน้าไปที่ยิมก่อนเพราะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับเล่นกีฬาเรียบร้อยแล้ว
พออาคาอาชิไม่อยู่ โบคุโตะก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “อะไรกัน ไอ้เราก็หลงดีใจนึกว่าอาคาอาชิของเราจะได้มีความรักกับเขาบ้างเสียหน่อย”
“นายน่ะไปยุ่งอะไรกับเขาหืม? โบคุโตะ” โคโนฮะถามอย่างรำคาญหน่อยๆ ที่ดูเหมือนเจ้านกฮูกนี่จะไม่ยอมจบกับประเด็นของอาคาอาชิและเด็กแลกเปลี่ยนที่ว่าเสียที
“แหม… ก็คนที่ชื่อมะลิอะไรนั่นออกจะน่ารักนี่นา คิดว่าดูเหมาะกับอาคาอาชิดีก็เลยอยากเชียร์”
“เหรอ? ไม่ใช่ว่านายชอบเขาเสียเองจนหยุดพูดถึงไม่ได้หรอกนะ ไอ้นายมันก็เป็นพวกเข้าใจความรู้สึกตัวเองช้าอยู่แล้วด้วย” โคโนฮะยักคิ้วใส่อย่างกวนๆ
“ไม่ใช่เสียหน่อย! ตอนนี้ฉันชอบคิซากิ ฮานะจังอยู่นะ” โบคุโตะโวยวายพร้อมกับทำแก้มพอง
“หมายถึงผู้จัดการหญิงชมรมเบสบอลที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับอาคาอาชิน่ะเหรอ” ฮารุกิเลิกคิ้วถาม
“อื้ม! ใช่แล้วล่ะโคมิยัน!” กัปตันทีมตอบอย่างยืดอก “ฮานะจังน่ารักออกนี่นา!”
“ก็น่ารักจริงน่ะแหละ” ลิเบอโร่พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วเมื่อไหร่นายจะสารภาพรักให้สาวเจ้าเขารู้ล่ะเพื่อน”
“เร็วๆ นี้แหละ” โบคุโตะกล่าวอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ขอฉันหาจังหวะเหมาะๆ ก่อน เอาแบบที่ท้องฟ้าสดใส ดอกไม้บาน นกร้องเพลง ฉันยืนถือช่อดอกกุหลาบคุกเข่าบอกความในใจอย่างเท่อะไรแบบนี้”
เพื่อนม. 6 ได้แต่มองกัปตันทีมอย่างอ่อนใจแกมขบขันที่เจ้าตัวเล่นวาดฉากสารภาพรักออกมาสวยหวานอย่างกับการ์ตูนสาวน้อยเสียจนโอเวอร์ หนำซ้ำแต่ละคนต่างก็สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าไอ้หมอนี่มันต้องท่าดีทีเหลวแน่นอน เพราะถ้าแน่จริง โบคุโตะก็ต้องทำไอ้ทั้งหมดที่ว่ามาไปตั้งแต่เมื่อปีก่อนแล้ว ไม่ใช่ลากยาวมาจนถึงป่านนี้
_________
มัลลิกาเป็นคนประเภทที่จะเกร็งและเครียดเวลาที่ต้องพบปะผู้คนใหม่ๆ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว การตัดสินใจมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศแบบนี้จึงเหมือนเป็นการก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซนครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเด็กสาวเลยก็ว่าได้
ตอนแรกที่มาถึงญี่ปุ่นใหม่ๆ เธอกลัวไปหมดสารพัดอย่าง ภาษาญี่ปุ่นที่เรียนมาแค่เบื้องต้นไม่กี่เดือนจะทำให้เธอฟังพูดอ่านเขียนได้หรือเปล่า คนอื่นจะเข้าใจที่เธอพูดไหม จะหัวเราะเยาะสำเนียงของเธอหรือเปล่า โฮสต์ที่รับดูแลเธอจะดีกับเธอมากน้อยแค่ไหน และเพื่อนๆ ที่โรงเรียนจะเข้ากับเธอได้ไหม
อย่างน้อยตอนนี้อาคาอาชิก็ดีกับเธอมาก แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าสนิทสนมเป็นเพื่อนซี้กันแต่เด็กหนุ่มก็พยายามช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ตามที่ได้รับมอบหมายมา เขาออกจะดีเกินไปจนมัลลิกาเกรงใจด้วยซ้ำ นี่ก็ถึงขนาดจะพาไปส่งถึงที่บ้านโฮสต์ด้วยตัวเองอีก
ว่าแต่ ไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าอาคาอาชิจะอยู่ชมรมวอลเลย์บอล นึกว่าจะอยู่ชมรมห้องสมุดหรือไม่ก็พวกวรรณกรรมเสียอีก เห็นชอบอ่านหนังสือที่พกมาตอนคาบว่างอยู่เรื่อย
แต่คนเราก็มีความสนใจในหลายๆ ด้านเนอะ ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามเสียหน่อยว่าคนชอบอ่านหนังสือจะเล่นกีฬาไม่ได้ แถมพอมาสังเกตดีๆ แล้วอาคาอาชิก็ตัวสูงและแข็งแรงมากเสียด้วย เส้นเลือดที่นูนขึ้นมาบนหลังมือพวกนั้นคงไม่ได้ผุดขึ้นมาเองเฉยๆ หรอก
“มะลิซัง นั่งตรงม้านั่งนี่กับพวกฉันก็ได้นะ” ‘ซูสุเมดะ คาโอริ’ สาวม. 6 ตัวสูงที่มัดผมเป็นทรงหางม้าเอ่ยพร้อมกับตบมือแปะๆ ลงไปบนที่ว่างข้างตัว
“ขอบคุณค่ะ”
“ว่าแต่ทำไมมะลิซังถึงเลือกมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเหรอ เป็นฉันนะถ้าได้ไปก็อยากจะไปอังกฤษหรือไม่ก็อเมริกาแหละ” ‘ชิโรฟุกุ ยูกิเอะ’ สาวตัวเล็กตาโตผู้จัดการทีมอีกคนชวนอีกฝ่ายคุยอย่างเป็นกันเอง เพราะก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องชมรม อาคาอาชิขอเอาไว้ว่าให้พวกเธอคอยชวนมัลลิกาคุยบ้าง
เด็กสาวชาวไทยประมวลผลแปลประโยคเมื่อกี้อยู่สักพัก เมื่อจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายถามอะไรจึงค่อยเรียบเรียงประโยคในหัวแล้วตอบออกไปแบบไม่ค่อยจะมั่นใจในไวยากรณ์ของตัวเองนัก “เพราะฉันชอบ… การ์ตูนกับเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่น… น่ะค่ะ”
“อุ๊บ! ฮ่าๆ งั้นหรอกเหรอ” สองสาวหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูกับเหตุผลง่ายๆ ตรงๆ ของอีกฝ่าย
“ค่ะ” เด็กสาวชาวไทยพยักหน้า “เครื่องแบบนักเรียนที่นี่น่ารักดี”
“แล้วโรงเรียนที่ไทยไม่มีใส่เครื่องแบบเหรอมะลิซัง”
“มีค่ะ แต่ไม่น่ารักเท่าของญี่ปุ่น แล้วโรงเรียนก็จุกจิกกับการแต่งตัวของนักเรียนมากกว่าจนน่าปวดหัวด้วย”
“เห… ขนาดนั้นเลยเหรอ” ยูกิเอะทำหน้าเหลือเชื่อ
“ใช่แล้วค่ะ แบบว่า… ห้ามใส่กระโปรงสั้นเหนือเข่าเด็ดขาด ถุงเท้าก็ต้องพับให้เรียบร้อย ต้องใส่เสื้อซับในเอาไว้ตลอดเพราะเสื้อนักเรียนบางมาก ผมก็ทำได้แค่ทรงมัดหางม้า แถมโรงเรียนก็ห้ามไม่ให้นักเรียนหญิงซอยผมหรือตัดหน้าม้าอีกต่างหาก” กว่าจะรู้สึกตัวมัลลิกาก็เผลอบ่นถึงความจุกจิกของโรงเรียนไทยไปเสียยาวเหยียด แถมยังพูดญี่ปุ่นปนกับภาษาอังกฤษอย่างเคยตัวอีกต่างหาก ลืมไปเลยว่าตอนนี้เธอไม่ได้นั่งอยู่กับอาคาอาชิเสียหน่อย!
“ขอโทษค่ะ! ฟังที่ฉันพูดเข้าใจหรือเปล่า”
“เอ่อ… ก็พอรู้เรื่องบ้างเป็นบางคำอยู่หรอก” คาโอริยิ้มบางๆ มาให้ “อยู่ที่ไทยคงลำบากแย่เลยสินะมะลิซัง”
“เอ้อ… ก็นะ” มัลลิกายิ้มแห้งทันทีกับคำถามนั้น
“เด็กไทยทนเข้าไปได้ยังไงนะนั่น! สงสารมะลิซังเสียแล้วสิ!” ยูกิเอะคล้องแขนมัลลิกามากอดเอาไว้หลวมๆ
“ฉันไม่เป็นไรหรอก…”
“เฮ เฮ เฮ้! ไปกันเลยๆ อย่าช้า!!!” เสียงตะโกนดังลั่นที่แทรกขึ้นมานั้นเล่นเอาสามสาวที่กำลังคุยผูกมิตรกันอยู่สะดุ้งโหยงโดยเฉพาะมัลลิกาที่แทบจะตัวลอยจากม้านั่งด้วยความตกใจ
“เสียงดังได้ดังดีจริงๆ อีตานกฮูกนั่น” คาโอริบ่นอุบ
“ใครเหรอคะ?” มัลลิกาถามพร้อมกับมองร่างสูงใหญ่ตระหง่านเจ้าของเสียงดังกึกก้องเมื่อครู่อย่างสนใจ
เขาเป็นเด็กม. ปลายจริงๆ เหรอเนี่ย ต่อให้อยู่ในวัยกำลังโตแค่ไหนก็เถอะ แต่กล้ามเนื้อพวกนั้นน่ะเจ้าตัวไปได้แต่ใดมา หวังว่าคงจะไม่ได้พึ่งสเตียรอยด์หรอกนะ
“หมอนั่นชื่อโบคุโตะน่ะ เป็นกัปตันทีมของพวกเราในปีนี้” ยูกิเอะเป็นคนแนะนำ
“แต่จะพึ่งพาได้แค่ไหนก็ไม่รู้นะ” คาโอริยิ้มอ่อนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
มัลลิกาย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะถาม “แล้ว… ปกติไม่เหรอคะ”
“เอ่อ…” ผู้จัดการหญิงทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก “ถ้าเป็นเรื่องในสนามละก็พอจะพึ่งพาได้อยู่หรอก แต่เวลาอื่นน่ะไม่แน่ใจเท่าไหร่”
เด็กสาวชาวไทยพยักหน้ารับรู้แม้ว่าจะไม่เข้าใจประโยคเหล่านั้นแบบเต็มร้อยนัก ตอนนั้นเองที่จู่ๆ เสียงแหบทุ้มของคนที่ชื่อโบคุโตะก็ดังลั่นขึ้นมาอีกครั้งในระยะประชิด
“เฮ เฮ เฮ้! เธอน่ะ เด็กแลกเปลี่ยนที่เพิ่งย้ายมาปีนี้ใช่ป่าว?!”
มัลลิกาสะดุ้งสุดตัวแต่ก็ยังมีสติพอที่จะพยักหน้าตอบกลับไป
“ฉันโบคุโตะ โคทาโร่! ยินดีที่ได้รู้จักนะ!”
“มะลิค่ะ ยินดีที่ได้พบเช่นกัน”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ! เพราะอาคาอาชิบอกตอนอยู่ในห้องชมรม ว่าแต่ชื่อมะลิเฉยๆ เองเหรอ แล้วนามสกุลล่ะ” คนผมตั้งสีบลอนด์เทาถามต่ออย่างเสียงดังฟังชัดมากจนเกินเหตุ ทั้งที่พวกเขาก็ยืนอยู่ด้วยกันใกล้แค่นี้เอง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่คิดจะเบาเสียงลงแต่อย่างใด ดวงตากลมโตสีทองและรอยยิ้มเจิดจ้าที่มีประดับใบหน้าตลอดเวลาของเขาทำเอามัลลิกาชักจะทำตัวไม่ถูก เกิดมายังไม่เคยเจอใครที่ดูมีพลังงานล้นเหลือขนาดนี้มาก่อนเลย ยังไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายตัวสูงและหน้าตาดีอีกนะ
“จริงๆ มะลิเป็นชื่อเล่นค่ะ ชื่อเต็มของฉันคือมัลลิกา เฑียรมงคลค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอธิบายอย่างเนิบนาบและแผ่วเบา
ก็… ถ้าเทียบกับน้ำเสียงของโบคุโตะแล้ว มัลลิกาก็พูดเบาจริงนั่นแหละ
“มัง… มัง… ริ… กา? — อื้ม! งั้นฉันขอเรียกเธอว่ามะลิเหมือนคนอื่นๆ ก็แล้วกันนะ! ชื่อ ‘มะลิ’ เรียกง่ายกว่าจริงๆ นั่นแหละ!” พอเห็นว่าชื่อจริงและนามสกุลของเด็กสาวตรงหน้าออกเสียงลำบากและยาวเกินไป โบคุโตะจึงเปลี่ยนใจยอมมาเรียกแค่ชื่อเล่นของเธอเหมือนเดิมแต่โดยดี “ตอนแรกฉันเห็นมะลิเดินมาพร้อมกับอาคาอาชิด้วย! สนิทกันเหรอ?”
“เอ่อ… ก็… ไม่ค่ะ ไม่ได้สนิทกันหรอก”
“หืม?! ไหงงั้นล่ะ? เธอไม่ชอบอาคาอาชิหรอกเหรอ?!” ไม่ว่าเปล่าโบคุโตะยังยื่นหน้าเข้ามาถามจี้ในระยะประชิดมากขึ้นอีก ทำเอามัลลิกาเผลอถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งเพื่อรักษาระยะห่างโดยไม่รู้ตัว
“เปล่าค่ะ อาคาอาชิคุงดีกับฉันมาก แต่ว่าเราสองคนเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ฉันเลยไม่กล้าโมเมเอาเองว่าเราสนิทกันแล้ว”
คิ้วโก่งคมเข้มของเด็กหนุ่มขมวดเล็กน้อย “มะลินี่เป็นพวกคิดมากและขี้เกรงใจสินะ!”
มัลลิกาเงยหน้าขึ้นมองโบคุโตะอย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดโพล่งออกมาแบบนั้น
เธอรู้อยู่หรอกว่าตัวเองมีนิสัยเสียอะไรบ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาโต้งๆ แบบนั้นก็ได้นี่!
“ทีแรกฉันยังนึกว่าอาคาอาชิกับมะลิเป็นแฟนกันเสียอีกนะ!” เหมือนว่าโบคุโตะจะไม่ได้เอะใจว่าเด็กสาวตรงหน้าแอบตวัดสายตามองแรงใส่ตนอยู่ เจ้าตัวเลยพูดจ้อต่อแบบไม่ได้สนใจอะไร
“คะ?” ส่วนมัลลิกาพอได้ยินประโยคนั้นเข้าก็เหมือนจะลืมโกรธไปเป็นปลิดทิ้ง
“ถ้าเป็นได้จริงๆ ก็ดีสิเนอะ! อาคาอาชิน่ะเป็นคนดีมากเลยแหละ ถ้าต้องเป็นแฟนใครสักคนก็คงทำได้ดีอีกเหมือนกันแน่ๆ!”
มัลลิกามีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นเรื่อยๆ อะไรของผู้ชายคนนี้กันเนี่ย พูดเองเออเองไม่หยุดเลย!
“โบคุโตะซัง พูดอะไรไร้สาระแบบนั้นครับ มาซ้อมได้แล้ว!” อาคาอาชิเดินดุ่มเข้ามาห้ามโบคุโตะได้อย่างทันเวลาพอดี เพราะถ้าขืนปล่อยให้กัปตันทีมจ้อต่อไม่หยุด มัลลิกาคงเวียนหัวตายไปก่อนแน่
“รู้แล้วล่ะน่าอาคาอาชิ! — มะลิ! คอยดูอาคาอาชิเล่นดีๆ นะ ลูกเซตของเขาสุดยอดมากๆ เลยล่ะ!”
มัลลิกาไม่ได้ตอบ ส่วนโบคุโตะเองก็ไม่ได้อยู่รั้งต่อเพื่อฟังคำตอบแต่อย่างใดเพราะพอตัวเองพูดจบปุ๊บก็วิ่งอ้าวไปวอร์มอัพร่างกายพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ ทันที ปล่อยให้เซตเตอร์หนุ่มและเด็กแลกเปลี่ยนจากไทยยืนอยู่ด้วยกันตามลำพังแค่สองคน
“ขอโทษแทนโบคุโตะซังด้วยนะครับมะลิซัง เขาเข้าใจผิดน่ะว่าผมกับคุณเป็น…” อาคาอาชิก้มหัวปลกๆ ให้กับเด็กสาวชาวไทย
“อะ… อืม ไม่เป็นไรจ้ะ”
“โบคุโตะซังอาจจะพูดมากไปสักหน่อย และอาจจะมีนิสัยแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรหรอกครับ”
“งั้นเหรอ”
“ครับ” อาคาอาชิพยักหน้ายืนยัน “จริงๆ ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่สุดยอดคนหนึ่งเลยก็ได้ ถ้าไม่นับเรื่องนิสัยแปลกๆ เข้าใจยากของเจ้าตัวน่ะนะ”
ได้ยินแบบนั้นมัลลิกาก็ทำได้แต่ยิ้มบางๆ ออกมาเพื่อให้อาคาอาชิสบายใจ “ถ้าอาคาอาชิคุงว่างั้นฉันก็จะเชื่อนะ”
“งั้น… ผมขอตัวไปซ้อมก่อนนะครับ มะลิซังหามุมนั่งหลบๆ หน่อยก็ดีนะครับ ประเดี๋ยวบอลลอยมาโดนเข้าจะแย่เอา”
“อื้ม! เข้าใจแล้วล่ะ พยายามเข้านะ”
อาคาอาชิพยักหน้ายิ้มให้บัดดี้ของตัวเองก่อนจะวิ่งกลับไปรวมกลุ่มกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ แล้วเริ่มต้นการฝึกซ้อมอย่างขยันขันแข็งเหมือนเช่นทุกครั้งที่เป็นมา ส่วนมัลลิกาก็ไปหาที่นั่งรอเงียบๆ ตามที่รับปากเอาไว้
หลังจากที่ดูการซ้อมไปได้สักพัก เด็กสาวก็ต้องพบว่านี่มันต่างกับวอลเลย์บอลที่เธอเคยเรียนในคาบพละเมื่อตอนอยู่ม. 3 อย่างสิ้นเชิง หนุ่มๆ พวกนี้เล่นกันได้จริงจังและแข็งแกร่งเอามากๆ การเคลื่อนไหวของร่างกายและลูกบอลก็เร็วมากจนมองตามแทบไม่ทัน อาคาอาชิเองก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนอยู่ในห้องเรียนลิบลับ แถมเด็กหนุ่มยังได้เล่นตำแหน่งเซตเตอร์อีกต่างหาก ตำแหน่งนี้น่ะ เขาว่าต้องเป็นคนที่เล่นเก่งมากๆ ถึงจะเป็นได้ไม่ใช่เหรอ (มัลลิการู้เพราะน้องชายฝาแฝดของเธอเคยบ้าวอลเลย์บอลอยู่พักหนึ่ง)
“อาคาอาชิ~!! ส่งมาทางนี้เลย!” โบคุโตะยกมือตะโกนเรียกพร้อมกับถอยหลังแล้วออกวิ่งเตรียมตัวกระโดดเพื่อจะตบลูกทำแต้ม
อาคาอาชิพยักหน้าพร้อมกับส่งลูกไปหากัปตันทีมอย่างที่เจ้าตัวร้องขอ “รบกวนด้วยครับ!”
วินาทีนั้นราวกับว่าภาพตรงหน้าถูกปรับเวลาให้เคลื่อนไหวช้าลง ดวงตาสีดำล้ำลึกของมัลลิกามองร่างสูงใหญ่ของโบคุโตะที่กระโดดตัวลอยง้างแขนตบลูกลงไปที่พื้นคอร์ตฝั่งตรงข้ามอย่างพูดไม่ออก จู่ๆ หัวใจของเด็กสาวก็เต้นแรงเร็วอย่างห้ามไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นกดลงไปที่บริเวณเหนืออกซ้ายของตัวเองเอาไว้ ด้วยความหวังว่าถ้าทำแบบนั้นจะช่วยทำให้จิตใจสงบลงได้ แต่ก็เปล่าเลย มันไม่ยอมสงบ และไม่มีทางจะสงบได้แน่ๆ
คนพิลึกพูดจาเสียงดังหนวกหูคนนั้น… เท่มากเสียจนทำให้เธอใจเจ็บไปหมดเลย
จริงอย่างที่อาคาอาชิพูด… โบคุโตะ โคทาโร่เป็นคนแปลกที่สุดยอดมากจริงๆ แถมตลอดการซ้อมของเย็นวันนั้น มัลลิกาก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลยสักวินาทีเดียว
________
T A L K
เราอยากแต่งสต๊อกตุนเอาไว้ให้เยอะกว่านี้จังจะได้มาอัพให้ได้ไวๆ กว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้สักที ;--;
คิดว่าพาร์ท 5 ปีก่อน ต้องมีหลายพาร์ทแน่ๆ ค่ะ เรากะจะเอามาแทรกเอาไว้ระหว่างตอนหลักที่เล่าเรื่องในปัจจุบันเป็นพักๆ นี่เป็นตอนแรกเลยนะเนี่ยที่ได้เขียนคาแรคเตอร์คุณโบแบบที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แบบที่ชอบร้องเฮ เฮ เฮ้แล้วก็เสียงดังไม่หยุดเนี่ย 5555 สองสามตอนที่ผ่านมาเป็นคุณโบโหมดที่โตขึ้นและอกหักบ้ารักมะลิมากจนกลายเป็นคนอ๊องๆ เด๋อๆ ไปซะแล้ว (.__. )>
ปรากฏว่าตอนม. ปลายคุณโบเขาชอบผู้หญิงคนอื่นอยู่นะคะ กลายเป็นมะลิเสียเองที่เหมือนจะตกหลุมรักคุณโบดังพลั่กตั้งแต่แรกเจอ โธ่ ลูกสาวแม่
ปล. มีใครจำโรงแรมคาเคสึได้ไหมคะ ใช่แล้วค่ะ โรงแรมเล็กๆ ที่พวกคาราสุโนะมาเข้าพักตอนแข่งฮารุโคนั่นเอง มะลิได้คุณป้าที่เป็นเจ้าของโรงแรมรับเป็นโฮสต์ให้ค่ะ ;)
#มะลิกับนกฮูก
sun&moon
18.02.2021
ความคิดเห็น