ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Haikyuu!! - 縁と浮世は末を待て (Bokuto x oc) END

    ลำดับตอนที่ #3 : 木マリ (2) - ‘หัวใจน่ะเมื่อไหร่จะกลับมาเต้นจังหวะปกติสักที!’ – มัลลิกา

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 64



    Haikyuu!!

    縁と浮世は末を待て





    Haikyuu!!

    Bokuto x oc



    ***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ



    (2)

    ‘หัวใจน่ะเมื่อไหร่จะกลับมาเต้นจังหวะปกติสักที!’

    – มัลลิกา


         ดวงตาสีดำล้ำลึกเป็นทรงเม็ดอัลมอนด์มองตามร่างสูงใหญ่ที่วิ่งหุนหันออกไปอย่างเสียงดังโครมครามด้วยความตกใจ ตอนนั้นเองที่มัลลิกาเริ่มจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นผู้ชายคนนั้นที่ไหนมาก่อน ว่าแล้วหญิงสาวก็เปิดแฟ้มประวัติของนักกีฬาภายใต้สังกัดสโมสรแบล็กแจ็กเกิลที่ถืออยู่ในมือออกอ่านทันที สองตาสแกนหาชื่อและนามสกุลที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอมานานหลายปีอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เอกสารส่วนใหญ่ของสโมสรมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้หมดทุกชุดเลยทำให้ไม่มีปัญหาสำหรับพนักงานชาวต่างชาติที่ยังไม่คล่องการอ่านภาษาญี่ปุ่นนักอย่างมัลลิกา


         จริงอยู่ว่าหญิงสาวเคยมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่ญี่ปุ่นหนึ่งปี และก่อนจะมาทำงานที่นี่เธอก็ไปสอบวัดผล JLPT ระดับ N4 จนผ่านเกณฑ์มาได้แบบฉิวเฉียด การสนทนาในชีวิตประจำวันก็ยังพอจะพูดได้อยู่บ้าง ถ้าได้ฝึกและพูดให้เยอะขึ้นอีกหน่อยก็คงคืนฟอร์มกลับมาคล่องภาษาญี่ปุ่นอีกครั้งได้ไม่ยาก แต่อย่างไรเสียมัลลิกาก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่เธอคล่องแคล่วและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าจริงๆ


         แต่ก็นะ… ต่อให้เธอจะลืมคันจิบางตัวไปแล้ว แต่กับตัวคันจิที่เป็นชื่อของโบคุโตะ โคทาโร่นั้น มัลลิกากลับยังจำได้แม่นไม่เคยลืม ถ้าให้เขียนใหม่ให้ดูตอนนี้เธอก็ยังเขียนได้สบายมาก


         นี่ไง ในที่สุดเธอก็เจอหน้าประวัติของผู้ชายคนนั้นแล้ว


         โบคุโตะ โคทาโร่เป็นนักกีฬาอยู่ในทีมนี้จริงๆ ด้วย รูปถ่ายที่ติดอยู่ในใบประวัติของชายหนุ่มนั้นเป็นข้อยืนยันได้ดีว่าเธอไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง


         เขายังดูเหมือนเดิมจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันไม่มีผิด อาจจะผมสั้นลงเล็กน้อยและตัวก็สูงใหญ่ขึ้น แต่จุดเด่นสำคัญๆ ของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นผิวที่ค่อนข้างขาวจัด ดวงตากลมโตสีทอง ทรงผมเซ็ตตั้งไฮไลท์สีเทา และรอยยิ้มสว่างสดใสที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมา


         ตายล่ะ… มัลลิการ้องออกมาในใจ


         เธอชักจะไม่แน่ใจแล้วสิว่าการที่ตัวเองได้มาทำงานที่เดียวกับโบคุโตะแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีแล้วหรือเปล่า เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรกันแน่ ดีใจ? หรือว่ากลัว? บอกตามตรงมันมีทั้งสองอย่างผสมกันไปหมดเลย แล้วก็… อาจจะมีความเสียหน้าปนอยู่นิดๆ ด้วยล่ะมั้ง ก็ที่โบคุโตะวิ่งหนีออกไปแบบนั้นมันเป็นเพราะเขาเห็นหน้าเธอแล้วไม่ใช่เหรอ


         เขายังโกรธเธออยู่หรือไงนะ แต่เธอนึกว่าเขายกโทษให้แล้วเสียอีก วันที่เธอต้องนั่งเครื่องบินกลับบ้านเขาก็ยังอุตส่าห์ตามมาส่งถึงที่สนามบินแท้ๆ แม้ว่าจะมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจนแทบไม่ได้ร่ำลากันเลยสักคำก็เถอะ


         “เอ่อ… ขอโทษแทนโบคุโตะด้วยนะครับวาตานาเบะซัง” เมย์อันหันมากล่าวอย่างรู้สึกผิด


         “ไม่เป็นไรครับ เขาอาจจะ… ต้องรีบไปทำธุระ” หัวหน้าทีมเทรนเนอร์อย่างริวโซยิ้มบางๆ อย่างไม่ถือสา แม้จะรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้างกับเหตุการณ์สุดพิลึกเมื่อครู่


         “หมอนั่นคงปวดท้องมั้งครับ” อัตสึมุหัวเราะขลุกขลักอยู่ในลำคอ ทำให้เมย์อันต้องหันไปดุ


         “เอาล่ะ เลิกเล่นกันก่อน อาทิตย์นี้พวกนายจะมีนัดเข้ารับคำปรึกษากับเทรนเนอร์ ตารางการเข้าพบจะออกในวันพรุ่งนี้ ทาคาเอะซังจะส่งเข้ากลุ่มไลน์ให้ พวกนายก็มาให้ตรงตามเวลานัดก็แล้วกัน อยากขอคำแนะนำอะไรก็จดเอาไว้ พวกเขาจะมาช่วยพวกนายดูแลร่างกายให้สมบูรณ์พร้อมสำหรับการลงแข่งมากที่สุด ตามนี้นะ” โค้ชฟอสเตอร์อธิบายให้พวกนักกีฬาฟัง ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าและขานรับกันอย่างแข็งขัน


         เมื่อเสร็จธุระสำหรับเช้าวันนี้แล้ว ทีมเทรนเนอร์ทั้งหมดก็ขอตัวกลับไปทำงานของตัวเองต่อและปล่อยให้พวกนักกีฬาได้เริ่มต้นซ้อมในที่สุด


         “มะลิ หน้าซีดเชียว เป็นอะไรไปงั้นเหรอหืม?” ‘โจชัว เฟรย์’ ชายชาวอเมริกันหนึ่งในทีมโค้ชเทรนเนอร์ที่ดูแลเรื่องเวทเทรนนิ่งเป็นหลักถามกับหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเป็นภาษาอังกฤษ


         เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “เปล่านี่คะ”


         “แน่ใจ?” โจชัวเลิกคิ้ว


         มัลลิกาพยักหน้ายืนกราน “ค่ะ ก็แค่… ตื่นเต้นกับงานใหม่วันแรกนิดหน่อย”


         “อะไรกัน ไหนว่าเคยมาอยู่ญี่ปุ่นตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปดตั้งหนึ่งปีไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ก็เห็นทักทายนักกีฬาเป็นภาษาญี่ปุ่นตามบอสได้สบายๆ เชียว” หนุ่มฝรั่งเคราครึ้มกระทุ้งศอกใส่ต้นแขนของหญิงสาวหน้าหวานเบาๆ


         “ก็แค่คำทักทายพื้นฐานเองค่ะโจ แล้วไอ้หนึ่งปีที่ว่าน่ะก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้วนะ”


         “นายนั่นแหละไอ้บ้าโจที่จนป่านนี้ยังพูดคำทักทายผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย” ‘โอมุระ จิน’ โค้ชเทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งที่ไปโตอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่ม. 1 หันมาพูดเหน็บแนมฝรั่งผมทองตาฟ้าคนเดียวในที่นั้นอย่างอดไม่ได้


         “ปั๊ดโธ่! ก็ภาษาญี่ปุ่นมันยากนี่นาจิน!” โจชัวโอดครวญ


         ถ้าจัดอันดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นแล้ว โจชัว เฟรย์นั้นจัดว่าอยู่ในอันดับท้ายสุดของกลุ่มอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเพิ่งจะได้เริ่มเรียนแบบคอร์สเร่งรัดอยู่สามเดือนเพื่อจะสอบให้ผ่านและบินมาญี่ปุ่นเพื่อเริ่มงานได้พร้อมกับคนอื่นๆ ในทีม


         “ก็ฝึกให้มันเยอะๆ สิ” ‘ฮอนโด เอจิ’ หนุ่มญี่ปุ่นวัยสามสิบปีบริบูรณ์ผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มยาวมัดเป็นมวยหลวมๆ ไว้ที่ท้ายทอยเอ่ยเสียงเรียบอย่างเย็นชา เขาคนนี้มีตำแหน่งเป็นนักโภชนาการกีฬาเช่นเดียวกับมัลลิกา และเพราะความที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่าเลยทำให้เอจิมีหน้าที่เป็นเมนเทอร์ให้กับหญิงสาวน้องเล็กสุดของกลุ่มด้วย


         โจชัวได้ยินเอจิพูดแบบนั้นก็ได้แต่จุ๊ปากเบาๆ “ฉันว่าไม่เห็นจำเป็นเลย บุคลากรที่นี่ก็พูดภาษาอังกฤษกันได้ทั้งนั้น แถมเอกสารก็มีแปลเป็นภาษาอังกฤษอีก”


         “แต่นายอยู่ญี่ปุ่นนะเฟรย์ ใจคอจะไม่ออกไปข้างนอกสโมสรบ้างเลยเหรอ อย่างน้อยก็สั่งข้าวสั่งน้ำให้ตัวเองได้สักหน่อยก็ยังดีนะ” หัวหน้าอย่างริวโซขัดอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


         “เฮ้อ! รู้แหล่วน่าบอส!” หนนี้โจชัวงัดความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่ตัวเองมีออกมาพูดใส่หัวหน้าทีมทันทีแต่ก็ไม่วายออกเสียงเพี้ยนนิดหน่อยอยู่ดี


         “ ‘แล้ว’ ต้องออกเสียงว่า ‘แล้ว’ เฟ้ยโจชัว!” จินแก้ให้


         “เออน่า ขอเวลาฉันอีกหน่อยเถอะ สักสองเดือนจะฝอยญี่ปุ่นจนลืมภาษาแม่ไปเลย” โจชัวกล่าวพลางยืดอก


         “ก็คงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะเพราะนายกับมะลิจังมีคอร์สภาษาญี่ปุ่นที่ต้องไปเรียนเสริมเพิ่มเติมในเมืองอยู่แล้วนี่ พยายามกันเข้าล่ะ” เอจิเตือนความจำให้กับรุ่นน้องชาวต่างชาติสองคน


         “คร้าบ/ ค่า” โจชัวกับมัลลิกาขานรับอย่างเหนื่อยหน่ายไปก่อนแล้วล่วงหน้า ให้ตายสิ! โตขนาดนี้แล้วยังต้องไปเรียนพิเศษอีก


         “ว่าแต่หัวหน้าครับ เย็นนี้เราไปดื่มกันสักหน่อยดีไหมครับ ตั้งแต่มาถึงโอซาก้าทีมเราก็ยังไม่ได้ไปทานข้าวด้วยกันอย่างเป็นทางการเลย” จินเสนอพร้อมกับทำท่าทำทางเหมือนเปรี้ยวปากอยากกระดกเบียร์ขึ้นดื่มสักแก้วสองแก้ว


         ริวโซหัวเราะเบาๆ อย่างอ่อนใจแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า “เอาสิ ฉันเลี้ยงเอง”


         “เย้!” พอได้ยินแบบนั้นลูกน้องแต่ละคนก็ยกมือดีใจกันเป็นเด็กๆ แม้แต่มัลลิกาเองก็เช่นกัน จะยกเว้นก็แต่เอจิคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนทำหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม


         “ตามใจมากไปไม่ดีนะครับหัวหน้า พรุ่งนี้เรายังต้องทำงานนะ” หนุ่มผมยาวเอ่ยพลางมองรุ่นน้องสามคนอย่างเหนื่อยใจ


         “ไม่เป็นไรหรอกน่าเอจิคุง ตราบใดที่เจ้าพวกนี้ยังทำงานได้ดีก็ไม่เป็นปัญหานี่จริงไหม นายเองก็เหมือนกัน หัดสนุกและผ่อนคลายเสียบ้าง”


         “เอาเถอะครับ” เอจิกล่าวอย่างปัดๆ ดูแล้วไม่ได้ซึมซับคำแนะนำของหัวหน้าเข้าไปในสมองเลยสักนิด เล่นเอาริวโซถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้


         บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหรือไม่ก็ครูพี่เลี้ยงที่ต้องคอยดูแลเด็กสี่คนยังไงไม่รู้ แม้แต่คนที่โตสุดอย่างเอจิก็ยังมีจุดที่ทำให้หัวหน้าอย่างเขาต้องเป็นห่วงอยู่เรื่อย นับประสาอะไรกับอีกสามคนที่เหลือล่ะ แต่ก็เอาเถอะ อย่างไรเสียเด็กๆ พวกนี้เขาก็เป็นคนปั้นและเลือกมาเองกับมือนี่นะ ก็มีแต่ต้องดูแลและสั่งสอนประสบการณ์ชีวิตกันไปให้ถึงที่สุดนี่แหละ



    _________



         เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ริวโซก็ขับรถของตัวเองพาลูกน้องในทีมไปทานมื้อค่ำด้วยกันตามสัญญา ร้านที่พวกเขาไปนั้นเป็นร้านอาหารผสมบาร์ที่มีชื่อว่า ‘คิวเค’ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสโมสรของพวกเขามากนัก ร้านนี้จัดว่าเป็นร้านดังอีกร้านหนึ่งในละแวกนี้ทีเดียว เพราะนอกจากอาหารจะอร่อย เครื่องดื่มรสเลิศหลากหลายแล้ว บรรยากาศและเพลงที่เปิดก็ดีมากอีกด้วย


         “คัมไป!!!” เสียงโห่ร้องฉลองของเหล่าเทรนเนอร์หน้าใหม่ประจำสโมสรมุสึบิดังขึ้นพร้อมกับเสียงแก้วที่ดังกระทบกันอย่างไพเราะเสนาะหู


         “ดื่มให้กับหัวหน้าของเรา มิสเตอร์วาตานาเบะที่ใจดีเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อค่ำพวกเราในวันนี้!” โจชัวที่หน้าแดงเพราะกำลังเมากรึ่มได้ที่ประกาศเป็นภาษาอังกฤษเสียงดังก่อนจะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นดื่มพรวดๆ จนเครื่องดื่มสีทองสวยงามนั้นพร่องลงไปเกินครึ่งอย่างรวดเร็ว


         “เบาได้เบานะไอ้บ้าโจ พรุ่งนี้เรายังต้องไปทำงานนะเฮ้ย!” จินเอ่ยปากยั้งเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติที่วันนี้ดูจะสนุกสนานลิงโลดเป็นพิเศษ


         “จุ๊ๆ” โจชัวโบกนิ้วชี้ตัวเองไปมาต่อหน้าชายหนุ่มเจ้าของผมแสกกลางสุดวินเทจ “อย่ามาดูถูกกันนะโอมุระซัง! ผมคนนี้เคยไปปาร์ตี้สามคืนติดกันแต่ก็ยังสามารถแบกร่างตัวเองไปสอบและได้คะแนนรองท็อปของคลาสมาได้นะครับ! กับอีแค่เบียร์สองสามแก้วแค่นี้จิ๊บๆ”


         “ทำไมฟังแล้วมันดูน่าหมั่นไส้พิกล” จินหรี่ตามองเจ้าฝรั่งตาน้ำข้าวสุดไฮเปอร์ประจำกลุ่ม


         “นั่นสิ” เอจิเองก็ผสมโรงไปด้วย คนอะไรถ่อมตัวสักนิดก็ไม่มี จะด่าก็ด่าได้ไม่เต็มปากเพราะมันก็ทำได้ดีอย่างที่พูดจริงๆ


         “เอาน่าๆ ถ้ายังทำงานไหวฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ มะลิจังเองก็กินเยอะๆ เลยไม่ต้องเกรงใจ” ริวโซกล่าวกับหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มอย่างอารี


         “ค่ะ” มัลลิกาผงกหัวขณะที่เคี้ยวไข่หวานจนแก้มตุ่ย “งั้นขอสั่งซาชิมิมาทานเพิ่มได้ไหมคะ”


         “เอาเลย ตามสบาย!” ริวโซหัวเราะร่วน “มะลิจังนี่มาเพื่อกินข้าวเย็นจริงๆ นะเนี่ย”


         “มันหิวน่ะค่ะ หัวหน้าอุตส่าห์จะเลี้ยงทั้งทีฉันก็เลยกินแต่ขนมปังไปเมื่อตอนเที่ยง”


         “ผิดกับไอ้บ้าโจที่มาเพื่อดื่มอย่างเดียว” จินตวัดตามองคนผมทองเคราครึ้มที่กำลังยกมือขึ้นสั่งเบียร์อีกแก้วกับพนักงานเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบกระท่อนกระแท่นแต่ก็สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจดี


         “เฮ้ย! หัดเกรงใจหัวหน้าเสียบ้างสิ” เอจิออกปากดุคนขี้เมาเข้าให้ แต่ก็อย่างว่า เวลาโจชัวเมาแล้วไม่ค่อยฟังใครเขาหรอก


         “โบคุโตะ! ดื่มมากไปแล้วนะเฮ้ย!” เสียงโหวกเหวกดังขึ้นพร้อมกับชื่อคุ้นหูที่ทำให้มัลลิกาต้องหันไปมอง


         มีอีกเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกไป นั่นก็คือร้านคิวเคเป็นสถานที่สังสรรค์ประจำของทุกคนที่ทำงานอยู่ในสโมสรมุสึบิ จึงไม่แปลกที่จะเจอพวกนักกีฬาออกมาดื่มและทานมื้อค่ำกันที่ร้านนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งลูกค้าที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะตัวยาวมุมในสุดของร้านก็คือแก๊งนักกีฬารุ่นเล็กอันประกอบไปด้วยมิยะ ซาคุสะ ฮินาตะและก็โบคุโตะนั่นเอง


         “เจี๊ยวจ๊าวดีจริงๆ นะพวกรุ่นเล็กเนี่ย” จินพึมพำก่อนจะหันไปยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มต่ออย่างไม่ได้สนใจอะไร


         “มาดื่มกันแบบนี้แล้วพรุ่งนี้จะซ้อมไหวหรือเปล่าเนี่ย” เอจินึกห่วงไปก่อนล่วงหน้า เพราะดูจากสภาพของนักกีฬาที่ชื่อโบคุโตะแล้ว ดูท่าเจ้าตัวจะดื่มไปมากทีเดียว


         “ถ้าสนุกมากไปจนฟอร์มตกซ้อมไม่ได้ขึ้นมาเดี๋ยวฟอสเตอร์ก็จัดการเองแหละ” ริวโซกล่าวอย่างรู้จักโค้ชใหญ่ของทีมแบล็กแจ็กเกิลเป็นอย่างดี


         “หึๆ นั่นสินะครับ” โจชัวหัวเราะก่อนจะร้องดีใจออกมาเมื่อพนักงานนำเบียร์แก้วใหม่มาเสิร์ฟแล้ว


         มัลลิกาไม่ได้สนใจบทสนทนาของพวกผู้ชายเท่าไหร่ เพราะเธอเอาแต่เผลอจ้องไปทางโต๊ะที่มีโบคุโตะ โคทาโร่นั่งอยู่อย่างเหม่อลอย


         ไม่รู้ทำไม แต่เธอละสายตาจากเขาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงของเขาในเสื้อผ้าพอดีตัวสีดำทั้งชุด แขนกำยำน่ามองที่ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอักๆ ประหนึ่งว่ามันเป็นน้ำเปล่า รวมไปถึงลำคอหนาและลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงตลอดเวลาที่เขาดื่มเครื่องดื่มในมือ


         “มะลิจัง เป็นอะไรไปล่ะ เหม่ออีกแล้วนะ!” โจชัวดีดนิ้วดังเป๊าะใส่หน้าหญิงสาวจนได้สติ


         มัลลิกากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอยกนิ้วโป้งขึ้นมากัดเล็บเสียแล้ว หญิงสาวรีบรวบรวมสติก่อนจะกระแอมไอเบาๆ แล้วแก้ตัวตอบเพื่อนร่วมงานไป “สงสัย… จะดื่มเบียร์มากไปหน่อยน่ะค่ะ”


         “อะไรกันนน~ เพิ่งจะแก้วที่สองเอง เมาแล้วเหรอ”


         หญิงสาวไม่ได้สนใจคำแซวของโจชัว แต่เลือกที่จะตัดบทและขอหนีออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ก่อน “ขอออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะคะ”


         “อ้อ! ไปเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ” ริวโซพยักหน้าอนุญาต


         ร่างโปร่งบางรับคำก่อนจะรีบผลุนผลันออกมานอกร้านอย่างรวดเร็ว วินาทีที่ไม่ต้องเห็นโบคุโตะอยู่ในครรลองสายตาทำให้หัวสมองของมัลลิกาปลอดโปร่งขึ้นเป็นกอง สองมือเท้าเอวเอาไว้พร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเข้าปอดเพื่อหวังจะสงบสติอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเข้าที่เข้าทางได้สักหน่อยก็ยังดี


         บ้าจริง! มัลลิกาก่นด่าตัวเองในใจ แค่เห็นเขาดื่มเบียร์เฉยๆ ก็ใจลอยเผลอมองอย่างกับคนโรคจิตเสียแล้ว แบบนี้ตอนทำงานเธอจะไหวหรือเปล่าเนี่ย! แล้วหัวใจน่ะเมื่อไหร่จะกลับมาเต้นจังหวะปกติสักที!


         ระหว่างที่กำลังหัวหมุนใจเต้นโครมครามอยู่นั้นเสียงข้อความใหม่จากโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือก็ดังขึ้น ทำให้มัลลิกาต้องยกมันขึ้นมาเช็กดู



    กัมบาเระ เคจิ:

    มะลิซัง

    ไม่คิดจะบอกกันสักคำเลยหรือครับว่าได้งานทำที่ญี่ปุ่นน่ะ


         ถึงน้ำเสียงที่สื่อผ่านตัวอักษรของอาคาอาชิจะดูดุดันแกมน้อยใจอยู่หน่อยๆ แต่มัลลิกาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจที่บัดดี้สมัยมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นส่งข้อความมาหา


         นิ้วเรียวกดพิมพ์ข้อความตอบกลับไปทันที


    ลา มะลิลา:

    ขอโทษอาคาอาชิคุง

    พอดีว่ายุ่งๆ เรื่องที่ออฟฟิศกับเรื่องย้ายเข้าที่พักใหม่น่ะ

    คิดว่าถ้าอะไรๆ เรียบร้อยแล้วก็จะติดต่อไปอยู่หรอก

    อย่าโกรธเลยนะ (。•́︿•̀。)


         

         ไม่นานอาคาอาชิก็ตอบข้อความกลับมา



    กัมบาเระ เคจิ:

    จริงๆ แล้วผมไม่ได้โกรธอะไรมากหรอกครับ

    ก็แค่… รู้สึกแปลกๆ ที่รู้เรื่องทีหลังโบคุโตะซังก็เท่านั้น


         มัลลิกาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจนิดหน่อย



    ลา มะลิลา:

    โบคุโตะซังบอกเหรอว่าฉันได้งานทำที่ญี่ปุ่น


    กัมบาเระ เคจิ:

    ครับ

    ก็จู่ๆ คุณเล่นโผล่ไปที่มุสึบิแบบนั้น โบคุโตะซังก็เลยตกใจจนโทรมาหาผม

    เวลาทำงานแท้ๆ ผมล่ะอายชะมัด


    ลา มะลิลา:

    ) ʱªʱªʱª

    ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะพวกเธอสองคนเนี่ย


    กัมบาเระ เคจิ:

    เอาเถอะครับ

    ว่าแต่แบบนี้จะดีจริงๆ เหรอมะลิซัง

    ที่ไปทำงานที่เดียวกับโบคุโตะซังแบบนั้น



         มัลลิกาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ตัวเธอเองก็รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพยายามโกหกกลบเกลื่อนไป



    ลา มะลิลา:

    คิดมากน่าอาคาอาชิคุง

    เรื่องมันผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันไม่ได้เสียใจอะไรมากมายแล้วล่ะ

    แต่โบคุโตะซังน่ะสิ ไม่รู้ว่ายังโกรธฉันอยู่หรือเปล่า



    กัมบาเระ เคจิ:

    ทำไมถึงคิดว่าเขายังโกรธอยู่ล่ะครับ


    ลา มะลิลา:

    ก็พอเห็นหน้าฉันปุ๊บ เจ้าตัวก็เล่นวิ่งหนีออกจากยิมไปเลยน่ะสิ

    เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเจอหน้าฉันสุดๆ


    กัมบาเระ เคจิ:

    ตรงข้ามเลยต่างหากล่ะครับมะลิซัง



         ดวงตาสีดำล้ำลึกอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เข้าใจ


    ลา มะลิลา:

    หมายความว่ายังไง


    กัมบาเระ เคจิ:

    เอาเป็นว่ามะลิซังไม่ต้องคิดมากหรอกครับ

    ทำตัวปกตินั่นแหละ

    แม้ว่าโบคุโตะซังอาจจะเป็นฝ่ายที่ทำตัวผิดปกติมากกว่าก็ตาม



         คิ้วเรียวย่นเข้าหากันมากกว่าเดิม มัลลิกาชอบอาคาอาชินะ แต่บางครั้งการพูดอ้อมไปอ้อมมาตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นของอาคาอาชิเนี่ยสิที่ทำให้เธอไม่ไหวจะเคลียร์


         มะลิ!!!”


         จู่ๆ ก็มีคนมาเรียกชื่อซะเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน เล่นเอามัลลิกาสะดุ้งโหยงจนเกือบทำโทรศัพท์เครื่องแพงตกพื้น พอหันไปมองหญิงสาวก็ถึงกับหายใจสะดุดเมื่อพบว่าคนที่เรียกเธอนั้นคือโบคุโตะ โคทาโร่นั่นเอง


         เธอไม่รู้หรอกว่าเขามาทำอะไรนอกร้าน อาจจะมาสูบบุหรี่หรือไม่ก็มาสูดอากาศเหมือนกันกับเธอ แต่ที่หญิงสาวมั่นใจกว่าก็คือโบคุโตะไม่ได้คาดคิดว่าตัวเองจะมาป๊ะกันกับเธอที่นอกร้านแบบซึ่งๆ หน้าอย่างนี้แน่ สังเกตได้จากดวงตากลมโตสีทองที่เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว


         “คะ… คะ? มีอะไรเหรอคะโบคุโตะซัง” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะนับถือตัวเอง โบคุโตะอยู่ใกล้แค่เอื้อมขนาดนี้แต่เธอก็ยังครองสติพูดตอบอีกฝ่ายไปได้ราวกับว่าการมีอยู่ของเขานั้นไม่ได้ส่งผลอะไรกับหัวใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

         

         ฝั่งชายหนุ่มนั้นหลังจากที่อ้าปากพะงาบๆ อยู่ราวๆ หนึ่งนาที ในที่สุดเจ้าตัวก็หาเสียงของตัวเองพบ “เอ่อ… เปล่า… ไม่… ไม่มีอะไรหรอก”


         “อ๋อ… ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าพลางยิ้มอ่อนๆ กลับไป ก่อนจะถือโอกาสนี้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายเพื่อทลายกำแพงความอึดอัดระหว่างกันลง “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”


         โบคุโตะทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่ามัลลิกาจะชวนคุยต่อ “อะ อื้ม! ใช่ นานมากเลย”


         “คุณสบายดีใช่ไหมคะ”


         “ก็… ดี” ดวงตาสีทองหลุบมองแต่พื้นคอนกรีตเบื้องล่าง


         มัลลิการู้สึกประหม่าไม่แพ้กัน โบคุโตะซังกลายเป็นคนพูดนับคำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ


         แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามที่จะประคองบทสนทนาระหว่างพวกเขาให้ดำเนินต่อไป “เอ่อ… ฉันกำลังคุยกับอาคาอาชิคุงอยู่เมื่อกี้นี้เอง ดูท่าเขาจะน้อยใจที่ฉันไม่ได้บอกเขาว่าได้งานทำที่ญี่ปุ่นค่ะ”


         “หระ… เหรอ! ฮ่ะๆ หายากนะเนี่ยที่อาคาอาชิจะน้อยใจน่ะ”


         “ไว้ว่างๆ ฉันจะเข้าโตเกียวแล้วนัดทานข้าวกับเขาสักมื้อ อาคาอาชิคุงยังทำงานอยู่ที่โตเกียวใช่ไหมคะ”


         “อะ อื้ม! ใช่แล้วล่ะ”


         มัลลิกาพยักหน้ารับรู้ ระหว่างที่กำลังคิดหาหัวข้อที่จะใช้คุยกับอีกฝ่ายต่ออยู่นั้น โบคุโตะก็ตัดสินใจที่จะโพล่งเสียงดังขึ้นมา


         “นี่! ถ้าจะไปโตเกียวเมื่อไหร่ก็บอกฉันได้นะ ฉันจะขับรถไปส่งเอง!”


         หญิงสาวหันไปมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวเองก็มีสีหน้าประหลาดกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาไม่แพ้กัน


         “หมายถึง… ถ้าเธอไม่รังเกียจฉันก็เต็มใจให้เธอติดรถไปด้วยได้อยู่แล้ว”


         “เอ้อ… ขอบคุณค่ะ” มัลลิกาเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ทำไม แต่เธอแค่คิดว่าโบคุโตะที่อาสาจะขับรถพาเธอเข้าโตเกียวอย่างแข็งขันแบบนี้มันดูน่ารักยังไงไม่รู้ แม้ว่าเขาอาจจะเสนอตัวออกมาเพราะความเมาเป็นเหตุด้วยส่วนหนึ่งก็เถอะ


         ชายหนุ่มเผลอมองใบหน้าหวานหยดเปื้อนรอยยิ้มตรงหน้าโดยไม่พูดจา แอลกอฮอล์มากมายที่ดื่มเข้าร่างกายไปออกฤทธิ์มาได้สักพักแล้ว และมันก็กระตุ้นให้โบคุโตะเผลอหลุดปากออกไปด้วยเสียงแหบพร่าคล้ายเสียงละเมอ


         “ฉันคิดถึงมะลินะ”


         มัลลิกาเงียบไป


         เขาบอกว่าคิดถึงเธองั้นเหรอ


         “ดีใจมากๆ เลยที่มะลิสบายดี” เสียงทุ้มห้าวกล่าวต่อไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ประดับอยู่บนริมฝีปากบางเฉียบ


         ใบหน้าหล่อเหลาของโบคุโตะนั้นแดงก่ำเพราะความเมาก็จริง แต่สีหน้าและแววตาของเขากลับจริงจังและมุ่งมั่น มันเป็นสีหน้าแบบเดียวกับที่เคยทำให้เธอตกหลุมรักมาแล้วเมื่อห้าปีก่อน เผลอๆ คราวนี้อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้เขาดูดีและเท่ขึ้นกว่าตอนอยู่ม. ปลายเสียอีก รูปร่างสูงใหญ่กว่า 190 เซนติเมตรที่ข่มให้ร่างกายของเธอดูบอบบางและเล็กจ้อยกับบรรยากาศบางอย่างที่เปลี่ยนไปของเจ้าตัวทำให้มัลลิกาตระหนักได้ในตอนนั้นเองว่าโบคุโตะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว


         วินาทีนั้น ราวกับเวลาหยุดหมุนลง ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวนอกจากหัวใจที่เต้นตุบอยู่ในอกและเสียงลมหายใจของพวกเขาที่แทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน


         มัลลิกาเพิ่งจะรู้ตัวเอาเดี๋ยวนั้นว่าเธอกับเขายืนอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน! ใกล้จนได้กลิ่นโคโลญเย็นๆ ผสมกับกลิ่นเบียร์ที่กำจายออกมาจากร่างกายสูงใหญ่และร้อนผ่าวของอีกฝ่าย ดวงตาสีทองกลมโตที่จ้องมาเหมือนหมุดที่ตรึงเท้าของมัลลิกาให้นิ่งอยู่กับที่ มันไม่ใช่กระแสความดุดันที่ส่งเข้ามาคุกคาม แต่เป็นอะไรอย่างอื่นที่ทำให้เธอหวั่นไหวจนแทบจะหลอมละลายลงไปบนพื้น ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอมานานมากแล้ว ไม่แม้แต่กับแฟนเก่าที่เธอเคยยอมคบด้วยสมัยเรียนมหาวิทยาลัย


         ครั้งสุดท้ายที่หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะเป็นบ้าอย่างนี้ก็คงเป็นเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เธอมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่โรงเรียนฟุคุโรดานิล่ะมั้ง…




    ___________


    T A L K


         มะ... มาแล้วนะคะตอนที่ 2 แหะๆ 

         ว่าแต่ มะลิ! หนูเองก็คลั่งรักคุณโบไม่เบานี่นา! แม่น่ะ หวงหนูนะ! แต่ถ้าหนูรักเขาแม่ก็จะให้หนูได้สมหวัง ฮือออ ;--; ไม่ต้องแปลกใจนะคะว่าทำไมนายโบมันใจกล้าบอกคิดถึงน้องมะลิได้หน้านิ่งเท่บาดใจอย่างนั้น เพราะนางเมาค่ะ! ไม่รู้ว่าพอสร่างเมาแล้วจะจำได้หรือเปล่าว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ฮาาา

         ตอนหน้าคาดว่าเราจะได้ย้อนอดีตกันนะคะ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่าลืมติดตามกันค่ะ!


         ปล. เผื่อใครงงตัวละครทีมเทรนเนอร์ เราจะมาบอกชื่อแซ่และคาแรคเตอร์แต่ละคนให้พอสังเขปค่ะ 

         เนื่องจากทางสโมสรมุสึบิต้องการดูแลนักกีฬาให้ครบวงจร เลยมีการจ้างเทรนเนอร์หลายคน ซึ่งจะแบ่งออกมาได้เป็น

    1. โค้ชเทรนเนอร์ ดูเรื่องการออกกำลังกาย รักษาสมดุลและความแข็งแรงของร่างกายนักกีฬาเป็นหลัก

        ในทีมมีอยู่ 3 คน ได้แก่ 

         - วาตานาเบะ ริวโซ หัวหน้าทีม อายุ 40 ตอนปลาย แนวป๋าๆ ใจดี เลี้ยงข้าวได้ไม่อั้น แต่ก็เข้มงวดในเรื่องงาน

         - โอมุระ จิน, 28 ปี หนุ่มผมแสกกลางขี้จ่ม (ขี้่บ่น) ยุง่าย ปั่นง่าย 

         - โจชัว เฟรย์, 26 ปี ฝรั่งผมทองตาฟ้าเคราครึ้ม (อิมเมจหน้าตาประมาณซีค เยเกอร์ จาก aot 55555) เฮฮาร่าเริงและกวนตีน เป็นคนประเภทที่ปากบอกว่าไม่ได้อ่านหนังสือสอบมาเลยแต่สามารถสอบได้คะแนนท็อปของคลาสค่ะ ถถถถ

    2. นักโภชนาการการกีฬา ดูแลเรื่องการสร้างสมดุลในการบริโภคอาหาร อาจจะแนะนำหรือปรับปรุงพฤติกรรมการกินเพื่อให้นักกีฬาได้รับสารอาหารและโภชนาการอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด   

         ตำแหน่งนี้มี 2 คน คือ

         - ฮอนโด เอจิ พี่ใหญ่ 30 ยังแจ๋ว ผมยาวเหมือนคนติสแต่จริงๆ เป็นคนเงียบๆ ดุๆ และเข้มงวดมาก 

         และคนสุดท้ายคือ มัลลิกา เฑียรมงคล หรือมะลิจังของเรานั่นเอง


    ลาไว้แค่นี้ พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

    แล้วก็สุขสันต์วันตรุษจีนนะคะ


    #มะลิกับนกฮูก

    sun&moon

    11.02.2021

         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×