ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Haikyuu!! - 縁と浮世は末を待て (Bokuto x oc) END

    ลำดับตอนที่ #14 : 木マリ (5) - ‘มะลิเนี่ยตลกดีแฮะ’ –โบคุโตะ

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 64





    Haikyuu!!

    縁と浮世は末を待て







    Haikyuu!!

    Bokuto x oc




    ***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ





    (13)

    ‘มะลิเนี่ยตลกดีแฮะ’

    – โบคุโตะ



         โบคุโตะที่มาใช้ฟิตเนสของสโมสรกับพวกอัตสึมุกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นพรม สองตาจ้องเขม็งไปที่โทรศัพท์เครื่องแพงในมือ อย่างที่ฟอสเตอร์บอกเอาไว้ว่าสัปดาห์นี้พวกนักกีฬาต้องเริ่มทำงานร่วมกับทีมเทรนเนอร์เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการแข่งที่จะถึงนี้ให้มากที่สุด และตารางนัดพบเทรนเนอร์ก็เพิ่งจะถูกส่งเข้ามาผ่านทางอีเมลโดยฝีมือของผู้จัดการทีมเมื่อตอนเที่ยงนี่เอง


         ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดีมาแต่ไหนแต่ไร โบคุโตะจึงไม่เคยจู้จี้ว่าตัวเองจะถูกจับคู่กับเทรนเนอร์คนไหนหรือที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเขาจะเป็นใครเลยสักครั้ง เพียงแต่ว่าหนนี้ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเมื่อได้เห็นชื่อของ ‘มัลลิกา เฑียรมงคล’ ปรากฏอยู่ข้างหน้าชื่อของเขาในเอกสารพีดีเอฟฉบับนี้ แต่… ในความประหม่านั้นก็ยังแอบแฝงไปด้วยความดีใจจนชายหนุ่มแทบจะเก็บอาการไว้ไม่ได้


         ย้ายมาทำงานที่เดียวกันไม่พอ มัลลิกายังถูกจับคู่ให้มาเป็นที่ปรึกษาโภชนาการของเขาอีกหรือเนี่ย


         แบบนี้… จะเรียกว่าโชคชะตาเป็นใจได้หรือเปล่านะ


         “บังเอิญจริงนะโบคุโตะ ฉันเองก็ได้มะลิซังเป็นที่ปรึกษาเหมือนกับนายเลย~” อัตสึมุเดินดื่มน้ำเข้ามาพร้อมกับทอดเสียงใส่อย่างยียวนกวนประสาทเป็นพิเศษ


         โบคุโตะตวัดตามองเซตเตอร์ของทีมอย่างไม่สบอารมณ์นัก ความรู้สึกที่กำลังพองโตในใจเมื่อครู่ถูกทำลายลงไปในพริบตา


         สึมุนะสึมุ! ปล่อยให้เขาเพ้อสักนิดสักหน่อยมันจะขาดใจตายหรือไง?!


         ถูกแล้ว ไม่ใช่แค่โบคุโตะคนเดียวหรอกที่ได้มัลลิกาเป็นที่ปรึกษา


         เนื่องจากว่าทีมเทรนเนอร์มีนักโภชนาการกีฬาอยู่แค่สองคนคือฮอนโด เอจิ กับ มัลลิกา เฑียรมงคลเท่านั้น จึงทำให้พวกเขาต้องรับนักกีฬาจำนวนมากไปดูแลกันแบบครึ่งต่อครึ่ง ไม่เหมือนเทรนเนอร์ออกกำลังกายที่มีอยู่ด้วยกันตั้งสามคน ภาระงานและจำนวนคนที่ต้องจัดการจึงไม่หนักหนาเท่าสองคนนั้นเท่าไหร่ เพราะงั้นจะเรียกว่าโบคุโตะถูกจับคู่กับมัลลิกาก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าเขาถูกจับให้ไปอยู่ใน ‘กลุ่มของมัลลิกา’ ถึงจะถูกกว่า และหนึ่งในกลุ่มนั้นก็มีอัตสึมุอยู่ด้วย รวมไปถึงรุ่นพี่ในทีมคนอื่นๆ อีกเช่นกัน


         “แล้วเวทเทรนเนอร์ของนายเป็นใครล่ะโบคุโตะ” อัตสึมุยังคงถามต่อไป


         “โจชัว เฟรย์น่ะ” โบคุโตะตอบพร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้ง ก่อนจะกดปิดหน้าจอมือถือแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกงสำหรับออกกำลังกายที่ตัวเองสวมอยู่ไปด้วย


         “เห~ ฝรั่งผมทองตาฟ้าคนนั้นใช่ไหม จะไหวเหรอนาย”


         “ทำไมจะไม่ไหวเล่าสึมุ!” โบคุโตะโวยวาย


         “เอาเถอะๆ ฉันก็แกล้งแหย่นายเล่นไปงั้นแหละ” เซตเตอร์ตัวดีโบกมือเพื่อเป็นการบอกว่าตนไม่แกล้งแล้วก็ได้ ก่อนที่จะหันไปคุยกับอีกสองหนุ่มที่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่บนลู่ “โอมิคุง โชโยคุง ฝั่งพวกนายล่ะได้จับคู่กับเทรนเนอร์คนไหนบ้าง”


         “เวทเทรนเนอร์ของผมเป็นวาตานาเบะซังครับ ส่วนนักโภชนาการก็ได้ฮอนโดซังมาช่วยดูแล” ฮินาตะตอบขณะวิ่งไปด้วย


         “ของฉันเป็นโอมุระซังกับฮอนโดซัง” ซาคุสะที่กำลังวิ่งอยู่เช่นเดียวกันตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความตื่นเต้นเลยสักนิด


         “เหรอ— งั้นในรุ่นเราก็มีแต่ฉันกับโบคุโตะสินะที่มีนักโภชนาการเป็นมะลิซังเหมือนกันแบบนี้”


         “เอ๋?! แบบนี้ก็ลัคกี้ไปเลยสิครับโบคุโตะซัง” ฮินาตะถึงกับหยุดวิ่งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น


         หลังจากที่เล่าเรื่องเมื่อสมัยม. ปลายให้ฟังไปจนหมดเปลือกที่ร้านกาแฟวันนั้น สามคนนี้ก็ดูจะพร้อมใจกันปวารณาตัวเองเป็นกองเชียร์และกามเทพจำเป็นให้โบคุโตะกับมัลลิกากันถ้วนหน้า ใช่แล้ว เขาหมายรวมถึงซาคุสะด้วยนั่นแหละ แม้ว่ารายหลังจะสงวนท่าทีมากกว่าอัตสึมุและฮินาตะก็ตาม


         “ลัคกี้แล้วไงโชโยคุง หมอนี่เจอมะลิซังทีไรก็ดีแต่หน้าแดง อ้าปากพะงาบๆ อย่างกับปลาทอง”


         “สึมุ! อย่ามาดูถูกกันนะ! แล้วฉันก็ไม่ใช่ปลาทองด้วย!” โบคุโตะโวยกลับอย่างไม่ยอมรับ


         เซตเตอร์หนุ่มกลอกตา “นายน่ะมันปากดีโบคุโตะ ฉันเข้าใจนะถ้านายจะประหม่าบ้างนิดๆ หน่อยๆ เพราะมะลิซังน่ะหน้าตาดี ผมก็ยาว ตาก็โต ครบสูตรสาวหวานที่หวานทั้งหน้าตา น้ำเสียงและก็นิสัย แถมเขายังเป็นคนที่นายไม่เคยลืมมาตลอดห้าปีอีก แต่ถ้าขืนนายยังเอาแต่เสียอาการทุกครั้งที่เข้าใกล้เขาแบบนี้ละก็ มีหวังมะลิซังได้หลุดมือนายไปอีกชัวร์”


         โบคุโตะหน้าเสียทันทีกับคำขู่นั้น


         “ไม่ได้อยากซ้ำเติมนายหรอกนะ และฉันก็ไม่ได้ชอบที่ต้องเออออไปกับมิยะด้วย” ซาคุสะกดปุ่มเพื่อให้ลู่วิ่งหยุดทำงาน ร่างสูงโปร่งแข็งแรงก้าวลงมายืนบนพื้นดีๆ ก่อนจะเข้าประเด็นจริงจัง “นายน่ะ ดูจะไม่เป็นตัวของตัวเองเอามากๆ เลยตอนที่อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้น อะไรที่เคยเป็นตอนปกติก็ดูจะอันตรธานหายไปหมดอย่างกับเป็นคนละคน”


         “โอมิคุงพูดถูก จะว่าประหม่าเพราะไม่ค่อยได้คุยกับผู้หญิงก็ไม่ใช่ นายเคยควงนางแบบมาก่อนสองคนไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นก็เห็นคุยได้ปกติดีนี่”


         โบคุโตะหน้าแดงขึ้นมาทันทีก่อนจะเถียงออกไปเสียงดัง “ก็พวกเธอไม่ใช่มะลินี่!”


         “แล้วมะลิซังแตกต่างจากมนุษย์ผู้หญิงคนอื่นตรงไหนงั้นเหรอหืม? เขามีปีกงอกออกมาจากหลังหรือไง หรือว่าถ้าจ้องตาเกินห้าวิ นายจะกลายเป็นหิน หืม?”


         “นายไม่เคยมีความรักจะมารู้อะไรเล่าสึมุ?!”


         “คุณพระ! โบคุโตะพูดคำว่ารักออกมาแหละ!” อัตสึมุเอามือทาบแก้ม ทำท่าสะดุ้งอย่างโอเวอร์


         “อย่าเล่นสิครับมิยะซัง! พวกเราก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าโบคุโตะซังจริงจังเรื่องของมะลิซังมากแค่ไหน” ฮินาตะเอ็ดรุ่นพี่ผมทองเข้าให้


         “ไม่มีอะไรให้นายต้องกลัวแล้วโบคุโตะ” ทั้งสามหนุ่มหันไปมองซาคุสะกันเป็นตาเดียว ทว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมหยักศกสีดำที่ในยามนี้ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าเหมือนทุกทีก็หาได้สนใจสายตาของเพื่อนร่วมทีมแต่อย่างใด เขาเอ่ยต่อไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและมั่นคง “ห้าปีมันนานมากนะ นายไม่คิดเหรอว่าตัวเองควรจะทำอะไรให้คืบหน้าบ้าง”


         “โอมิคุง! มามุกไหนเนี่ย ปกติไม่ค่อยสนใจแท้ๆ” อัตสึมุยกมือทาบอก บางทีซาคุสะก็ชอบทำให้คนอื่นประหลาดใจอยู่เรื่อย ใครจะไปคิดว่าเจ้าตัวจะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของโบคุโตะมากขนาดนี้


         ตาโตสีนิลตวัดมองเซตเตอร์ตัวดีอย่างมุ่งร้าย “ยิ่งโบคุโตะจัดการเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งน่ารำคาญน้อยลงเท่านั้น แข่งนัดแรกก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย จะปล่อยให้มันฟุ้งซ่านเรื่องผู้หญิงอยู่แบบนี้หรือไง”


         “เออ ก็จริงแฮะ” อัตสึมุพยักหน้าเห็นด้วย


         “พวกนาย! ฉันมืออาชีพพอน่า ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการแข่งหรอก” คนที่กำลังฟุ้งซ่านเรื่องผู้หญิงอย่างโบคุโตะรีบโต้แย้งข้อกล่าวหานั้นทันที


         “เอาเถอะครับโบคุโตะซัง หรือคุณไม่อยากคืนดีกับมะลิซังแล้ว” ฮินาตะเอียงคอถาม


         “โชโยคุง จะเรียกว่าคืนดีก็ไม่ถูกนะ ต้องเรียกว่าเริ่มจีบใหม่ถึงจะถูก” อัตสึมุรีบแก้


         “ไม่ๆ ต้องเรียกว่าจีบเฉยๆ หรอก เพราะที่ผ่านมาโบคุโตะยังไม่เคยเริ่มอะไรเลยต่างหาก” ซาคุสะเองก็พลอยร่วมวงแก้คำผิดไปด้วยอีกคน


         “สนุกกันใหญ่เลยนะพวกนาย” โบคุโตะหรี่ตาทำแก้มพองลมใส่เพื่อนทั้งสาม


         “โทษทีๆ” อัตสึมุยิ้มเผล่มาให้ “พวกฉันก็แค่อยากช่วยให้นายได้สมหวังเท่านั้นแหละ นายควรจะดีใจนะเพราะแม้แต่โอมิคุงก็ยังเอาด้วยเลย”


         “แต่ฉัน--”


         “จะมาแต่อะไรอีกเล่า! การที่จู่ๆ มะลิซังก็กลับมาเจอนายอีกหลังจากที่ผ่านไปนานห้าปี มันไม่สร้างแรงฮึดอะไรให้นายบ้างเลยเหรอ”


         โบคุโตะเงียบพร้อมกับเถียงอัตสึมุไปด้วยในใจ


         เขาต้องรู้สึกอะไรบ้างอยู่แล้วสิ คนเราจะมีโอกาสได้กลับมาเจอคนที่ตัวเองชอบสมัยมัธยมอีกครั้งบ่อยแค่ไหนกัน


         “เชื่อฉันเถอะนะโบคุโตะ จากที่สังเกตท่าทางของมะลิซังเวลาอยู่กับนาย ฉันว่าเขาเองก็น่าจะยังมีใจให้นายอยู่เหมือนกันนั่นแหละ”


         ตาสีทองช้อนมองอัตสึมุอย่างมีประกายความหวังเต็มที่ “นายคิดงั้นจริงเหรอ?”


         “ก็เออน่ะเซ่! เขาทั้งให้ท้ายนาย ตักอาหารให้นายคนเดียวทั้งที่ฉันกับฮินาตะก็ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ แท้ๆ เห็นได้ชัดเลยว่านายเป็นคนโปรดของเขาจริงๆ”


         “หรือบางที… มะลิอาจจะแค่เห็นว่าเราเคยเรียนอยู่ที่เดียวกันตั้งหนึ่งปี ก็เลยต้องดีกับฉันมากเป็นพิเศษก็ได้” เจ้านกฮูกจากที่ทีแรกดีใจอยู่แท้ๆ แต่ฉับพลันก็เปลี่ยนมาเป็นห่อเหี่ยวและหงอยเหงาเสียอย่างนั้น


         “โบคุโตะ! นี่นายสลับร่างกับโอมิคุงมาหรือไง?! ทำไมถึงได้มองโลกในแง่ร้ายจัง!”


         “ฉันก็แค่เผื่อใจเอาไว้ก่อนเท่านั้นเองสึมุ!”


         “คิดเผื่อไว้มันก็ดีอยู่หรอก แต่ในกรณีของนาย ทางเลือกที่ดีที่สุดมีแค่ทางเดียวคือลุยไปข้างหน้าเท่านั้น! อะไรที่ค้างคาอยู่ในใจจะได้หายไปสักทีไงเล่า”


         “แต่สึมุ… ฉันกับมะลิน่ะ--”


         เมื่อทนเห็นโบคุโตะอิดออดไม่ไหว ซาคุสะเลยก้าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “เฮ้ย! ฟังนะ— เรื่องที่นายทะเลาะกับเขาเสียใหญ่โตเมื่อตอนม. ปลายเป็นเรื่องที่กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว อีกอย่างมะลิซังก็ขอโทษนายอย่างจริงใจไปตั้ง ‘สองรอบ’ แล้วตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน แล้วนายก็บอกกับพวกฉันเองว่าไม่ได้โกรธเขาเรื่องนั้นแล้วด้วย ถูกไหม”


         โบคุโตะพยักหน้า ซาคุสะเลยกล่าวต่อไป


         “และจากที่ฉันเห็น มะลิซังเองก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บหรือโกรธเคืองอะไรนายเรื่องเมื่อตอนนั้นเหมือนกัน แล้วก็อย่างที่มิยะบอก เขาออกจะดีกับนายมากเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเลยว่าความรู้สึกของเขายังเหมือนเดิมอยู่ไม่มากก็น้อย”


         “โอมิคุง…” โบคุโตะโอดครวญอย่างคนขาดความมั่นใจ


         “ฉันรู้นะว่านายรู้ตัวตลอดว่าเวลาเมา ตัวเองจะชอบเพ้อหาชื่อของผู้หญิงคนนี้อยู่เรื่อย ในเมื่อวันนี้เขากลับมาอยู่ตรงหน้านายแล้ว ทำไมนายถึงไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะโบคุโตะ”


         ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีทองมองเพื่อนร่วมทีมคนนี้อย่างแปลกใจเล็กน้อย วันนี้ซาคุสะไม่เหมือนทุกทีเลยแฮะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ


         “ตอนนี้นายมีอยู่สองทางเลือกให้ตัดสินใจ” ซาคุสะยังคงกล่าวต่อไปพร้อมกับชูนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นมาตรงหน้า “ทางเลือกแรกจะทำให้นายห่างจากผู้หญิงคนนั้นมากขึ้น ส่วนทางที่สอง จะทำให้นายเข้าใกล้เขาได้มากกว่าที่เคยเป็น ทีนี้นายก็ถามใจตัวเองดูว่านายต้องการอะไรกันแน่ ว่าไงโบคุโตะ?”


         “สะ… สองสิ! ฉันต้องเลือกอย่างที่สองอยู่แล้ว” โบคุโตะสามารถตอบคำถามนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด สำหรับเขา คำตอบนี้มีอยู่ในใจมานานมากแล้ว


         ใบหน้าเรียบเฉยของซาคุสะฉายแววพอใจในที่สุด “ดี นายเองก็ไม่ได้งั่งขนาดไม่รู้ความต้องการของตัวเองนี่นะ ถ้าอย่างนั้นก็เลิกกลัวอะไรไม่เข้าท่าได้แล้ว คนเราไม่ได้โชคดีเหมือนนายทุกคนหรอกนะโบคุโตะ”


         “ใช่แล้วโบคุโตะ! ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายของโอมิคุงเท่าไหร่ก็เถอะ— แต่ไปทำให้มะลิซังเห็นว่านายเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแล้วเถอะนะ!” อัตสึมุที่เหมือนจะถูกซาคุสะแย่งซีนไปกล่าวสนับสนุนขึ้นมาอย่างไม่ยอมน้อยหน้า


         “อะ อื้ม!”


         “แล้วก็เลิกเสียทีไอ้นิสัยชอบประหม่าเสียอาการตอนอยู่ต่อหน้ามะลิซังเนี่ย”


         “พะ พูดง่ายแต่ทำยากนะสึมุ!”


         อัตสึมุจิ๊ปาก “นายต้องอดทนนะเพื่อน! เขาถึงได้เรียกมันว่าช่วงจีบกันไง ทุกอย่างจะประดักประเดิด ไม่รู้ว่าต้องจัดการตัวเองยังไง เวลาอยู่ด้วยกันก็จะวางตัวไม่ถูก แต่เชื่อฉันเถอะ ถ้าผ่านช่วงที่ยากที่สุดนี้ไปได้ นายก็จะสบายแล้ว!”


         “งะ… งั้นเหรอ?!”


         “ใช่! อย่างน้อยก็ไปทำให้เขารู้ตัวสักนิดว่านายเองก็ชอบเขาเหมือนกันก็ยังดี นายน่ะ… ยังไม่เคยบอกชอบเขาอย่างเป็นทางการเลยสักครั้งไม่ใช่เหรอ มีแต่มะลิซังที่ชิงสารภาพรักกับนายก่อนแล้วก็บินหนีกลับเมืองไทยไปเลย”


         ได้ยินอัตสึมุพูดแบบนั้นโบคุโตะก็ยิ้มเศร้าขึ้นมา


         ใช่… ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าชอบมัลลิกา โบคุโตะก็ยังไม่มีโอกาสได้สารภาพรักกับเธอเลยเพราะจับโกหกได้และโกรธจนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเข้าเสียก่อน และหลังจากที่ทะเลาะกันวันนั้น เขากับเธอก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย คนหนึ่งก็กลัวและรู้สึกผิดมากจนไม่กล้ามาสู้หน้า ไม่เคยมาดูหรือเชียร์เขาตอนแข่งฮารุโคครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ ส่วนเขาเองก็เอาแต่เล่นตัว มีทิฐิไม่เข้าเรื่องจนปล่อยเวลาให้ล่วงเลยถึงวันที่สาวน้อยคนนั้นต้องบินกลับประเทศบ้านเกิดไปในที่สุด ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โบคุโตะได้รู้ความจริงว่ามัลลิการู้สึกกับเขายังไง ตัวเขาในวัยสิบแปด ตัดสินใจตามไปส่งมัลลิกาที่สนามบินในนาทีสุดท้าย ทำได้แค่ยืนโบกมือให้เธอเหมือนคนไม่มีแรงจากที่ไกลๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ร่ำลาด้วยคำพูดด้วยซ้ำ สิ่งที่โบคุโตะได้กลับมามีเพียงรอยยิ้มและจดหมายฉบับหนึ่งที่มัลลิกาฝากพนักงานสายการบินคนหนึ่งให้นำมามอบให้เขาก่อนที่เธอจะต้องเดินเข้าเกทไป


         จดหมายที่เขียนอธิบายเหตุผลมากมายของการกระทำที่ผ่านมาของเธอว่าทำไมเธอถึงโกหก ทำไมเธอถึงยอมลำบากตื่นเช้ามาทำข้าวกล่องกับขนมให้เขาอยู่ได้ตั้งนมนาน ทำไมถึงยอมทำตามที่เขาขอให้ช่วยตั้งหลายครั้งทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้อยากทำ ในบรรดาเหตุผลทั้งหมดที่เด็กสาวคนนั้นเขียนมา มีคำบอกรักรวมอยู่ในนั้นด้วย…


         คำบอกรักที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้บอกตอบกลับไป และเขาก็บ้าพอที่จะจมอยู่กับความรู้สึกนี้มานานถึงห้าปีเต็ม ต่อให้เคยคบหาผู้หญิงคนอื่นมาบ้าง แต่ส่วนลึกในใจของโบคุโตะนั้น ยังคงมีเงาของใบหน้าหวานหยดและดวงตาสีดำล้ำลึกคู่นั้นที่ไม่อาจขจัดออกไปได้เสียที


         โบคุโตะสงสัยมาตลอด ว่าถ้าหากไม่มีเรื่องให้โกรธเคืองกันในตอนนั้น ถ้าหากได้รู้ความในใจของกันและกันเร็วกว่านี้ ทุกอย่างจะแตกต่างออกไปหรือเปล่า มันอาจจะฟังดูบ้าและยึดติดไม่เข้าเรื่อง แต่โบคุโตะก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ ว่าถ้าหากเป็นมัลลิกาที่อยู่ข้างเขา ทุกอย่างจะต้องออกมาดีแน่ๆ ขอแค่เป็นมัลลิกา ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์…


         “โบคุโตะซัง คุณมีวอยเชอร์ดูหนังอยู่ตั้งหลายใบไม่ใช่เหรอครับ วันหยุดนี้ก็ชวนมะลิซังไปดูหนังเสียเลยสิ!” เสียงของฮินาตะที่เสนอไอเดียขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบมานานนั้น ทำให้โบคุโตะหลุดออกจากภวังค์ได้ในที่สุด


         “อื้ม! กู๊ดไอเดียนี่โชโยคุง!” อัตสึมุยกนิ้วโป้งไปให้น้องเล็กของทีม “แค่ชวนดูหนังง่ายๆ แค่นี้ นายทำได้ใช่ไหมโบคุโตะ?”


         หลังจากที่ฟังเพื่อนๆ พูดจาหว่านล้อมมานาน ในที่สุดโบคุโตะก็พยักหน้าคล้อยตามแรงเชียร์ในที่สุด


         “อืม ได้ ฉันจะ… ลองชวนดู”




    _________




         มัลลิกาที่วันนี้เลือกใส่ชุดสูทกางเกงขาห้าส่วนสีเบจมาทำงานดูสวยและน่ารักมากกว่าปกติในสายตาโบคุโตะเป็นอย่างมาก ตลอดการฟังบรรยายให้ความรู้เรื่องโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับนักกีฬานั้น ชายหนุ่มแทบจะไม่มีสมาธิฟังสิ่งที่ฮอนโดหรือมัลลิกาพูดเลยด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่นั่งเท้าคางมองนักโภชนาการสาวตาละห้อยเหมือนวัยรุ่นที่เพิ่งจะเคยมีความรักครั้งแรก


         เอาน่า ช่างหัวเรื่องโภชนาการเถอะ มันก็แค่การบรรยายในห้องประชุมเล็กแบบพอเป็นพิธีเท่านั้นเอง อย่างไรเสียเรื่องพวกนี้โบคุโตะก็เคยฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนี่นา


         “ผมมั่นใจว่าพวกคุณทุกคนคงมีตารางอาหารที่เหมาะสมเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เพราะพวกคุณไม่ใช่มือใหม่ แต่ถ้าหากว่ามีข้อสงสัยหรืออยากทราบอะไรเพิ่มเติมละก็ สามารถมาปรึกษาผมกับมะลิซังได้ตลอดที่ออฟฟิศของเราที่ชั้นสามนะครับ หรือจะส่งอีเมลมาถามก็ได้ถ้าไม่สะดวกมาด้วยตัวเอง— มะลิซังมีอะไรอยากเสริมหรือเปล่า” ฮอนโดที่สวมสูทมาในวันนี้เช่นเดียวกันหันไปถามรุ่นน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างกัน ซึ่งมัลลิกาก็ส่ายหน้าปฏิเสธไปเงียบๆ


         หนุ่มหน้าขาววัยสามสิบเห็นแบบนั้นก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้วครับ ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้”


         “โบคุโตะ จังหวะนี้แหละ เข้าไปชวนมะลิซังเลยสิ!” อัตสึมุโน้มตัวไปกระซิบเร่งโบคุโตะให้รีบลุกขึ้นไปหาคนตัวบางที่กำลังจัดการปิดสไลด์จากจอคอมพิวเตอร์หน้าห้องประชุมอยู่ทันที


         “เอ่อ… ตอน ตอนนี้เลยเหรอสึมุ คนอยู่เยอะเลยนะ” แม้จะเตรียมใจมาแล้ว แต่โบคุโตะก็ยังอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้อยู่ดี


         “โว้ย! เขินอะไรอยู่ได้เล่า”


         “ไว้ฉันค่อยชวนตอนไปหามะลิที่ออฟฟิศแล้วกันนะ” เจ้านกฮูกยังคงหาเรื่องผลัดวันไปได้อยู่เรื่อย


         “เผื่อนายไม่รู้ แต่มะลิซังเขาไม่มีออฟฟิศส่วนตัวหรอกนะ” ซาคุสะเอ่ยดักคอเสียงเรียบขณะที่กวาดตาอ่านตารางโภชนาการที่มัลลิกาเป็นเดินนำมาแจกให้ไปด้วย


         “หา?” โบคุโตะถึงกับหันขวับมามอง


         ตาโตสีดำเหลือบขึ้นมามองเพื่อนร่วมทีมอย่างจับผิด “นี่นายคิดจริงๆ ด้วยสินะว่าจะได้เข้าไปหามะลิซังในออฟฟิศแบบสองต่อสองน่ะ”


         “ซาคุสะซังพูดถูกนะครับโบคุโตะซัง โอกาสนี้แหละเหมาะสุดแล้ว ไม่มีใครสงสัยแน่นอนว่าคุณจะชวนมะลิซังไปเดทหรือเปล่า”


         “ใช่ มองจากไกลๆ ก็คงคิดว่านายกำลังถามเขาเรื่องอาหารการกินเสียมากกว่า” อัตสึมุรับส่งเป็นลูกคู่กับฮินาตะอย่างดี


         “เอ่อ… งั้นเหรอ” โบคุโตะถามอย่างไม่มั่นใจนัก ชายหนุ่มไม่ได้อายถ้าหากจะมีใครรู้เพิ่มขึ้นว่าเขาหลงรักนักโภชนาการสาวของทีม เพียงแต่ว่า… การที่บุคลากรที่ทำงานที่เดียวกันจะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้ถูกเพ่งเล็งแบบไม่จำเป็นได้ โบคุโตะเลยอยากจะเซฟชื่อเสียงและความสบายใจของมัลลิกาให้มากที่สุดก็เท่านั้น


         “เอางี้! ฉันนำหน้าไปให้ก่อน นายก็ตามหลังมาแล้วทำเนียนๆ ไป โอเค?” ว่าจบ ร่างสูงของอัตสึมุก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหามัลลิกาโดยไม่รอฟังคำตอบหรือรอให้โบคุโตะพยักหน้าแต่อย่างใด ทำให้ฝ่ายหลังต้องรีบลุกตามไปอย่างช่วยไม่ได้


         “มะลิซังครับ” เซตเตอร์หนุ่มเรียกนักโภชนาการสาวอย่างสุภาพ


         “คะ?” ดวงหน้าหวานเงยหน้ามาคุยด้วยอย่างกระตือรือร้น ยิ่งพอเห็นว่าเป็นมิยะ อัตสึมุ หนึ่งในนักกีฬาที่อยู่ในความดูแลของเธอ หญิงสาวก็ยิ่งตั้งใจฟังเป็นพิเศษ


         “เอ่อ… คือ… ช่วงนี้ผมควรจะงดขนมหวานดีหรือเปล่าครับ” หนุ่มผมทองด้นสดเอาดื้อๆ ไปเลย ทั้งที่เจ้าตัวก็รู้อยู่แล้วว่าขนมไขมันเยอะเป็นของต้องห้ามสำหรับนักกีฬาอาชีพ แต่ดูเหมือนมัลลิกาจะไม่ได้รำคาญอะไรที่ต้องมาให้ข้อมูลซ้ำๆ ที่สามารถหาอ่านได้จากอินเทอร์เน็ตแบบนี้


         “ถ้าเป็นขนมหวานที่มีน้ำตาลกับไขมันเยอะๆ ละก็ควรค่ะ ฉันขอแนะนำของขบเคี้ยวที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ อย่างแครกเกอร์ธัญพืช เนยถั่ว หรือไม่ก็โยเกิร์ตแทน ทานได้ทั้งก่อนและหลังเล่นกีฬาเลยค่ะ”


         “อ๋อ” อัตสึมุทำทีเป็นพยักหน้าเข้าใจ “แล้วมีอาหารแบบไหนที่มะลิซังแนะนำให้ทานเพิ่มเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”


         มัลลิกายิ้มใจดีมาให้ก่อนจะอธิบายช้าๆ “คำแนะนำของฉันก็คือ อย่าเลิกทานอาหารที่กินเป็นประจำ และอย่าเพิ่มของแปลกที่ไม่เคยทานค่ะ ร่างกายเราจะปรับตัวไม่ทันและอาจจะส่งผลต่อลำไส้ด้วย พวกคุณเป็นนักกีฬาอาชีพที่ฝึกฝนร่างกายมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ร่างกายจดจำระบบที่สร้างเอาไว้มานานเป็นอย่างดีแล้วล่ะค่ะ ขอแค่คุมปริมาณสารอาหารตามตารางที่ฉันปริ้นท์มาแจกอย่างเหมาะสมกับน้ำหนักและความต้องการของร่างกายก็ใช้ได้แล้วค่ะ”


         “เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะมะลิซัง” อัตสึมุพลอยยิ้มตามไปกับหญิงสาวด้วยซะงั้น น้ำเสียงเนิบๆ หวานๆ และวิธีการพูดของมัลลิกา ฟังแล้วทำให้รู้สึกดีและสบายใจชะมัด ชักจะเข้าใจแล้วสิว่าทำไมโบคุโตะถึงได้จะเป็นจะตายเพราะผู้หญิงคนนี้


         “ยินดีค่ะ— จริงสิ วันก่อนนี้ขอบคุณมากนะคะที่แนะนำร้านมิยะโอนิกิริให้ อร่อยมากๆ เลยค่ะ” มัลลิกาเอ่ยถึงร้านของฝาแฝดมิยะขึ้นมา


         “เหรอ ไว้จะไปบอกซามุให้นะ”


         “งั้น… ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับไปทำงานต่อก่อนนะคะ”


         “เอ้ย! เดี๋ยวสิครับมะลิซัง โบคุโตะเองก็มีเรื่องอยากถามเหมือนกันครับ!” อัตสึมุรีบรั้งหญิงสาวเอาไว้ทันควัน ก่อนจะควานมือไปด้านหลังแล้วดึงแขนของเจ้านกฮูกบ้าให้เดินออกมาประจันหน้ากับคนตัวบางในที่สุด แถมยังไม่วายหยิกแขนโบคุโตะเข้าให้หนึ่งทีเพื่อเรียกสติหมอนี่ให้หายอ๊องและแสดงความกล้าออกมาได้แล้ว


         “เอ่อ มะลิ” โบคุโตะพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สะดุ้งแรงจนเกินไปหนัก แต่ให้ตายสิ สึมุหยิกเจ็บชะมัด!


         “คะ โบคุโตะซัง? ถามมาได้เลยค่ะ” มัลลิการอฟังคำถามอย่างตั้งใจ


         หัวสมองของโบคุโตะแล่นเร็วจี๋พร้อมกับคิดหาคำถามนำร่องไปก่อนอย่างลนลาน “คือ… เอ่อ… มะลิว่าฉันควร…”


         “มะลิจัง เดี๋ยวฉันขอไปดูความเรียบร้อยที่แคนทีนก่อนนะ ฝากมะลิจังขนเอกสารกับแล็ปท็อปกลับไปที่ออฟฟิศทีได้ไหม” ขณะที่โบคุโตะกำลังอ้ำอึ้งอยู่นั่น ฮอนโดก็ขัดจังหวะฝากงานมัลลิกาขึ้นมาเสียก่อน


         “เอ่อ ให้ฉันไปด้วยไหมคะฮอนโดซัง”


         คนเป็นรุ่นพี่โบกมือพร้อมกับสั่นศีรษะเบาๆ “ไม่ต้องหรอก แค่มีปัญหาเรื่องวัตถุดิบอีกนิดหน่อยน่ะ”


         “อ๋อ… ค่ะ” คนเป็นรุ่นน้องพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจโบคุโตะที่ยืนกุมมืออย่างสงบเสงี่ยมและเรียบร้อยต่อ “ขอโทษค่ะโบคุโตะซัง เมื่อกี้คุณพูดถึงไหนแล้วนะคะ”


         “เอ่อ… มะลิยุ่งอยู่หรือเปล่า ต้องรีบไปทำงานใช่ไหม ฉันไม่กวนก็ได้นะ”


         หญิงสาวส่ายหน้าและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็แค่เขียนรายงานและออกแบบเมนูของสัปดาห์หน้าเท่านั้นเอง”


         “งั้น— ฉันช่วยขนของไปส่งมะลิที่ออฟฟิศให้แล้วกันนะ” โบคุโตะอาสาเปลี่ยนเรื่องทันที ยังไงเขาก็อยากคุยเรื่องนี้กับมัลลิกาแบบสองต่อสองมากกว่าจริงๆ นั่นแหละ


         “เอ๊ะ? ฉันไม่กล้ารบกวนหรอกค่ะ”


         “ไม่เลย! ไม่รบกวนสักนิด! มีแค่แล็ปท็อปกับแฟ้มเอกสารพวกนี้ใช่ไหม”


         “ค่ะ… มีแค่นี้ค่ะ”


         ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะกอบโกยทุกอย่างเข้ามาถือไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงของตัวเองเสร็จสรรพ “เรียบร้อย! นำทางไปได้เลยมะลิ”


         เมื่อเห็นว่าคงปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้แล้ว มัลลิกาเลยได้แต่เลยตามเลย เดินนำนักกีฬาคนดังขึ้นลิฟต์ไปที่ออฟฟิศของเธอกับฮอนโดที่อยู่สุดทางเดินปีกขวาของชั้นสามนั่นเอง


         “แล้ว… เรื่องที่คุณจะถามฉันเมื่อกี้ล่ะคะ” หญิงสาวถามขึ้นมาระหว่างที่เดินออกมาจากลิฟต์


         “เอ่อ ฉัน… ลืมไปแล้วล่ะ” โบคุโตะโกหกเอาดื้อๆ พร้อมกับหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน “เอาไว้ถ้านึกออกค่อยส่งเมลถามมะลิอีกทีแล้วกันนะ”


         “เอางั้นก็ได้ค่ะ— ส่วนของก็วางไว้บนโต๊ะฉันได้เลยนะคะ” หญิงสาวผายมือไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ซึ่งโบคุโตะก็ทำตามนั้น


         ตาสีทองแอบสำรวจโต๊ะทำงานของมัลลิกาเงียบๆ อย่างสนใจ จะว่ารกก็ไม่ใช่ แต่จะว่าเรียบร้อยสะอาดสะอ้านก็ไม่เชิง มันก็เหมือนกับโต๊ะพนักงานออฟฟิศทั่วไปนั่นแหละ มีคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องตั้งเอาไว้ กล่องใส่ปากกาที่เป็นแบบพลาสติกใส มีฟิกเกอร์จิ๋วของเดกุและบาคุโก— ตัวละครหลักจากอนิเมะเรื่อง ‘มายฮีโร่ อคาเดเมีย’ ตั้งเอาไว้คู่กันอยู่ตรงฝั่งซ้ายของโต๊ะทำงาน ส่วนพื้นที่ทางฝั่งขวาทั้งหมดนั้นรกไปด้วยเอกสาร แฟ้มและหนังสือสองสามเล่มที่วางเรียงกันอยู่อย่างยุ่งเหยิง


         ตอนนั้นเองที่หนังสือเล่มบนสุดสะดุดตาโบคุโตะเข้าอย่างจัง ชายหนุ่มมองออกทันทีว่ามันเป็นพจนานุกรมญี่ปุ่น-อังกฤษที่สภาพปกและกระดาษเนื้อในค่อนข้างเก่าและเยิน บ่งบอกว่าผ่านการเปิดและใช้งานมาแล้วอย่างสมบุกสมบันแค่ไหน


         นี่มันพจนานุกรมที่เขาเคยซื้อให้มัลลิกาเมื่อตอนที่เธอมาแลกเปลี่ยนที่ฟุคุโรดานินี่นา


         ยังเก็บไว้อยู่เหรอ


         “โต๊ะรกไปหน่อย ขอโทษนะคะโบคุโตะซัง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับรีบเก็บปากกาที่วางระเกะระกะบนโต๊ะกลับเข้ากล่องพลาสติกใสอย่างเร่งรีบ รู้สึกอายนิดๆ เหมือนกันที่ต้องให้ชายหนุ่มมาเห็นมุมไม่เรียบร้อยของตัวเองอย่างนี้


         “มะลิ อันนี้… ใช่พจนานุกรมที่ฉันเคยซื้อให้มะลิหรือเปล่า” นิ้วเรียวขาวผ่องของชายหนุ่มจิ้มไปที่หนังสือเล่มนั้นแล้วเอ่ยถาม


         “เอ่อ… ค่ะ ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับพยายามหลบตาชายหนุ่มไปด้วย ในขณะที่ร่างสูงนั้นกลับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของมัลลิกานิ่งนาน


         ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่พอได้รู้ว่าหญิงสาวยังเก็บของที่เขาซื้อให้อยู่จนถึงปัจจุบัน ใจของโบคุโตะก็รู้สึกนิ่งและมั่นคงขึ้นอย่างประหลาด พลอยทำให้ชายหนุ่มมีความกล้ามากพอที่จะพูดออกไปอย่างไม่ลังเลอะไรอีก


         “มะลิ วันเสาร์นี้ไปดูหนังกับฉันไหม”


         “คะ?” ตาโตสีดำหันมาจ้องตอบอย่างตกใจ


         “พอดีว่า… ฉันมีวอยเชอร์ตั๋วหนังฟรีอยู่สองใบพอดีน่ะ แล้วพวกสึมุก็ไม่มีใครยอมมาดูเป็นเพื่อนเลย ต้องรีบใช้ภายในอาทิตย์นี้ด้วย ถ้าปล่อยให้ตั๋วอีกใบเสียไปฟรีๆ ก็เสียดายน่ะ เพราะงั้น มะลิไปกับฉันเถอะนะ”


         อืม ถ้าใจนิ่งพอ เขาเองก็เนียนใช้ได้เหมือนกันแฮะ โบคุโตะอดไม่ได้ที่จะชมตัวเอง


         ฝั่งมัลลิกานั้น หญิงสาวกำลังตั้งตัวไม่ทันกับเหตุการณ์ปุบปับตรงหน้า สมองของเธอรวนไปหมดก่อนที่ปากจะพูดคำตอบที่ไม่ทันได้คิดให้ดีออกมา “เอ่อ… ขอ… คิดดูก่อนนะคะ”


         โบคุโตะอึ้ง


         ขอคิดดูก่อนเหรอ ทำไมถึงต้องคิดล่ะ? !


         ไม่สิ โบคุโตะแย้งตัวเองในใจ แค่นี้แกก็ได้คำตอบแล้วไม่ใช่เหรอโบคุโตะ การขอคิดดูก่อนก็คือการปฏิเสธแบบอ้อมๆ ไงว่าเธออาจจะไม่ไป!


         คิดได้แบบนั้นโบคุโตะก็คอตกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันตา


         หึ หลงตัวเองชะมัด ผ่านไปตั้งห้าปีแบบนี้ แกยังหวังอีกเหรอว่าความรู้สึกมัลลิกาจะยังเหมือนเดิม


         “งั้นก็… ไม่เป็นไร ฉัน… ไปก่อนนะมะลิ”


         “เอ่อ… โบคุ--” มัลลิกาที่เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวถึงสถานการณ์ปัจจุบันทำหน้าเลิ่กลั่ก ปากอิ่มเผยอออกหมายจะเรียกรั้งอีกฝ่ายเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน เพราะโบคุโตะหันหลังเปิดประตูเดินออกไปโน่นแล้ว ทิ้งให้ร่างบางได้แต่ยืนนิ่งจมอยู่กับความคิดสับสนวุ่นวายที่จัดลำดับไม่ถูกอยู่แบบนั้น


         เมื่อกี้ โบคุโตะเพิ่งจะชวนเราไปดูหนังงั้นเหรอ


         ดูหนัง…


         ดูหนัง…


         ดูหนังเนี่ย… ก็จัดว่าเป็นเดทอย่างหนึ่งสินะ


         เดท…


         แบบนี้ก็เท่ากับว่า… โบคุโตะซังชวนเราไปเดทงั้นสิ


         เดท…


         …


         เฮ้ย!


         จู่ๆ ในหูมัลลิกาก็คล้ายกับมีเสียงระเบิดดังตูมขึ้นมาพร้อมกับแก้มนวลที่ร้อนวาบไปหมด ก่อนที่มือบางจะลนลานหยิบมือถือขึ้นมาแล้วส่งข้อความไปหาอาคาอาชิ



    ลา มะลิลา:

    อาคาอาชิคุง!

    หรือว่าบางที

    โบคุโตะซังจะชอบฉันงั้นเหรอ



         ไม่ถึงนาทีข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว



    กัมบาเระ เคจิ:

    ครับ เขาชอบคุณครับ


         

         ร่างบางถึงกับทรุดลงไปนั่งบนพื้นเย็นๆ ในออฟฟิศราวกับคนไม่มีแรง นิ้วที่กดพิมพ์ข้อความเริ่มจะสั่นเล็กน้อย



    ลา มะลิลา:

    ไม่ได้ทำงานอยู่เหรอ


    กัมบาเระ เคจิ:

    ทำครับ แต่คุยไลน์ได้

    ผมนั่งรออาจารย์อุไดปั่นต้นฉบับตอนล่าสุดอยู่


    ลา มะลิลา:

    เรื่องโบคุโตะซังน่ะ

    อาคาอาชิคุงไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม


    กัมบาเระ เคจิ:

    ไม่ครับ

    จะโกหกทำไมล่ะ

    เขาชอบคุณจริงๆ

    จำที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ได้ไหม ว่าอย่าไปถือสาถ้าหากโบคุโตะซังจะทำท่าทางแปลกๆ ไปบ้าง

    เพราะผมรู้ว่าเขาชอบคุณมาก ผมเลยกังวลว่าเขาอาจจะทำอะไรเสียมารยาทตอนที่อยู่กับคุณไงครับ

    สงสัยเขาจะทำจริงๆ ด้วยสินะ คุณถึงได้ไลน์มาหาผมแบบนี้

    ขอโทษแทนโบคุโตะซังด้วยนะครับ


    ลา มะลิลา:

    เปล่านะ!

    โบคุโตะซังไม่ได้เสียมารยาทอะไรเลย!

    เขาแค่ ชวนฉันไปดูหนังวันเสาร์นี้เท่านั้นเอง


    กัมบาเระ เคจิ:

    เหรอครับ

    งั้นก็ดีแล้วนี่

    คุณจะไปใช่ไหมครับมะลิซัง


    ลา มะลิลา:

    คือฉัน

    ตอบไปว่าขอคิดดูก่อนน่ะ

    กัมบาเระ เคจิ:

    แค่ไปดูหนัง ทำไมถึงต้องคิดดูก่อนครับ


    ลา มะลิลา:

    ก็ฉันตกใจนี่นา!

    ไม่นึกมาก่อนเลยว่าโบคุโตะซังจะชอบฉันเหมือนกัน


    กัมบาเระ เคจิ:

    มะลิซัง

    ผมจะบอกคุณให้ชัดเจนอีกครั้งนะครับ

    โบคุโตะซังชอบคุณครับ

    ชอบมานานมากแล้วด้วย



         พออาคาอาชิยืนยันแบบนั้น มัลลิกาก็ถึงกับทนไม่ไหวต้องลงไปนอนแหมะบนพื้นประหนึ่งว่าร่างกายนั้นได้กลายสภาพเป็นของเหลวไปแล้วเรียบร้อย ถ้าเป็นในการ์ตูนล่ะก็ เนื้อตัวเธอจะต้องแดงแจ๋และมีควันลอยออกมาด้วยแน่นอนเพราะตอนนี้เธอทั้งเขินทั้งอายไปหมดแล้ว


         “มะลิจัง!? เป็นอะไรไปน่ะ!” ฮอนโดที่เพิ่งกลับเข้าออฟฟิศมาถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างของรุ่นน้องสาวนอนหมอบอยู่แบบนั้น


         “คะ?! ปละ เปล่าค่ะ ไม่เป็นไรค่ะรุ่นพี่” คนตัวบางรีบลุกขึ้นจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เข้าที่ พวงแก้มซับสีแดงเรื่อเพราะเผลอปล่อยโก๊ะ ทำตัวพิลึกตลกๆ ออกมาเสียได้


         ตาโตคมของเอจิกะพริบปริบๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เห็นอีกฝ่ายผุดลุกขึ้นมาได้อย่างกระฉับกระเฉงและแข็งแรงดีแบบนั้นก็คิดว่าคงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงนัก ชายหนุ่มเลยปล่อยไปแล้วกลับไปนั่งพิมพ์รายงานที่โต๊ะตัวเองต่อ ส่วนหญิงสาวที่เพิ่งจะสำนึกได้ว่าตัวเองต้องรีบไปแก้ไขทุกอย่างกับโบคุโตะให้ถูกต้องเสียก่อนก็เริ่มลนลาน


         ตอนนี้เขาคงอยู่ที่โรงยิมใหญ่แล้วแน่ๆ แต่อาจจะยังไม่เริ่มซ้อมดี ถ้าวิ่งไปก็อาจจะทันล่ะมั้ง


         “เดี๋ยวฉันกลับมานะคะรุ่นพี่!”


         ฮอนโดเหลือบมองรุ่นน้องนิ่งๆ แต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แกมอนุญาต “ไปเถอะ”


         ร่างบางก้มหัวขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะถลาตัววิ่งออกจากออฟฟิศมุ่งหน้าไปยังโรงยิมใหญ่ที่อยู่ห่างจากตึกสำนักงานไปอีกฟากหนึ่งอย่างเร็วจี๋ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นนักวิ่งกรีฑาเหรียญทอง โดยที่ลืมไปเลยว่าตอนนี้เธอกำลังใส่รองเท้าส้นสูงอยู่แท้ๆ


         “ขออนุญาตค่ะ!” เสียงหวานตะโกนออกไปทันทีที่ผลักประตูโรงยิมเข้าไปได้ อันที่จริง… ทุกอย่างที่มัลลิกาทำอยู่นี้ไม่ได้ผ่านการตระหนักรู้หรือไตร่ตรองใดๆ เลยด้วยซ้ำ ร่างกายทำไปโดยสัญชาตญาณล้วนๆ


         หนุ่มๆ ทุกคนในโรงยิมหันมามองนักโภชนาการสาวที่จู่ๆ ก็วิ่งหอบฮักมาถึงนี่กันเป็นตาเดียว ทำให้มัลลิกาชักจะรู้สึกอายขึ้นมาบ้างนิดๆ เสียแล้ว


         “มีอะไรเหรอมะลิซัง” โค้ชฟอสเตอร์ถามด้วยสีหน้าแปลกใจไม่แพ้กัน


         หญิงสาวทำหน้าเลิกลั่ก “คือว่า… ขอพบโบคุโตะซังสักครู่ได้หรือเปล่าคะ”


         โค้ชหนุ่มใหญ่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “มีธุระอะไรงั้นเหรอ”


         “เอ่อ…” หญิงสาวเริ่มเลิ่กลั่ก มือบางที่ทำทีล้วงกระเป๋าเสื้อสูทอยู่นั้นเจอเข้ากับกระดาษใบหนึ่งที่ตัวเองพับเก็บเอาไว้ตั้งแต่เช้า “คือว่าโบคุโตะซังลืมตารางโภชนาการเอาไว้ที่ออฟฟิศฉันน่ะค่ะ”


         มือบางทำเนียนดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากกระเป๋าแล้วโบกไปมา


         “งั้นเหรอ” ฟอสเตอร์ถาม ส่วนโบคุโตะที่ยังไม่หายเฮิร์ทก็งงไม่แพ้กันที่จู่ๆ มัลลิกาก็มาปรากฏตัวตามหลังเขาแบบนี้ แถมเอกสารที่ว่านั่น ไม่ใช่ว่ามันถูกพับเก็บอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาตอนนี้หรอกเหรอ


         “ค่ะ” หญิงสาวรีบพยักหน้ายืนยันแข็งขัน “พอดีว่าเมื่อกี้โบคุโตะซังช่วยถือของไปส่งฉันที่ออฟฟิศน่ะค่ะ สงสัยเพราะต้องรีบมาซ้อม ก็เลยเผลอลืมเอาไว้”


         “ก็สมกับเป็นโบคุโตะดีนะ” คนเป็นโค้ชไหวไหล่พร้อมกับขำเบาๆ ไปด้วย ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มเจ้าของผมเซ็ตตั้งสีบลอนด์เทา “รีบไปเอาเอกสารของนายคืนมาซะ แล้วก็รีบกลับมาวอร์มด้วย”


         “เอ่อ… ครับ” ร่างสูงเดินเข้าไปหามัลลิกาแบบสับสนนิดหน่อย ยิ่งพอหญิงสาวทำท่าให้เขาเดินห่างออกมาจากคนในทีมก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก


         “คือว่า… ตอนที่คุณชวนเมื่อกี้ ฉันตกใจไปหน่อย ปากก็เลยเผลอพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิดคำตอบจริงๆ น่ะค่ะ”


         นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างขึ้นทันทีอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินคนตัวเล็กพูดแบบนั้น


         “อ่อ งั้นเหรอ” โบคุโตะพยายามเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้อย่างเต็มที่


         “ค่ะ” เธอพยักหน้ากล่าวเสียงเบา


         “แล้ว… ตอนนี้มะลิคิดคำตอบจริงๆ ได้หรือยัง” ชายหนุ่มถามออกไปด้วยสีหน้ารอคอย


         ปากอิ่มเคลือบลิปสติกสีส้มอมน้ำตาลเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงก่อนจะพยักหน้ากลับไปและแจกแจงตารางเวลาสุดสัปดาห์ของเธอให้อีกฝ่ายฟัง “วันเสาร์ฉันมีเรียนภาษาตอนเช้า ถ้าเป็นไปได้… ก็ขอเป็นตอนบ่ายโมงนะคะ”


         โบคุโตะรู้สึกตัวเบาขึ้นมาทันที “อะ อืม! ได้สิ บ่ายโมงนะมะลิ”


         “ค่ะ”


         “เอ่อ แล้วเบอร์โทรของมะลิ…”


         “หืม? ในใบตารางนัดพบเทรนเนอร์ก็มีเบอร์ฉันเขียนบอกเอาไว้อยู่แล้วนี่คะ” คิ้วเรียวที่เขียนมาอย่างดีเลิกขึ้นราวกับจะบอกกลายๆ ว่าทำไมเขาถึงได้เซ่ออย่างนี้ ทำให้แก้มขาวของโบคุโตะขึ้นเป็นสีแดงจางๆ


         “เอ้อ— โอเค”


         “ส่วนไอดีไลน์… ขอจากอัตสึมุซังแล้วกันนะคะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยื่นกระดาษเอสี่ที่พับทบกันสามรอบส่งไปให้อีกฝ่าย “ช่วยรับกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ด้วยนะคะ”


         โบคุโตะรับมันมาอย่างงงๆ


         “อย่าให้ใครเห็นข้างในนะคะ” มัลลิกากำชับหน้าแดง “มันไม่ใช่ตารางโภชนาการอะไรนั่นหรอก…”


         “อืม ได้เลย” โบคุโตะกลั้นขำเอาไว้และรับปากเป็นอย่างดี


         “งั้น… ขอตัวก่อนนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาซ้อม” มัลลิกาเหมือนจะหน้าแดงกว่าเดิมยังไงไม่รู้


         “อ่อ ไม่เป็นไรหรอก”


         ร่างเล็กผงกหัวให้เล็กน้อยก่อนจะหันไปทำแบบเดียวกันให้โค้ชฟอสเตอร์ที่ยืนมองอยู่ไกลๆ แล้วถึงค่อยเดินออกไปทันที


         โบคุโตะเดินถือกระดาษแผ่นนั้นไปที่กระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงยิม ทำทีว่าจะเก็บมันเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย จังหวะที่ร่างสูงย่อตัวลงไปจะรูดซิปกระเป๋าออกนั้น ชายหนุ่มก็อดสงสัยไม่ได้จนต้องคลี่กระดาษในมือออกอ่าน กวาดสายตาอ่านเพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็ต้องยิ้มขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้


         อะไรเนี่ย นี่มันเนื้อเพลงจากเรื่องมายฮีโร่ อคาเดเมียไม่ใช่เหรอ


         มะลิเนี่ยตลกดีแฮะ



    ________


    T A L K


         กลับมาอยู่กับปัจจุบันกันเสียทีค่ะ หลังจากที่ท่องอดีตกันมาสี่ตอนยาวๆ ^^;

         เราอยากจะใส่ easter egg จากในอดีตเข้ามาในพาร์ทปัจจุบันเรื่อยๆ ตอนนี้พจนานุกรมที่โบคุโตะเคยซื้อให้ก็โผล่มาแล้วหนึ่งค่ะ มะลิยังเก็บเอาไว้ใช้อยู่เลย น้องไม่ยอมทิ้งค่ะ ;-; แล้วก็ ได้เขียนมุมตลกๆ โก๊ะๆ ของมะลิบ้างเสียที รวมไปถึงความเป็นติ่งอนิเมะของคุณเธอด้วย ยังจำได้ใช่ไหมคะว่าน้องเคยบอกเอาไว้ว่าน้องมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นเพราะชอบการ์ตูนญี่ปุ่นค่ะ ต่อให้โตแล้ว มะลิก็ยังชอบอยู่นะคะ อยากให้น้องยังมีมุมเด็กๆ อยู่ในตัวบ้างค่ะ ><

         ส่วนแก๊งมุสึบิก็ยังคงทำหน้าที่กองเชียร์ได้อย่างสมศักดิ์ศรีจริงๆ ค่ะ มากกว่านี้ก็จับโบคุโตะผูกโบไปประเคนให้มะลิแล้วนะ กร๊ากกกกกก


    #มะลิกับนกฮูก

    sun&moon

    28.06.2021

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×