ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Haikyuu!! - 縁と浮世は末を待て (Bokuto x oc) END

    ลำดับตอนที่ #13 : 5 ปีก่อน part 8 - ‘I'm afraid that bandaids are no good for heartache’

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 64





     

    Haikyuu!!

    縁と浮世は末を待て



     

      




    Haikyuu!!

    Bokuto x oc

     

     

     

    ***** Warning: แนะนำให้หาทิชชูหรือตุ๊กตาที่รักมากอดเพื่อเป็นกำลังใจในการอ่านตอนนี้ให้จบค่ะ ;-;

     

     

     

    (12)

    » ห้าปีก่อน «

    Part 8

    ‘I'm afraid that bandaids

    Are no good for heartache’


     

         “อาคาอาชิคุง…” เสียงของมัลลิกาที่ถามออกไปนั้นดูแผ่วเบามากกว่าในยามปกติ


         “ครับมะลิซัง?” เด็กหนุ่มขานรับเสียงเรียบ เวลานี้คู่หูประจำห้องหกกำลังช่วยกันระบายสีป้ายทางเข้าบ้านผีสิงซึ่งจะเป็นกิจกรรมของห้องในวันงานวัฒนธรรมโรงเรียนกันอยู่ตอนคาบว่างพอดี


         ปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบาๆ คล้ายกับไม่แน่ใจว่าควรจะถามออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเด็กสาวก็เลือกที่จะทำตามความตั้งใจแรกอยู่ดี “คือว่า… โบคุโตะซังเขา โกรธอะไรฉันหรือเปล่า”


         หนนี้อาคาอาชิยอมเงยหน้าขึ้นมาแต่โดยดี คิ้วดำเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ “ทำไมจู่ๆ ก็ถามแบบนั้นล่ะครับ”


         “ฉันก็แค่… รู้สึกว่าโบคุโตะซังพยายามหลบหน้าฉันอยู่ยังไงก็ไม่รู้”


         “ครับ?”


         “จริงๆ โบคุโตะซังก็ดูแปลกไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่ค่ายแล้วล่ะ ยิ่งพอกลับมาเรียนก็ยิ่งสังเกตเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก”


         “แต่ว่าที่ชมรมเขาก็ปกติดีนะครับ” อาคาอาชิเอ่ยแย้งอย่างเนิบนาบ


         “งั้นเหรอ” เด็กสาวชาวไทยห่อไหล่ลง หรือบางทีเธออาจจะคิดมากไปเองก็ได้ล่ะมั้ง


         เด็กหนุ่มผมดำยุ่งเหยิงนั่งคิดไปสักพักก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในที่สุด เขาหลับตา ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองดังเพี้ยะ!


         “มะลิซังครับ คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า”


         “เอ่อ-- อะไรงั้นเหรอ”


         ตาเรียวสีฟ้าครามจ้องบัดดี้สาวอย่างระอาใจเล็กน้อย “คุณจำไม่ได้หรือไงว่าคุณโกหกอะไรเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อนบ้าง”


         มัลลิกาถึงกับสะอึกขึ้นมาทันทีที่ถูกเตือนความจำ อาคาอาชิหมายถึงเรื่องที่เธอโกหกโบคุโตะเรื่องคิซากิ ฮานะเอาไว้แล้วยังไม่ได้สารภาพความจริงสินะ แต่… มันช่วยไม่ได้นี่นา ความสงบสุขในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้มัลลิกาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย


         “อาคาอาชิคุงหมายความว่า… โบคุโตะซังอาจจะรู้เรื่องที่ฉันโกหกแล้วอย่างนั้นเหรอ”


         เด็กหนุ่มไหวไหล่เบาๆ “ไม่รู้สิครับ อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ก็อย่างที่คุณเคยพูดเอาไว้ไม่ใช่เหรอครับว่าโบคุโตะซังไม่ใช่คนหัวทึบอะไร บางทีเขาอาจจะผิดสังเกตอะไรบางอย่างขึ้นมาจนปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาได้เองแล้วก็ได้”


         ดวงหน้าหวานซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งฟังที่อาคาอาชิพูดมัลลิกาก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจและกลัวความผิดเป็นกำลัง ซ้ำยังเผลอยกมือขึ้นมากัดเล็บอย่างเคยตัวอีกต่างหาก เรื่องนี้เด็กสาวไม่สามารถโทษใครได้เลย เธอผิดเองที่เริ่มเรื่องโกหกเอาไว้ตั้งแต่แรก และผิดซ้ำยิ่งกว่าตรงที่ไม่กล้าเข้าไปบอกความจริงกับโบคุโตะตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้


         “เรื่องนี้จะบอกว่าผมลืมเตือนคุณด้วยก็ใช่ที่ เพราะจริงๆ แล้วผมเองก็ขี้เกียจกดดันคุณให้เดินเข้าไปสารภาพแล้วด้วยเหมือนกัน” อาคาอาชิกล่าวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับก้มหน้าลงไประบายสีแดงเลือดบนตัวอักษรคาตาคานะบนป้ายต่อ “อีกอย่างคุณเองก็โตแล้ว คงจะรู้ว่าตัวเองควรทำยังไงเพื่อแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้องจริงไหมครับมะลิซัง”


         คำพูดของอาคาอาชิช่างซื่อตรงและเหน็บแนมได้อย่างแยบคายมากทีเดียว ทำเอามัลลิกาหน้าชาไม่น้อย แต่กระนั้นเด็กสาวก็โกรธอาคาอาชิไม่ได้เพราะรู้ดีว่าเธอนั้นเป็นอย่างที่อาคาอาชิว่ามาทุกคำ และที่เขาพูดแบบนี้ก็เพราะว่าหวังดีและอยากจะเตือนสติเธอด้วยเท่านั้นเอง


         มัลลิการู้ว่าตัวเองควรทำอะไร เธอเองก็อยากบอกความจริงกับโบคุโตะเหมือนกัน เพียงแต่การจะพูดความจริงนั้นต้องอาศัยความกล้ามากกว่าที่คิด และอีกอย่าง… คุณเคยเป็นไหม เวลาที่เราอยากจะบอกความจริงใจแทบขาด แต่ก็ชอบมีอุปสรรคเข้ามาขัดจังหวะอยู่เรื่อยจนทำลายความกล้าที่เราอุตส่าห์รวบรวมมาแล้วแทบตายให้พังไม่เป็นท่า และเพราะโบคุโตะเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเรื่องฮานะอีกแล้ว ประกอบกับที่เขาเองก็ไม่เคยถามถึงเรื่องขนมหรือข้าวกล่องทำเองพวกนั้นกับมัลลิกาอีก เด็กสาวก็เลยเลือกที่จะปล่อยเบลอไม่รู้ไม่สนปัญหานี้ไปอย่างคนขี้ขลาดและมักง่าย กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านมานานมากเกินไปแล้ว มากจนทำให้การที่จู่ๆ จะเดินดุ่มเข้าไปสารภาพความจริงนั้นช่างดูประดักประเดิดเต็มทน


         ใช่! มัลลิการู้ดีว่าการคิดแบบนี้มันแย่มาก เธอเองก็ไม่ชอบเหมือนกันที่ต้องมาวนเวียนอยู่กับความพะวงแบบนี้


         “ฉันน่ะ… กลัวถูกโบคุโตะซังเกลียดจังเลยอาคาอาชิคุง”


         “…”


         มัลลิกายิ้มเศร้าออกไป “น่าสมเพชมากเลยใช่ไหม ทีตอนโกหกล่ะกล้าพูดออกมาได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่พอต้องพูดความจริงกลับเอาแต่ขี้ขลาดอยู่ได้”


         “อย่าว่าตัวเองขนาดนั้นเลยครับ คุณไม่ได้ผิดคนเดียวเสียหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะโบคุโตะซังทำตัวเอาแต่ใจกับคุณก่อน คุณก็คงไม่ต้องโกหกนานแบบนี้หรอก” อาคาอาชิก็ยังคงเป็นอาคาอาชิอยู่ดี ขนาดเพิ่งดุมัลลิกาไปหยกๆ เมื่อครู่ แต่พอสาวเจ้าทำเสียงหงอยๆ เข้าหน่อย เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะปลอบ “อย่าเอาแต่นึกเสียดายถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วเลยครับ ทำปัจจุบันนี้ให้ถูกต้องดีกว่า”


         “…”


         “ลองคิดในแง่ดีสิครับ— บางทีโบคุโตะซังอาจจะยังไม่รู้ความจริงทั้งหมดก็ได้ ถ้ารีบบอกความจริงเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาอาจจะไม่โกรธคุณนานมากนักก็ได้”


         มัลลิกายิ้มเจื่อนๆ อย่างไม่มั่นใจไปให้ แต่กระนั้นก็ยังยอมพยักหน้า ส่งเสียงรับปากแต่โดยดี และหนนี้เธอตั้งใจเอาไว้จริงๆ ว่าจะทำตามที่ตัวเองพูดเอาไว้ให้ได้



    _______


     

         ในวันพฤหัสบดีของอาทิตย์นั้น ก่อนเวลาเลิกเรียนมาถึง ท้องฟ้าก็มืดครึ้มไปด้วยก้อนเมฆสีเทามหึมาที่ค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วทุกหนแห่งของท้องฟ้าในกรุงโตเกียว แค่เพียงไม่กี่อึดใจ ฝนเม็ดเล็กๆ ก็ตกเปาะแปะลงมาก่อนจะค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เหล่านักเรียนที่ติดตามพยากรณ์อากาศมาก่อนต่างก็พกร่มกันมาตั้งแต่เช้าอย่างเตรียมพร้อม เลยทำให้ไม่มีปัญหาให้ต้องเปียกปอนแต่อย่างใด ส่วนมัลลิกาที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ก็ต้องมาประสบปัญหายุ่งยากจากการไม่ยอมพกร่มมาด้วยเข้าเสียแล้ว


         “ผมไปส่งคุณให้ถึงสถานีก็ได้นะครับมะลิซัง ที่นั่นน่าจะพอมีร้านให้ซื้อร่มหรือไม่ก็เสื้อกันฝนได้อยู่” อาคาอาชิอาสาอย่างมีน้ำใจ


         “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉัน… กะจะรอเจอโบคุโตะซังก่อนน่ะ” มัลลิกาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างนุ่มนวล


         เด็กหนุ่มทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย “เหรอครับ?”


         คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ายืนยัน


         “อ้อ… ในที่สุดคุณก็จะยอมสารภาพความจริงแล้วสินะครับ” ริมฝีปากของอาคาอาชิแย้มยิ้มบางๆ ออกมาอย่างพอใจ


         “อืม ก็นะ--” ถึงน้ำเสียงจะยังมีความไม่มั่นใจอยู่ แต่มัลลิกาก็ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะบอกความจริงกับโบคุโตะให้ได้


         “งั้นก็โชคดีนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรหลังจากนี้ก็บอกผมได้เลยนะ”


         “อื้ม! ขอบคุณนะอาคาอาชิคุง”


         เด็กหนุ่มส่งยิ้มมาให้บัดดี้สาวอีกครั้ง ก่อนจะกางร่มสีน้ำเงินของตัวเองแล้วเดินออกไปทันทีหลังจากที่เปลี่ยนมาใส่รองเท้าหนังสีดำของตัวเองเสร็จแล้วเรียบร้อย


         หลังจากที่อาคาอาชิกลับไป มัลลิกาก็ยืนพิงตู้รองเท้าอยู่ตามลำพังเงียบๆ สองตาก็คอยมองหาร่างสูงใหญ่เจ้าของทรงผมเซตตั้งไฮไลท์สีบลอนด์เทาอันเป็นเอกลักษณ์ไปด้วย


         การรอคอยเต็มไปด้วยความประหม่า พาลให้เด็กสาวนั้นเหงื่อออกเต็มสองมือจนต้องคอยเช็ดมันเข้ากับกระโปรงนักเรียนสีเทาดำที่ตนสวมอยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับอากาศที่เย็นลงจากน้ำฝนและลมพายุระดับอ่อนที่พัดมา ทำให้ร่างโปร่งบางสั่นสะท้านเล็กน้อย เบลเซอร์สีเทาที่ใส่อยู่นั้นก็ดูเหมือนจะกันลมที่หนาวเสียจนบาดผิวในวันนี้ไม่ได้เลยสักนิด


         “โบคุโตะ นายไม่ได้เอาร่มมาด้วยหรือไง” เสียงนั้นเรียกให้มัลลิกาเงยหน้าขึ้นมาทันที


         “ฉันลืมหยิบมาน่ะสิ! บ้าเอ๊ย!” เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อสบถออกมาเบาๆ


         “ฉันกางร่มเดินไปกับนายไม่ได้หรอกนะ บอกไว้ก่อน”


         “งั้นคงต้องวิ่งฝ่าออกไปอย่างเดียวแล้วล่ะมั้งเนี่ย”


         “เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกนาย ยืนรอให้ฝนหยุดก่อนสิ” เพื่อนร่วมห้องของโบคุโตะเตือนกลายๆ


         “ไม่ล่ะ! ฉันต้องแวะไปที่คลินิกสัตว์ก่อนกลับบ้าน อีกอย่างนะ— แข็งแกร่งอย่างฉันไม่เป็นหวัดง่ายๆ หรอก!” โบคุโตะแย้งอย่างลำพอง เด็กหนุ่มถอดรองเท้าสีขาวสำหรับใส่ในอาคารเรียนออกแล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้านักเรียนสีดำตามเดิมแทน


         “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” โบคุโตะเอ่ยลาเพื่อนร่วมห้องสั้นๆ


         “เออ กลับดีๆ”


         พอได้จังหวะ มัลลิกาก็ก้าวขาออกไปทันทีพร้อมกับเรียกชื่อของอีกฝ่ายเอาไว้ “โบ… โบคุโตะซังคะ”


         ร่างสูงไม่ได้หยุดตามเสียงเรียก หนำซ้ำเขายังถอดเบลเซอร์ของตัวเองออกมากางคลุมศีรษะเอาไว้แล้ววิ่งย่ำน้ำฝนออกไปทันทีราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอเลยสักนิดเดียว


         “โบคุโตะซังคะ!” เด็กสาวเดินออกไปให้พ้นประตูทางเข้าตึกเรียนเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงเรียกเขาให้ดังขึ้นอีกหน่อย


         ร่างของเด็กหนุ่มในม่านฝนคล้ายกับจะหยุดฝีเท้าไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ก้าวขาวิ่งต่อไปเหมือนเดิมอยู่ดี


         มัลลิกายืนละล้าละลังอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนตามโบคุโตะออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว สายฝนเย็นเฉียบที่ตกลงมากระทบผิวหนัง เส้นผมและเสื้อผ้า คล้ายกับจะช่วยกระตุ้นความกล้าและบ้าบิ่นในตัวเธอให้ตื่นขึ้นมาได้บ้าง


         “โบคุโตะซังคะ! รอก่อนค่ะ!” หนนี้เสียงหวานสามารถดังฝ่าสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาได้อย่างชัดเจน ทำให้ฝีเท้าของเด็กหนุ่มต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งด้วยความคาดไม่ถึงว่ามัลลิกาจะวิ่งตากฝนตามเขาออกมาจริงๆ


         พอหันไปมองโบคุโตะก็เห็นร่างโปร่งบางในชุดนักเรียนวิ่งเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ จนตามทันกันในที่สุด ยังดีหน่อยที่เด็กหนุ่มวิ่งหลบเข้ามาอยู่ใต้เพิงร้านมินิมาร์ทแถวหน้าโรงเรียนพอดี สองหนุ่มสาวเลยไม่ต้องยืนประจันหน้ากันท่ามกลางสายฝนให้เนื้อตัวเปียกปอนเพิ่มมากไปกว่านี้


         “คือว่าฉัน… มีเรื่องอยากคุยด้วยค่ะ” เสียงหวานกล่าวนำขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ


         เด็กหนุ่มจ้องคนตัวเล็กตรงหน้านิ่งนานโดยไม่พูดจา ทำเอามัลลิกากังวลจนพูดต่อไม่ถูกและพาลเงียบไปด้วยอีกคน


         “เรียกให้หยุดแล้วทำไมไม่พูดล่ะ” เสียงทุ้มที่ไม่มีความขี้เล่นเจือปนอยู่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนเสียเอง


         มัลลิกาลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดวงตาสีทองกลมโตที่จ้องมองเธอผ่านปอยผมที่เปียกน้ำจนลู่ลงมานั้นดูวาวโรจน์ เย็นชาและอันตรายเหมือนสายตาของนกล่าเหยื่อไม่มีผิด


         “เอ่อ… คือ… ฉันมี… เรื่องต้องสารภาพกับคุณค่ะ”


         “ก็พูดสิ”


         “มันเป็นเรื่องของคิซากิซังน่ะค่ะ”


         “…”


         “คือว่าฉัน… โกหกคุณเรื่องนี้เอาไว้หลายครั้งมาก แล้วก็ไม่กล้าบอกความจริงกับคุณเสียทีจนถึงวันนี้— ของขวัญหลายอย่างที่คุณฝากเอาไปให้นั้น ความจริงแล้วคิซากิซังไม่เคยรับไว้เลยค่ะ เป็นฉันเองที่รับเอาไว้แล้วค่อยไปโกหกคุณทีหลังว่าของทุกชิ้นส่งถึงมือคิซากิซังแล้วเรียบร้อย”


         “…”


         “แล้วยังมีขนมและข้าวกล่องทำเองพวกนั้นด้วย ความจริงแล้ว… คิซากิซังไม่ได้เป็นคนทำมาให้หรอกค่ะ เป็นฉันเองอีกเหมือนกันที่แอบทำมาจากบ้านแล้วโกหกคุณว่าใครเป็นคนทำ”


         “…”


         “ฉันขอโทษค่ะโบคุโตะซัง” มัลลิกาก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาที่สารภาพผิดออกไป เพราะละอายในความผิดที่ทำ ทำให้เด็กสาวไม่กล้าสู้สายตาอีกฝ่ายที่จ้องมองมาเลยสักนิด ส่วนโบคุโตะนั้นก็เลือกที่จะยืนนิ่งและใช้ความเงียบกดดันสาวน้อยตรงหน้าให้อึดอัดและลนลานมากขึ้น


         “หึ… ใช้เวลานานจังนะมะลิกว่าจะบอกความจริงกับฉันได้” เมื่อคิดว่าตัวเองเงียบมาพอแล้ว เด็กหนุ่มก็แค่นเสียงหัวเราะที่คล้ายกับจะเจือความเยาะหยันอยู่ในทีออกมาเล็กน้อย


         หนนี้มัลลิกาเป็นฝ่ายเงียบบ้าง


         “ฉันรู้มาสักพักแล้วล่ะว่ามะลิโกหกอะไรฉันเอาไว้”


         “…”


         “ถ้าไม่ใช่เพราะฮานะจังนึกครึ้มทำข้าวกล่องมาให้ฉัน ป่านนี้ฉันก็ยังคงถูกมะลิหลอกอยู่สินะ”


         แม้จะทำใจมาบ้างว่าโบคุโตะอาจจะจับโกหกเธอได้อยู่ก่อนแล้ว แต่พอมาได้ยินคำยืนยันจากปากเขาเองแบบนี้ มัลลิกาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด


         “อันที่จริง” เด็กหนุ่มยังคงกล่าวต่อไป “ฉันรู้สึกเอะใจตั้งแต่ตอนไปเข้าค่ายแล้วล่ะว่าคนที่ทำข้าวกล่องกับขนมพวกนั้นมาให้อาจจะเป็นมะลิก็ได้”


         “…”


         “ก็รสชาติมันเหมือนกันออกขนาดนั้นนี่จริงไหม!” นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม น้ำเสียงแบบนั้นคล้ายกับจะบอกเพื่อประชดกันเสียมากกว่า


         “ฉัน… ขอโทษค่ะ…” มัลลิกากล่าวออกไปพร้อมกับปาดน้ำฝนที่กำลังจะไหลเข้าตาไปด้วย “ฉันอยากบอกคุณให้เร็วกว่านี้จริงๆ นะคะ แต่ว่า--”


         “แต่ว่าอะไรเหรอมะลิ? ต้องรอให้ผ่านไปอีกนานเท่าไหร่กว่าเธอจะยอมบอกความจริงกับฉันได้ ต้องรอให้ฉันเรียนจบออกไปก่อนหรือยังไง?” เด็กหนุ่มถามสวนขึ้นมาอย่างไม่รอให้เด็กสาวพูดจบประโยคแต่อย่างใด


         มัลลิกาสั่นศีรษะไปมาพร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก “ไม่ค่ะ ยัง-- ยังไงก็ต้องบอกอยู่แล้ว”


         โบคุโตะเลิกคิ้วขึ้นอย่างกังขา “งั้นเหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าจะเชื่อคำพูดของมะลิไม่ได้เลยล่ะ”


         สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าอย่างเสียใจในคำพูดของอีกฝ่าย แต่มัลลิกาจะไปทำอะไรได้ในเมื่อเธอทำตัวเองทั้งสิ้น โกหกเอาไว้มากเกินไปจนโบคุโตะไม่เชื่ออะไรที่เธอพูดอีกแล้ว


         “ฉัน… รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก แต่… ที่ฉันโกหกไปก็เพราะอยากช่วยคุณนะคะ”


         เด็กหนุ่มตวัดสายตามามองมัลลิกาอย่างไม่อยากเชื่อกับคำแก้ตัวนั้น “ช่วยฉัน?”


         เด็กสาวชาวไทยพยักหน้า “เพราะคุณคาดหวังกับเรื่องนี้มากจนฉันไม่กล้าบอกความจริง คุณดูจะรับไม่ได้มากๆ ถ้าหากฉันบอกออกไปว่าคิซากิซังไม่ได้สนใจไยดีข้าวของที่คุณให้มาเลยแม้แต่น้อย--”


         “ฉันไม่ใช่เด็กนะมะลิที่จะไม่รับฟังความจริงอะไรเลยน่ะ!” โบคุโตะเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อยกับคำกล่าวหานั้น “ถ้าเธอยอมบอกความจริงฉันมาตั้งแต่แรก ฉันก็คงไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่ขนาดนี้ก็ได้”


         “ฉันเคยบอกความจริงคุณไปแล้วนะคะ!” มัลลิกาโพล่งเถียงออกไปบ้างเหมือนกัน


         “ตอนไหน?!” เด็กหนุ่มถามสวนกลับมาทันควัน


         “ตั้งแต่ตอนที่คุณให้ฉันเอาคุกกี้ที่พี่สาวคุณทำไปให้คิซากิซัง! ฉันบอกคุณผ่านทางข้อความแล้ว แต่ไม่ถึงห้านาทีคุณก็โทรมาโวยวายปฏิเสธความจริงแล้วก็งอแงหยุดซ้อมเอากลางคันจนฉันต้องยอมโกหกอีกรอบเพื่อให้คุณอารมณ์ดีขึ้น!” มัลลิการู้สึกทึ่งตัวเองเหมือนกันที่สามารถนึกคำเถียงพวกนี้ออกมาได้ แม้ว่าแต่ละประโยคที่พูดออกมาจะกระท่อนกระแท่นและตะกุกตะกักเต็มที แต่อย่างน้อยเธอก็ทำสุดความสามารถแล้วจริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่ต้องมายืนอธิบายและโต้เถียงอะไรยาวๆ แบบนี้ด้วยภาษาที่สามซึ่งเธอเพิ่งจะเริ่มเรียนได้ไม่ถึงปี


         “อ๋อ! มันเป็นความผิดของฉันเองสินะ! ในสายตาเธอฉันก็เป็นแค่คนโง่ที่ในหัวมีแต่อากาศ เอะอะอะไรก็น้อยใจทำตัวเป็นเด็กๆ!”


         “ค่ะ!” มัลลิกาเผลอยอมรับออกไปเสียงดังอย่างลืมตัว สีหน้าและแววตาของโบคุโตะดูนิ่งและเย็นชามากขึ้นไปอีก ทำให้สาวน้อยต้องรีบอธิบายเพิ่มเข้าไปอย่างยากลำบากและลนลาน “ใน-- ในสถานการณ์ตอนนั้นคุณทำตัวเป็นเด็กจริงๆ คุณไม่เคยฟังที่ฉันพูด สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ตั้งแต่หนแรกแล้วที่จู่ๆ คุณก็มาขอร้องแกมบังคับให้ฉันเอาข้าวของมากมายไปให้คิซากิซังทั้งที่ฉันเองก็ไม่อยากทำ--”


         “ถ้าไม่อยากทำแล้วทำไมไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ล่ะมะลิ!”


         “ฉันบอกนะคะ! แต่ก็เหมือนเดิม คุณงอแงใส่ฉัน ทำท่าเหมือนโกรธจนฉันต้องยอมตามใจ”


         “งั้นก็ช่างหัวฉันสิมะลิ! ปล่อยให้ฉันงอนเป็นเด็กๆ ไปเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นจะต้องลำบากมาแต่งเรื่องโกหกให้ฉันดีใจเก้อเลย!”


         “ก็ฉันไม่อยากให้คุณรู้สึกแย่กับเรื่องนี้นี่คะ--” มัลลิกาเริ่มรู้สึกหัวตาเธอร้อนผ่าวขึ้นมาแล้ว


         “โดนโกหกมาหลายเดือนเต็มแบบนี้มันดีกว่าการที่ฉันต้องอกหักเร็วขึ้นตรงไหนเหรอมะลิ และจะบอกให้นะ เพราะคำโกหกของเธอ ฉันเลยพลอยถูกฮานะจังหลอกใช้เรื่องฟุรุโอยะไปด้วย— แบบนี้มันช่วยฉันที่ตรงไหนกัน นี่เธอเข้าใจคำว่าหวังดีผิดไปหรือเปล่า?”


         เด็กสาวได้แต่สั่นศีรษะไปมา


         “ส่ายหน้าหมายความว่ายังไง ใช้คำพูดอธิบายด้วยสิ” เด็กหนุ่มเร่งและกดดันคนตัวเล็กด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง


         ความจริงแล้ว… มัลลิกาอยากบอกความจริงเขาอีกเรื่อง ว่าที่เธอทนโกหกเขาเรื่อยมาก็เป็นเพราะว่าเธอชอบเขา เธอแคร์ความรู้สึกของเขามากเกินไปจนไม่อยากให้เขาต้องมาพบเจอกับความเศร้าหรือความผิดหวังเลยสักนิดเดียว แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุผลนี้ถ้าพูดออกไปดังๆ แล้วมันจะฟังขึ้นหรือเปล่า


         “วันนี้จะพูดกันรู้เรื่องไหมมะลิ ฉันยังมีธุระที่ต้องรีบไปทำอยู่นะ”


         พอโดนเร่งเหมือนรำคาญอีกแบบนั้นมัลลิกาก็อ้าปากพยายามส่งเสียงออกไป เพียงแต่ตอนนี้สมองของเด็กสาวกำลังรวนและสับสนไปหมด และด้วยความที่อยากจะอธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่เธอโกหกเขาตั้งแต่แรก รวมไปถึงความรู้สึกจริงๆ ที่เธอมีให้เขาด้วย แต่เพราะกำแพงภาษาที่มี สาวน้อยจึงไม่อาจพูดทุกอย่างออกไปได้อย่างใจนึก จนทำให้เธอเผลอพูดภาษาญี่ปุ่นปะปนไปกับภาษาอังกฤษและไทยสลับแทรกกันไปมาเสียอย่างนั้น


         “พูดภาษาปนกันมั่วไปหมดแบบนี้ใครจะไปฟังเธอเข้าใจกันหา?!” ใครจะไปนึกว่าโบคุโตะจะโพล่งประโยคต่อว่าออกมาดังลั่นเสียจนมัลลิกาสะดุ้งแรงแบบนั้น


         หนนี้นัยน์ตาสีดำล้ำลึกมีหยดน้ำร่วงเผาะลงมาแล้วจริงๆ


         “ขอ… โทษค่ะ”


         โบคุโตะรู้สึกตัวได้ทันทีว่าตัวเองนั้นพูดแรงเกินไป เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ตัวเองใจเย็นขึ้น เอาเข้าจริง พอเห็นมัลลิการ้องไห้น้ำตาไหลพรากแบบนั้น เขาเองก็เหมือนจะลืมโกรธไปแล้วด้วยซ้ำ


         เด็กหนุ่มกำลังจะเตรียมบอกให้มัลลิกาค่อยๆ พูดใหม่อีกครั้งอยู่แล้ว เสียแต่ว่าเธอกลับเป็นคนชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน


         ครั้งนี้เธอพยายามเต็มที่ที่จะพูดและสรุปทุกอย่างออกมาให้เข้าใจง่ายมากที่สุด


         “ที่ฉันอยากบอกคุณทั้งหมดก็คือ… ฉันขอโทษที่โกหกคุณ ขนมและของขวัญทุกอย่างจากคุณ ฉันไม่มีความสามารถและมานะที่มากพอจะส่งให้ถึงมือคิซากิซังได้ และเพราะไม่อยากให้คุณเสียใจ… ก็เลยโกหกสวมรอยทำข้าวกล่องและขนมไปฝากคุณอย่างที่เห็น ฉันไม่มีข้อแก้ตัว เพราะงั้น ที่คุณโกรธฉันมากขนาดนี้ ฉันเข้าใจได้ดีค่ะ” มัลลิกาตัดสินใจเก็บเรื่องที่เธอชอบโบคุโตะเอาไว้เป็นความลับต่อไป เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะยิ่งทำสถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม


         “ฉัน… พอจะพูดให้คุณเข้าใจได้เท่านี้แหละค่ะ”


         “…”


         “ฉันนี่ไม่ได้เรื่องเลย อยู่ที่นี่มาก็เกือบจะครบปีแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าฉัน… จะไม่สามารถพูดทุกอย่างที่ใจคิดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นได้จริงๆ สินะคะ”


         “…”


         “บางทีตอนที่ติวหนังสือด้วยกัน ฉันอาจจะไม่ได้ช่วยคุณให้เข้าใจบทเรียนได้อย่างที่ตัวเองคิดก็ได้ ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณลำบากมากกว่าเดิม”


         โบคุโตะรู้สึกละอายขึ้นมาทันทีกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อครู่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าเธอแบบนั้นเลยสักนิด การที่เธอจะพูดไม่เข้าใจบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดร้ายแรงอะไรด้วย นี่เขากลายเป็นไอ้คนใจร้ายประเภทไหนกันถึงได้ไปกล้าว่าชาวต่างชาติที่พยายามอย่างหนักเพื่อจะพูดภาษาที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดของตัวเองแบบนั้น


         แต่มัลลิกากลับไม่ชักสีหน้าใส่เขาเลยสักนิด หนำซ้ำยังเลือกที่จะยิ้มให้เขาทั้งน้ำตาอีกต่างหาก


         “เอาเป็นว่า… ขอโทษอีกครั้งกับทุกอย่างที่ฉันทำนะคะ” เด็กสาวสูดจมูกเล็กน้อยพร้อมกับเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ ปากอิ่มที่สีซีดลงเพราะอากาศที่เริ่มเย็นยังคงฝืนยิ้มต่อไปอย่างโง่งม “แล้วก็… ขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลาอยู่ตรงนี้ด้วย”


         เมื่อพูดจบ มัลลิกาก็วิ่งฝ่าสายฝนออกไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้สนใจเสียงเรียกของโบคุโตะเลยสักนิด และเด็กหนุ่มเองก็ไม่มีความกล้าพอที่จะวิ่งตามเธอออกไป



    _______



    T A L K

     

         เปียกปอนกันหรือเปล่าคะ? ;-; ส่วนไรท์น่ะเปียกปอนแล้วเรียบร้อย โฮฮฮฮ(iДi)

         จริงๆ ก็อาจจะเหมือนมะลิแก้ตัว แต่เธอก็เคยบอกความจริงคุณโบไปแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ นะคะ แต่คุณโบไม่รับฟังแล้วก็โทรมางอแงใส่จริงๆ มะลิเลยโกหกยาวมาอย่างที่เห็นนี่แหละ แต่ลูกสาวเราก็ผิดจริงเพราะเริ่มโกหกก่อนตั้งแต่แรก จุดๆ นี้แม่ช่วยอะไรหนูไม่ได้จริงๆ นะลูกกกกก

         ใดๆ ก็คือ เรากรี๊ดลุคผมเปียกน้ำของคุณโบในตอนนี้มากค่ะ ขอปฏิเสธ fact ที่ว่าโบคุโตะผมตั้งต้านแรงโน้มถ่วงโดยธรรมชาติทุกกรณี ฉันจะขายคุณโบเวอร์ชั่นเอาผมลงในฟิคตัวเองให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะมีแรงค่ะ เพราะมันฮอตและหล่อมาก! 

         หวีดจบแล้วก็ขอไปตีปากโทษฐานใจร้ายกับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ struggle กับภาษาที่สามอย่างมะลิให้ปากเจ่อก่อนสักร้อยทีนะคะ!


    #มะลิกับนกฮูก

    sun&moon

    19.06.2021

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×