ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Haikyuu!! - 縁と浮世は末を待て (Bokuto x oc) END

    ลำดับตอนที่ #12 : 5 ปีก่อน part 7 - ‘August slipped away like a bottle of wine’

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 64





     

    Haikyuu!!

    縁と浮世は末を待て



     

     

      

    Haikyuu!!

    Bokuto x oc

     

     

     

    ***** Warning: มีการสปอยล์เนื้อหาในมังงะ

     

     

     

     

    (11)

    » ห้าปีก่อน «

    Part 7

    ‘August slipped away

    like a bottle of wine’

     


         โดยปกติแล้ว โบคุโตะ โคทาโร่เป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและไม่เคยมีปัญหาจำพวกลิ้นเปลี้ยหรือพูดจาตะกุกตะกักแต่อย่างใด แต่ถ้าหากเด็กหนุ่มต้องมาต่อบทสนทนาพูดคุยกับใครสักคนที่เขามีใจให้ล่ะก็ เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มเสียอาการและพูดน้อยขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อจนดูราวกับเป็นคนละคน


         สาเหตุที่โบคุโตะไม่เคยก้าวหน้าในเรื่องของคิซากิ ฮานะเลย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนิสัยน่าปวดหัวตรงนี้ด้วย มาคราวนี้เมื่อตัวตนของฮานะที่เคยอยู่ในใจนั้นจางหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยมัลลิกา เด็กหนุ่มก็ไม่แคล้วที่จะมีอาการแบบเดียวกันอีก ว่าไปแล้วก็น่าขำ ก่อนจะรู้ตัวว่ารู้สึกกับอีกฝ่ายยังไงโบคุโตะก็ยังปกติดีและสามารถเข้าไปใกล้ชิดติดพันมัลลิกาได้อย่างไม่มีปัญหาแท้ๆ แต่มาตอนนี้กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง


         “ฉันชักเสียใจแล้วสิที่ยอมถอยเรื่องมะลิจังให้นาย” คุโรโอะกล่าวพร้อมกับหรี่ตาใส่โบคุโตะที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถบัสของโรงเรียนตัวเองเพื่อเดินทางกลับไปโตเกียว


         “อะ-- อะไรเล่าคุโร!” โบคุโตะแสร้งโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเองเหมือนอย่างเคย


         หลังจากที่ถูกคุโรโอะพูดจี้ใจดำไปเพียงครั้งเดียว พ่อหนุ่มกัปตันทีมฟุคุโรดานิก็ตาสว่างและรู้ใจตัวเองได้ในที่สุดว่าเขานั้นไม่ได้คิดกับมัลลิกาเพียงแค่เพื่อนแต่อย่างใด แถมพอรู้ตัวปุ๊บ โบคุโตะก็ไม่สามารถมองเด็กสาวได้เหมือนเดิมอีกเลย ราวกับว่าจู่ๆ ก็มีรัศมีบางอย่างที่เจิดจ้าแผ่ลงมารายล้อมรอบตัวเธอ ทำให้ตลอดสามวันมานี้เขาไม่สามารถมองสบดวงตาสีดำล้ำลึกคู่นั้นได้นานๆ อย่าว่าแต่มองตาเลย แม้แต่พูดจาให้เป็นปกติเหมือนเมื่อก่อนก็ยังทำได้ยากด้วยซ้ำ


         “เอาเถอะ ถึงจะเสียใจยังไง ฉันก็คงใจร้ายแย่งมะลิจังจากนายมาไม่ลงหรอก บอกตามตรง สภาพนายตอนนี้น่าสมเพชจนฉันหมดอารมณ์แกล้งเลยล่ะ”


         “หนะ-- น่าสมเพชงั้นเหรอ?! ทำไมปากคอเราะรายแบบนี้ล่ะคุโร!” โบคุโตะทำหน้าเหวออย่างช็อกจัดกับฝีปากของเจ้าแมวดำเพื่อนยาก


         “ก็หรือไม่จริงล่ะ ใจคอนายจะเสียอาการแบบนี้กับมะลิจังไปเรื่อยๆ อย่างงั้นเหรอ?”


         “ฉะ-- ฉันก็พยายามอยู่นะ!”


         “เหรอโบคุโตะ เหรอ~” กัปตันทีมเนโกมะถามลากเสียงอย่างยียวน “ถ้าขืนนายยังเป็นแบบนี้อยู่ รับรองได้เลยว่าอีกเดี๋ยวมะลิจังจะต้องเข้าใจผิดว่าถูกนายเกลียดเข้าแล้วแหงๆ”


         โบคุโตะลนลานตาแทบถลน “ฉะ… ฉันไม่ได้เกลียดมะลินะ! ฉันน่ะ… ชอบมะลิมากเลยต่างหาก!”


         สหายแมวดำกลอกตา “แล้วมาบอกผมทำไมล่ะครับหืม? บอกผมไปแล้วมันจะได้อะไรมิทราบ”


         “ก็ฉันน่ะ! กลัวมะลิไม่รู้สึกเหมือนกับที่ฉันรู้สึกน่ะสิ! บนโลกนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวังกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรอกนะ!”


         คุโรโอะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “นายเนี่ย ไม่ได้มองมะลิจังให้ดีๆ เลยสินะ”


         “หืม? หมายความว่ายังไง?” โบคุโตะเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ


         “ถ้าจะเบ๊อะขนาดนี้ก็เบ๊อะไปให้ตลอดเถอะนายน่ะ!” แทนที่จะตอบดีๆ คุโรโอะกลับตวาดใส่เพื่อนอย่างเหลืออดเสียอย่างนั้น เล่นเอาคนถูกว่างงเป็นไก่ตาแตกยิ่งกว่าเดิม


         “เอ้า! แล้วมาด่าฉันทำไมล่ะ?!”


         “ไสหัวขึ้นรถบัสไปได้แล้วไป๊! เดี๋ยวก็แช่งให้ตกรถเลยนี่!— โอ๊ะ! มะลิจังโบกมือลาฉันด้วยแหละ บ๊ายบายนะมะลิจัง~” ว่าเสร็จคุโรโอะก็ยกมือสองข้างขึ้นโบกให้กับมัลลิกาที่กำลังโบกมือลามาให้จากข้างในรถบัสเช่นเดียวกัน


         เห็นท่าทางดี๊ด๊าของกัปตันทีมเนโกมะแล้วโบคุโตะก็ต้องเบ้ปาก “มะลิเขาโบกมือให้ทุกคนหรอก! ไม่ได้โบกให้นายคนเดียวเสียหน่อย!”


         “แหม~ ถ้าใจกล้าได้สักครึ่งหนึ่งของความขี้หวงละก็ฉันคงเบาใจเรื่องพวกนายไปได้เยอะเชียวแหละ”


         “เลิกแกล้งฉันสักทีได้ไหมคุโร!” พอทีเขาชักเบื่อที่ต้องมาทนฟังหมอนี่เหน็บแนมเต็มทีแล้ว!


         “โทษฐานที่นายทำฉันอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แค่นี้ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ”


         ถึงคุโรโอะจะไม่ได้ทำหน้าจริงจังอะไร แต่ได้ยินแบบนั้น โบคุโตะก็ถึงกับเงียบและลืมโกรธไปถนัดตา


         ก็จริงแหละ… ใครจะไปโกรธหมอนี่ลงในเมื่อเจ้าตัวถึงขนาดยอมถอยและทิ้งโอกาสสานสัมพันธ์กับมัลลิกาให้กับคนบ้าบออย่างโบคุโตะแบบนี้


         “นี่! ไว้เจอกันวันแข่งคัดเลือกตัวแทนนะ” เด็กหนุ่มผมดำตัดบทขึ้นมาเสียดื้อๆ


         “เอ่อ… อื้ม! ได้เลย” โบคุโตะยอมเออออตามน้ำไปเพราะเดาได้ว่าเจ้าตัวคงไม่อยากพูดถึงเรื่องระหว่างเขากับมัลลิกาอีกแล้ว


         “อย่าได้อ่อนข้อให้ฉันเด็ดขาดล่ะเข้าใจไหม” ตาสีสนิมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีทองอย่างกดดันจริงจัง


         “รู้แล้วล่ะน่า” โบคุโตะกล่าวพร้อมกับยกกำปั้นขึ้นชกเข้าไปเบาๆ ที่ต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างหยอกเอิน “ไปก่อนนะคุโร”


         “เออ! เดินทางปลอดภัย” คุโรโอะกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างสูงของโบคุโตะจะก้าวขึ้นรถบัสไป

     



    _________




         “โบคุโตะ มานั่งกับฉันสิ!” โคโนฮะร้องชวนขึ้นมาทันทีที่เห็นกัปตันทีม ซ้ำยังออกแรงดึงแขนบังคับอีกฝ่ายให้นั่งลงบนเบาะที่ว่างข้างตัวอีก


         “เอ้อ! แต่ว่าฉันน่ะ--”


         “มะลิจังนั่งกับอาคาอาชิไปแล้ว!” โคโนฮะเอ่ยดักเอาไว้ก่อนอย่างรู้ทันว่าเจ้านกฮูกบ้านี่คงอยากไปนั่งกับมัลลิกาเหมือนเมื่อตอนขามาอีกแหงๆ “ปล่อยให้บัดดี้เขาได้นั่งด้วยกันบ้างเถอะ ตั้งแต่มาเข้าค่ายก็ไม่เห็นสองคนนั้นได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่เลยนะ”


         “แต่ว่าโคโนฮะ!”


         “หยุดเลย! รู้เปล่าว่าปาร์ตี้บาร์บีคิวเมื่อวาน ฉันเห็นมะลิจังไปนั่งดูมดเดินเรียงแถวกับอาคาอาชิและโคสึเมะอย่างสงบและสุนทรีย์มากแค่ไหน ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ มะลิจังคงเวียนหัวกับผู้ชายตัวใหญ่เสียงดังอย่างพวกเรามากแน่ๆ ไหนจะเหนื่อยที่ต้องคอยทำอาหารให้พวกเรากินสามมื้อทุกวันอีก อย่างน้อยนั่งรถขากลับนี้ก็ให้เขาได้นั่งพักกับคนคอเดียวกันอย่างอาคาอาชิแบบสงบๆ เถอะ”


         “เอ่อ… ก็ได้” เจอโคโนฮะพูดใส่เป็นชุดอย่างนั้นโบคุโตะก็ไม่กล้าไปกวนมัลลิกาอีก แต่ก็ไม่วายติดใจสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง “ว่าแต่… ดูมดเดินเรียงแถวเนี่ยนะ?”


         “ก็ใช่น่ะสิ พอฉันเข้าไปถาม สามคนนั้นก็บอกว่า หยุดดูไม่ได้ถึงแม้จะแขยงก็เถอะ” โคโนฮะเล่าไปขำไป “จะว่าไปแล้วสามคนนั้นก็นิสัยคล้ายๆ กันหลายอย่างอยู่นะ โดยเฉพาะตรงที่เป็นคนเงียบๆ เนี่ย”


         โบคุโตะส่งเสียงคล้ายกับเห็นด้วยไปให้ จริงๆ แล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกมานานแล้วล่ะว่าอาคาอาชิกับโคสึเมะ เคนมะไม่ได้คล้ายกันแค่เรื่องเล่นอยู่ในตำแหน่งเซตเตอร์เหมือนกันเท่านั้น ยิ่งพอมีมัลลิกามาเสริมเข้าไปอีกแบบนี้ก็ยิ่งทำให้คาแรกเตอร์เงียบๆ ของสามคนนั้นดูโดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดเชียวล่ะ


         หลังจากที่รถบัสเคลื่อนตัวออกจากรั้วโรงเรียนชินเซ็น โคโนฮะก็ใส่หูฟังหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวทันที โบคุโตะจึงอาศัยจังหวะนี้แอบชะเง้อคอมองไปทางที่นั่งแถวหลังถัดจากเบาะที่ตัวเขานั่งอยู่ไปสองแถว ที่ตรงนั้นเด็กหนุ่มเห็นมัลลิกาและอาคาอาชิกำลังคุยอะไรกันไม่รู้หงุงหงิงอยู่สองคน เห็นแล้วน่าอิจฉาเป็นอย่างมาก ถ้าหากโคโนฮะไม่มากันท่าเอาไว้ละก็ คนที่มัลลิกาจะได้นั่งข้างๆ และพูดคุยด้วยตอนนี้ก็ต้องเป็นโบคุโตะอย่างไม่ต้องสงสัย


         …


         เออยอมรับก็ได้ว่าเขาปากดีไม่งั้นเองแหละ!  ตัวเขาในตอนนี้มีแต่จะทำให้บทสนทนาประดักประเดิดมากกว่าเดิมอีกล่ะสิไม่ว่า


         ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยแฮะ แต่ก็ไม่อยากหยุดความรู้สึกที่มีให้กับมัลลิกาเลยสักนิดเดียว


         ใช่… ยิ่งพอเห็นมัลลิกายิ้มขำอะไรสักอย่างที่อาคาอาชิเล่าก็ยิ่งทำให้โบคุโตะแน่ใจว่าเขาไม่อยากให้ความรู้สึกอุ่นร้อนและคันยุบยิบในอกนี้สิ้นสุดลงหรือจางหายไปแต่อย่างใด


         โบคุโตะถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงันแล้วรีบถอนสายตากลับมาก่อนที่เด็กสาวชาวไทยจะรู้ตัวว่าถูกมอง


         ให้ตายสิทำไมมะลิต้องยิ้มน่ารักแบบนี้ด้วยนะ!




    _________



     

         ดวงตาสีทองกลมโตจ้องเงาสะท้อนใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราวของตัวเองในกระจกห้องน้ำชายเขม็ง มือแข็งแรงเกาะยึดขอบอ่างล้างหน้าเอาไว้อย่างเกร็งแน่นจนข้อเปลี่ยนเป็นสีขาว ผ่านไปสักพักโบคุโตะก็ยังจ้องลึกเข้าไปในตาคู่เดิมอยู่อย่างนั้นราวกับว่าพยายามจะสะกดจิตตัวเอง


         เอาล่ะ ปฏิญาณ! ก่อนแข่งคัดเลือกตัวแทนจังหวัดโตเกียว นายโบคุโตะ โคทาโร่จะบอกชอบมะลิแบบจริงจังให้ได้! ไม่สิ! เปลี่ยนมาเป็นภายในวันงานวัฒนธรรมโรงเรียนดีกว่า เพราะกว่าจะถึงวันแข่งคัดเลือกก็ต้องรอไปอีกตั้งปลายเดือนตุลาคมโน่น


         หลังกลับมาจากค่าย ปิดเทอมหน้าร้อนก็หมดลง พวกเขากลับมาเรียนและทำกิจกรรมชมรมต่อเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด แต่เมื่อหน้าร้อนล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เดือนตุลาคมที่กำลังใกล้มาเยือนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงกิจกรรมใหญ่อีกกิจกรรมหนึ่งในชีวิตของเด็กนักเรียนม. ปลาย— ใช่แล้ว งานวัฒนธรรมโรงเรียนนั่นเอง ตอนนี้หลายๆ ห้องของทุกระดับชั้นต่างก็ลงความเห็นกันได้ครบทุกห้องแล้วว่าจะทำอะไรกันในวันงาน ทำให้ช่วงนี้เวลาส่วนใหญ่ตอนพักเที่ยงและหลังเลิกเรียนนั้น พวกเด็กๆ จะทุ่มเวลาให้กับงานของห้องกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะม. 6 ที่ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับชีวิตในรั้วโรงเรียน


         โบคุโตะคิดมาดีแล้ว ขืนเอาแต่หนีหน้าไม่เริ่มต้นอะไรเสียทีแบบนี้มีแต่จะยิ่งทรมานอึดอัดใจเสียเปล่าๆ อย่างน้อยก็ขอแค่ให้เขาได้บอก อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้เป็นคนเริ่มก้าวแรกก่อนก็พอ ที่เหลือจากนี้ มัลลิกาจะว่ายังไง… เขาก็จะตามใจเธออยู่ดี


         ต่อให้คำตอบของเธอจะไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการ เขาก็จะ… รับให้ได้เอง


         เมื่อตัดสินใจได้ โบคุโตะก็พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาชนหมัดกับเงาสะท้อนตัวเองในกระจกเบาๆ เสมือนเป็นการประทับตราข้อตกลงที่ตัวเขาเป็นคนตั้งขึ้น


         หลังจากเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองได้แล้ว โบคุโตะก็รีบกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อจะให้อิโนะอุเอะ อาเคมิ – รองหัวหน้าห้องวัดตัวสำหรับชุดบริกรชายที่ต้องใส่ในวันงานโรงเรียน


         ทีแรกม. 6 ห้อง 1 ที่โบคุโตะอยู่นั้นลงมติกันว่าจะเปิดเมดคาเฟ่ แต่เพราะว่าในห้องมีจำนวนนักเรียนชายมากกว่านักเรียนหญิง เลยทำให้ไอเดียนี้จำเป็นต้องมีการพลิกแพลงมาเป็นบัตเลอร์คาเฟ่แทน ซึ่งโบคุโตะเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


         เด็กหนุ่มนักกีฬาตั้งใจว่าพอวัดตัวเสร็จจะแอบแวบไปกวนอาคาอาชิกับมัลลิกาที่ชั้นของพวกม. 5 เสียหน่อย เพราะได้ข่าวว่าห้องของสองคนนั้นจะทำบ้านผีสิงกัน แถมมัลลิกายังได้แต่งเป็นผีกับเขาเสียด้วย ฟังดูก็รู้แล้วว่าน่าจะถูกเพื่อนในห้องรุมขอร้องอ้อนวอนและตัวเองก็ปฏิเสธใครเขาไม่เป็นอีกตามเคย แต่ถึงอย่างนั้นโบคุโตะก็อยากเห็นอยู่ดีว่ามัลลิกาจะแต่งออกมาเป็นผีตัวไหนกันแน่


         “โบคุโตะ นายนี่จะสูงไปไหนนะ!” มัตสึโมโตะ รุย หัวหน้าห้องและพ่องานบ่นเมื่อวัดความยาวขาของโบคุโตะออกมาแล้วพบว่ามันยาวมากจนน่าหนักใจว่าอาจจะหาไซส์กางเกงในร้านเสื้อที่ตนกับอาเคมิไปดูมาเมื่อสองวันก่อนไม่ได้


         “ไม่ใช่ความผิดฉันเสียหน่อยรุย!” คนขายาวตอกกลับอย่างงอนๆ เล็กน้อย


         “เอาน่าๆ ถ้าที่ร้านนั้นไม่มีไซส์ ไว้เราค่อยไปตระเวนหาร้านอื่นเอาก็ได้นี่” อาเคมิกล่าวพลางจดความยาวแขน ขา รอบเอวและสะโพกของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ไปด้วยอย่างขะมักเขม้น


         “นี่! ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ฉันใส่กางเกงนักเรียนก็ได้นะ ยังไงชุดพ่อบ้านก็เป็นสีดำอยู่แล้วนี่จริงไหม” โบคุโตะช่วยเพื่อนหาทางแก้ปัญหาให้


         “ก็เข้าท่านะโบคุโตะ” รุยพยักหน้าเห็นด้วยกับไอเดียนั้น


         “ถ้างั้นก็ให้ทุกคนใส่กางเกงนักเรียนกันหมดเลยเป็นไง จะได้ประหยัดงบเรื่องชุดไปได้หน่อยหนึ่งด้วย” อาเคมิเสนอ


         “ดีๆ จะได้เอาเงินไปลงทุนกับของหวานและเครื่องดื่มแทน” หัวหน้าห้องเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะไม่วายหันไปตบบ่าโบคุโตะแปะๆ “นานๆ ทีนายก็มีไอเดียดีๆ กับเขาบ้างนะเนี่ย”


         “นั่นชมใช่ไหมน่ะ” โบคุโตะหรี่ตาอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่


         “เฮ้ย! โบคุโตะ คิซากิจังมาหาแหนะ” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งในห้องตะโกนมา ทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ


         เด็กสาวผู้จัดการชมรมเบสบอล เจ้าของเรือนผมยาวประบ่าสีน้ำตาลส้ม และนัยน์ตาสีเขียวใบไม้ที่เขาเคยมีใจให้กำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าห้อง โดยที่สองมือกำลังประคองอะไรบางอย่างสีฟ้าที่มีลักษณะคล้ายกับข้าวกล่องอยู่


         “นายไปเถอะ ฉันวัดตัวเสร็จแล้ว” อาเคมิบอกเป็นเชิงอนุญาต ทำให้โบคุโตะไม่อาจหาข้ออ้างไม่ไปพบอีกฝ่ายได้ เด็กหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋าเดินเข้าไปหา พร้อมกับเอ่ยถาม


         “มีอะไรงั้นเหรอฮานะจัง”


         ฮานะยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มที่นัก ก่อนจะยกมือขึ้นถัดผมสีน้ำตาลส้มไปไว้ที่หลังใบหูอย่างประหม่า ก็… จะรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก ก็เธอกับโบคุโตะไม่ได้คุยกันดีๆ มานานมากแล้วนี่นา “คือว่า… ฉันจำที่คุณเคยพูดเรื่องข้าวกล่องได้ วันนี้ก็เลยทำมาให้ทานน่ะค่ะ”


         ตาโตสีทองกะพริบปริบๆ “ข้าวกล่องเหรอ?”


         “ใช่ค่ะ นี่ก็เที่ยงพอดี ฉันเลยรีบแวะเอามาให้น่ะ” จังหวะที่พูดประโยคนี้ หางตาของฮานะก็เหลือบมองไปยังอีกทิศทางหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก แต่สักพักโบคุโตะก็ได้คำตอบเมื่อร่างสูงแข็งแรงของฟุรุโอยะ ฮิเดกิเดินผ่านมาพร้อมกับแบกลังกระดาษใบโตเดินผ่านหน้าห้องเรียนของโบคุโตะไป


         เด็กหนุ่มมองสีหน้าของเด็กสาวรุ่นน้องสลับกับข้าวกล่องที่ว่า ก่อนจะยิ้มขำอย่างอ่อนใจออกมาเบาๆ


         “พอเถอะนะฮานะจัง” นั่นคือสิ่งที่โบคุโตะพูดออกไป


         “คะ?”


         “พอได้แล้ว เลิกทำอะไรอ้อมไปอ้อมมาเสียที ถ้าอยากให้ฟุรุโอยะคุงรู้ว่าเธอคิดยังไง ก็ไปบอกความรู้สึกกับเขาตรงๆ เลยไม่ดีกว่าเหรอ”


         “บะ โบคุโตะซังพูดอะไรคะเนี่ย!” ฮานะมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง


         “ฉันน่ะ รู้มาตั้งนานแล้วล่ะว่าฮานะจังหลอกใช้ฉันเพื่อจะทำให้ฟุรุโอยะคุงหึง”


         “เอ่อ…” ดวงตาสีเขียวใบไม้ของเด็กสาวหลุบลงอย่างรู้สึกละอายใจ


         “ที่ฉันไม่ได้ไปวอแวเธออีกก็เพราะว่าตัดใจมาได้สักพักแล้วล่ะ ก็ท่าทางของฮานะจังมันฟ้องชัดจะตายว่ารำคาญฉันเต็มทีแล้วนี่นะ”


         ฮานะก้มหน้าซ่อนน้ำตาเอาไว้ เด็กสาวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเธอจะร้องไห้ทำไม นี่อาจจะเป็นน้ำตาของความอับอายที่ถูกจับไต๋ได้ อาจจะเป็นน้ำตาของความรู้สึกอึดอัดที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเพื่อนชายคนสนิทไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ หรืออาจจะเป็นน้ำตาของความเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง หรือไม่บางทีก็อาจจะเป็นทั้งหมดที่ว่ามาผสมเข้าด้วยกันจนท่วมท้นอยู่ข้างในเกินกว่าจะแบกไหว และสุดท้ายก็ต้องระบายออกมาด้วยการร้องไห้แบบนี้ก็ได้


         “หวา! ฮานะจัง อย่าร้องไห้สิ อะ— ออกไปคุยข้างนอกกันเถอะนะ” พอเห็นน้ำตาผู้หญิงเข้าหน่อย โบคุโตะก็ลนลานทันที ก่อนจะรุนหลังให้คนตัวเล็กกว่ารีบเดินออกไปหามุมเงียบๆ ตรงขั้นบันไดเพื่อจะได้คุยกันสะดวกและเป็นส่วนตัวมากกว่านี้อีกหน่อย


         “ฉัน… ฮึก! ขอโทษจริงๆ นะคะโบคุโตะซัง ที่ผ่านมาฉันทำตัวแย่กับคุณเอาไว้เยอะมากๆ เลย” พอไม่มีคนอื่นแล้ว ฮานะก็เริ่มสะอื้นหนักขึ้นทันที


         “เอ๋? ก็… ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิ” โบคุโตะชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลอพูดอะไรแรงเกินไปหรือเปล่าถึงได้ทำให้ฮานะร้องไห้เป็นก๊อกแตกแบบนี้


         เด็กสาวส่ายศีรษะไปมาก่อนจะพูดต่อไปด้วยอารมณ์อันเอ่อล้น “ไม่ค่ะ! ทั้งที่คุณพยายามมาพูดดีๆ กับฉันตั้งหลายครั้งแท้ๆ แต่ฉันก็เอาแต่ผลักไสคุณอย่างรำคาญ— ฮือ! แล้วไหนจะเรื่องที่ฉันไม่เคยรับของขวัญจากคุณอีก--”


         คิ้วโก่งคมของเด็กหนุ่มเลิกขึ้นอย่างตกใจทันที “อะไรนะ?”


         ตาสีเขียวใบไม้ของฮานะเบิกกว้าง สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป เสียงที่พยายามเปล่งออกไปเพื่อหมายจะแก้ตัวก็ตะกุกตะกัก “ฉะ-- ฉัน คือฉันหมายถึง--”


         โบคุโตะหรี่ตาลงอย่างจับผิด “หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่เคยได้รับของขวัญจากฉันน่ะฮานะจัง”


         “เอ่อ… คือ… ฉันไม่ได้หมายความ--”


         อย่าโกหก เด็กหนุ่มรุ่นพี่ดักคอด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบผิดกับเวลาพูดยามปกติอย่างชัดเจน


         เด็กสาวเม้มปาก หลับตาแน่น ใครจะไปคิดว่าคนที่ดูเหมือนจะไม่คิดมากและอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ พอถึงคราวโมโหหรือโกรธจริงจังขึ้นมา กลับน่ากลัวและดุดันได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว


         “ฉันไม่เคยรับของขวัญจากคุณจริงๆ ค่ะ ทุกอย่างที่คุณฝากมะลิซังเอามาให้ ฉันบอกปฏิเสธตลอด” ในที่สุดฮานะก็ต้องยอมรับสารภาพออกไปในที่สุด


         ในอกของโบคุโตะวูบโหวงและเย็นวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตนกำลังกลัว


         กลัวกับความจริงตรงหน้าที่ค่อยๆ ฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ


         ความจริงที่เขาเองก็สงสัยและอาจจะรู้ตัวอยู่แล้วแต่ไม่กล้าที่จะยอมรับมันก็เท่านั้น


         “แต่… พอฉันถามมะลิกี่ครั้ง เขาก็ตอบว่าเธอได้รับแล้วตลอด--” บางที แม้แต่ในวินาทีนี้ โบคุโตะก็อาจจะยังไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้เลยก็ได้


         “มะลิซังเขา… โกหกค่ะ” สีหน้าของฮานะดูย่ำแย่มากขึ้น


         “…”


         “ตอนที่คุณถามถึงเรื่องข้าวกล่องที่เคยกิน ฉันเลยพอจะเดาได้ว่ามะลิซังเขาโกหกอะไรเอาไว้ แต่ฉันก็… ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แล้วเลือกที่จะรับไม้ต่อตามน้ำไปเพราะเห็นว่ามันอาจจะมีประโยชน์เรื่องฮิเดกิก็ได้--”


         “…”


         “ฉันขอโทษค่ะโบคุโตะซัง ทั้งหมดนี่เป็นเพราะฉัน--”


         “สรุปว่าที่ผ่านมา ฮานะจังไม่เคยทำข้าวกล่องให้ฉันเลยสักครั้ง ใช่หรือเปล่า” เสียงทุ้มต่ำกว่าปกติขัดขึ้นมาโดยไม่คิดที่จะฟังคำอธิบายแก้ตัวใดๆ อีก ตอนนี้ที่โบคุโตะต้องการมีแค่ความจริงอันชัดเจนเพื่อมาตอกย้ำความคิดไร้เดียงสาโง่ๆ ของตัวเองก็เท่านั้น


         “ไม่ค่ะ ไม่เคยเลย” คำตอบของฮานะนั้นแผ่วเบา แต่กลับหนักอึ้งเหมือนค้อนเหล็กที่ตอกตรึงลงมาให้โบคุโตะเจ็บลึกมากขึ้น


         อานั่นไงล่ะ


         จริงด้วยสินะ


         ลางสังหรณ์เมื่อตอนไปเข้าค่ายของเขามันถูกต้องมาตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ


         “เอาล่ะ… ฉันเข้าใจแล้ว ขอตัวก่อนนะ” เด็กหนุ่มหมุนตัวเตรียมจะหันหลังจากไป แต่ฮานะก็รีบรั้งอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน


         “เอ่อ… โบคุโตะซังคะ”


         ใบหน้าขาวผ่องหล่อเหลาหากแต่เย็นชากว่าวันไหนๆ หันมาเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่พูดจา เป็นการบอกโดยนัยว่าอยากพูดอะไรอีกก็รีบๆ พูดมา


         “คือ… ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ”


         “อืม”


         “ถ้ายังไง… ข้าวกล่องนี่ช่วยรับไว้จะได้หรือเปล่าคะ ถือเสียว่าเป็นคำขอโทษจากฉันในเรื่องที่ผ่านมาก็ได้”


         โบคุโตะไม่มีแรงพอที่จะหาคำพูดมาปฏิเสธ บอกตามตรงว่าเขานั้นอยากให้ฮานะรีบไปให้พ้นๆ มากกว่าเพื่อที่เขาจะได้อยู่ตัวคนเดียวเสียที เด็กหนุ่มจึงตัดรำคาญยอมรับมันมาถือเอาไว้แล้วเดินผละออกไปปลีกวิเวกบนชั้นดาดฟ้าในที่สุด


         ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนพื้นริมราวเหล็กที่กั้นเอาไว้ พร้อมกับมองข้าวกล่องที่ถือติดมือมาด้วยนิ่งนาน ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอรอยยิ้มขมขื่นออกมาอย่างสมเพชตัวเอง


         แม้จะไม่ได้ร่วมมือกัน แต่โบคุโตะก็ถูกผู้หญิงสองคนโกหกหลอกลวงได้ราวกับว่าเขาเป็นไอ้โง่งี่เง่าไม่มีผิด!


         และที่โง่กว่าคืออะไรรู้ไหม ทั้งที่ความจริงก็แบอยู่ตรงหน้าชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แล้วแท้ๆ แต่จนแล้วจนรอดโบคุโตะก็ยังไม่อยากยอมรับอยู่ดี เหมือนกับคนจมน้ำใกล้ตายที่พยายามตะกายหาทางรอดที่ไม่มีอยู่จริงให้กับตัวเอง


         เขาก็แค่… ไม่อยากจะให้ความเชื่อใจที่มีต่อมัลลิกานั้นสูญเปล่าก็เท่านั้นเอง


         ความหวังริบหรี่ที่พยายามป้องกันเอาไว้จนเฮือกสุดท้ายสั่งให้มือของเขาเปิดฝาข้าวกล่องออกเพื่อจะได้ดูให้เห็นกับตาว่าอาหารฝีมือฮานะจังนั้นจะหน้าตาเหมือนกับที่ผ่านมาในความทรงจำของเขาหรือเปล่า


         เมื่อเปิดออกมาก็พบว่าในนั้นมีข้าวขาวที่โปะหน้าด้วยบ๊วยดองหนึ่งชิ้นที่โบคุโตะไม่ชินตาเอาเสียเลย ปกติแล้วข้าวกล่องที่เขาเคยได้รับมักจะโรยหน้าด้วยงาดำเสมอ ไข่ม้วนที่วางเคียงอยู่ข้างๆ ก็สีจืดชืดและไม่มีผักซอยละเอียดผสมอยู่สักนิด หมูทงคัตสึก็ทอดออกมาได้เกรียมมากทีเดียว


         เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะใช้นิ้วหยิบหมูชุบแป้งทอดนั้นขึ้นมาลองกัดชิมดู


         …


         เพียงแค่คำแรกที่เคี้ยวเข้าไป โบคุโตะก็ต้องยอมแพ้และรับความจริงในที่สุดอย่างไม่มีแรงจะยื้ออะไรได้ไหวอีกแล้ว


         เขาต้องยอมรับเสียทีว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารฝีมือฮานะจังจริงๆ เลยสักครั้ง


         ไม่เคยมีอะไรจากฮานะจังส่งมาถึงมือโบคุโตะตั้งแต่แรกแล้ว


         มีแต่มัลลิกามาตลอด


         มัลลิกาที่เขาหลงรัก


         มัลลิกาที่โกหกเขาได้อย่างหน้าชื่นตาใสมาตลอดราวกับว่าเขาเป็นคนโง่




    _________




    T A L K



         แต่งลบไปล้านรอบกว่าจะได้เอามาลงให้อ่านค่ะ ಥ_ಥ พยายามเค้นอารมณ์มาก ตอนนี้เป็นตอนที่ไม่มีมะลิเลยค่ะ แอบรู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ปกติจะแต่งแบบนางเอกเป็นศูนย์กลางและตัวดำเนินเรื่องตลอด 

         เอาล่ะค่ะ มันเกิดขึ้นแล้วค่ะ วันที่คูมโบรู้ความจริง! *กอดเข่ากัดฟัน* (;╹⌓╹) 

         ที่เขาโกรธก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกและเหมือนเป็นคนโง่อยู่นานค่ะ แถมที่ผ่านมาคูมโบก็รู้ตัวเอะใจมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไปตลอดเพราะเชื่อใจมะลิมาก

         อีกอย่างก็คือ จนถึงตอนนี้ โบคุโตะก็ยังไม่รู้ตัวนะคะว่ามะลิเองก็ชอบเขาเหมือนกัน เหมือนอย่างที่คุโรโอะเหน็บไปว่าโบคุโตะไม่เคยมองมะลิดีๆ บ้างเลย เพราะถ้ามองดีจริงๆ ก็น่าจะรู้ได้ว่ามะลิคิดยังไงกับตัวเอง



    #มะลิกับนกฮูก

    sun&moon

    14.06.2021

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×