ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แคทนิปของท่านจอมพล [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทของคนเกลียดแมว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 478
      58
      10 ต.ค. 64

    บทนำ นำไปไหน…อ้อ นำไปสู่อีกโลกน่ะ

     

    มือเรียวค่อยๆวางขวดแก้วที่บรรจุเมล็ดพันธุ์ทดลองรหัสDX205 ลงในกล่องรักษาอุณภูมิอย่างระมัดระวัง ร่างโปร่งบางที่มีผิวขาวซีดเหมือนไม่เคยโดนแดดย่อตัวลงให้ระดับสายตาอยู่ตำแหน่งเดียวกับของบนโต๊ะ ดวงตากลมโตสีคาราเมลวาววับด้วยความตื่นเต้น รอวันที่เจ้าเมล็ดน้อยๆจะแตกหน่อออกมาให้เชยชม แต่หน้าปัดนาฬิกาดิจิตัลบนข้อมือที่บอกเวลาสี่ทุ่มกว่าๆก็ทำให้เจ้าตัวต้องลุกขึ้นบิดขี้เกียจและป้องปากหาวอย่างเสียไม่ได้

     

    เอสเธอร์ถอดเสื้อกาวน์ตัวยาวแขวนไว้ในล็อกเกอร์ประจำตัว แล้วหยิบกระเป๋าเป้สีดำที่ห้อยประดับด้วยพวงกุญแจหนูแฮมสเตอร์สีขาวขึ้นมาสะพาย ก่อนออกจากห้องแล็ปก็ไม่ลืมหันไปส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ให้กับเมล็ดพันธุ์ในขวดทดลองอีกครั้ง ชายหนุ่มแทบจะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมากัดแล้วร้องไห้กระซิกด้วยความปวดใจ ผมไม่อยากแยกกับน้องDX205แม้เพียงชั่วคืน! แต่ก็ทำได้เพียงเดินจากไปอย่างไม่ยินยอม

     

    ที่พักของเอสเธอร์เป็นคอนโดมิเนียมค่อนไปทางหรูที่อยู่ห่างจากศูนย์วิจัยประมาณหนึ่งกิโลเมตร ดังนั้นผมจึงเดินทอดน่องไปตามฟุตบาตอย่างไม่เร่งรีบนัก เพราะเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกทำให้บริเวณนี้ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ตลอดระยะทางสามร้อยเมตรที่ผ่านมาจะเรียกว่าผมเดินอยู่คนเดียวด้วยความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาก็ไม่ผิด กระทั่งผมรู้สึกได้ว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของของใครสักคนที่ดังกระชั้นชิดเข้ามา ไม่เสียเวลาให้ผมได้คิดอะไรไร้สาระต่อ คนข้างหลังจ่อปลายกระบอกโลหะเย็นเยียบเข้าที่กลางหลังทันที ปลายเท้าที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าหยุดกึก ไอเย็นจากปลายกระบอกโลหะเลื่อนขึ้นมาตรงศีรษะ พร้อมกับเสียงลั่นไกที่ดังเข้าหู ไม่มีเสียงปืนดังลั่นเหมือนอย่างละครน้ำเน่าไทยบางเรื่อง เพราะปืนมันดันใส่อุปกรณ์เก็บเสียงมา มีเพียงประโยคเยาะเย้ยด้วยความสมเพชเท่านั้น

     

    “เก่งเกินหน้าเกินตาแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ เป็นแค่นักวิจัยจบใหม่แท้ๆ เกิดชาติหน้าก็อย่าไปทำตัวเด่นจนเผลอเหยียบหางใครเข้าอีกละ ลาขาดละครับ…คุณนักวิจัย”

     

     

    อืม ผมตาย ตายแบบไม่มีโอกาสได้สั่งเสีย รู้ตัวอีกทีก็มานั่งอุดอู้อยู่ในที่แคบๆที่มืดสนิท ลองขยับตัวดูก็พบว่ารอบด้านคล้ายจะเป็นของเหลวบางอย่าง แต่เพราะง่วงหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ จิตใต้สำนึกของผมค่อยๆทำงานช้าลง ก่อนจะหลับลึกไปแบบไม่รู้ตัว

     

    เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในสิ่งที่ดูคล้ายคลึงกับตู้อบสำหรับเด็กทารก ผมยกมือขึ้นแตะผนังข้างๆ ก่อนจะรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ 

     

    ดูเหมือนผมจะได้ตั๋วมาเกิดใหม่แบบปัจจุบันทันด่วนซะแล้วละครับ…

     

    วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในนิยายสักเรื่อง ตอนนี้ผมอายุสิบหกปีแล้ว แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูไม่แตกต่างจากเด็กอายุสิบสองขวบเท่าไหร่ก็ตาม ถึงจะพยายามดื่มนมและเอาอาหารเสริมกรอกปากมากแต่ไหน แต่ส่วนสูงผมก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นไปมากกว่าเดิมแม้แต่น้อย ผมที่กำลังนั่งแทะเมล็ดทานตะวันเข้าปากด้วยความเจ็บช้ำ กลับโดนคนในบ้านที่เดินผ่านไปมา แวะมาตบหัวปุๆกันคนละสองสามที

     

    “โธ่ เอสน้อยของม๊า หนูยังเด็ก ไว้รออีกหน่อยเดี๋ยวก็สูงขึ้นแล้วค่ะ”

    “เอสเธอร์ของป๊า หนูตัวเท่าไหนก็ยังน่ารักครับ ไม่ต้องกังวลนะ”

    “โอ๋ๆน้องรัก ตัวขนาดนี้กำลังดี ไซส์หมากระเป๋าน่ะเคยได้ยินมั้ย พกพาสะดวก” แน่นอนว่าเจ้าพี่ชายปากมอมจะต้องได้รับการลงทัณฑ์ที่สาสมด้วยการโดนหมากระเป๋าขว้างเปลือกเมล็ดทานตะวันใส่หัว

     

    หลังจากที่ผมได้รับโอกาสมาเกิดใหม่ในตระกูลเฮสตัน ชีวิตก็ค่อนข้างแฮปปี้ทุกอย่าง ยกเว้นส่วนสูงที่พ่อกับแม่แบ่งให้แค่นิดเดียว และพี่ชายที่กวนตีนเก่งมากเป็นพิเศษ โอ้ เหมือนผมจะลืมบอกไปหนึ่งอย่าง โลกที่ผมมาเกิดใหม่ไม่ใช่โลกที่เราคุ้นเคยกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นโลกในอนาคตเสียมากกว่า ผู้คนที่นี่มีส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างพิเศษกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งความพิเศษนี้จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเมื่อมีอายครบสิบแปดปีบริบูรณ์ นั่นคือกลุ่มบุคคลที่ถูกเรียกว่าเซนติเนลและไกด์ โดยเซนติเนลจะเป็นบุคคลที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เป็นเลิศและอ่อนไหวกว่าคนปกติ มีรูปร่างที่สูงใหญ่และเข็งแรง มีความโดดเด่นพละกำลังและการฟื้นตัว หรือบางคนก็อาจมีความสามารถด้านพลังจิต เป็นต้น แต่พวกเขาก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือสามารถเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งได้ง่าย ดังนั้นเซนติเนลจึงเกิดมาเพื่อคู่กับไกด์ที่มีคุณสมบัติของผู้เยียวยารักษา ความสามารถที่โดดเด่นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังจิตและจิตใจ โดยไกด์จะมีความสามารถในการรับรู้เข้าใจในอารมณ์ ความต้องการ ความรู้สึกของบุคคลอื่น ทำให้สามารถเข้าไปในจิตใจของคนคนนั้นเพื่อปลอบประโลม แต่ในทางกลับกันไกด์ยังสามารถควบคุมจิตใจของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ด้วยตามระดับความแข็งแกร่งของพลังจิต 

     

    แต่การที่ไกด์จะสามารถปลอบประโลมความคลุ้มคลั่งของเซนติเนลได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกอย่างหนึ่ง คือเปอร์เซ็นต์ความเข้ากันของคนทั้งคู่ ที่ยิ่งมากเท่าไหร่ การปลอบประโลมก็จะยิ่งประสบความสำเร็จมากเท่านั้น

     

    ซึ่งพ่อและพี่ชายตัวดีของผมก็เป็นเซนติเนล แน่นอนว่าคุณแม่สุดสวยก็ยังเป็นไกด์ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะจับคู่กันเอง เพราะด้วยอายุที่ยืนยาวกว่าคนปกติ ทำให้ค่อนข้างลำบากหากต้องจับคู่กับคนธรรมดา นอกจากนี้เซนติเนลและไกด์ยังมีสัตว์คู่หูที่ก่อกำเนิดจากจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตัวเอง ส่วนใหญ่สัตว์คู่หูจะสะท้อนลักษณะนิสัยหรือความชอบของคนนั้นๆออกมา คล้ายกับการเป็นตัวเราอีกคนเลยก็ว่าได้

     

    ตัวผมในวัยสิบหกปีสามารถถือได้ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะคนหนึ่ง แน่นอนครับ ถึงตัวจะเป็นเด็กแต่ไส้ในคือนักวิจัยจบใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถที่เป็นเลิศ ประกอบเข้ากับโลกใบนี้ที่มีเนื้อหาการเรียนไม่แตกต่างไปจากโลกก่อนนัก ตัวผมที่เคยผ่านมันมาครั้งหนึ่งแล้วจึงสามารถผ่านมันไปอีกครั้งโดยไม่ยากลำบากนัก 

     

    ขณะนี้ผมกำลังเรียนเกรดสิบอยู่ในโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง มีเพื่อนสนิทที่สุดอยู่สามคนคือ มิรา แอชลีย์ สาวสวยหนึ่งเดียวในกลุ่ม และสองแฝดจอมป่วนอย่างมาติน ฮาลันเต้และ มาม่อน ฮาลันเต้ 

     

    ชีวิตปิดเทอมของผมสงบสุขมาตลอดจนกระทั่งประโยคหนึ่งหลุดออกจากปากเพื่อนสาวคนดี

    “นี่ ศุกร์นี้เราไปคาเฟ่แมวกันเถอะ”

     

    ผม เอสเธอร์ เฮสตัน อัจฉริยะอายุน้อย ลูกชายนักธุรกิจชื่อดัง มีสิ่งหนึ่งที่เกลียดมากที่สุด เกลียดยิ่งกว่าพี่ชายที่ชอบล้อเรื่องส่วนสูง สิ่งมีชีวิตหน้าขนตัวร้ายที่ชอบทำตัวเย่อหยิ่งประหนึ่งตนเองคือเจ้าของโลกใบนี้ ปรายตาเหยียดทุกคนที่เฉียดเข้าไปใกล้มัน มองมนุษย์ไม่ต่างจากทาสโง่เง่าตัวหนึ่ง ใช่ครับ ทุกคนอาจจะคุ้นเคยกับคำนิยามเช่นนี้ เจ้าหน้าขนที่ผมกำลังเอ่ยถึงมันคือแมวนั่นเอง ความเกลียดนี้ย่อมมีที่มาที่ไป หากทุกคนอยากรู้คงต้องย้อนกลับไปเมื่อชีวิตก่อนของผม

     

    ตอนนั้นเพื่อนนักวิจัยคนหนึ่งเคยมาเยี่ยมผมที่คอนโด ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ได้มามือเปล่า หอบหิ้วเจ้าสัตว์หน้าขนตัวหนึ่งมาด้วย แวบแรกผมคิดว่าก้อนขนสีส้มตัวนั้นมันช่างน่ารักน่าหยิกเสียช่างกระไร ไม่ว่าจะนั่ง นอน เดิน เชิดหน้าปรายตามองใส่ ผมก็ยังคิดว่ามันน่ารัก จนกระทั่งวินาทีที่มันปัดหลอดทดลองที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผมหล่นลงมาทั้งแผง ตัวทดลองที่ผมคิดค้นจนแทบจะขายวิญญาณแลกเพื่อให้ได้มา วินาทีนั้นก้อนขนสุดน่ารักก็กลายเป็นแค่แมวผีตัวหนึ่ง ผมไม่เฉียดเข้าใกล้สัตว์ตระกูลแมวอีกเลยนับแต่นั้นมา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความกลัว กลัวว่าตัวเองจะพุ่งเข้าไปกระซวกไส้มันมาทำแมวดองซะ 

     

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมจึงไม่พาตัวเองเข้าไปใกล้สัตว์พวกนั้นอีกเลย จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมโดนเพื่อนสาวและสองแฝดกระทำการอุกอาจโดยการบุกเข้ามาลักพาตัวถึงในบ้านโดยได้รับความยินยอมจากทั้งยามหน้าประตูและหัวหน้าพ่อบ้าน รวมไปถึงเจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มลูบหัวปุๆแล้วบอกให้ผมออกไปหาอะไรใหม่ๆทำเสียบ้าง แน่นอนว่าแรงอันน้อยนิดของผมไม่สามารถสู้แรงของอีกสามคนได้ จึงโดนลากขึ้นรถมาในสภาพที่ไม่อาจขัดขืน มิราเดินยิ้มแฉ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปในร้าน ส่วนมาม่อนกับมาตินช่วยกันหิ้วปีกผมที่พยายามจะพุ่งกลับเข้าไปในรถ

     

    เพียงมองผ่านกระจกใสเข้าไปด้านในที่เต็มไปด้วยเจ้าสัตว์หน้าขนเดินสวนยั้วเยี้ยกันเต็มไปหมด ผมก็รู้สึกเหมือนเลือดลมในตัวตีขึ้นหน้า ได้แต่บอกตัวเองว่ายุบหนอ อดทนหนอ รอชำระแค้นกับเพื่อนตัวดีพรุ่งนี้หนอ

     

    “เอาอันนี้ อันนี้ …แล้วก็อันนี้ค่ะ! เอสเธอร์ พวกเราสั่งเสร็จแล้วนะ นายอยากทานอะไรอีกมั้ย จะได้สั่งเพิ่ม”

     

    “ไม่เป็นไร ฉันขอลาเต้เย็นแก้วเดียวก็พอ” ผมละความสนใจจากเล่มเมนูแล้วหันมาถลึงตาใส่บรรดาก้อนขนที่เดินเรียงรายเข้ามาเบียดชิดกับตัวผมประหนึ่งเมื่อเช้านี้ผมได้พรมน้ำหอมกลิ่นแคทนิปก่อนออกจากบ้าน

     

    “ดูเจ้าพวกนี้จะชอบนายนะเอส” มาม่อนพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ปกปิดความขำไว้ไม่มิด ผมจึงละสายตาจากเจ้าพวกก้อนขนแล้วหันมาถลึงตาใส่เพื่อนตัวสูงแทน ไม่ลืมเผื่อแผ่ไปยังมาตินที่ทำท่าจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกความอัปยศของผมเก็บไว้ดูเล่น

     

    ฝ่ามือเรียวผลักบรรดาแมวทั้งหลายออกด้วยความขยาด เฮ้พวก! ฉันว่าพวกนายเข้าหาผิดคนแล้วแหละ มีมนุษย์มากมายพร้อมพลีกายให้พวกนายเหยียบย่ำ แต่หนึ่งในนั้นไม่ได้นับรวมเอสธอร์ เฮสตันคนนี้เข้าไปแน่ๆ 

     

    ก่อนจะมีฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นในร้าน พนักงานก็เดินมาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะเสียก่อน ร่างเตี้ยๆของผมขยับตัวหนีไปด้านข้างจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระจกร้าน เมื่อแมวขาสั้นตัวกลมตัวหนึ่งอาจหาญถึงขั้นปีนขึ้นมาบนตักของผมแทบจะทั้งตัว มือเรียวจับมันวางบนพื้นโดยไม่เสียเวลาคิด

     

    “นายกล้าโหดร้ายกับก้อนขนพวกนี้ได้ยังไงกัน ดูสิ พวกมันออกจะน่ารักขนาดนี้ นายนี่มันตาไม่ถึงจริงๆเอสเธอร์ เจ้าคนใจดำ!” คนโดนต่อว่า เมินหน้าหนีเพื่อนสาวก่อนจะยกแก้วลาเต้ขึ้นมาดูด 

     

    ผ่านไปไม่นาน อาหารบนโต๊ะก็พร่องลงเกือบหมด มิรากับมาม่อนปลีกตัวไปเล่นกับเจ้าเหมียวอยู่ตรงโซนหนึ่งของร้าน ทิ้งผมกับมาตินที่กำลังฟัดกับแมวหน้าบี้ตัวหนึ่งไว้ที่โต๊ะ ผมยกแก้วกาแฟที่ละลายจนแทบไม่เหลือรสชาติขึ้นดูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แมวมันน่ารักตรงไหนกัน สิ่งมีชีวิตที่ชอบทำหน้ามองเหยียดเหมือนคนทั้งโลกที่ใต้ฝ่าเท้ามันเนี่ยนะ เหอะ”

     

    “แล้วนายล่ะ จะเกลียดอะไรพวกมันนักหนา ทำไมไม่ลองเปิดใจดูสักหน่อย บางทีอาจจะพบว่ามันดีกว่าที่คิดก็ได้นะ”

     

    “ไม่ละ ผลจากการเปิดใจนี่ไงที่ทำให้ฉันเป็นโรคขยาดแมวจนตอนนี้ โชคดีแค่ไหนที่สัตว์คู่หูของคนที่บ้านฉันไม่ใช่สัตว์ตระกูลแมว ไม่งั้นพวกนายได้เห็นฉันประสาทแดกวันละหลายหนแน่ๆ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว”

     

    ร่างสูงผมสีบรอนด์ทองส่ายหัวด้วยความระอา “แล้วถ้าเกิดพลังของนายตื่นมา แล้วดันได้สัตว์คู่หูเป็นหนึ่งในตระกูลแมวล่ะ”

     

    “อืม พวกนายเตรียมรับความประสาทแดกของฉันได้เลย”

     

     

      

     

    ----------------------

     

    ละครหลังม่าน

    มิรา: เฮ้! เอสเธอร์ นายดูนี่สิ เจ้าเหมียวตัวนี้มันทำหน้าบี้เหมือนนายตอนนี้ไม่มีผิด

    เอสเธอร์: เหอะ หยุดเอาหน้าหล่อๆของฉันไปเทียบกับเจ้าสัตว์หน้าขนพวกนั้น!

    บ่าว: เอสเธอร์เอ๋ย ไม่ว่ายังไงนายก็ไม่มีวันหนีสัตว์ตระกูลแมวพ้น เกียมตัวรอรับความประสาทแดกของตัวเองได้เลย

    ไปคุยเล่นและหวีดความน่ารักของ “เจ้าเหมียวตัวนั้นที่ยังไม่มีบท” กันได้ที่แท็ก #แคทนิปของท่านจอมพล

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×