ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ก่อนความฝันจะเริ่มต้น 1/10
ดุ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบมาว่า
“มีครับ แต่ต้องมีการจัดการเกี่ยวกับนักเตะเยาวชนที่ดีกว่านี้ หรือไม่ก็..ไปเจอนักเตะที่มีพรสวรรค์และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับทีมชาติไทยมากกว่านี้”
“แล้วคุณ ดุ มีความเชื่อมั้ยครับว่าฟุตบอลไทยจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย”
“เชื่อครับว่าได้ไป แต่ว่าคงไม่ใช่เร็วๆนี้อย่างแน่นอน”
“ถ้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฟุตบอลไทยจะได้ไป หรือไม่ได้ไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศบราซิล ขึ้นอยู่กับคุณ ดุ คนเดียวคุณจะว่าไงครับ”
ดุ อึ้งไปนิดหนึ่งและย้อนถามด้วยความสงสัยมาว่า “จะเป็นไปได้ไงผมเป็นแค่ประชาชนตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น ผมไม่มีอำนาจและบารมีพอที่จะทำให้ไทยได้ไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายได้หรอกครับ”
“เป็นไปได้ครับ” เสียงของ อัศวิน ตอบมาด้วยความมั่นใจ
“ถ้าเราสองคนร่วมมือกัน รับรองว่าคุณ ดุ สามารถพาทีมชาติไทยไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศบราซิลได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับคุณดุ จะสร้างความคุ้นเคยกับรองเท้าสตั๊ดคู่นี้ได้รวดเร็วแค่ไหนด้วยนะครับ” อัศวิน ร่ายยาวมา
ดุ ก้มลงมองรองเท้าที่เขาใส่อยู่ แล้วถามอย่างสงสัยว่า
“รองเท้าสตั๊ดคู่นี้น่ะเหรอครับ ที่จะทำให้ทีมชาติไทยได้ไปเล่นฟุตบอลโลก”
“ครับ”
“แต่รองเท้าคู่นี้ก็ดูเหมือนรองเท้าสตั๊ดทั่วๆไปนะครับ จะต่างจากคู่อื่นที่ผมเคยใส่มาก็ตรงที่พอใส่แล้วผมรู้สึกกระปี้กระเป่า และทำให้ผมคอลโทรลบอลได้ง่ายขึ้น”
อัศวิน ยิ้มให้ ดุ นิดหนึ่งแล้วอธิบายให้ฟังว่า
“รองเท้าคู่นี้ไม่ธรรมดาครับ ผมได้มาจากตอนที่ไปตะเวนแข่งอุ่นเครื่องที่ประเทศเยอรมัน เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนส่วนจะได้มาอย่างไงผมขอปิดเป็นความลับ โดยคนที่ให้ผมมาบอกว่ารองเท้าสตั๊ดคู่นี้เป็นรองเท้าสตั๊ดแห่งอนาคต ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เชื่อ แต่ที่รับไว้ก็เพราะว่ามันมีรูปทรงที่แปลกประหลาดถ้าเทียบกับเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ในสมัยนั้นผมไม่เคยเห็นนักฟุตบอลคนไหนใส่รองเท้ารูปทรงแบบนี้มาก่อนเลยผมเลยไม่กล้าที่จะเอาให้คนอื่นดู กลัวเขาหาว่าบ้า”
ดุ นั่งตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ถามกลับมาว่า
“แล้ว
พี่อัศวิน ผมเรียกพี่แล้วกันนะครับ เคยลองใส่สตั๊ดคู่นี้ซ้อมเตะบอลหรือยังครับ”
อัศวิน นิ่งเงียบแล้วมองหน้าเขาอยู่อึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยความตื่นเต้นว่า
“เคยครับ มันมหัศจรรย์มาก ผมยังแทบไม่เชื่อเลยในตอนนั้นเลย คือ หลังซ้อมทีมเสร็จ ผมได้เอาสตั๊ดคู่นี้ใส่ซ้อมยิงประตูดูปรากฏว่า ผมยิงมุมไหนก็เข้า ถ้าเลยวงกลมครึ่งสนามมาแล้วยิงเข้าทุกลูก ต่อให้ผมวางเท้าไม่ดีก็ตาม” อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทยเล่าให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
“แต่อย่างที่บอกครับ ตอนนั้นผมยังไม่กล้าที่จะใส่สตั๊ดคู่นี้ครับ เพราะว่าในเมืองไทยสมัยก่อนยังไม่มีสตั๊ดรูปทรงแบบนี้กัน ผมเลยเอามาฝากไว้กับเถ้าแก่เจ้าของร้านไว้ก่อน คิดไว้ว่าเมื่อถึงเกมส์สำคัญๆผมจะเอาไปใส่และจะขอขึ้นไปเล่นเป็นศูนย์หน้าเอง แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ต้องการผมก็มาเสียชีวิตซะก่อน” อัศวินเล่าให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
ดุ มองหน้า อดีตดาราเอเซียด้วยความเห็นใจอยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วพี่มั่นใจเหรอครับว่ารองเท้าคู่นี้จะทำให้ทีมชาติไทยของเราประสบความสำเร็จในระดับชาติได้ฟุตบอลสมัยนี้ต่างกับเมื่อก่อนเยอะเลยนะครับ”
“พี่มั่นใจ ถึงแม้พี่จะเป็นวิญญาณก็ตาม แต่พี่ก็ยังติดตามข่าวสารฟุตบอลมาตลอดสี่สิบปีนะ พี่ทราบถึงความเคลื่อนไหวเกี๋ยวกับ วงการฟุตบอลไทยและเทศตลอดเวลา และตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาพี่ก็มีเฮียเจ้าของร้านเป็นเพื่อนคุยกับพี่เสมอมาเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอล”
“แล้วพี่จะให้ใครใส่รองเท้าคู่นี้ครับ ถ้าพี่อยากจะถึงเป้าหมายที่พี่ตั้งไว้เร็วๆ พี่คงต้องเอาสตั๊ดคู่นี้ไปให้นักเตะทีมชาติไทยใส่ครับ” ดุให้แนะนำพร้อมทั้งจะถอดรองเท้าคืนให้
“ไม่มีใครใส่สตั๊ดคู่นี้ได้หรอกครับ นอกจากคุณดุคนเดียว” ประโยคนี้ทำเอามือของดุที่กำลังจะแก้เชือกรองเท้าชงักลงทันที ถามกลับด้วยความสงสัย
“ทำไมครับคนอื่นก็ใส่ได้นี่”
“คุณดุเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษคำว่า FOR DREAM ตรงปลายรองเท้าหรือเปล่าครับ”
ดุพยักหน้ารับ
คนที่จะใส่รองเท้าคู่นี้ได้คนๆนั้นจะต้องเห็นอักษรสองคำนี้ครับ และตลอดเวลาที่ผ่านมาสี่สิบปี นอกจากผมแล้วก็ยังไม่มีใครเห็นตัวอักษรสองคำนี้เลย แม้แต่เฮียเจ้าของร้านก็ไม่เห็นก็พึ่งจะมีก็แต่คุณดุนี่แหละที่เห็นตัวหนังสือต่อจากผม”
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า มีพี่อัศวินและผมที่ใส่รองเท้าคู่นี้ได้เท่านั้นเองเหรอครับ”ดุถามเพื่อความแน่ใจ
“เพราะอะไรครับ ทำไมถึงต้องเป็นผม ทั้งๆที่คนอื่นๆที่เล่นฟุตบอลเก่งกว่าผมมีเยอะแยะไป” ดุถามด้วยความสงสัย
“อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ อาจเป็น “พรหมลิขิต” มั้งครับ” อัศวินตอบมายิ้มๆ
ดุนิ่งคิดไปอึดใจหนึ่ง แต่เหมือนอัศวินจะอ่านใจเขาได้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น