ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่ายไฟรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 56


    บทที่ 2

     

              วันนี้นิอรไม่ต้องเข้าไร่หนึ่งวัน ปล่อยให้หัวหน้าคนงานรับผิดชอบไปตามลำพัง ทายว่าคงเหนื่อยสักหน่อย แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเธอต้องทำตามคำสั่งเจ้านายเฝ้าห้องสำนักงานแทน เพราะทั้งสองต้องออกไปตะล่อมเศรษฐีเมืองพม่าหวังขยายตลาดส้มออกสู่ต่างแดน

                พิกุลแวะมาเรียกไปกินข้าวในครัว หล่อนทราบจากป้านวยว่าตะวันวีร์กลับบ้านแล้ว สีหน้าในวันนี้จึงไม่ค่อยร่าเริงเหมือนที่เคยคุ้นตา

                "คุณวันกลับมาแล้วเกี่ยวอะไรกับพิกุลหรือจ๊ะ" เธอถามพลางรินน้ำใส่แก้ว

                "ไม่เกี่ยวอะไรหรอกจ้ะ แต่พิกุลกลัว คุณวันน่ะดุ ไม่ค่อยใจดีเหมือนคุณดินกับคุณน้ำเลย ทำผิดนิดหน่อยก็โดนเอ็ดต่อหน้าคน พิกุลโดนสองสามครั้ง ตอนนั้นนะ อายแทบแทรกแผ่นดิน"

                "แทรกแผ่นดินหรือว่าแทรกคุณดินจ๊ะ" นิอรแหย่อย่างเป็นกันเอง ก็พอรู้มาบ้างว่าสาวน้อยพิกุลแอบปลื้มเจ้านาย

                "แหม อย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิ พิกุลก็อายเป็นนะ"

                ป้านวยนิ่วหน้ารำคาญ นางเบื่อจะสั่งสอนให้เจียมเนื้อเจียมตัว แต่อีกใจก็สงสาร เด็กสาวๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ เพ้อฝันว่าจะพบรักกับหนุ่มรูปงามแสนดีร่ำรวย แล้วปฐพีก็จัดอยู่ในข่ายนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่พิกุลคนเดียวหรอก คนงานสาวรุ่นในไร่ก็เพ้อพกอยู่อีกหลายคนเชียวล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายใหญ่ใจดีอย่างปฐพี หรือเจ้านายรองหน้าขรึมอย่างตะวันวีร์

     

                ช่วงบ่ายเงียบมาก นิอรง่วงนอนแต่ก็ไม่กล้าฟุบหลับบนโต๊ะ จึงต้องหางานเอกสารมาทำแก้เบื่อไปพลางๆ เธออยากให้มีโทรศัพท์ประดังเข้ามาให้รับไม่ทัน เพราะแบบนั้นมันจะช่วยให้เวลาเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วและเพลินด้วย

                ตะวันวีร์แวะเข้ามาเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้มาเฉยๆ เขาหอบงานมาสั่งนิอรด้วย แม้จะเห็นว่าเธอง่วนกับการจัดเรียงแฟ้มใส่กระบะตรงมุมตู้เหล็กก็ตามเถอะ

                "ผมต้องการแฟ้มลูกค้ากลุ่มขยายตลาด คุณกำลังรื้อๆ จัดๆ พอดีใช่ไหม ถ้าจำไม่ผิดเรามีลูกค้ากลุ่มนี้ประมาณสิบรายนะ แต่ไม่แน่ใจนัก คุณนำทั้งหมดไปที่เรือนดอกส้ม ผมต้องการข้อมูลวันนี้ก่อนบ่ายสองโมง"

                นิอรอ้าปากค้าง ลืมความเบื่อความง่วงเป็นปลิดทิ้ง เธอเดาไม่ผิดหรอก ชายร่างสูงเพรียวสวมเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงผ้าฝ้ายขาสามส่วนสีขาวต้องใช่ตะวันวีร์แน่ๆ

    เสียงทุ้มของเขามันฟังเข้มข้นได้อารมณ์ครั่นคร้ามดีเหลือเกิน แตกต่างจากเสียงอบอุ่นของปฐพี รายโน้นนิยมกล่าวเนิบๆ ฟังละมุนหูที่สุด แต่รายนี้ก็อย่างที่บอก ได้ยินแล้วใจเต้นแรงล่ะ

                เสียดายจัง เมื่อครู่ก็ไม่ทันดูหน้าดูตาให้ชัดๆ ตอนดูในรูปก็ยอมรับว่าหน้าตาดีแบบหนุ่มเชียงใหม่ทั่วไป แต่ในความหน้าตาดีก็แฝงความเฉียบขาดปนดุให้เห็นล่ะ

                "ไม่เป็นไร เดี๋ยวตอนไปส่งงานค่อยแอบมองก็ได้"

                นิอรพูดกับตัวเองขณะเร่งมือควานหาแฟ้มที่เจ้านายรองต้องการ ป้านวยเคยเล่าว่าเขาเป็นคนเข้มงวดตรงเวลาและไม่ชอบเห็นงานบกพร่อง

    เธอก็ไม่ควรโอ้เอ้ เขาบอกว่าต้องการข้อมูลก่อนบ่ายสองโมง ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกสิบนาที มันกระชั้นไปหน่อย แต่เธอก็จะไม่ยอมให้ตนต้องเสียประวัติการทำงานล่ะ

     

                เรือนดอกส้มน่ารักมาก สีเขียวอ่อนของมันทำให้นึกไปถึงลำไม้ไผ่ ระเบียงไม่กว้างไม่แคบก็ดูน่านั่งเล่น อากาศถ่ายเทดี ลมพัดใบไม้ไหวให้เห็นตลอดเวลา แม้แต่ปลายผมยาวๆ ของเธอก็พลิ้วมาคลอแก้มคอให้เกี่ยวออกอยู่บ่อยๆ

                "เอ้อ นิไม่ทราบว่าจะใช่กระบะนี้หรือเปล่า ก็เลยยกมาหมด คุณวันดูก่อนนะคะ ถ้าไม่ใช่.. "

                "ใช่ รื้อออกมาซิ"

                นิอรลอบกลืนน้ำลาย บอกไม่ถูกว่าเขาดุหรือเปล่า เพราะน้ำเสียงที่เจรจาด้วยก็ราบเรียบดี แค่ว่าหน้าไม่ยิ้ม ตาก็ไม่มอง เขากำลังจ้องเขม็งจอโน้ตบุ๊ก ข้างๆ ก็วางแก้วน้ำใสสีเขียวอ่อน เห็นว่าเหลือน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แล้วข้างกันอีกนิดก็วางกระป๋องเบียร์อีกสองสามกระป๋องล่ะ

                "คุณวันต้องการแฟ้มของ.. "

                "ของเมืองพม่าก่อน อ้อ เมื่อวานนี้ก่อนจะกลับบ้าน ผมแฟ็กซ์ข้อมูลลูกค้ารายล่าสุดเข้ามา คุณไปหาดูซิว่าพี่ดินเก็บไว้ตรงไหน เจอแล้วก็นำมาให้ผม ไปเร็วๆ "

                นิอรหน้าเหลอหลาไปตามลำพัง เขาเองก็ยังไม่ทราบว่าปฐพีเก็บไว้ตรงไหน แล้วเธอไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในห้องสำนักงานสักทีจะรู้หรือ แต่ป้านวยก็เคยเล่าว่าเขาสั่งอะไรก็ให้รีบไปทำ อย่าไปทักอย่าไปขัด เพราะเขาไม่ชอบ ทำได้ไม่ได้ก็ทำไปก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปบอกตรงๆ เขาก็จะไม่ว่าแล้ว

                'เอาล่ะ ย้อนกลับไปหาดูก่อนก็ได้ ไม่เจอก็ค่อยกลับมาบอก เขาคงไม่ด่าหรอก หรือต่อให้ด่า ในนี้ก็มีกันสองคนเอง ด่าเสียงดังแค่ไหน ก็ไม่ต้องอายใคร'

                นิอรหาข้อสรุปขลาดๆ ให้ตัวเองพลางถอยกลับมารื้อค้นเอกสารที่เขาว่าในห้องสำนักงานอย่างเร่งด่วน แม้ว่าครั้งนี้เขาไม่ได้กำหนดว่าต้องได้ภายในกี่นาที แต่เธอก็เชื่อว่าไม่ควรช้า เพราะเขาอาจไม่พอใจ และนึกว่าเธอทำงานไม่เป็น งุ่มง่าม ไร้คุณสมบัติ ทำไปทำมาจะพานสรุปง่ายๆ ว่า 'ไล่ออกไปเถอะ'

                'แย่แล้ว หาไม่เจอจริงๆ ทำยังไงดี' ถึงคราวที่นิอรต้องเผยสีหน้าหนักอกหนักใจแล้วล่ะ เธอเท้าสะเอวเม้มปากแล้วมองไปรอบๆ อย่างกลัดกลุ้ม ก็มันหาไม่เจอจริงๆ หน้าตาเจ้าเอกสารฉบับนั้นเป็นยังไงก็ไม่รู้ สิบนาทีแล้วด้วย เขาคงรอนานแล้ว จะหงุดหงิดหรือยังก็ไม่ทราบ

                เมื่อจนปัญญา นิอรก็จำต้องพาหน้าขลาดๆ มาประจันกับหน้าขรึมของเจ้านายรองในเรือนดอกส้ม เธอก็บอกไปตามตรงเลยว่า

                "หาไม่เจอค่ะคุณวัน เอ้อ คือว่า.. "

                "ไม่เป็นไรครับ"

                สาวอกหักเลิกคิ้วทันทีทันใดเลย ประหลาดใจที่เขาตัดบทง่ายเกินเหตุ จากนั้นก็หันมาตำหนิตัวเองล่ะ ที่ว้าวุ่นไร้สาระเป็นนานสองนาน

    แล้วดูสิ ตัดบทแล้วก็ไม่เห็นว่าจะก่อฤทธิ์อวดเดชอะไร นอกจากใส่ใจกับงานที่กำลังทำ ไม่สนใจอีกด้วยว่าเธอจะยังอยู่หรือจะกลับออกไปแล้ว

                'ก็ดูว่าใจดีออกนี่นา ทำไมทุกคนต้องบอกว่าเขาดุด้วย' ในสมองแอบผุดข้อสงสัย แต่สองตาก็ลอบสำรวจตัวจริงตรงหน้าแบบว่องไว

    เขาหล่อกว่าในรูป หรือต้องบอกว่าหล่อกว่าพี่ชาย เป็นหนุ่มเชียงใหม่ที่จมูกโด่งสวยมากเลย ถ้ามีโอกาส เธอจะลองถามป้านวยว่าสามพี่น้องตระกูล 'อุทัยอาบ' มีเชื้อสายเชื้อเสี้ยวบ้างหรือเปล่า

     

                บรรยากาศในเรือนดอกส้มเงียบสงบน่าอยู่มากเลย ไม่ต้องมีเครื่องปรับอากาศก็ได้ เพราะระเบียงรอบบ้านก็เปิดโล่งให้อากาศถ่ายเทเข้าออกตลอดเวลา

    ผมหยักศกของตะวันวีร์สะท้อนกับแสงจากข้างนอกเกิดประกายสีน้ำตาลอมทองแปลกๆ แต่มันก็สวยล่ะ พลิ้วดีด้วย เขาชอบเสยเหมือนรำคาญเวลามันไหลลงไปปรกหน้าผาก

                'นี่มันเป็นห้องอะไรกันแน่' นิอรถามตัวเองมากกว่า เธอยิ้มขำๆ เมื่อหันไปเห็นที่นอนอย่างหนาตั้งชิดฝาเรือนด้านใน ขนาบด้วยโต๊ะเตี้ยตั้งโคมไฟทรงสวย ข้างๆ กันก็ประดับกรอบรูปเล็กๆ ด้วย แต่มองจากตรงนี้ไม่เห็นหรอกว่าเป็นรูปใคร

    มุมด้านหนึ่งตั้งตู้เย็นสีเขียวอ่อน ทายว่าในนั้นก็คงเต็มไปด้วยเบียร์กระป๋องกับน้ำดื่ม

    นิอรเริ่มเมื่อยขาที่นั่งพับอยู่นาน จึงค่อยขยับแล้วหมุนรอบๆ หวังจะสำรวจสภาพในห้องให้หมด จนไปเจอกรอบรูปขนาดกำลังน่ารัก ในนั้นก็เป็นภาพวาดของสาวสวยคนหนึ่ง หน้าตาบอกเลยว่าต้องเป็นทายาทชนชั้นผู้ดีมีเงิน สังเกตจากเครื่องประดับมุกที่สวมครบชุดก็น่าจะเป็นคำตอบกรายๆ ได้แล้ว

                "ผู้หญิงคนนี้สวยจังค่ะ"

    เธอชมออกมาจากใจ ไม่เชิงว่าพูดกับเขา แต่เขาได้ยินแล้วร้องตอบกลับมาสั้นๆ ว่า 'อืม' เธอจึงย่ามใจว่าเขาใจดี จึงซอกแซกถามล่ะ

    "เธอเป็นใครหรือคะคุณวัน"

    อ้าว คราวนี้เขาเงียบนี่ ทำไมไม่ร้องรับเหมือนเมื่อครู่นี้เล่า ตอนนั้นเธอไม่ได้ถามด้วยซ้ำไป แต่พอตอนนี้เธอตั้งใจถาม เขากลับเงียบเสียได้ หรือว่าจะไม่ทันได้ยิน เพราะเห็นว่าหันไปพลิกเอกสารบนพื้นพอดี

    "เอ้อ เธอเป็นใครหรือคะ ทำไมคุณวันต้องแขวนไว้ในห้องด้วย"

    นิอรคิดว่ามันเสี่ยงที่ถามซ้ำออกไป แต่ความอยากรู้มันมีเยอะกว่า แค่เขายอมบอกว่าสาวสวยคนนี้เป็นใคร เธอก็คงไม่ถามอะไรต่ออีกแล้วล่ะ

    "ทำไม อยากให้แขวนภาพตัวเองบ้างหรือยังไง ไม่ไหวหรอก ผมไม่อยากนอนฝันร้าย" คราวนี้เขาตอบ แต่คำตอบไม่ค่อยรื่นหูเลย

    "แหม คุณวันพูดแบบนี้ เหมือนจะบอกว่านิไม่สวยยังไงก็ไม่รู้นะคะ"

    "อืม"

    "แต่อันที่จริง ถ้ามองให้ดีๆ เธอก็สวยเพราะปรุงแต่งต่างหาก ถ้าเป็นอย่างนั้น นิว่านิสวยกว่านะคะ"

    "สวยกว่าก็ลาออกไปสิ"

    "อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ สวยน้อยกว่าก็ได้ค่ะ"

    นิอรรีบโพล่งทันควันแบบไม่ให้มีช่องว่าง เธอลอบนิ่วหน้างง เพราะไม่เข้าใจว่าเขาเคืองอะไร น้ำเสียงเมื่อครู่นี้ มันขุ่นจัดเหมือนไม่พอใจเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอก็มั่นใจว่าไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์สาวสวยในรูปไปในทางเสียๆ หายๆ สักนิด

    "มองอะไรผมอีก" เสียงขุ่นลอยมากระแทกความคิด ตาสีน้ำตาลเข้มก็วาวๆ ออกแนวดุข้นเชียว

    "มองคุณวันสิคะ" นิอรรีบตอบ แล้วค่อยแอบด่าตัวเองในใจว่าตอบได้ชุ่ยมาก "เอ้อ ก็คุณวันหล่อนี่คะ ผู้ชายหล่อๆ เขาก็มีไว้ให้มองทั้งนั้นไม่ใช่หรือคะ ลองว่าคุณวันขี้ริ้วขี้เหร่ นิจะมานั่งจ้องให้เมื่อยตาทำไมกัน"

    "คลื่นไส้" เขากระแทกแฟ้มบนตักลงพื้นดังตึก

    "คะ" นิอรทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจว่าเจ้านายรองทำไมลมเพลมพัด

    "ผู้ชายหล่อๆ มันไม่ได้ดีไปเสียหมดหรอก หัดมองเปลือกในเสียบ้าง อย่าดีแต่เพ้อฝันกับหน้าหล่อฉาบฉวย"

    "แหม" เธอลอยเสียงแย้งอย่างนอบน้อมออกไป เพราะใจรับไม่ได้จริงๆ "มันก็เป็นธรรมดาละค่ะ จะให้ทำยังไงละคะ ก็ในเมื่อคนส่วนใหญ่นิยมชื่นชมเปลือกนอกมากกว่าข้างใน เพราะมันปรุงแต่งได้"

    "ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นสาวฉาบฉวย หลงใหลอะไรต่อมิอะไรแต่เพียงเปลือกภายนอก ใช้ไม่ได้"

    "อะไรนะคะ"

    "ผมบอกว่านิสัยคุณใช้ไม่ได้ นี่ให้ผมทายไหมล่ะ ว่าคุณต้องยังเป็นโสด"

    "คะ"

    "เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผู้ชายที่นิยมมองแต่เปลือกภายนอก จะมองผ่านคุณไปอย่างไม่แยแส"

    "เอ้อ"

    "กลับไปส่องกระจกสำรวจตัวเองให้ชัดๆ ว่าหน้าตาคุณในเวลานี้ จะปรุงแต่งหรือปล่อยไปตามธรรมชาติสร้างมา มันก็ไม่ได้ความทั้งนั้น"

    อะไรกันน่ะ ทำไมเขาปากร้ายจัง แล้วเขาโกรธเคืองอะไรเธอหรือ ถึงได้ตั้งมั่นตอกหน้าย้ำปมความสวยกันแบบเสียงแข็งเสียงห้วน อ้อ เขาทิ้งงานที่กำลังง่วนอีกด้วย แล้วตอนนี้ก็หมุนตัวมาประจันหน้ากับเธอเหมือนพร้อมจะเปิดศึก

    "มันเกี่ยวอะไรกับที่นิถามถึงคนในรูปหรือคะ" เธอพยายามดึงประเด็นเดิมกลับมา

    "แล้วมันไม่เกี่ยวหรือ" เขาย้อนพร้อมกับหรี่ตาเหมือนดูแคลน "คนส่วนใหญ่ที่คุณว่ามา มักจะนิยมของสวยแต่ไม่ดี ในขณะที่คุณเป็นของดีแต่ไม่สวย พวกเขาจึงมองผ่านคุณไป แบบนี้ยังไงล่ะ ที่เราคุยกันถึงเรื่องเปลือกนอกเปลือกใน"

    เขาอาจจะยอกย้อนเพื่อหวังเอาชนะ ไม่อยากเสียหน้าว่าต่อปากต่อคำลูกจ้างไม่ทัน แต่คนฟังอย่างนิอรกลับเจ็บแปลบแสบทรวง เพราะบางวลีของตะวันวีร์ บังเอิญไปพ้องกับวาจาตัดสัมพันธ์ของวินทร์เข้า

    "ผมรู้ว่านิเป็นคนดี แต่ความรักก็ไม่ต้องการความดีทั้งหมดหรอก"

    "แล้วความรักของวินทร์ต้องการอะไร"

    "ต้องการความเข้าใจ ความแน่ใจ และความผูกพันที่อธิบายไม่ถูก ความรู้สึกพวกนี้นะนิ มันไม่มีเกณฑ์มาวัดว่าดีหรือไม่ดี เพราะปลายทายของมันอยู่ที่ความสมหวังที่เราเฝ้ารอ"

    "แล้วที่ผ่านมา ความรักของวินทร์ไม่เคยรอนิหรือ จะบอกว่าตลอดหลายปีที่เราคบหากัน นิไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยแน่ใจ ไม่เคยผูกพันกับวินทร์เลย ไม่เคยแม้แต่จะรอให้ความรักของเราสมหวังอย่างนั้นใช่ไหม"

    "ไม่หรอกนิ ที่ผมจะบอกก็คือผมเคยนึกว่าผมมีความรู้สึกพวกนั้น"

    "แต่จริงๆ แล้วไม่มี"

    "ใช่ ผมหลอกตัวเองตลอดเวลา ผมนึกว่าผมรักนิ นึกว่านิคือคนที่ใช่ นึกว่าตัวเองจะหยุดและจบความโสดไว้ที่นิตลอดไป"

    "แต่นิก็ไม่ใช่"

    "ครับ นิไม่ใช่ เพราะเมื่อผมเจอสุ ผมถึงค่อยเข้าใจว่านิเป็นคนดีที่ผมเอื้อมไม่เคยถึงเลย แล้วผมก็ไม่ต้องการภรรยาคนดี เพราะที่ผมต้องการคือภรรยาที่รัก แล้วผู้หญิงที่จะเป็นภรรยาที่รักของผมได้ก็คือสุ"

    มันเป็นการตัดสัมพันธ์ที่ก่อความเจ็บปวดแสนสาหัสที่นิอรไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือหรือวาจา เธอจำไม่ได้ว่าน้ำตาร่วงพรูไปกี่หยด หลังจากที่ยืนตัวชาสมองฟูและจ้องมองชายทรยศเดินข้ามถนนไปสมทบกับสุดาภรณ์ยังถนนอีกฝั่ง

    ก่อนจะพากันผละไป วินทร์ยังหันกลับมามองเธออีกเล็กน้อย แล้วเธอก็ไม่เคยลืมว่าแววตาในวันนั้น มันช่างไร้รักเสียจนเธออยากกลั้นใจตายเสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด

    จนเดี๋ยวนี้ เธอก็เริ่มสงสัยและลังเลว่าผู้ชายเขารักผู้หญิงด้วยเหตุผลอะไรบ้าง ความสวยที่มองเห็นแล้วอิ่มเอมจากภายนอก หรือความดีที่สัมผัสได้แล้วผูกพันจากภายใน

    แล้วพอมาตอนนี้ วาจายอกย้อนของตะวันวีร์ก็จุดประกายความสงสัยที่เธอไม่เคยนึกมาก่อน มันทำให้ต้องรีบหาคำตอบว่านิอรคนนี้เป็น 'ของดี' หรือ 'ของสวย'

    ตะวันวีร์หรี่ตาแปลกใจนิดหน่อยตอนคุณลูกจ้างลุกผละไปเงียบๆ สีหน้าดูเจ็บปวดแปลกๆ อ้อ ก่อนจะออกไป ยังมองตาเขาเหมือนฉงนปนขมขื่นพิลึกอีกด้วย

    แต่งานตรงหน้าก็มากมายเสียจนไม่อยากเสียเวลาไปวุ่นวายกับการกระทำเข้าใจยากของสาวหน้าสวย อันที่จริง ในสายตาของตะวันวีร์ นิอรเป็นสาวกรุงเทพที่สวยพิศ มองได้เพลินและไม่เบื่อเลย เขายังแอบมองตั้งนานตอนเธอส่ายตาสำรวจซอกแซกทั่วห้องของเขา ท่าทางก็ใส่ใจใคร่รู้อะไรต่อมิอะไรไม่เบาอยู่หรอก

    ตะวันวีร์ไม่เคยทราบว่านิอรอกหักยับเยินแล้วหนีความเจ็บปวดซมซานมาไกลถึงบ้านไร่ ไม่ทราบว่าบางวลีที่เขายอกย้อนไปเรื่อยเปื่อย มันบังเอิญไปกระทบกระทุ้งบาดแผลในใจของเธอเข้า

    เขาจึงไม่เข้าใจว่าเธอเจ็บปวดจนทนนั่งอวดความในใจไม่ไหว แล้วเขาก็ไม่เห็นอีกด้วยว่าเมื่อเธอผละไปเงียบๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้ว เธอก็ไปหยุดใต้ร่มไม้ใหญ่แอบร้องไห้อย่างเสียใจระคนขมขื่นได้อย่างน่าสงสารมากเลย

     

    กว่าสองสัปดาห์จึงผ่านไปท่ามกลางความเงียบขรึมของนิอร เธอหมกมุ่นกรำตัวเองอยู่ในไร่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น และตั้งแต่ตะวันวีร์กลับมา เธอก็หาทางปลีกตัวไม่ร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้านายเสมอ เหตุผลส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากหัวใจยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าของบางวลีอันแสบทรวงละกระมัง

    เกือบค่ำของวันนี้ คนงานทยอยกลับที่พัก แต่ก็มีบางกลุ่มยังนั่งสนทนาเรื่อยเปื่อย บางกลุ่มก็เริ่มตั้งวงก๊งเหล้า นิอรแยกตัวมานั่งห้อยเท้าบนศาลาเล็กริมลำธาร กลิ่นดอกไม้ป่าโชยมาตามสายลมอ่อน เธอสูดลึกๆ พร้อมกับน้ำตาก็รื้นอย่างไร้เหตุผล

    ไม่รู้ทำไมสิ ตั้งแต่ได้ฟังตะวันวีร์แยกแยะของดีของสวยในบ่ายวันนั้นแล้ว แผลใจที่หลงนึกไปว่ามันทุเลาลงจนเกือบหายสนิทแล้ว กลับพุพองเลือดปริ่มกลายเป็นแผลสดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทีนี้ก็เธอล่ะ ที่นอนเจ็บนอนปวดไปตามลำพัง

    "นึกแล้วว่าคุณนิต้องหลบมาสูดกลิ่นดอกไม้ป่าแถวนี้ คุณดินเรียกหาจ้ะ"

    พิกุลโผล่หน้าหวานใสมาขัดจังหวะภวังค์หม่น นิอรหย่อนตัวลงจากศาลาแล้วเดินจูงมือสาวรุ่นไปตามทางคดเคี้ยวขนาบด้วยป่าละเมาะเล็กๆ อีกฟากก็เป็นผืนไร่ส้มไพศาลสุดขอบฟ้า

    "อ้าว มาแล้วหรือครับ" ปฐพีร้องทักจากหน้าเฉลียง เขายืนคุยกับน้องชายตรงนั้นพอดี

    "พิกุลบอกว่าคุณดินเรียกหา มีอะไรหรือเปล่าคะ"

    "มี แต่ไปคุยที่โต๊ะอาหารเถอะ เอ.. ถ้านับไม่ผิด คุณนิไม่ได้กินข้าวกับเรามาเกือบสิบวันแล้วนะ ไปครับ"

    เจ้านายออกปากขนาดนี้แล้ว จะเอ่ยแย้งว่าไม่สะดวกไม่ถนัดและไม่อยากไปก็เกรงใจจัง นิอรจึงจำต้องเดินตามหลังตะวันวีร์ไปอย่างเนือยๆ

    แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเมียงมองสองมือใหญ่ที่ไพล่หลังของเจ้านายรอง มันขาวสะอาดและเนียนเหมือนมือผู้หญิง แต่เธอไม่ได้ชอบตรงนั้นหรอก ฝ่ามือเรื่อด้วยเลือดฝาดจนมองผ่านๆ นึกว่าเป็นสีชมพูนั่นต่างหาก ที่เธอยิ่งมองก็ยิ่ง 'ชอบ'


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×