ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่ายไฟรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 56


    บทที่ 1

     

                'นิอร' ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว เธอขอไปจากกรุงเทพสักพักจนกว่าแผลใจจะหายสนิท มันจะนานแค่ไหนก็ช่างมันเถอะ เธอไม่เดือดร้อนกับเรื่องเวลา เวลานี้สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือไปให้พ้นจากคนใจร้ายสองคน หนึ่งคือชายคนรัก อีกหนึ่งคือผู้หญิงคนใหม่ของคนรัก

                'นางบังอร' มาส่งบุตรสาวที่สถานีรถไฟ นางใจหายทุกครั้งที่นึกไปว่านิอรอาจจะไม่กลับมาบ้านเกิดอีกแล้ว จริงอยู่ว่ายุคนี้โลกมันแคบลงด้วยบรรดาเทคโนโลยีอันทันสมัย การติดต่อสื่อสารก็มีหลายช่องทาง แต่ถึงยังไงก็ไม่เหมือนนั่งกุมมือพูดคุยอยู่ดี

                "ไม่ต้องร้องไห้แล้วจ้ะแม่ นิสัญญาว่าจะโทรมาคุยกับแม่ทุกวันนะจ๊ะ ไปถึงทางโน้นแล้วก็จะรีบโทรบอกทันที แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงไงจ๊ะ"

                "แม่รู้ว่าลูกเจ็บปวด ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยเจอประสบการณ์เลวร้ายอย่างนี้ แต่แม่ก็เข้าใจดีว่าเวลาที่หัวใจมันเจ็บ เราจะทรมานกับมันมากแค่ไหน"

                "อย่าไปพูดถึงมันเลยจ้ะ"

                "แม่รู้จ้ะว่าลูกของแม่เข้มแข็ง แต่ถึงยังไงลูกก็เป็นผู้หญิง เดินทางตามลำพังไปไกลๆ แม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้"

                นิอรเม้มปากข่มความสะเทือนใจพลางสวมกอดมารดาด้วยความรัก เธอสัญญากับตัวเองว่าจะต้องรีบรักษาแผลใจรอยนี้ให้หายขาดโดยเร็ว เพื่อที่จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดาดังเดิม

                "รถจะออกแล้วจ้ะ แม่กลับบ้านดีๆ นะจ๊ะ ไม่ต้องห่วงนินะแม่นะ นิจะดูแลตัวเองดีๆ ไปถึงทางโน้นแล้ว นิจะรีบโทรหานะจ๊ะ นิรักแม่จ้ะ"

                "แม่ก็รักนิจ้ะ"

                น้ำตาแล่นครืนๆ มาจากหัวใจที่อ่อนแอ แต่นิอรพยายามสะกดมันไว้ เธอต้องไม่ร้องไห้ให้มารดาเห็นอีก หรือต้องบอกว่าหลายวันที่ผ่านมา เธอร้องไห้อย่างหนักและติดต่อกันแทบไม่ได้หลับได้นอนอยู่แล้ว มันควรจะพอเท่านั้น และหยุดไปเลย นับจากวันนี้ นิอรคนนี้ต้องไม่หลั่งน้ำตาอาลัยอาวรณ์ให้กับความรักที่แตกสลายไปแล้วอีก

     

                'บ้านไร่สายน้ำผึ้ง' ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ายามพลบค่ำ นิอรรู้สึกเหนื่อยมาก ปกติแล้วก็ไม่ค่อยเดินทางไกลบ่อยนัก ยกเว้นต้องเข้าอบรมหรือสัมมนาตามคำสั่งของเจ้านาย แต่เธอก็มักจะบ่ายเบี่ยงหรือแอบว่าจ้างเพื่อนคนอื่นไปแทนเสมอ

                "ยินดีต้อนรับสู่บ้านไร่สายน้ำผึ้งครับ"

                'ปฐพี' เดินมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นิอรยิ้มตอบพอเป็นพิธี เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือพาหัวไปให้ถึงหมอนแล้วหลับเลย

    สาวใช้ตัวเล็กคนหนึ่งเดินมาช่วยหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า เธอก็อยากถามชื่อ แต่ตอนนี้ก็อย่างที่บอก เธอเหนื่อยจนไม่อยากเสวนากับใครเลย

                "การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม" ปฐพีพาเข้ามาพูดคุยในห้องโถง

                "เรียบร้อยดีค่ะ บ้านไร่ก็มีชื่อเสียงนี่คะ เอ่ยชื่อปุ๊บ รถรับจ้างก็พยักหน้ารู้จักกันทุกคัน"

                "ชื่อเสียงอะไร ก็ไร่ส้มธรรมดานั่นละครับ" เจ้านายหัวเราะถ่อมตัวล่ะ "เอ้อ เดี๋ยวกินข้าวเย็นด้วยกันเลยนะ เด็กๆ กำลังจัดโต๊ะพอดี"

                "ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณดินไม่ถือสา นิก็อยากขอตัว เอ้อ.. "

                "อ้อ เอาสิ เหนื่อยใช่ไหม ผมเข้าใจ ไร่ผมมันก็อยู่ไกลจากตัวเมืองเอาการอยู่ นั่งรถไฟมาจากกรุงเทพก็ทอดหนึ่งแล้ว มาต่อรถรับจ้างอีกทอด ไม่เหนื่อยอีกก็ไม่รู้ว่าจะว่ายังไง เอ้อ พิกุลเอ๊ย พิกุล มาพาคุณนิอรไปห้องพักหน่อยซิ"

                "ห้องพัก" นิอรถามให้แน่ใจ

                "ครับ" ปฐพีหันกลับมาตอบยิ้มๆ "คุณมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการไร่ไม่ใช่หรือ ไม่ต้องไปพักรวมกับคนงานหรอก พักด้วยกันที่นี่แหละ บ้านผมนี่ ดูจากข้างนอกมันไม่ใหญ่ แต่ข้างในมันเบ้อเร่อมาก"

                เจ้านายปิดประโยคใจดีด้วยเสียงหัวเราะขำๆ เขากวักมือเรียก 'พิกุล' ให้รีบเข้ามา สาวใช้วัยรุ่นมัวแต่ยืดคอหดคออยู่อย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่ลูกจ้างคนใหม่จะได้พักผ่อน ดูหน้าสิ แห้งเหี่ยวน่าเวทนาเชียว

    มันผิดคาดไปหน่อยเมื่อนึกว่าจะต้องเจอกับสาวร่าเริงกระตือรือร้น พูดเก่งยิ้มเก่งตามวัยเบญจเพส แต่นิอรที่ลุกเนือยๆ ตามพิกุลไปห้องพักมันตรงกันข้ามชัดๆ เสียงก็ไม่ใสเหมือนในโทรศัพท์ เคร่งขรึม ถามคำตอบคำ ยิ้มก็โศกพิลึก

     

     พิกุลออกจากห้องไปแล้ว นิอรนึกว่าพอเห็นหมอนแล้วจะล้มทับแล้วหลับเลยเสียอีก ที่ไหนได้ พอได้อยู่ตามลำพัง หัวใจก็เจ็บหนึบกับบาดแผลรักสลายในทันทีทันใดเชียว

    'วินทร์' คือชายคนรักที่ดูใจกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบแล้วก็ยังไม่วายได้งานทำในบริษัทที่ตั้งใกล้เคียงกัน

    ตอนพักกลางวันก็เลยมีโอกาสได้กินข้าวด้วยกันทุกวัน ตอนเลิกงานก็นั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกัน แต่อาจไม่ทุกวัน เพราะติดขัดขลุกขลักกับปริมาณของงาน

    'สุดาภรณ์' คือหัวหน้าแผนกการเงินที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเธอนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนรักวินทร์จากใจ หรือต้องการแย่งเขาไปเพื่อกลั่นแกล้งให้เธอชอกช้ำตามประสาคนไม่ชอบหน้า แต่ก็เอาเป็นว่าเธอเสียน้ำตาสมใจล่ะ

    "คิดถึงไปก็เท่านั้น ด่าไปก็เจ็บเอง มันก็เหมือนหยิกเล็บเจ็บเนื้อนั่นแหละ ถ้าผู้ชายมันไม่ดี แล้วเราไปหลงรักอยู่ได้ยังไงตั้งสี่ห้าปี แสดงว่าเราเองก็ตาถั่วเหมือนกันนั่นแหละ จะไปโทษใครเขาได้"

    น้ำตาอ่อนแอไหลอีกแล้วหลังจากสิ้นถ้อยรำพัน แต่ก็ดีว่าไม่มีใครเห็น นิอรไม่อยากฝืนหรอก ทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บ เธอก็ควรปลดปล่อยมันออกไปตามธรรมชาติ เชื่อว่ามันต้องมีสักวันล่ะ ที่เธอจะไม่มีน้ำตาสักหยดเมื่อระลึกถึงชายทรยศหัวใจคนนั้น

    ดูสิ เพราะชายคนรักกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่กินเส้นรวมหัวกันเหยียบย่ำความรักของเธอแท้ๆ บ้านไร่สายน้ำผึ้งจึงกลายเป็นที่พักพิงและเยียวยาบาดแผลไปพร้อมๆ กัน

    แล้วเธอก็รู้สึกมืดมนในหัวใจเหลือเกิน เพราะให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนกว่าที่เธอจะลืมวินทร์ได้อย่างหมดใจ

     

    'ป้านวย' เป็นแม่บ้านใจดีที่นิอรชอบมาขลุกด้วย นางทำกับข้าวอร่อยมาก แม้จะเป็นอาหารพื้นๆ ในท้องถิ่น แต่ทุกจานก็ถูกปากและทำให้เธอเจริญอาหารไม่น้อยเลย

    นางชอบเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังด้วย บางครั้งก็ผสมโรงกับพิกุล อ้อ ตอนนี้เธอก็ทราบแล้วละว่าพิกุลเป็นหลานสาวของนาง

    "ไร่เราก็มีดีตรงที่สามพี่น้องรักกันนี่แหละ พี่ใหญ่หวงน้องก็น่ารักไปอีกแบบ คุณดินน่ะเห็นอ่อนโยนแบบนั้นเถอะ เวลาเอาจริงขึ้นมา น้องๆ กลัวอยู่นา"

    นิอรพยักหน้าฟังไปเรื่อยๆ ช่วยนางร้อยพวงมาลัยถวายพระไปพลาง เธอร้อยไม่ค่อยเก่ง แต่อาศัยว่าเคยหัดกับมารดาอยู่พักหนึ่ง

    สมัยนั้นทางบ้านเจอวิกฤติการเงินรุมเร้า มารดาจึงต้องช่วยบิดาซึ่งขับรถรับจ้างอีกแรง ด้วยการร้อยพวงมาลัยไปส่งตามร้านในตลาด

    "แล้วน้องชายของคุณดินละจ๊ะป้านวย นิมาทำงานที่นี่เกือบสิบวันแล้ว ยังไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย"

    นิอรถามในจังหวะที่ลุกไปช่วยหยิบถาดไม้ งานที่นี่ราบรื่นดี แม้จะไม่ใช่งานที่ถนัดหรือเคยทำเลยก็ตาม เธอเรียนจบมาทางบัญชี งานแรกก็คือพนักงานบัญชี กระเถิบขึ้นมาเป็นผู้ช่วยหัวหน้างานบัญชี เกือบจะโยกขึ้นไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการแล้วด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่มาเจอมรสุมหัวใจเข้าเสียก่อน

    'นิจนที' เธอก็รู้จักแล้ว เป็นน้องสาวคนเล็กของปฐพี อุปนิสัยใจคอน่ารัก คุยเก่งมาก อารมณ์ดีมากด้วย สวยแบบสาวเหนือทั่วไป อาจไม่เด่นตาสะดุดใจแต่ก็มองได้นานและเพลินดี

    คงเหมือนเธอกระมัง ใครๆ ก็ชอบพูดว่าเธอไม่สวยแต่น่ามอง และมองได้นานโดยไม่รู้สึกเบื่อ แต่ต้องมองนะ ถ้าแค่ชายตาแลก็จะพบว่า 'ไม่สวย'

    "คุณวันนะหรือคะ โอ๊ย รายนี้ไม่ค่อยได้อยู่ไร่หรอกค่ะ ออกไปทะเลาะกับลูกค้าจังหวัดโน้นจังหวัดนี้อยู่เรื่อย"

    "ทำไมต้องทะเลาะจ๊ะ"

    "คุณวันเป็นฝ่ายตลาดค่ะ เดินสายหาลูกค้าด้วย งานพวกนี้คุณวันเหมาเองหมด บัญชงบัญชีอะไรพวกนี้ก็คุมเอง ไม่อยากให้คุณน้ำเหนื่อย"

    "ถ้าอย่างนั้นเขาก็เหนื่อยมาก"

                "ก็คงอย่างนั้นละค่ะ กลับมาถึงบ้านก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ขลุกอยู่แต่ในเรือนดอกส้มทางโน้นแหละ"

                "หยิ่งหรือจ๊ะ"

                "โอ๊ย ไม่เลยค่ะ แค่ว่าพูดน้อยกว่าใคร ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วละค่ะ"

                ฟังน้ำเสียงป้านวยกับพิกุลหรือจากคนงานหลายๆ คนแล้ว นิอรก็พอจะปักใจเชื่อละว่า 'ตะวันวีร์' เป็นเจ้านายใจดีอีกคน แค่ว่าเขาพูดน้อยกว่าใครและไม่ค่อยอยู่ไร่ให้เห็นหน้าค่าตาก็เท่านั้น

     

                เฉลียงโปร่งหน้าบ้านคือมุมโปรดของนิอร เธอจะมานั่งกินลมเล่นแถวนี้ก่อนเข้านอนทุกคืน บางครั้งก็โทรศัพท์ไปคุยกับบิดามารดา บางคราก็ใช้ความมืดเป็นเครื่องนำทางสู่อดีตรักที่ไม่หวนคืน

    เหมือนคืนนี้ เธอลุกไปเกาะราวเหล็กกลม ทอดตาลึกเข้าไปในพุ่มไม้ครึ้ม ใบหน้าของวินทร์เกือบกระจ่างอยู่แล้วเชียว แต่เสียงทักถามของปฐพีก็มาไล่เขาไป

    "วันนี้กินข้าวกับป้านวย หูอื้อหรือเปล่าครับ"

    "ถามแบบนี้ เดี๋ยวป้านวยออกมาได้ยินคงค้อนวงใหญ่ คุณดินไม่กลัวหรือคะ"

    ปฐพีหัวเราะเบาๆ พาหุ่นสูงเพรียวในชุดนอนมายืนข้างๆ นิอรแอบมองเงียบๆ เจ้านายใหญ่คนนี้หล่อออก น่าเสียดายที่ไม่ยอมแต่งงานเสียที ป้านวยบอกว่าเขาเป็นห่วงน้องๆ และไม่อยากเจอปัญหาพี่สะใภ้เข้ากับน้องๆ ไม่ได้

    "เคยมีแฟนค่ะ แต่ไม่กินเส้นกับคุณน้ำ คุณดินก็เลยตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการจบความรักของตัวเองไปเลย"

    "โถ น่าสงสารจังนะจ๊ะ แต่ก็น่าตื้นตันด้วย คุณน้ำนี่โชคดีน่าอิจฉาที่มีพี่ชายรักมากขนาดนี้"

    "จริงค่ะ ช่วงนั้นใครก็ดูออกทั้งนั้นแหละว่าคุณดินซึมๆ ไป แต่ก็มักจะเผยอาการเวลาอยู่คนเดียวนะคะ"

    เหมือนเธอใช่ไหม คนที่นี่ดูไม่ออกเลยว่าเธออกหักยับเยินมาจากกรุงเทพ เป็นสาวซมซานหนีช้ำมาเยียวยาแผลใจรอยฉกรรจ์ เพราะเวลาอยู่ท่ามกลางคนมากหน้า เธอคือนิอรผู้ขยันขันแข็ง ใครคุยมาก็คุยไป ใครไม่พูดเธอก็เงียบ

    แต่พอเข้าห้องนอน หัวถึงหมอน ก่อนจะหลับใหลในแต่ละคืน ยังไงก็ต้องหลั่งน้ำตาสักหยดครึ่งหยดเพราะตัดใจไม่คิดถึงชายทรยศไม่ได้เลยจริงๆ

    "งานราบรื่นดีใช่ไหมครับ"

    ความคิดในความเงียบถูกทำลายด้วยคำถามอาทร นิอรไม่ทันได้ตอบหรอก เสียงใสๆ ของนิจนทีแน่ะ ลอยมาจากข้างหลังโน่น หล่อนพูดว่า

    "ก็ต้องราบรื่นอยู่แล้ว คนหยุมหยิมยังไม่กลับนี่"

    "แหม ฟังดูหวาดเสียวจังเลยนะคะ"

    "แกละก็" พี่ชายถลึงตาดุไม่จริงจัง เขกหน้าผากน้องสาวปากดีก่อน แล้วค่อยหันมาแก้ตัวกับเธอว่า "คุณนิก็อย่าไปฟังน้ำมันเพ้อเจ้อนัก วันเขาเป็นคนจริงจังกับงาน ใครทำถูกต้องดีไม่มีบกพร่องเขาก็ชมเชยนะ แต่ถ้าทำผิดสับเพร่าเขาก็ต้องติต้องเอ็ดบ้าง คุณว่าจริงไหม"

    "นี่อธิบายหรือว่าแก้ตัวแทนคะ"

    "คุณนิ โอ้ ไปกันใหญ่" เจ้านายตบหน้าผากแล้วหัวเราะ

    "เชื่อแล้วละค่ะว่าคุณดินรักน้องชายสุดใจขาดดิ้นเหมือนที่ป้านวยบอก"

    "กลัวต่างหาก" นิจนทีแทรกเสียงใสตามเคย แต่ก็รีบเบี่ยงหน้าผากหนีมะเหงก แล้วเสริมซุกซนอีกนิดว่า "ลองให้พี่วันแหวสิ ไม่ต้องมาก คำเดียวก็พอ พี่ดินใบ้กินไม่มีหือสักแอะ น้ำยังเคยแอบได้ยินคนงานนินทาเลยว่าพี่วันน่ะเป็นพ่อพี่ดิน"

    "เชอะ แกก็พูดไป หรือแกจะบอกว่าแกไม่กลัว แน่จริงก็พูดออกมาซิ โธ่เอ๊ย"

    นิจนทีหัวเราะขำๆ ร่างสวยซวนเล็กน้อยตอนพี่ชายกอดคอลากเข้าไปกอดหมั่นเขี้ยว หรี่ตาดุๆ แล้วตบหน้าผากอีกแปะสองแปะ

    นิอรยิ้มบางและรู้สึกเพลินใจกับความรักความผูกพันของสองพี่น้องตรงหน้าจนลืมรักสลายของตนไปชั่วขณะ แล้วบรรยากาศตรงนี้ในคืนนี้ ก็ไม่เหงาๆ เหมือนหลายคืนที่ผ่านมาอีกด้วย

     

    อีกสิบวันก็ผ่านไปท่ามกลางงานไร่ที่นิอรยังตัดสินไม่ได้ว่าเบาหรือหนัก แต่มันก็ทำให้เธอเหนื่อยตลอดทั้งวัน มีเวลาพักหายใจก็ตอนกินข้าวกลางวัน แล้วเธอก็ชอบนั่งล้อมวงกับคนงานมากกว่าไปกลืนฝืดคอบนโต๊ะอาหารของเจ้านาย

    ค่ำคืนของบ้านไร่มักจะปกคลุมด้วยควันหมอกและลมหนาวเสมอ แต่นิอรก็มีความสุขดีกับการมายืนอ้อยอิ่งทอดภวังค์ไปป้วนเปี้ยนชายทรยศ เธอไม่ตำหนิตัวเองหรอกที่จนป่านนี้แล้วก็ยังคิดถึงและอยากกลับไปเห็นหน้า ทั้งที่วันนั้นเขาก็ประกาศโต้งๆ ว่า 'หมดรัก'

    เมื่อสิบนาทีก่อน เธอโทรไปคุยกับมารดา ท่านเล่าว่าวินทร์แวะไปหาพร้อมกับว่าที่เจ้าสาว แถมยังฝากการ์ดแต่งงานไว้กับท่านด้วย และที่ร้ายไปกว่านั้น เขายังฝากกำชับกับท่านว่าต้องบอกเธอและให้เธอไปร่วมยินดีด้วยให้ได้

    "ใจคอจะไม่ถนอมความรู้สึกดีๆ ไว้เป็นความทรงจำสักนิดเลยใช่ไหม" เธอพึมพำอย่างขมขื่น น้ำตาเริ่มรื้นนิดๆ "วินทร์เข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า หัวใจของนิไม่ใช่หินผานะ หรือวินทร์คิดว่าใช่ ถึงได้ซ้ำเติมเยาะเย้ยโดยไม่สงสารสักนิดว่านิจะเจ็บ"

    แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อชายทรยศกล้าเชิญอย่างไร้รัก เธอก็กล้าไปอย่างไร้ใจ ก็ให้รู้กันไปสิว่านิอรคนนี้จะอ่อนแอจนยอมรับความจริงไม่ได้

    แล้วที่เธอซมซานมาเยียวยาแผลใจไกลถึงบ้านไร่สายน้ำผึ้ง มันก็ไม่ใช่เพราะว่าเธอหนีความจริงไม่ใช่หรือ ตรงกันข้าม เธอยืดอกต้อนรับมันอย่างเข้มแข็งต่างหาก ไม่อย่างนั้นจะรู้หรือว่าวิธีเยียวยาที่ดีที่สุดก็คือ 'ไปให้ไกล'

    ทันใดนั้น บังเกิดแสงวูบวาบลอยไปลอยมาผ่านเข้ามาในภวังค์กึ่งขมขื่นกึ่งคับแค้น นิอรทิ้งอิริยาบถเนือยๆ แล้วรีบย้ายไปชิดเสาระเบียง เพ่งตาไม่กล้ากะพริบเพราะเกรงว่าตนจะตาฝาด เธออยากมั่นใจก่อนว่ามีแสงผิดปกติปรากฏขึ้นในความมืดจริงๆ

    ใช่ มันมีจริงๆ ตอนนี้ก็ลอยสูงๆ ต่ำๆ โผล่วับแวมในพุ่มไม้มืด นิอรชะโงกหน้าชะโงกตัวมองตามมันไปอย่างใคร่รู้ แล้วแสงประหลาดนั้นก็ค่อยๆ หรี่เลือนไปเองเมื่อโดนต้นไม้สูงบดบัง

    "ผีหรือเปล่า นี่มันก็บ้านไร่ไกลตัวเมือง แสงสีน้อย เอ้อ จริงสิ ปกติเราก็ไม่มายืนตากลมดึกขนาดนี้เลย มันอาจจะปรากฏตัวช่วงนี้ทุกคืนก็ได้ แต่เราเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก"

    นิอรพึมพำตั้งข้อสงสัยน่าหวาดเสียว เธอไม่ถึงกับกลัวผีจนขึ้นสมอง แต่ถ้าให้เจอก็ไม่เอาดีกว่า เพราะถึงยังไงผีก็อยู่ต่างสถานะกับคน อาศัยอยู่ในโลกต่างใบ ทางที่ดีก็ไม่ควรมาเจอกัน คุยกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

     

    ปฐพีเลิกคิ้วพร้อมกับชะงักมือที่เอื้อมหยิบขนมปัง เขาหัวเราะด้วยเมื่อสบตานิ่งกับคนเล่าแล้วเจ้าตัวก็พยักหน้าหงึกๆ ยืนยัน

    "ตาฝาดไปหรือเปล่าคุณนิอร ผมเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่มาเกือบสี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยเจอผีสักตัวเลยนะ"

    "นิก็ไม่ได้บอกว่าผีนะคะ แต่สันนิษฐานว่ามันอาจจะใช่ เพราะมันเป็นแสง แล้วลอยได้"

    เจ้านายหนุ่มหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าคล้ายขอยืนยันละว่าบ้านไร่ของตนปลอดผีอย่างแน่นอน เขาหยิบขนมปังมาทาเนยสองสามที แล้วจู่ๆ ก็ชะงักเพราะฉุกคิดถึงน้องชายขึ้นมา

    "เอ้อ หรือว่าจะเป็นนายวันหรือเปล่า" เขาปรารภคาดเดา

    "คุณวันหรือคะ"

    "ครับ วันมักจะกลับบ้านดึกๆ เสมอ แล้วก็ไม่ค่อยจะแวะมานอนค้างที่นี่ มาถึงก็โน่นล่ะ ไปขลุกอยู่ที่เรือนดอกส้มของตัวเองโน่น"

    "แปลกนะคะ ทำไมต้องทำตัวแปลกแยกออกไปจากพี่น้องด้วย" นิอรพึมพำสงสัย

    "เฮ้ อย่าไปวิจารณ์แบบนี้ให้เขาได้ยินนา เดี๋ยวเขาจะเคือง เขาไม่ได้ทำตัวแปลกแยกหรอก แต่เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง อีกอย่างเขาก็พูดน้อยต่อยเยอะ ถ้าไม่จำเป็น กับเขานี่ ห้ามแกว่งเท้าหาเสี้ยนเชียวล่ะ ถ้าทำละก็ รับรอง จัดเต็ม"

    นิอรยิ้มขำๆ พี่ชายโฆษณาสรรพคุณน้องชายได้ติดลบจัง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการกระตุ้นความใคร่รู้อย่างเยี่ยมเลย เพราะเธอลอบกระตือรือร้นอยากเจอตัวคนอยู่ไกลเสียเร็วๆ อยากมีข้อสรุปให้ตัวเองและด้วยตัวเองมากกว่าฟังจากคนอื่น แม้ข้อมูลที่ฟังจะเข้าข่ายใกล้เคียงและคล้ายคลึงก็ตามทีเถอะ

    "วันนี้ผมกับน้ำจะเข้าเมืองไปพบลูกค้าชาวพม่านะ เขาเปิดร้านอาหารใหญ่โตทางโน้น ผมตั้งใจขยายตลาดสักหน่อย ไม่แน่นะ ต่อไปส้มจากบ้านไร่เราอาจไปสุดสวิงริงโก้ถึงต่างประเทศก็ได้"

    "ก็ดีสิคะ"

    "ครับ รู้สึกว่านายวันก็กำลังปล้ำๆ กับความฝันนี้อยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเสร็จสมอารมณ์หมาย"

    นิอรหัวเราะเบาๆ อดขำไม่ได้กับสำนวนตลกปนเชยของเจ้านายอารมณ์ดีจริงๆ แต่วูบหนึ่งล่ะ ที่เธออดนึกสงสารเขาไม่ได้ ไม่อยากเห็นเขาครองโสดแบบนี้ตลอดไปเลย

    เกือบหนึ่งเดือนที่คลุกคลีด้วย มันก็พอจะบอกได้คร่าวๆ แล้วว่าปฐพีเป็นชายที่น่ารักและอบอุ่นมากคนหนึ่ง ผู้หญิงคนไหนได้ครอบครองทั้งตัวเขาและหัวใจเขาละก็ รับรองได้ว่าหล่อนต้องเป็นสาวที่โชคดีที่สุดในโลกเชียวล่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×