ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักใสใสของใจโทรมๆ

    ลำดับตอนที่ #1 : ยัยบ้าเอ๊ย

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 49


    ย่างเข้าเดือนธันวาคมเป็นฤดูหนาวของที่นี่ ความจริงมันก็หนาวเกือบตลอดทั้งปีอยู่

    แล้วล่ะ(อ้าว)

     "ความจำเสื่อมเหรอครับ??"

    "ไม่ใช่ความจำเสื่อมหรอกครับ แต่ติ๊งต๊องไปแล้ว"
     
    "ติ๊งต๊อง??"

    "ครับ เป็นอาการผิดปกติของสมองที่ถูกกระทบกระเทือนจนเกือบจะทำให้ความจำ

    เสื่อม...90เปอร์เซนต์ของอาการนี้เกิดจากความเครียด โดยเฉพาะคนที่เครียดมา

    ก่อนที่จะประสบอุบัตเหตุ เปอร์เซนต์ที่จะเกิดอาการแบบนี้จะมีสูงมาก"

    "ความเครียดเหรอครับ??"
     
    "ครับ เอ่อ..ไม่ทราบว่าพี่ชายของคุณเครียดมาก่อนหน้านี้รึเปล่า??"

    "คงไม่ใช่หรอกครับ เพราะว่าผมไม่เคยเห็นพี่เครียดกับงานหรือกับอะไรมาก่อนเลย"

    "อืม หากไม่ใช่ความเครียดเหมือนที่คุณว่า อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นที่หมอยังให้

    คำตอบคุณไม่ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน"

    " แล้ว หมอครับพอจะมีโอกาสที่พี่ของผมจะหายขาดจากอาการนี้รึเปล่า??"

    "อืม เรื่องนี้หมอก็คงยังบอกคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าการรักษาอาการติ๊งต๊องนี้

    มันขึ้นอยู่กับการพัฒนาของสมองของตัวคนไข้เองแล้วก็สภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็น

    สื่อน่ะครับ"

    "ครับ หมอ"

    "อ้อ ว่าแต่คุณเองก็อย่าได้ไปกังวลอะไรกับมันมากนักนะครับ เพราะหมอเชื่อว่าพี่

    ชายของคุณต้องหายจากอาการนี้แน่นอน ถึงแม้จะต้องใช้เวลามากพอสมควรก็ตาม

    กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"

    ครับ"

         ลมหนาวที่พัดผ่านมาให้ความรู้สึกที่หดหู่ใจชอบกลถึงแม้รอบกายจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปผ่านมามากมายก็ตาม นี่สินะความรู้สึกของคนที่ต้องอยู่คนเดียวทั้งๆที่สิ่งต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแต่ดูเหมือนว่าผมไม่คิดแบบนั้นผมคิดว่าสิ่งที่อยู่รอบกายของผมมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดทั้งต้นไม้ใบหญ้า(มันยังอยู่ที่เดิมนี่นา)…ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาโดยไม่ทักทายกันสักคำ(ไม่รู้จักกันนี่)…หรือแม้แต่พี่ชายของผมที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรกับใครเล้ยแต่พอตื่นขึ้นมาก็ได้แต่พร่ำถึงอะไรก็ไม่รู้ที่บอกได้เลยว่า ‘ปัญญาอ่อน สุดๆ หมอบอกว่าพี่ชายของผมติ๊งต๊องไปแล้ว เฮ้อ เวรกรรม แต่ก็ยังดีที่ไม่ตาย พี่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อ3วันก่อนหลังจากขับรถไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบินผมก็เลยต้องอยู่กับพี่สองคน

    “คนไข้ที่ชื่อ ฟาง อวี้เหมิน ถูกย้ายไปห้องไหนครับ”

    ฟาง อวี้เหมิน พี่ชายที่สุขุมลุ่มลึกเดินไปไหนก็มีแต่คนอยากรู้จักตอนนี้ได้กลายไปเป็นเด็กอายุ 4ขวบไปเรียบร้อยแล้ว

    “พิโกโร่หายไปไหนแล้ว คุณนางมารสุดสวยคับเห็นพิโกโร่ตัวเขียวเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้รึเปล่า”

    หึ พิโกโร่งั้นเหรอไอ้พี่ชายบ้าบอเอ๊ยเรียกน้องชายทั้งทีเรียกให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง ผมเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างยากลำบากเพราะของที่อยู่ในถุงที่ผมถืออยู่มันเยอะเหลือเกิน

    “พิโกโร่มาแล้ว เข้ามาเลย มาสู้กัน”ไอ้ที่มันเรียกผมว่าพิโกโร่กระโดดขึ้นมายืนอยู่บนเตียงด้วยความรวดเร็วทันทีที่ผมเข้ามาในห้อง

    “เอ่อ คุณฟางคะ มาทานยาก่อนเถอะค่ะจะได้กินข้าวกัน”นางพยาบาลเกลี้ยกล่อม

    “คุณนางมารสุดสวยช่วยกินแคปซูนแทนผมได้ไหมคับผมเป็นชาวไซย่ากินแคปซูนไม่ได้”พี่บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “เอ่อ..”

    “รีบกินเข้าไปสิคับบางทีอาจจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะเหมือนโคนันก็ได้”

    “เอ่อ…”นางพยาบาลเกาหัวพร้อมกับทำสีหน้าเหลืออด

    “รีบๆกินสิคับเดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก”

    “เอาเข้าไป”ผมกล่าวขึ้นก่อนที่นางพยาบาลคนนั้นจะหัวเสียไปมากกว่านี้

    “แกอยากสู้แล้วใช่ไหมพิโกโร่งั้นเข้ามาเลย”

    นี่พี่ พี่รู้รึเปล่าว่าตอนนี้พี่ติ๊งต๊องไปแล้ว คุณพยาบาลครับผมจัดการเอง”ผมพูดแล้วหันไปพยักหน้าให้นางพยาบาลคนนั้น

    พี่ ฟังผมให้ดีนะ ถ้าพี่ไม่กินยา…ผมจะไม่สู้กับพี่และจะไม่มาเยี่ยมพี่อีก”ผมพูดอย่างเด็ดขาด

    “(- ^ -)”หน้าพี่

    “( ^ ^ )”หน้าผม

    “ก็ได้วะ”เสียงพี่

    “ดีมาก”เสียงผม

    “เฮ้อ….”เสียงนางพยาบาล

    @@@@@

    ตื่นได้แล้วววว”เสียงตะโกนดังอยู่ข้างหู เชื่อเลย น่ารำคาญชะมัด

    “อีกแป๊ปน่าเจ๊”ฉันพลิกตัวโดยไม่ลืมที่จะคว้าหมอนมาปิดที่หู

    “เสี่ยวถง ยัยน้องบ้า ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”พี่ดึงหมอนที่ปิดหูฉันออกจนได้แต่ฉันก็คว้าอีกใบขึ้นมาแทนที่

    “ตกลงจะไม่ยอมลุกใช่มั๊ย โอเค้ งั้นต้องใช้วิธีนี้ นี่แน่ะๆๆ”พี่เอานิ้วมาจิ้มที่เอว(นึกว่าจะตีซะอีก)

    “เจ๊มันจั๊กจี้นะ โอ๊ย พอแล้ว 555”ฉันบิดตัวไปมา

    “จะลุกมั๊ย ห๊า นี่แน่ะ ไม่ลุกเหรอ นี่ๆๆๆๆ”

    “เจ๊อ่ะ 55 พอแล้ว ก็ได้ ก็ได้ ลุกเดี๋ยวนี้แหละค่าาาา”

    “ก็ลุกขึ้นซักทีสิ”พี่ยืนค้ำเอวอยู่ข้างเตียง

    “อะไรกันเนี่ย ยังไม่ตีห้าเลย เจ๊อ่ะ”ฉันโอดครวญ

    “อีกเดี๋ยวตะวันก็โผล่แล้ว รีบๆลุกขึ้นมาเลย”พี่ดึงฉันพร้อมกับเขย่าไปมา

    เฮ้อ”ฉันค่อยๆพาร่างอันหมดเรี่ยงแรงของฉันลุกขึ้น พร้อมกับก้าวขาลงจากเตียงอย่างช้าๆ อึ๋ย หนาวชะมัดเลย

    “นี่ เร็วๆหน่อยได้มั๊ย ชั้นไม่ได้มีเวลาทั้งวันนะยะ”

    “ค่าาาา”

    เช้าวันนี้อากาศหนาวฉันเลยไม่อยากลุกสักเท่าไหร่แต่พี่สาวของฉันน่ะสิดันมาทำลายบรรยากาศการนอนของฉันหมด(อยากนอนต่ออ่ะ) ทุกๆเช้าเราสองพี่น้องจะออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ๆเป็นประจำ(ก็ไม่ได้อยากมาซักเท่าไหร่หรอก)พี่มักจะบอกฉันเสมอว่าการวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้าจะทำให้สมองปลอดโปร่ง สุขภาพจิตดี ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ยิ่งดีใหญ่เพราะคนส่วนมากจะไม่ค่อยออกกำลังกายกันก็เลยทำให้กลายเป็นคนขี้เกียจไป…ซะงั้น

    “สดชื่นจริงๆเล้ย”พี่พูดพลางบิดเอวไปมา

    “แฮ่ๆ สดชื่นบ้าอะไรเล่า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”ฉันบ่น

    “ตายแล้ว ใครบอกให้นั่งยะ เพิ่งวิ่งมาเค้าต้องบริหารร่างกายก่อนสิ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”พี่แว้ด

    “ธ่อเจ๊ ก็คนมันเหนื่อยอ่ะ”

    “เฮ้อ ฉันจะทำยังไงกับแกดีเนี่ย ไม่มีความอดทนเอาซะเลย”พี่ใช้มือกุมศรีษะ

    “T^T

    แกเรียนเคนโด้ภาษาอะไร เค้าปล่อยให้แกผ่านการสอบมาได้ยังไงเนี่ย”

    “อ๊ะอ๊ะ อย่าพูดแบบนั้นน่าเจ๊ เจ๊ต่างหากที่ไม่มีความอดทนเอาซะเลย”ฉันผายมือออกพร้อมกับส่ายหน้าไปมา

    “ทำไมยะ”พี่ค้ำเอว

    ก็เจ๊ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งมาหาฉันตลอดเลย เวลาถูกรังแก อ้อ ขนาดผูกเชือกรองเท้าไม่ได้ยังร้องไห้เลย คนอะไรขี้แยชะมัด”

    “ยัยน้องบ้า นั่นมันตอนเป็นเด็กย่ะ”

    “อย่ามาพูดเลยเจ๊ จะตอนเด็กหรือตอนนี้เจ๊ก็ยังขี้แยอยู่เหมือนเดิมแหละ”

    “ชั้นบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ”

    “เอ๊ะ เจ๊นี่ยังไงกันนะชอบเถียงอยู่เรื่อยเลย”

    “เฮอะนั่นมันน่าจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่านะยะ”

    “อ้าวเจ๊ พูดงี้ก็สวยสิ”

    “ก็แล้วมันจริงมั๊ยล่ะ”

    “จริง”

    “ชะ”พี่สบถ

    @@@@@

    วันนี้เป็นวันอาทิตย์อากาศยังคงหนาวอยู่เหมือนเดิม ผมทำงานพิเศษที่

    คลับแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘โซโล เชียร์ช ทำอะไรน่ะเหรอ….

    “ครับ เพลงที่จะเล่นต่อไปนี้เป็นเพลงสุดท้ายของพวกเราในค่ำคืนนี้นะครับ ขอให้ทุกท่านสนุกกับอาหารและเสียงเพลงไปพร้อมๆกัน โอกาสหน้าพบกันใหม่ครับผม”เสียงทุ้มต่ำของเหอ ยุ๋นปิง นักร้องนำวงของเราดังขึ้นอีกครั้งทำให้สาวๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆเวทีส่งสายตาปิ๊งเป็นประกายมาให้ยุ๋นปิงทันที

    “ยุ๋นปิง หวานใจของช้านนน”สาวเปรี้ยวจี๊ดรูปร่างเหมือนนางแบบกลุ่มหนึ่งส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดขึ้นโดยไม่เกรงใจใคร

    เค้าน่ะเป็นของชั้นต่างหากย่ะ กรี๊ดดดยุ๋นปิงงง”สาวจี๊ดอีกกลุ่มตะโกนพร้อมกับส่งสายตาพิฆาต

    “แก…”

    และแล้วคืนนี้ก็มีจุดจบเช่นทุกวันคือ ชุลมุนวุ่นวาย..เฮ้อ

    “ยุ๋นปิง กรี๊ดดด สุดหล่อของชั้น”การพยายามดัดเสียงให้แจ๊ดของเฉิน ฮ่าวหนาน

    มือกลองสุดเท่ห์ของวงเราดังขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังเดินกลับบ้าน

    “พอเลยนะอาฮ่าว ขืนแกพูดอีกครั้งฉันต้องเป็นประสาทตายแน่ๆ”ยุ๋นปิงพูดอย่างเหนื่อยอ่อน

    “แหงละซี้ ก็แกเล่นหล่อกระชากใจสาวๆเค้าขนาดนี้”ยุนโน่ มือเบสลูกครึ่งเกาหลีหน้าตี๋พูดขึ้นบ้าง

    “ช่วยไม่ได้นี่หว่าคนมันเกิดมาหน้าตาดี”ยุ๋นปิงว่าพลางผายมือออก

    “นั่นไง พอชมเข้าหน่อยหลวมตัวเลยนะแก”ยุนโน่ผลักหัว

    “อ้อ อาหมินพี่ชายนายเป็นไงบ้าง”จี้ ฉิงชวน มือกีต้าร์โซโล่สุดหล่อกล่าวขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย

    “อืม ก็ยังปัญญาอ่อนเหมือนเดิมแหละ”ผมตอบ

    “โถโถ อาจารย์ฟางของผม..”จุ้น เซียะผิง(ไอ้หัวฟู) มือคีย์บอร์ดที่ศรัทธาในตัวพี่ชายของผมกุมมือขึ้นระดับอกพลางมองขึ้นไปบนฟ้า

    “เว่อร์เกินไปแล้วว่ะ เพื่อน”ยุนโน่ตบบ่าเซียะผิงเบาๆสองสามทีพร้อมกับเบ้ปาก

    “(- ^ -)”

    “เอาเป็นว่าเราแยกกันตรงนี้เลยละกัน”ผมพูดขี้นเมื่อมาถึงทางแยก

    อืม งั้นข้ากลับบ้านก่อนแล้วกัน เจอกันที่มหาลัยพรุ่งนี้ว่ะ”ยุ๋นปิงพูดก่อนจะเดินแยกไป

    “โชคดีเว้ย”ผมพูด

    “ฮ้าว..ว.ข้าก็ง่วงนอนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ละกัน”ฮ่าวหนานว่าพลางหาวหวอดๆ

    “ข้าเองก็ต้องกลับไปเขียนรายงานต่อ โอ๋ย เมื่อยตัวชะมัด”ยุนโน่บีบไหล่ไปมา

    “เฮ้ย ถึงเวลาแล้วนี่หว่า!!เซียะผิงโพล่งออกมา

    “เวลาอะไรของแกวะ”ผมพูด

    “ถึงเวลาออนเอ็มไง วันนี้มีนัดกับพริ้นส์ตัน เกิร์ลซะด้วย งั้นข้าไปล่ะ”เซียะผิงพูดแล้วรีบบึ่งกลับบ้านทันที

    “หึ ไอ้บ้าเอ๊ย”ผมหัวเราะน้อยๆ

    “อาหมิน แกจะกลับบ้านเลยรึเปล่า”ฉิงชวนพูดด้วยท่าทางขรึมเข้ม

    “เปล่า ข้าต้องไปโรงพยาบาล แล้วแกล่ะยังไม่กลับบ้านเหรอ”

    “ยังหรอก เพราะว่าวันนี้ข้านัดเดทกับสาวเปรี้ยวเอาไว้”

    “หกทุ่มเนี่ยนะ นัดเดทของแก”

    “ก็เออดิวะ”

    “เฮอะ มิน่าคนเขาถึงยกตำแหน่งเพลย์บอยให้แก”

    “นั่นชมเหรอวะ”

    “เปล่า ประชด”

    @@@@@

          สายลมเย็นยะเยือกที่พัดมาปะทะกับใบหน้าทำให้ฉันกระชับเสี้อหนาวเข้าในทันที ผ้าพันคอที่โอบรอบคออย่างหนาแน่นปิดดวงหน้าไปได้มากกว่าครึ่ง สายตาที่หมองเศร้าบ่งบอกว่าอีกไม่นานน้ำตาที่กลั้นไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว

    “พ่อคะ..แม่คะ..หนูมาเยี่ยมแล้วนะคะ พ่อกับแม่สบายดีรึเปล่า ส่วนหนูกับพี่เสี่ยวฉิงสบายดีค่ะ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”ดวงตาที่แดงก่ำถูกหรี่ลง

    “เสี่ยวถง”เสียงเรียกจากที่ไกลๆทำให้ฉันตื่นจากภวังค์

    “เจ๊”ฉันหันไปมองทางต้นเสียง พี่เสี่ยวฉิงนั่นเอง

    “กลับเถอะ..สายแล้วเดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน เราน่ะยิ่งขี้เกียจอยู่ด้วย”พี่พูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆสายตาก็ดูหม่นไม่แพ้กับฉัน

    “ค่ะ”ฉันพูดก่อนจะนำดอกลาเวนเดอร์ช่อใหญ่ไปวางบนแท่น พี่เดินไปก่อนแล้วฉันแอบเห็นพี่เช็ดน้ำตาด้วย

    “หนูไปก่อนนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่”ฉันถอยออกมายืนจ้องชื่อพ่อกับแม่อยู่สักพักก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงคำนับไปให้

    “เจ๊ รอด้วย”ฉันตะโกนพร้อมกับออกวิ่ง

    “เร็วๆเด้”

    “ค่าาา”

        วันนี้โชคดีหน่อยที่ไม่ได้ไปวิ่งจ๊อกกิ้งเพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันกับพี่ต้องมาเคารพศพพ่อกับแม่ เราจะมาเยี่ยมท่านเป็นประจำทุกปี

        พ่อเป็นทหารอากาศที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนต่างก็เคารพนับถือท่าน ส่วนแม่เป็นราชทูตประจำกรุงโซล ในตอนที่พ่อกับแม่กำลังจะบินไปพักผ่อนที่โซลก็เกิดอุบัติเหตุ รถที่ท่านนั่งเกิดพลิกคว่ำทำให้ท่านทั้งสองและคนขับรถเสียชีวิต…..

    เจ๊ ตอนเย็นไม่ต้องมารับนะ ทำงานดีๆล่ะ บาย”ฉันพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตูรถดังปังแล้วรีบวิ่งเข้ามหาลัย

    “ไอ้…” เสี่ยวฉิงกำลังจะพูดแต่ต้องหยุดเพราะคนที่จะด่าหายลับไปแล้ว

    “เสี่ยวถง”เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง

    “เย่าเสียง”ฉันพูดเมื่อเห็นคนที่เรียกฉันเมื่อตะกี้ เขาคือ จิว เย่าเสียง เพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของฉัน เราโตมาด้วยกันและเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาลจนถึงตอนนี้ก็ยังเรียนที่มหาลัยเดียวกันแต่อยู่คนละคณะ ฉันเรียนรัฐศาสตร์การทูต(เหมือนแม่) ส่วนเย่าเสียงเรียนด้านการตกแต่งภายในนอกจากนี้เขายังเป็นศิลปินด้วย

    “ไง ไปเยี่ยมคุณอามารึยัง(หมายถึงพ่อกะแม่ของฉัน)”เย่าเสียงถาม

    “เรียบร้อยแล้ว แล้วนี่นายมานานรึยัง”

    “ก็ เพิ่งมาถึงเมื่อตะกี้นี่เอง”

    “อ้อ งั้นไปล่ะนะพอดีฉันต้องไปเอาเอกสาร ไว้เจอกันใหม่นะ ไปละ”ฉันตีบ่าเย่าเสียงทีนึงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปตัวอาคาร

    “เดี๋ยวดิ..เสี่ยว..ไม่ทัน”

    @@@@@

    เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้อย่าลืมไปฝึกซ้อมด้วย”เสียงแหลมเล็กแบบใจดีของอจ.ฝึกสอนเคนโด้ดังขึ้น

    “คร๊าบ/ค่า”

    “อจ.คะให้หนูช่วยป่ะ”ฉันพูดขึ้นหลังจากทุกคนเริ่มทยอยกันออกจากยิม

    “อืม ก็ดีเหมือนกัน ครูยิ่งแก่อยู่ด้วย ไม่ไหวๆ”อจ.พูดพลางส่ายหัว

    ฮิฮิอจ.พูดเหมือนพ่อเลย”ฉันขำ

    “ก็ครูเป็นเพื่อนมัน ก็ต้องนิสัยเหมือนกันเป็นธรรมดา”

    “หึหึ555+”ฉันหัวเราะ

    “แต่เรื่องหน้าตาเนี่ยไอ้หยงเต๋อมันเหนือกว่าครูแยะ”

    “จริงเหรอคะ แต่หนูว่าอจ.เองก็หน้าตาดีเหมือนกันน๊า”

    “หึหึ”

    “555+”

        อจ.หยางเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยประถม พ่อเลือกเรียนทหารอากาศเพราะท่านรักในอาชีพนี้มากส่วนอจ.หยางสานต่อกิจการเคนโด้จากปู่ ตระกูลหยางขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลที่เก่าแก่มาก

    “ว่าแต่เธอเองก็คล้ายกับพ่อเธอมากนะ ทั้งนิสัย หน้าตาแล้วก็เสียงหัวเราะ”

    “จริงเหรอคะ”

    “อืม หมดแค่นี้ใช่ไหม ขอบใจมากที่อุตส่าห์หอบของช่วยคนแก่”อจ.พูดพลางสำรวจสิ่งของ

    “ไม่เป็นไรค่ะถือว่าช่วยคนแก่”ฉันพูดก่อนจะโดนมะเหงกตกลงกลางศรีษะ

    “อ้อ แล้วนี่จะกลับบ้านเลยรึเปล่า ติดรถครูไปก็ได้นี่มันก็เย็นมากแล้ว”

    “ขอบพระคุณมากนะคะ แต่หนูว่าหนูนั่งรถเมล์กลับเองก็ได้ค่ะเพราะว่าหนูต้องแวะซื้อหนังสือก่อน”

    “ห๊ะ ซื้อหนังสือ โอ้โหเดี๋ยวนี้ไอ้หนูอ่านหนังสือกับเขาด้วย นับถือๆ แล้วหนังสือวิชาอะไรล่ะ”

    หนังสือนิยายค่ะ”ฉันตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำก่อนจะโดนมะเหงกลูกที่สองลงกลางศรีษะอีกครั้ง

    @@@@@

    ว้า ค่ำแล้วเหรอเนี่ย”ฉันบ่นออกมาพลางมองขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะกระชับเสื้อหนาวให้แน่นขึ้น

    “หนาวชะมัด”ฉันค่อยๆก้าวขาเดินตรงไปยังที่นั่งรอรถซึ่งรถก็มาพอดี

    “คนบางตาเหมือนกันแฮะ”ฉันคิดพลางกวาดสายตาหาที่นั่งก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปข้างในสุดเพราะไม่มีคน(ฉันเป็นพวกกลัวคนเยอะ)ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปถึงที่นั่งรถก็เบรกกะทันหันทำให้ฉันก้าวพลาดเหยียบเท้าของใครคนหนึ่งเข้า

    “ขอโทษค่ะ”ฉันรีบกล่าวขอโทษอย่างเร็วไวก่อนจะเงยหน้ามองคนที่โดนฉันเหยียบเท้าคนนั้นและแล้ว..ฉันก็ต้องสะดุดเมื่อสบตาเข้าอย่างจังกับตากลมโตคู่หนึ่ง..อ๊าย น่ารักชะมัด

    “นี่คุณ!!เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังขึ้นข้างหูทำให้ฉันสะดุ้ง

    “คุณเหยียบเท้าผมอยู่”เขาพูดอีกครั้ง

    “อ๊ะ ขอโทษค่ะ”ฉันรีบยกเท้าออกจากเท้าของใครคนนั้น

    หึหึหึ”อ๊าย สุดหล่อของฉันกำลังหัวเราะให้ฉันเหรอเนี่ย น่าอายชะมัด

    “นี่ คุณ คุณไม่คิดที่จะไปนั่งเลยเหรอ ยืนขวางทางอยู่ได้”คนคนนั้นพูดขึ้นซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้ฉันตาเขียวขึ้นมาทันที

    “ห๊ะ!!!ฉันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาเขียวปัดไปให้(มันนั่งอยู่ข้างๆสุดหล่อของฉันนี่เอง)

    มองหน้าทำไมครับ??? มีอะไรติดอยู่ที่หน้าผมเหรอ”มัน(นายคนนั้น)ถามพร้อมกับยิ้มแบบกวนๆ

    “ตอนนี้ยังไม่มีหรอกค่ะ แต่อีกหน่อยไม่แน่..อาจจะมีรอยรองเท้าของฉันติดอยู่บนหัวของคุณก็ได้!!!ฉันพูด..เอาล่ะสิ นายทำให้ฉันโมโหซะแล้ว…ขอโทษนะจ๊ะพ่อสุดหล่อของฉัน ที่ฉันทำให้ต้องมาเห็นท่าทีเวลาโมโหของฉัน

    “อ้าวคุณ พูดงี้ก็สวยเดะ”มัน(นายคนนั้น)พูด

    “เฮ่ย อาหมิน ผู้หญิงนะเว้ย..ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”อ๊าย สุดหล่อของฉันปกป้องฉันเหรอเนี่ย(ตรงไหน)

    “ยุนโน่ แกพูดแบบนี้ได้ไงวะ ยัยคนนี้เป็นฝ่ายว่าเราก่อนนะเว้ย!!มันพูด

    “เฮอะ ดูหน้าตาคุณเนี่ยก็พอใช้ได้อยู่หรอกนะคะ แต่มารยาทน่ะ สุดทรามเลย!ฉันเริ่มขึ้นเสียง

    “ยัยนี่!!มันกัดฟันพร้อมกับลุกขึ้นแต่โดนสุดหล่อของฉันดึงไว้ รู้สึกว่าคนบนรถเริ่มหันมามองเรา ฉันจึงแลบลิ้นใส่มันทีนึงก่อนจะหันไปมองหาที่นั่ง..ตายล่ะเมื่อกี้เบาะยังว่างอยู่เลยแต่ไหงตอนนี้มันถึงได้เต็มหมดเลยล่ะ..ความจริงมันก็ว่างอยู่ที่นึงอ่ะนะ..แต่มันเป็นเบาะที่อยู่ข้างหลังเบาะของไอ้บ้านั่นน่ะสิ!!!

    ลงป้ายหน้าค่ะ”ฉันพูดกับกระเป๋ารถเมล์

    “…”กระเป๋ารถเมล์รับเงินมาอย่างหวาดๆพลางมองหน้าฉัน

    “มองหาอะไรอยู่เหรอคะ”ฉันถามแบบงงๆ

    “ก็มองหน้ายัยบ้าคนนึงอยู่นะซี้”เสียงพูดดังมาจากเบาะข้างหน้า..นายนั่นกำลังหัวเราะเยาะฉันอย่างสะใจ

    “ตลกนักใช่มั๊ย”ฉันคิด ก่อนจะใช้เท้าถีบไปที่พนักพิงของไอ้บ้านั่นเต็มแรง

    โอ๊ย!!นายนั่นร้องออกมาเบาๆพร้อมกับเอามือลูบบริเวณกลางหลัง

    “555+”ตาฉันหัวเราะบ้างล่ะ

    “ยัยบ้าเอ๊ย!!!มันลุกขึ้น

    “ทำไม!!ฉันกอดอกพลางเชิดหน้าพยักคิ้ว

    “พอเถอะน่า อาหมิน นายไม่อายคนอื่นบ้างรึไง”สุดหล่อของฉันพูดขึ้น

    “ฝากไว้ก่อนเถอะ!!มันพูดแล้วกลับไปนั่งตามเดิม

    “อย่าลืมมาเอาคืนแล้วกันนะคะ!!ฉันคิด

    “ป้ายสิบเอ็ดก้าวออกมาเลยนะครับ”กระเป๋ารถเมล์ตะโกน

    “ถึงแล้วเหรอเนี่ย”ฉันคิดพร้อมกับก้าวออกมา

    “มีฉันลงคนเดียวเหรอ??ฉันคิดอีก..พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เท้าของไอ้บ้านั่น..ฉันยิ้มแบบกวนๆ

    “อย่าลืมมาเอาคืนนะคะ!!ฉันพูดก่อนจะใช้เท้าข้างซายของฉันเหยียบลงไปบนเท้าของนายนั่นเต็มแรงแล้ววิ่งแจ้นลงรถไปทันที

    “ยัย…”ฉันไม่ได้ยินหรอกค่ะว่านายนั่นพูดอะไรให้ฉันแต่เดาได้เลยว่ามันต้องเป็นคำที่ฟังไม่ค่อยเข้าหูสักเท่าไหร่

    “บ๊าย บาย ไปไกลๆเลยนะคะ”ฉันโบกมือให้นายนั่นเมื่อรถกำลังเคลื่อนตัว

    “อย่ากลับมาอีกนะค๊า หวังว่าคงจะไม่ได้พบกันอีก ชิ้วๆ บ๊าย บายสุดหล่อของช้าน”ฉันโบกมือเรื่อยๆจนรถลับสายตา

    “อะแฮ่มๆ”เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้ง

    “เจ๊!!!

     @@@@@





     

     

     

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×