คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ยัยบ้าเอ๊ย
แล้วล่ะ(อ้าว)
"ความจำเสื่อมเหรอครับ??"
"ไม่ใช่ความจำเสื่อมหรอกครับ แต่ติ๊งต๊องไปแล้ว"
"ติ๊งต๊อง??"
"ครับ เป็นอาการผิดปกติของสมองที่ถูกกระทบกระเทือนจนเกือบจะทำให้ความจำ
เสื่อม...90เปอร์เซนต์ของอาการนี้เกิดจากความเครียด โดยเฉพาะคนที่เครียดมา
ก่อนที่จะประสบอุบัตเหตุ เปอร์เซนต์ที่จะเกิดอาการแบบนี้จะมีสูงมาก"
"ความเครียดเหรอครับ??"
"ครับ เอ่อ..ไม่ทราบว่าพี่ชายของคุณเครียดมาก่อนหน้านี้รึเปล่า??"
"คงไม่ใช่หรอกครับ เพราะว่าผมไม่เคยเห็นพี่เครียดกับงานหรือกับอะไรมาก่อนเลย"
"อืม หากไม่ใช่ความเครียดเหมือนที่คุณว่า อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นที่หมอยังให้
คำตอบคุณไม่ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน"
" แล้ว หมอครับพอจะมีโอกาสที่พี่ของผมจะหายขาดจากอาการนี้รึเปล่า??"
"อืม เรื่องนี้หมอก็คงยังบอกคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าการรักษาอาการติ๊งต๊องนี้
มันขึ้นอยู่กับการพัฒนาของสมองของตัวคนไข้เองแล้วก็สภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็น
สื่อน่ะครับ"
"ครับ หมอ"
"อ้อ ว่าแต่คุณเองก็อย่าได้ไปกังวลอะไรกับมันมากนักนะครับ เพราะหมอเชื่อว่าพี่
ชายของคุณต้องหายจากอาการนี้แน่นอน ถึงแม้จะต้องใช้เวลามากพอสมควรก็ตาม
กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"
ครับ"
ลมหนาวที่พัดผ่านมาให้ความรู้สึกที่หดหู่ใจชอบกลถึงแม้รอบกายจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปผ่านมามากมายก็ตาม นี่สินะความรู้สึกของคนที่ต้องอยู่คนเดียวทั้งๆที่สิ่งต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแต่ดูเหมือนว่าผมไม่คิดแบบนั้นผมคิดว่าสิ่งที่อยู่รอบกายของผมมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดทั้งต้นไม้ใบหญ้า(มันยังอยู่ที่เดิมนี่นา) ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาโดยไม่ทักทายกันสักคำ(ไม่รู้จักกันนี่) หรือแม้แต่พี่ชายของผมที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรกับใครเล้ยแต่พอตื่นขึ้นมาก็ได้แต่พร่ำถึงอะไรก็ไม่รู้ที่บอกได้เลยว่า ‘ปัญญาอ่อน
’ สุดๆ หมอบอกว่าพี่ชายของผมติ๊งต๊องไปแล้ว เฮ้อ เวรกรรม แต่ก็ยังดีที่ไม่ตาย พี่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อ3วันก่อนหลังจากขับรถไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบินผมก็เลยต้องอยู่กับพี่สองคน“คนไข้ที่ชื่อ ฟาง อวี้เหมิน ถูกย้ายไปห้องไหนครับ”
ฟาง อวี้เหมิน พี่ชายที่สุขุมลุ่มลึกเดินไปไหนก็มีแต่คนอยากรู้จักตอนนี้ได้กลายไปเป็นเด็กอายุ 4ขวบไปเรียบร้อยแล้ว
“พิโกโร่หายไปไหนแล้ว คุณนางมารสุดสวยคับเห็นพิโกโร่ตัวเขียวเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้รึเปล่า”
หึ พิโกโร่งั้นเหรอไอ้พี่ชายบ้าบอเอ๊ยเรียกน้องชายทั้งทีเรียกให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง ผมเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างยากลำบากเพราะของที่อยู่ในถุงที่ผมถืออยู่มันเยอะเหลือเกิน
“พิโกโร่มาแล้ว เข้ามาเลย มาสู้กัน”ไอ้ที่มันเรียกผมว่าพิโกโร่กระโดดขึ้นมายืนอยู่บนเตียงด้วยความรวดเร็วทันทีที่ผมเข้ามาในห้อง
“เอ่อ คุณฟางคะ มาทานยาก่อนเถอะค่ะจะได้กินข้าวกัน”นางพยาบาลเกลี้ยกล่อม
“คุณนางมารสุดสวยช่วยกินแคปซูนแทนผมได้ไหมคับผมเป็นชาวไซย่ากินแคปซูนไม่ได้”พี่บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เอ่อ..”
“รีบกินเข้าไปสิคับบางทีอาจจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะเหมือนโคนันก็ได้”
“เอ่อ ”นางพยาบาลเกาหัวพร้อมกับทำสีหน้าเหลืออด
“รีบๆกินสิคับเดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก”
“เอาเข้าไป”ผมกล่าวขึ้นก่อนที่นางพยาบาลคนนั้นจะหัวเสียไปมากกว่านี้
“แกอยากสู้แล้วใช่ไหมพิโกโร่งั้นเข้ามาเลย”
“
นี่พี่ พี่รู้รึเปล่าว่าตอนนี้พี่ติ๊งต๊องไปแล้ว คุณพยาบาลครับผมจัดการเอง”ผมพูดแล้วหันไปพยักหน้าให้นางพยาบาลคนนั้น“
พี่ ฟังผมให้ดีนะ ถ้าพี่ไม่กินยา ผมจะไม่สู้กับพี่และจะไม่มาเยี่ยมพี่อีก”ผมพูดอย่างเด็ดขาด“(- ^ -)”หน้าพี่
“( ^ ^ )”หน้าผม
“ก็ได้วะ”เสียงพี่
“ดีมาก”เสียงผม
“เฮ้อ .”เสียงนางพยาบาล
@@@@@
“
ตื่นได้แล้วววว”เสียงตะโกนดังอยู่ข้างหู เชื่อเลย น่ารำคาญชะมัด“อีกแป๊ปน่าเจ๊”ฉันพลิกตัวโดยไม่ลืมที่จะคว้าหมอนมาปิดที่หู
“เสี่ยวถง ยัยน้องบ้า ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”พี่ดึงหมอนที่ปิดหูฉันออกจนได้แต่ฉันก็คว้าอีกใบขึ้นมาแทนที่
“ตกลงจะไม่ยอมลุกใช่มั๊ย โอเค้ งั้นต้องใช้วิธีนี้ นี่แน่ะๆๆ”พี่เอานิ้วมาจิ้มที่เอว(นึกว่าจะตีซะอีก)
“เจ๊มันจั๊กจี้นะ โอ๊ย พอแล้ว 555”ฉันบิดตัวไปมา
“จะลุกมั๊ย ห๊า นี่แน่ะ ไม่ลุกเหรอ นี่ๆๆๆๆ”
“เจ๊อ่ะ 55 พอแล้ว ก็ได้ ก็ได้ ลุกเดี๋ยวนี้แหละค่าาาา”
“ก็ลุกขึ้นซักทีสิ”พี่ยืนค้ำเอวอยู่ข้างเตียง
“อะไรกันเนี่ย ยังไม่ตีห้าเลย เจ๊อ่ะ”ฉันโอดครวญ
“อีกเดี๋ยวตะวันก็โผล่แล้ว รีบๆลุกขึ้นมาเลย”พี่ดึงฉันพร้อมกับเขย่าไปมา
“
เฮ้อ”ฉันค่อยๆพาร่างอันหมดเรี่ยงแรงของฉันลุกขึ้น พร้อมกับก้าวขาลงจากเตียงอย่างช้าๆ อึ๋ย หนาวชะมัดเลย“นี่ เร็วๆหน่อยได้มั๊ย ชั้นไม่ได้มีเวลาทั้งวันนะยะ”
“ค่าาาา”
เช้าวันนี้อากาศหนาวฉันเลยไม่อยากลุกสักเท่าไหร่แต่พี่สาวของฉันน่ะสิดันมาทำลายบรรยากาศการนอนของฉันหมด(อยากนอนต่ออ่ะ) ทุกๆเช้าเราสองพี่น้องจะออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ๆเป็นประจำ(ก็ไม่ได้อยากมาซักเท่าไหร่หรอก)พี่มักจะบอกฉันเสมอว่าการวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้าจะทำให้สมองปลอดโปร่ง สุขภาพจิตดี ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ยิ่งดีใหญ่เพราะคนส่วนมากจะไม่ค่อยออกกำลังกายกันก็เลยทำให้กลายเป็นคนขี้เกียจไป ซะงั้น
“สดชื่นจริงๆเล้ย”พี่พูดพลางบิดเอวไปมา
“แฮ่ๆ สดชื่นบ้าอะไรเล่า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”ฉันบ่น
“ตายแล้ว ใครบอกให้นั่งยะ เพิ่งวิ่งมาเค้าต้องบริหารร่างกายก่อนสิ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”พี่แว้ด
“ธ่อเจ๊ ก็คนมันเหนื่อยอ่ะ”
“เฮ้อ ฉันจะทำยังไงกับแกดีเนี่ย ไม่มีความอดทนเอาซะเลย”พี่ใช้มือกุมศรีษะ
“T^T
”“
แกเรียนเคนโด้ภาษาอะไร เค้าปล่อยให้แกผ่านการสอบมาได้ยังไงเนี่ย”“อ๊ะอ๊ะ อย่าพูดแบบนั้นน่าเจ๊ เจ๊ต่างหากที่ไม่มีความอดทนเอาซะเลย”ฉันผายมือออกพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ทำไมยะ”พี่ค้ำเอว
“
ก็เจ๊ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งมาหาฉันตลอดเลย เวลาถูกรังแก อ้อ ขนาดผูกเชือกรองเท้าไม่ได้ยังร้องไห้เลย คนอะไรขี้แยชะมัด”“ยัยน้องบ้า นั่นมันตอนเป็นเด็กย่ะ”
“อย่ามาพูดเลยเจ๊ จะตอนเด็กหรือตอนนี้เจ๊ก็ยังขี้แยอยู่เหมือนเดิมแหละ”
“ชั้นบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ”
“เอ๊ะ เจ๊นี่ยังไงกันนะชอบเถียงอยู่เรื่อยเลย”
“เฮอะนั่นมันน่าจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่านะยะ”
“อ้าวเจ๊ พูดงี้ก็สวยสิ”
“ก็แล้วมันจริงมั๊ยล่ะ”
“จริง”
“ชะ”พี่สบถ
@@@@@
วันนี้เป็นวันอาทิตย์อากาศยังคงหนาวอยู่เหมือนเดิม ผมทำงานพิเศษที่คลับแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘โซโล เชียร์ช
’ ทำอะไรน่ะเหรอ .“ครับ เพลงที่จะเล่นต่อไปนี้เป็นเพลงสุดท้ายของพวกเราในค่ำคืนนี้นะครับ ขอให้ทุกท่านสนุกกับอาหารและเสียงเพลงไปพร้อมๆกัน โอกาสหน้าพบกันใหม่ครับผม”เสียงทุ้มต่ำของเหอ ยุ๋นปิง นักร้องนำวงของเราดังขึ้นอีกครั้งทำให้สาวๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆเวทีส่งสายตาปิ๊งเป็นประกายมาให้ยุ๋นปิงทันที
“ยุ๋นปิง หวานใจของช้านนน”สาวเปรี้ยวจี๊ดรูปร่างเหมือนนางแบบกลุ่มหนึ่งส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดขึ้นโดยไม่เกรงใจใคร
“
เค้าน่ะเป็นของชั้นต่างหากย่ะ กรี๊ดดดยุ๋นปิงงง”สาวจี๊ดอีกกลุ่มตะโกนพร้อมกับส่งสายตาพิฆาต“แก ”
และแล้วคืนนี้ก็มีจุดจบเช่นทุกวันคือ ชุลมุนวุ่นวาย..เฮ้อ
“ยุ๋นปิง กรี๊ดดด สุดหล่อของชั้น”การพยายามดัดเสียงให้แจ๊ดของเฉิน ฮ่าวหนาน
มือกลองสุดเท่ห์ของวงเราดังขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังเดินกลับบ้าน
“พอเลยนะอาฮ่าว ขืนแกพูดอีกครั้งฉันต้องเป็นประสาทตายแน่ๆ”ยุ๋นปิงพูดอย่างเหนื่อยอ่อน
“แหงละซี้ ก็แกเล่นหล่อกระชากใจสาวๆเค้าขนาดนี้”ยุนโน่ มือเบสลูกครึ่งเกาหลีหน้าตี๋พูดขึ้นบ้าง
“ช่วยไม่ได้นี่หว่าคนมันเกิดมาหน้าตาดี”ยุ๋นปิงว่าพลางผายมือออก
“นั่นไง พอชมเข้าหน่อยหลวมตัวเลยนะแก”ยุนโน่ผลักหัว
“อ้อ อาหมินพี่ชายนายเป็นไงบ้าง”จี้ ฉิงชวน มือกีต้าร์โซโล่สุดหล่อกล่าวขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“อืม ก็ยังปัญญาอ่อนเหมือนเดิมแหละ”ผมตอบ
“โถโถ อาจารย์ฟางของผม..”จุ้น เซียะผิง(ไอ้หัวฟู) มือคีย์บอร์ดที่ศรัทธาในตัวพี่ชายของผมกุมมือขึ้นระดับอกพลางมองขึ้นไปบนฟ้า
“เว่อร์เกินไปแล้วว่ะ เพื่อน”ยุนโน่ตบบ่าเซียะผิงเบาๆสองสามทีพร้อมกับเบ้ปาก
“(- ^ -)”
“เอาเป็นว่าเราแยกกันตรงนี้เลยละกัน”ผมพูดขี้นเมื่อมาถึงทางแยก
“
อืม งั้นข้ากลับบ้านก่อนแล้วกัน เจอกันที่มหา’ลัยพรุ่งนี้ว่ะ”ยุ๋นปิงพูดก่อนจะเดินแยกไป“โชคดีเว้ย”ผมพูด
“ฮ้าว..ว.ข้าก็ง่วงนอนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ละกัน”ฮ่าวหนานว่าพลางหาวหวอดๆ
“ข้าเองก็ต้องกลับไปเขียนรายงานต่อ โอ๋ย เมื่อยตัวชะมัด”ยุนโน่บีบไหล่ไปมา
“เฮ้ย ถึงเวลาแล้วนี่หว่า!!
”เซียะผิงโพล่งออกมา“เวลาอะไรของแกวะ”ผมพูด
“ถึงเวลาออนเอ็มไง วันนี้มีนัดกับพริ้นส์ตัน เกิร์ลซะด้วย งั้นข้าไปล่ะ”เซียะผิงพูดแล้วรีบบึ่งกลับบ้านทันที
“หึ ไอ้บ้าเอ๊ย”ผมหัวเราะน้อยๆ
“อาหมิน แกจะกลับบ้านเลยรึเปล่า”ฉิงชวนพูดด้วยท่าทางขรึมเข้ม
“เปล่า ข้าต้องไปโรงพยาบาล แล้วแกล่ะยังไม่กลับบ้านเหรอ”
“ยังหรอก เพราะว่าวันนี้ข้านัดเดทกับสาวเปรี้ยวเอาไว้”
“หกทุ่มเนี่ยนะ นัดเดทของแก”
“ก็เออดิวะ”
“เฮอะ มิน่าคนเขาถึงยกตำแหน่งเพลย์บอยให้แก”
“นั่นชมเหรอวะ”
“เปล่า ประชด”
@@@@@
สายลมเย็นยะเยือกที่พัดมาปะทะกับใบหน้าทำให้ฉันกระชับเสี้อหนาวเข้าในทันที ผ้าพันคอที่โอบรอบคออย่างหนาแน่นปิดดวงหน้าไปได้มากกว่า
ครึ่ง สายตาที่หมองเศร้าบ่งบอกว่าอีกไม่นานน้ำตาที่กลั้นไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว“พ่อคะ..แม่คะ..หนูมาเยี่ยมแล้วนะคะ พ่อกับแม่สบายดีรึเปล่า ส่วนหนูกับพี่เสี่ยวฉิงสบายดีค่ะ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”ดวงตาที่แดงก่ำถูกหรี่ลง
“เสี่ยวถง”เสียงเรียกจากที่ไกลๆทำให้ฉันตื่นจากภวังค์
“เจ๊”ฉันหันไปมองทางต้นเสียง พี่เสี่ยวฉิงนั่นเอง
“กลับเถอะ..สายแล้วเดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน เราน่ะยิ่งขี้เกียจอยู่ด้วย”พี่พูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆสายตาก็ดูหม่นไม่แพ้กับฉัน
“ค่ะ”ฉันพูดก่อนจะนำดอกลาเวนเดอร์ช่อใหญ่ไปวางบนแท่น พี่เดินไปก่อนแล้วฉันแอบเห็นพี่เช็ดน้ำตาด้วย
“หนูไปก่อนนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่”ฉันถอยออกมายืนจ้องชื่อพ่อกับแม่อยู่สักพักก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงคำนับไปให้
“เจ๊ รอด้วย”ฉันตะโกนพร้อมกับออกวิ่ง
“เร็วๆเด้”
“ค่าาา”
วันนี้โชคดีหน่อยที่ไม่ได้ไปวิ่งจ๊อกกิ้งเพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันกับพี่ต้องมาเคารพศพพ่อกับแม่ เราจะมาเยี่ยมท่านเป็นประจำทุกปี
พ่อเป็นทหารอากาศที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนต่างก็เคารพนับถือท่าน ส่วนแม่เป็นราชทูตประจำกรุงโซล ในตอนที่พ่อกับแม่กำลังจะบินไปพักผ่อนที่โซลก็เกิดอุบัติเหตุ รถที่ท่านนั่งเกิดพลิกคว่ำทำให้ท่านทั้งสองและคนขับรถเสียชีวิต ..
“
เจ๊ ตอนเย็นไม่ต้องมารับนะ ทำงานดีๆล่ะ บาย”ฉันพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตูรถดังปังแล้วรีบวิ่งเข้ามหา’ลัย“ไอ้ ” เสี่ยวฉิงกำลังจะพูดแต่ต้องหยุดเพราะคนที่จะด่าหายลับไปแล้ว
“เสี่ยวถง”เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง
“เย่าเสียง”ฉันพูดเมื่อเห็นคนที่เรียกฉันเมื่อตะกี้ เขาคือ จิว เย่าเสียง เพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของฉัน เราโตมาด้วยกันและเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาลจนถึงตอนนี้ก็ยังเรียนที่มหา
’ลัยเดียวกันแต่อยู่คนละคณะ ฉันเรียนรัฐศาสตร์การทูต(เหมือนแม่) ส่วนเย่าเสียงเรียนด้านการตกแต่งภายในนอกจากนี้เขายังเป็นศิลปินด้วย“ไง ไปเยี่ยมคุณอามารึยัง(หมายถึงพ่อกะแม่ของฉัน)”เย่าเสียงถาม
“เรียบร้อยแล้ว แล้วนี่นายมานานรึยัง”
“ก็ เพิ่งมาถึงเมื่อตะกี้นี่เอง”
“อ้อ งั้นไปล่ะนะพอดีฉันต้องไปเอาเอกสาร ไว้เจอกันใหม่นะ ไปละ”ฉันตีบ่าเย่าเสียงทีนึงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปตัวอาคาร
“เดี๋ยวดิ..เสี่ยว..ไม่ทัน”
@@@@@
“
เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้อย่าลืมไปฝึกซ้อมด้วย”เสียงแหลมเล็กแบบใจดีของอจ.ฝึกสอนเคนโด้ดังขึ้น“คร๊าบ/ค่า”
“อจ.คะให้หนูช่วยป่ะ”ฉันพูดขึ้นหลังจากทุกคนเริ่มทยอยกันออกจากยิม
“อืม ก็ดีเหมือนกัน ครูยิ่งแก่อยู่ด้วย ไม่ไหวๆ”อจ.พูดพลางส่ายหัว
“
ฮิฮิอจ.พูดเหมือนพ่อเลย”ฉันขำ“ก็ครูเป็นเพื่อนมัน ก็ต้องนิสัยเหมือนกันเป็นธรรมดา”
“หึหึ555+”ฉันหัวเราะ
“แต่เรื่องหน้าตาเนี่ยไอ้หยงเต๋อมันเหนือกว่าครูแยะ”
“จริงเหรอคะ แต่หนูว่าอจ.เองก็หน้าตาดีเหมือนกันน๊า”
“หึหึ”
“555+”
อจ.หยางเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยประถม พ่อเลือกเรียนทหารอากาศเพราะท่านรักในอาชีพนี้มากส่วนอจ.หยางสานต่อกิจการเคนโด้จากปู่ ตระกูลหยางขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลที่เก่าแก่มาก
“ว่าแต่เธอเองก็คล้ายกับพ่อเธอมากนะ ทั้งนิสัย หน้าตาแล้วก็เสียงหัวเราะ”
“จริงเหรอคะ”
“อืม หมดแค่นี้ใช่ไหม ขอบใจมากที่อุตส่าห์หอบของช่วยคนแก่”อจ.พูดพลางสำรวจสิ่งของ
“ไม่เป็นไรค่ะถือว่าช่วยคนแก่”ฉันพูดก่อนจะโดนมะเหงกตกลงกลางศรีษะ
“อ้อ แล้วนี่จะกลับบ้านเลยรึเปล่า ติดรถครูไปก็ได้นี่มันก็เย็นมากแล้ว”
“ขอบพระคุณมากนะคะ แต่หนูว่าหนูนั่งรถเมล์กลับเองก็ได้ค่ะเพราะว่าหนูต้องแวะซื้อหนังสือก่อน”
“ห๊ะ ซื้อหนังสือ โอ้โหเดี๋ยวนี้ไอ้หนูอ่านหนังสือกับเขาด้วย นับถือๆ แล้วหนังสือวิชาอะไรล่ะ”
“
หนังสือนิยายค่ะ”ฉันตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำก่อนจะโดนมะเหงกลูกที่สองลงกลางศรีษะอีกครั้ง@@@@@
“
ว้า ค่ำแล้วเหรอเนี่ย”ฉันบ่นออกมาพลางมองขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะกระชับเสื้อหนาวให้แน่นขึ้น“หนาวชะมัด”ฉันค่อยๆก้าวขาเดินตรงไปยังที่นั่งรอรถซึ่งรถก็มาพอดี
“คนบางตาเหมือนกันแฮะ”ฉันคิดพลางกวาดสายตาหาที่นั่งก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปข้างในสุดเพราะไม่มีคน(ฉันเป็นพวกกลัวคนเยอะ)ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปถึงที่นั่งรถก็เบรกกะทันหันทำให้ฉันก้าวพลาดเหยียบเท้าของใครคนหนึ่งเข้า
“ขอโทษค่ะ”ฉันรีบกล่าวขอโทษอย่างเร็วไวก่อนจะเงยหน้ามองคนที่โดนฉันเหยียบเท้าคนนั้นและแล้ว..ฉันก็ต้องสะดุดเมื่อสบตาเข้าอย่างจังกับตากลมโตคู่หนึ่ง..อ๊าย น่ารักชะมัด
“นี่คุณ!!
”เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังขึ้นข้างหูทำให้ฉันสะดุ้ง“คุณเหยียบเท้าผมอยู่”เขาพูดอีกครั้ง
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ”ฉันรีบยกเท้าออกจากเท้าของใครคนนั้น
“
หึหึหึ”อ๊าย สุดหล่อของฉันกำลังหัวเราะให้ฉันเหรอเนี่ย น่าอายชะมัด“นี่ คุณ คุณไม่คิดที่จะไปนั่งเลยเหรอ ยืนขวางทางอยู่ได้”คนคนนั้นพูดขึ้นซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้ฉันตาเขียวขึ้นมาทันที
“ห๊ะ!!!
”ฉันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาเขียวปัดไปให้(มันนั่งอยู่ข้างๆสุดหล่อของฉันนี่เอง)“
มองหน้าทำไมครับ??? มีอะไรติดอยู่ที่หน้าผมเหรอ”มัน(นายคนนั้น)ถามพร้อมกับยิ้มแบบกวนๆ“ตอนนี้ยังไม่มีหรอกค่ะ แต่อีกหน่อยไม่แน่..อาจจะมีรอยรองเท้าของฉันติดอยู่บนหัวของคุณก็ได้!!!
”ฉันพูด..เอาล่ะสิ นายทำให้ฉันโมโหซะแล้ว ขอโทษนะจ๊ะพ่อสุดหล่อของฉัน ที่ฉันทำให้ต้องมาเห็นท่าทีเวลาโมโหของฉัน“อ้าวคุณ พูดงี้ก็สวยเดะ”มัน(นายคนนั้น)พูด
“เฮ่ย อาหมิน ผู้หญิงนะเว้ย..ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”อ๊าย สุดหล่อของฉันปกป้องฉันเหรอเนี่ย(ตรงไหน)
“ยุนโน่ แกพูดแบบนี้ได้ไงวะ ยัยคนนี้เป็นฝ่ายว่าเราก่อนนะเว้ย!!
”มันพูด“เฮอะ ดูหน้าตาคุณเนี่ยก็พอใช้ได้อยู่หรอกนะคะ แต่มารยาทน่ะ สุดทรามเลย!
”ฉันเริ่มขึ้นเสียง“ยัยนี่!!
”มันกัดฟันพร้อมกับลุกขึ้นแต่โดนสุดหล่อของฉันดึงไว้ รู้สึกว่าคนบนรถเริ่มหันมามองเรา ฉันจึงแลบลิ้นใส่มันทีนึงก่อนจะหันไปมองหาที่นั่ง..ตายล่ะเมื่อกี้เบาะยังว่างอยู่เลยแต่ไหงตอนนี้มันถึงได้เต็มหมดเลยล่ะ..ความจริงมันก็ว่างอยู่ที่นึงอ่ะนะ..แต่มันเป็นเบาะที่อยู่ข้างหลังเบาะของไอ้บ้านั่นน่ะสิ!!!“
ลงป้ายหน้าค่ะ”ฉันพูดกับกระเป๋ารถเมล์“ ”กระเป๋ารถเมล์รับเงินมาอย่างหวาดๆพลางมองหน้าฉัน
“มองหาอะไรอยู่เหรอคะ”ฉันถามแบบงงๆ
“ก็มองหน้ายัยบ้าคนนึงอยู่นะซี้”เสียงพูดดังมาจากเบาะข้างหน้า..นายนั่นกำลังหัวเราะเยาะฉันอย่างสะใจ
“ตลกนักใช่มั๊ย”ฉันคิด ก่อนจะใช้เท้าถีบไปที่พนักพิงของไอ้บ้านั่นเต็มแรง
“
โอ๊ย!!”นายนั่นร้องออกมาเบาๆพร้อมกับเอามือลูบบริเวณกลางหลัง“555+”ตาฉันหัวเราะบ้างล่ะ
“ยัยบ้าเอ๊ย!!!
”มันลุกขึ้น“ทำไม!!
”ฉันกอดอกพลางเชิดหน้าพยักคิ้ว“พอเถอะน่า อาหมิน นายไม่อายคนอื่นบ้างรึไง”สุดหล่อของฉันพูดขึ้น
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!!
”มันพูดแล้วกลับไปนั่งตามเดิม“อย่าลืมมาเอาคืนแล้วกันนะคะ!!
”ฉันคิด“ป้ายสิบเอ็ดก้าวออกมาเลยนะครับ”กระเป๋ารถเมล์ตะโกน
“ถึงแล้วเหรอเนี่ย”ฉันคิดพร้อมกับก้าวออกมา
“มีฉันลงคนเดียวเหรอ??
”ฉันคิดอีก..พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เท้าของไอ้บ้านั่น..ฉันยิ้มแบบกวนๆ“อย่าลืมมาเอาคืนนะคะ!!
”ฉันพูดก่อนจะใช้เท้าข้างซายของฉันเหยียบลงไปบนเท้าของนายนั่นเต็มแรงแล้ววิ่งแจ้นลงรถไปทันที“ยัย ”ฉันไม่ได้ยินหรอกค่ะว่านายนั่นพูดอะไรให้ฉันแต่เดาได้เลยว่ามันต้องเป็นคำที่ฟังไม่ค่อยเข้าหูสักเท่าไหร่
“บ๊าย บาย ไปไกลๆเลยนะคะ”ฉันโบกมือให้นายนั่นเมื่อรถกำลังเคลื่อนตัว
“อย่ากลับมาอีกนะค๊า หวังว่าคงจะไม่ได้พบกันอีก ชิ้วๆ บ๊าย บายสุดหล่อของช้าน”ฉันโบกมือเรื่อยๆจนรถลับสายตา
“อะแฮ่มๆ”เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้ง
“เจ๊!!!
” @@@@@
ความคิดเห็น