ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Occult คำสาป ชมรมอาถรรพ์]

    ลำดับตอนที่ #4 : Ep.4 ค่ายมรณะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 30
      0
      18 ม.ค. 57











    "00:00 แล้วว่ะ" เอิร์ธพูด

     

      

    “เชี้ยยยยยยยยย ย ย ย ย ย ย !!!”ดรีมอุทานด้วยความหวาดกลัว

    “มันไม่ทันแล้วว่ะ”แม็คเสริม

    “เฮ้ยได้ไงอ่ะ กูว่ามันแปลกๆอยู่นะปกติแล้วมันต้องทันดิ

    มันต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างล่ะว๊ะ

    นี่กูอุตส่าห์คำนวณไว้ได้เป๊ะแล้วนะ”ดรีมบ่น

    เพราะดรีมก็นับว่าเป็นเด็กเรียนอีกคนนึงในกลุ่ม

    ถึงจะไม่ค่อยเก่งเท่าไอ่เอิร์ธ แต่มันก็นับว่าขยันส่งงาน

    ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด... มันทำได้หมด.... เพื่อคะแนนเกรดที่ดี.....

    “ใช่.. มันมีอะไรที่ผิดพลาด”เอิร์ธพูดขึ้น

    “ผิดพลาดยังไงวะ?”แม็คถาม

    “โดยรวมแล้ว เวลาที่เราเดินไปกลับอย่างเร็วๆ

    มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่พิสูตได้แล้วว่าทันแน่”เอิร์ธพูด

    “ใช่ลยเอิร์ธ มึงคิดเหมือนกูเด๊ะ!”ดรีมพูด

    “เฮ้ยไม่ม๊างงงงง =[]=’

    แหม๋ๆ ไอ่พวกเด็กเรียนครับ

    พวกคุณมึงจะคิดว่าคำนวณผิดพลาดบ้างอะไรบ้างก็ได้นะ

    ไม่มีใครว่าหรอก”แม็คเด็กฉลาดน้อยที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น -..-

    “ไม่ดิ มึงลองคิดดูดีๆนะว่าระยะทางไม่ไกลมาก

    กับฝีเท้าที่พวกเราเก้ามาเนี้ย มันจะทันหรือไม่ทัน!?”ดรีมถาม

    “...”แม็คถึงกับเงียบ =-= ไม่รู้ว่ามันเถียงไม่ออกหรือกำลังคำนวณอยู่

    “เรื่องง่ายๆแค่นี้ พวกกูคำนวณพลาดก็บ้าล้ะ!”ดรีมพูด

    “เฮ้ยพวกมึงพูดเรื่องอะไรกันว๊ะ รีบๆเดินดิ๊กูง่วงแล้วเนี้ย!

    ตูมตามหันหลังมาแขวะใส่พวกผม แล้วมันก็หันหน้ากลับไปเดินนำทางต่อ

    “เออน่าาา.. จะอะไรก็ช่างเถอะ! ตอนนี้พวกเรารีบกลับเข้าเต้นท์กันดีกว่านะ”

    ผมพูดให้เพื่อนๆมันคิด เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    เราเอาเวลาเถียงกันอยู่นี้รีบเดินกลับดีกว่า...

     

     

     

     

         ตอนนี้.. พวกเราเริ่มเดินกลับเต้นท์กันมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว

    แต่ทำไมไม่รู้? ผมรู้สึกเหมือน…

    ทำไมยิ่งเดินเท่าไหร่ ยิ่งมองไม่เห็นปลายทางข้างหน้าเลย....

    แสงจันทร์ที่เคยสว่างกลับค่อยๆเข้มแปลเปลี่ยนเป็นสีส้มคล้ายสีแดง

    ซึ่งมันเป็นปรากฏการณ์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย..

    กลิ่นธูปเทียนลอยฟุ้งไปทั่วทางเดิน...

    ตอนนี้ทั่วทั้งทางเดดินอบอวยไปด้วยหมอกหนาและควันธูป

     

     

    เวลาผ่านมาเรื่อยๆแต่การเดินทางก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหรือสิ้นสุดเลย

    “เฮ้ย! ตามทำไมมันนานถึงจังวะ

    กูว่ามันแปลกๆแล้วว่ะ”แม็คพูดขึ้นมา

    “มึงคิดมากน่าา รีบๆเดินเข้าเถอะ

    พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”ตูมตามพูดและเดินนำหน้าต่อไป

    “ค่..ครีม กูกลัว”ดรีมกำแขนเสื้อผมแน่น

     

    “เฮ้ยหยุดก่อน!”เสียงตูมตามพูดขึ้นทำให้เสียงทุกคนเงียบลง

    กึกกักกุกักสื่ออออออออออออ...เสียงวอล์ของสารวัตนักเรียนตรงหน้าผม

    เหมือนจะมีสัญญาณอะไรแทรกเข้ามา

    “สารวัตินักเรียนทุกคนโปรดทราบขณะนี้สายตรวจรายงานมาว่า

    มีนักเรียนจำนวนหนึ่งหายออกไปจากที่พัก กรุณารีบมารวมตัวด่วนตามแสงไฟ”

    ทันทีทันใดที่เสียงวอล์ดับลงก็เผยให้เห็นแสงสีฟ้าๆไม่ใหญ่มาก

    แต่ก็สว่างพอที่จะนำทางพวกเราไปได้

    และในขณะที่พวกผมกำลังจะเดินไปนั้น

    “เฮ้ยเดี๋ยวพวกมึงแอบอยู่ตรงศาลาแดงนี้ก่อนนะ..

    ถ้าคนอื่นจับได้จะซวยกันหมด”ตูมตามพูด

    ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแสงนั้น ก่อนที่เขาจะหายไปกับแสงที่ค่อยๆริบหรี่ลง

    ตอนนี้พวกผมหลบกันอยู่ที่ศาลาแดงข้างทางเดิน

    ที่ปกติจะมีกันทุกตึกยกเว้นตึกสี่ เพื่อเป็นร่มให้นั่งพักกัน

    หรือไว้ใช้ในยามหลบฝน แต่เหตุผลหลักแล้วคือห้องเรียนไม่พอ

    จึงจะมีส่วนน้อยที่จะได้มาเรียนกันตามโต๊ะไม้หินอ่อนตามศาลาแบบนี้

    “เฮ้ยแสงจะหายแล้วรีบๆตามไปเถอะ!”ดรีมพูดขึ้นก่อนจะวิ่งออกจากที่ซ่อน

    “เดี๋ยวก่อน!!”เอิร์ธดึกคอเสื้อดรีมไว้ทันเพื่อไม่ให้วิ่งตามแสงไป

    “ห้ามกูทำเชี้ยไรว๊ะ นี่มันคืนเดือนดับแล้วนะเว้ย

    มันเลยวันพระมาแล้ว

    อีกอย่าง กูไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรอกนะ!

    ดรีมพยายามแกะมือเอิร์ธออกจากคอเสื้อ

    “งั้นมึงก็เลิกเอาละกัน!

    ว่าจะตายตอนนี้ หรือ ตายให้ช้าที่สุด”

    เสียงที่เอิร์ธตะโกนขึ้นนั้น...

    ทำให้ลดความไร้สติของดรีมได้เป็นอย่างดี

    “ม่..มึงพูดเชี้ยไรวะกูไม่เข้าใจ”ดรีมถามด้วยความกลัวตาย

    “มึงมีสติหน่อยได้ไหมวะ... มึงคิดดูดีๆ...

    มึงจำที่ตูมตามมันบอกไม่ได้หรอ...ว่าสารวัตนักเรียนทั้งหมดรู้เรื่องอยู่แล้ว

    แล้วมันมีเหตุผลอะไร ที่จะต้องวอล์เข้ามาด้วย

    แล้วถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ วอล์ที่อยู่กับอาจารย์ก็ต้องได้ยิน

    แล้วสปอดไลท์ก็ต้องเปิด ไม่ใช่ให้วิ่งเข้าหาแสงเล็กๆเพียงแค่นั้น…

    และถึงกระนั้น แสงที่ส่องออกมาแบบนั้นทำไมไม่มีใครรู้สึกล่ะ?

    คนอื่นที่นอนอยู่แถวนั้นทำไมไม่ตื่นล่ะ?

    มึงไม่คิดว่ามันจะแปลกไปหน่อยหรอ”เอิร์ธอธิบายความสงสัยของตนเอง

     

     

     

    มาถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าเถียงคำพูดของเอิร์ธเลย

    หลังจากที่เงียบกันคิดอยู่นาน...

    “งั้น.. แล้วทำไมมึงถึงปล่อยให้ตูมตามมันไปคนเดียววะ?

    แม็คถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

    “เพื่อความแน่ใจไง...”เอิร์ธพูด

    “แน่ใจอะไรของมึงวะ?”ผมถาม

    “ภายใน5นาทีนี้ ถ้าหากยังไม่มีใครเดินมาตามหาคนที่นี่

    ก็แสดงว่าคนที่กูปล่อยไปนั้น...เขาไม่ใช่ตูมตามที่เรารู้จัก”

    จบประโยคนี้ปุ๊ป ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย

    “เฮ้ยนาฬิกากูทำไมเป็นงี้วะ”ดรีมพูดขึ้นเมื่อเขามองดูนาฬิกาที่ข้อมือ

    “ของกูนาฬิกามันไม่ยอมเคลื่อนที่เลยว่ะ สงสัยจะตาย”แม็กพูดขึ้น

    “ของกูมันหมุดย้อนหลังว่ะ!”ดรีมพูดด้วยสีหน้าร้อนรน

    อะไรกันทำไมมันจะเป็นแบบนั้น ผมก้มหน้าลงดูนาฬิกาของตัวเองบ้าง

    “นาฬิกากูก็...ไม่ยอมไปจาก 00:00 เลยว่ะ แต่ยังเคลื่อที่อยู่”

    ผมกำลังตะลึกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเรา

    “นี่ไงล่ะ ที่นี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทำไมกูถึงคิดว่าคนๆนั้นไม่ใช่ตูมตาม”เอิร์ธพูด

    “เพราะตูมตามมันจะไม่วิ่งไปโดยทิ้งพวกเราไว้ตามลำพังแน่

    ในเมื่อสารวัตนักเรียนทุกคนรู้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องปิดบัง

    และถึงอย่างนั้นมีมันอยู่ก็ต้องแก้ตัวได้อยู่แล้ว

    แต่นี่มันกลับไม่ทำ แล้วปล่อยให้เราอยู่ที่นี่”

    “ฮื่อๆ ไม่เอานะมึงอย่าอำกูสิไอ่เชี้ยเอิร์ธ”ดรีมเริ่มกลัวแล้วครับ

    “มีใครรู้สึกเหมือนกูบ้าง ว่าทางที่เราเดินกันมามันยาวนานกว่าปกติ”เอิร์ธถาม

    “กู/กู/กู”ทุกคนต่างพูดเหมือนกัน

    แกร่ก...แกร่ก.... พวกเราทั้งหมดหันหน้าไปทางต้นเสียงด้วยความตกใจ

    แต่ดันพบเพียงความว่างเปล่า...

    แกร่ก..แกร่ก... เสียงเหมือนอะไรสักอย่าง

    ดังมาจากศาลาแดงหลังสุดท้ายซึ่งพวกผมอยู่กันหลังที่สี่

    “เดี๋ยวพวกมึงรออยู่นี่นะ.. กูจะไปดูเอง”แม็คบอกเพื่อนๆ

    ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากที่ซ่อนแล้วเดินออกไป

    “เดี๋ยวแม็ค! ให้กูไปด้วยดีกว่า”เอิร์ธเดินออกไปตามแม็ค

    “ฮื่อๆๆ ครีม...มึงอย่าทิ้งกูไว้คนเดียวนะ”ดรีมเริ่มน้ำตาซึมแล้วครับ

    ไอ่หมอนี่มันเป็นคนกลัวผีค่อนข้างมาก

    ขนาดแสงไฟตอนนั้นมันยังคิดที่จะวิ่งเข้าหาโดยไม่คิดอะไรเลย

    ดรีมมันฉลาด ขยัน และเรียนมุค่อยเก่งแต่เกรดดีก็จริง

    แต่ถ้ามีเรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวพรรณแล้วเมื่อไหร่

    มันก็จะเป็นคนแรกที่สติหลุดไปก่อนเพื่อนอยู่ดี

    ซึ่งในกลุ่มเราก็เลยถือว่ามันเป็นน้องสุดครับ

    “อืมมม กูสัญญา”ผมปลอบมัน

     

     

     

    เวลาผ่านไปค่อนข้างนานพอดู

    จากที่ผมกะเวลาแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนี้ด้วยซ้ำ

    “เฮ้ย!  เชี้ยเอิร์ธเชี้ยแม็ค พวกมึงเจออะไรมั๊ยว๊ะ!”ผมตะโกนถามค่อนข้างดังมากๆ

    มากพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยินเสียงผมจะตื่นมาในยามวิกาลแบบนี้ได้เลย

    แต่ผมไม่สนใจแล้ว ตอนนี้ผมขอแค่ว่าให้ทุกคนปลอดภัยเป็นพอ

    แกร่กแกร่กๆ...เสียงอะไรสักอย่างอยู่บนอาคารชั้นสอง

    ตึกวิทย์อาคารข้างๆที่ผมอยู่ ซึ่งเป็นด้านบนศาลานี้

    ผมจึงจำเป็นต้องออกไปดู เพราะหลังคาศาลามันบัง

    และเวลาก็ผ่านมานานมากกว่าห้านาทีได้แล้ว

    มันคงจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วล่ะครับทีนี้

    “ฮื่อๆ...ครีมกูกลัว”ตอนนี้ไอ่ดรีมร้องไห้แล้วครับ

    “เออดรีมมึงนั่งตรงนี้แป๊ปนึงนะ

    เดี๋ยวกูจะเดินออกไปดูข้างบนว่ามีอะไร”ผมบอกเพื่อนคนข้างๆ

    “ฮื้อออออๆๆๆ ไม่เอาอ่ะ ฮื่อๆ กูกลัวกูไปด้วย ฮื่อๆ”

    ตอนนี้สภาพไอ่ดรีมคงไม่ไหวแล้วล่ะครับ

    ขนาดแค่ความมืดมันยังกลัวเลย

    นี่ต้องมาฟังเรื่องผี แล้วยังต้องมาเจอกับสถานการณ์จริงแบบนี้

    ผมไม่แปลกใจเลยที่สภาพมันจะเป็นงี้

    “อืมๆ งั้นก็ตามมาด้วยกันี่แหละ”ผมพยุงมันลุกขึ้นยืน

    แล้วพวกเราก็ออกมาจากศาลาเงยหน้าขึ้นไปมองบนชั้นสอง

    แล้วยังไม่ทันได้มองอะไรเลย...!!!!

    จู่ๆ ก็มีอะไรสักอย่างดำๆใหญ่ๆ

    ด้วยความมืดทำให้พวกเรามองไม่ค่อยเห็นสิ่งที่กองอยู่ตรงพื้นได้

    “ฮื้อออออออออออออออออออ!!!!T[]T

    อ่..อะไรน่ะครีม”ดรีมถามผม

    “ก่..กูก็ไม่รู้ว่ะ! เอามือมานี่ดิ๊”ว่าแล้วผมก็คว้าข้อมือของไอ่ดรีมมาเปิดนาฬิกา

    ที่ตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว แต่เปิดโหมดเรืองแสงได้

    และแล้วผมก็ส่องแสงไฟอ่อนๆอัน้อยนิดนี้ไปยังสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า!!!!!!

    “เหี้ย!! ผี!!!! ม่ายยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!

    ดรีมตะโกนขาดสติเตลิดวิ่งไปเรียบร้อยแล้วครับ

    ซึ่งตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย มัวยืนค้างตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าครับ

    ก็จะไม่ใช้ตะลึกได้ไง เพราะสิ่งที่คิดว่าดำๆมืดๆตรงหน้านั้น

    คือร่างของทิวที่พลัดตกลงมาจากชั้นสอง

    “ทิว...”คำพูดอันแผ่วเบาของผมที่เผลอพูดออกมา

    เพราะความเวทนาในร่างของสภาพศพ

    ที่อาบโชนไปด้วยเลือดที่กองกับพื้นส่งกลิ่นคาวมากมาย

    ไม่ไหวล๊ะ ขนาดทิวที่เป็นแค่คนที่พยายามจะห้ามพวกเรา

    กลับโดนขนาดนี้แล้วพวกไอ่เอิร์ธกับแม็คที่ไปกันสองคน

    แต่ดันหายเงียบไปเลยและดรีมที่วิ่งขาดสติหายเตลิดไปเมื่อกี้นี้ล่ะ

    โอ้ยยย ปวดหัว!

    นี่มันเวรกรรมอะไรเนี้ย !!

    ที่แห่งนี้มันอันตรายเกินไปกว่าที่จะมาสร้างเนโรงเรียนแล้วนะ

    ว่าแล้วผมเริ่มเตือนสติตนเอง ไม่ไหวล๊ะ!

    เมื่อกี้ไอ่ดรีมมันวิ่งออกไปคนเดียวซะด้วย !!

    จะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ

    ว่าแล้วผมก็เริ่มออกวิ่งตามหาดรีมและเพื่อนอีกสองคน

    “เฮ้ยดรีม!!...มึงอยู่ไหน?”

    ผมตะโกนเรียกหาเพื่อน

    “เอิร์ธ แม็ค!!!...มึงได้ยินกูมั๊ย?”

    ผมตะโกนหาเพื่อทั้งสาม

    “เฮ้....มีใครได้ยินผมมั๊ย!?”

    ผมตะโกนไปทุกทิศทุกทางเพื่อตามหาเพื่อน

    “ช่วยด้วย!! ...ใครก็ได้ช่วยที”ผมตะโกนหาคนมาช่วย

    แต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงใครตอบมาเลย

    นอกซะจากเสียงสะท้อนของตนเองเท่านั้น...

    บรรยกาศที่นี่ตอนนี้มันทั้งชื้นด้วยต้นไม้ในโรงเรียน

    และหมอกที่ลงต่ำทำให้อากาศเริ่มหนาวเย็นลง

    “ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยที...”เสียงใครร้องให้ช่วยอ่ะ

    ไม่ใช่เสียงสะท้อนผมแน่นอน!!!!!

    มันเป็นเสียงผู้หญิง!!

    ดังมาจากทางไหนกันนะ...!?

     แกร่ก.. แกร่ก... ต้นเสียงมาจากด้านหลังผมซึ่งเป็นทิศตะวันตก

    ผมเห็นเงาปริศนา และด้วยความที่ว่าผมเป็นคนสายตาสั้น

    ก็เหมือนจะมองไม่ค่อยเห็น เงาที่ห่างออกไปหลายเมตรได้

    “ค่..ใครน่ะ”ผมตะโกนถามออกไปขณะที่ค่อยๆเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

    เพื่อความมั่นใจว่านั่นคือคนจริงๆ!

     

     

     

    ในระยะทางเพียงไม่กี่เมตรนี้...

    ผมสามารถมองเห็นหญิงสาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้นมากกว่าเดิม

    โดยมีเธอนั่งยองๆหันข้างให้ผมอยู่

    หญิงสาวในชุดนักเรียนของที่นี่

    แต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบมิดชิดทุกตารางนิ้ว

    ปล่อยผมยาวลงมาถึงแผ่นหลัง ผมสีดำออกน้ำตาลนิดๆ

    แลดูสากๆเหมือนคนไม่ได้สระผมมานาน

    ผมดูๆแล้วอายุเธอคนนี้คร่าวๆแล้ว

    คงน่าจะประมาณมอหกได้

    ทุกอย่างของเธอแลดูปกติไปหมด

    ยกเว้นอยู่สองอย่างคือ...

    ชุดที่เธอใส่ เพราะมันไม่น่าจะผิดปกติไปหน่อยหรอ?

    มอหกจะมาทำอะไรที่นี่ ถ้ามาเป็นพี่เลี้ยงคุมน้องทำไมใส่ชุดนักเรียน?

    และท่าทางแปลกๆของเธอ ซึ่งทำให้ผมหวั่นใจอยู่ไม่น้อย

    “อ่าา.. ขอโทษนะครับ... พี่สาวเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?”

    ผมถามขึ้นมาทำลายความเงียบทั้งหมดลง

    ในชั่วพริบตา หญิงสาวลึกลับนั้นหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้น

    โดยไม่ขยับเขยื้อนอะไรเลยจนดูน่ากลัว...

    เช่นเดียวกับผมที่ยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น

    พริ้วววว... สายลมอ่อนๆพัดโชยเข้ามาทำลายความเงียบ

    ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคาวเลือดอบควนไปหมด!!

    ผมแอบคิดในใจ...กูพูดอะไรผิดวะ?

    หญิงสาวยังคงนั่งกอดเข่าตัวเองแน่นิ่งอยู่โดยไม่พูดอะไร

    “ถ้ายังไงก็...ช่วยหันมาคุยกันก่อนได้ไหมครับ”

    ผมถามเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่หน้าผมนี้ยังเป็นมิตรอยู่รึเปล่า

    และดูเหมือนหญิงสาวรุ่นพี่ตรงหน้าผมคนนี้จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาบ้าง

    ในคราวนี้หญิงสาวปริศนาคนนี้พูดพึมพำถ้อยคำบางออกมา

    อย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์เลย ด้วยเสียงที่เบามากและลมที่พัดโชยมาตลอดๆ

    ผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัยในอาการของฝ่ายตรงข้าม

    !!!!!!!!!!

    นัยน์ตาดำของผมต้องเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตื่นกระหนกสุดขีด!!

    ที่จู่ๆร่างกายของอีกฝ่ายก็กระตุกชักงอดิ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง

    เหมือนคนกำลังช็อกทั้งที่กำลังนั่งอยู่!

    ผมค่อยๆถอยห่างออกมาตามสัญชาติญาณ

    มือซ้ายรีบล้วงคอเสื้อหาสร้อยพระที่พี่ชายให้มากำไว้แน่นพร้อมๆกับอธิฐานในใจว่า.......

    ช่วยลูกช้างด้วย...

    ขอให้พระผู้เป็นเช้าช่วยคุ้มครองและปกปักรักษาลูกช้างเละเพื่อนด้วย

    ขออย่าให้มีอะไรหรือใครมาทำอันตรายใดๆกับทุกๆคนรอบข้างข้าพเจ้าเลย

    ……..

    ทันใดนั้น ร่างนั้นก็กระตุกยืนขึ้นอย่างเร็วยังกับซอมบี้

    หญิงสาวยืนขึ้นหลังงอคอเอียงผมสากๆที่ยาวบดบังใบหน้านั้น

    ค่อๆถูกเผยออกมาโดยลมอ่อนๆที่พัดโชยมาพร้อมกับส่งกลิ่นเหม็น

    มันเงิยหน้าหมุนคอไปมาได้มากกว่า 180 องศา!!

    แค่นี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้แล้วล่ะว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี้มันคืออะไร!

    ก้อนเมฆที่บดบังดวงจันทร์อยู่เมื่อสักครู จู่ๆก็คลายออกอย่างกระทันหัน!!

    แสงจันทร์ในคืนเดือนดับที่ยังคงพอเหลือให้เห็นอยู่เพียงเสี้ยวเล็กๆแสงสีแดงๆ

    สาดส่องมายังหน้าของตัวประหลาดตรงหน้าผมพอเหมาะพอเจาะพอดี!

    ใบหน้าของมันขาวซีดราวกับเผือก ตรงปากฉีกกกว้า

    เผยให้เห็นรอยฉีกขาดที่ยาวไปจนถึงกราม

    ผิวขาวซีดเผยให้เห็นเส้นเลือดฝอยอย่างเห็นชัดเจน

    พร้อมกับรอยแตกร้าวบนหน้าที่มีรอยขีดข่วนของอะไรสักอย่างที่ดูแล้วค่อนข้างสาหัส

    นัยน์ตาโปนโตผิดปกติ! ไม่มีแม้กระทั่งตาดำ !!

    ลูกกระตาข้างหนึ่งของมาหลุดออกมาจากเบ้าตา!

    มีเพียงสายอะไรสักอย่างและเยื่อบางๆที่พยุงไม่ให้ก้อนกลมๆนั้นหลุดออกไป

    สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี้ มันไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกต่อไปแล้ว !!!

    ผมมั่นใจแท้แน่ชัวร์แล้วล่ะว่า...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี้มันเป็นมิตร หรือ ศัตรู !!!!

         ม่..ไม่จริง

    ม่..ไม่ใช่

    ม่..ไม่

    ผมไม่เชื่อ

    นี่ต้องเป็นภาพในจินตนาการของผมที่หลอนไปเองแน่นอน!

    ผมใช้มือทั้งสองข้างกำพระแล้วหลับตาท่องในใจไปด้วยว่า...

    ไม่ใช่!

    ไม่จริง!

    นี่แค่ฝัน!

    นี่คือความฝัน!!

    มันไม่ใช่ความจริง!!!

    ผมค่อยๆลืมตาออกมาจนพบกับว่า...

    ผีที่อยู่ตรงหน้าเมื่อกี้ได้หายไปแล้ว!!!!

    และเพื่อความแน่ใจผมจึงหมุนตัวไปรอบๆ

    ด้วยว่าคงจะไม่มีอะไรโผล่มาทีหลังเหมือนในหนังอีก

    และสุดท้าย...ก็ไม่มีอะไร

    นั่นทำให้ผมโล่งใจเป็นอย่างมาก

    “เฮ้อ...อุปะทานเองสินะ”ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ

    และเดินต่อไปยังทางที่มีเต้นท์เพราะคิดว่าทุกคนคงถึงกันหมดแล้ว

    และทันทีที่ผมกำลังจะเดินจากตรงนี้ไป...

    ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองผมอยู่ข้างหลัง !!!

    ผมกลัวและหวาดระแวงเอามากๆ

    ผมส่ายหัวไปมาด้วยความกลัวสุดขีด!

    จนกระทั่งมีมือเย็นๆมาดึงที่ไหล่ผมไว้!!

    มือขวาผมเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ร้องโวยออกมา

    ส่วนอีกข้างยังคงกำสร้อยพระเอาไว้อยู่

    ผมหลับตาด้วยความที่ทั้งไม่อยากเห็น

    และความที่ปิดกั้นดวงตาไว้ไม่ให้น้ำใสๆมันไหลออกมา

    ซึ่งตอนนี้มันเริ่มเอ่อล้นคลอลูกตาผมจนแทบจะแตกออกมาอยู่แล้ว

    ผมรู้สึกหัวใจเต้นอย่างแรงจนแทบจะได้ยินมันระเบิดออกมาอยู่แล้ว

    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นเพราะตอนนี้เหมือจะเริ่มบังคับตัวเองไม่ได้แล้ว...

    !!!ตาผมเบิกโพร่กว้าง  เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนี้แทบจะชิดตัวติดกันอยู่แล้ว

    ไม่นะ ทำไมผมก้าวขาไม่ออกล่ะ!!

    ทำไมไม่หนีล่ะครีม!

    ขาผมสั่นเทาไปหมด!

    ด้วยทั้งความกลัว!

    ทั้งเกร็ง!

    ทั้งกดดัน!

    ความรู้สึกหลายๆอย่าถาถมเข้าในตอนนี้หมด!!!

    ผีสาวตรงหน้าผมแลบลิ้น

    อันยาวเหยียดสีม่วงออกเขียวหม่นๆเข้มๆมาเลียปากตัวเอง

    ดั่งกับว่ามันพึงพอใจกับเหยื่ออันโอชะตรงหน้ามัน ณ ตอนนี้ซะเหลือเกิน

    ไม่ทันไรผีสาวตนนั้นก็กระโจนขึ้นมาหาผมยังกับสัตว์ที่จะตะคุบเหยื่อของมัน

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!”ร้องลั่นโรงเรียนเพื่อปลุกคนมาช่วย

    ผมผลักมันออกไปจมลงกองอยู่กับพื้นและวิ่งหนีมันให้เร็วที่สุด

    แต่ก็โดนมือที่มีแขนอันยืดยาวของมันมาจับไว้ที่ข้อเท้าอยู่

    ซึ่งนั่นทำให้ผมล้มลงไปกองกับพื้นซีเมนต์ที่เป็นถนนสำหรับทางรถวิ่ง

    “ปล่อย! ปล่อยกูเซ้!! อีผีบ้า!!!”ผมพยายามแกะมือของมันออกแต่ก็ไม่สำเร็จ

    แรงมันมีเยอะมาก! ผมกลัว!

    ตอนนี้ผมต้องการมีชีวิตรอด!!

    ผมไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่!!!!

    ผีสาวเห็นดังนั้นจึงหัวเราะลั่นด้วยความบ้าคลั่ง

    “ฮ่าๆๆ พวกมึงอยากลองดีกันนักไม่ใช่หรอ

    นี่ไง กูอยู่ตรงนี้แล้วไง จะหนีกันทำไมล่ะทีนี้!!!”ผีสาวพูดจบก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

    และมันก็ค่อยๆใช้มือข้างที่เหลือคุลกคลานตามมาอย่างไว

    จนผมก็ต้องถอยหนีมันออกไปเรื่อยๆ... ถอยออกไปเรื่อยๆ..

    จนกระทั่งถึงทางตันติดกำแพง!!! บ้าเอ้ยจนมุมซะแล้วเรา!

    ผีตนนั้นยังคงคลานตามมารวดเร็ว

    เข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... เรื่อยๆ..

    “ย่..อย่าเข้ามาน๊ะ! อย่าเข้ามา!!”ผมเริ่มร้องไห้น้าตาซึมแล้วครับ

    คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน อยากไปหาป๊า ไปหาม๊า อยากเจอเจ๊ อยากเจอเฮีย

    และแล้วผีสาวก็กระโจนมาบีบคอผมด้วยมือข้างเดียว

    ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำที่เส้นผมด้านหน้าของผมส่ายไปมา

    ผมทั้งเหนื่อย..

    ทั้งหายใจไม่ค่อยออก…

    และทางเดียวที่จะรอดตอนนี้….

    ผมพยายามแกะมือมันออกแต่ก็ไม่เป็นผล แรงมันเยอะมากๆ

    ผมจึงลองบีบคอมันคืนแต่ก็เหมือนมันจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย

    ผมจึงคิดที่จะหนีสะถานเดียว

    โดยใช้เท้ายันตัวมันออกแล้วกะจะวิ่งหนี!!

    แต่มันดันจับข้อเท้าผมไว้อีกจนผมล้มลงหัวไปโขกที่เสาศาลาจนเลือดออก

    “ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!!”ผมร้องเรียกคนมาช่วยแต่ก็ไม่เป็นผล

    ผีสาวตนนั้นไม่รีรอเปล่า!! มันเริ่มลากผมไปตามถนนปูนซีเมนต์ที่ราดไว้!!!

    ก็ไม่ได้เนียนสวย ออกจะขรุขระซะด้วยซ้ำ!

    ไม่นาเชื่อเลยว่าร่างกายที่พิการแทบจะหลุดออกมานั้น

    จะสามารถลากร่างของมนุษย์ตัวหนักๆได้!!

    ร่างผมผมถูกลากถูไถ่ไปตามถนนซีเมนต์ที่มีหินขรุขระปนแฝงอยู่ในเนื้อปูน

    ขูดเนื้อตามเรื่อนร่างของผมให้เป็นแผลชะกันอีกด้วย

    ผมพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายโดยใช้เล็บที่ไว้ยาวพอประมาณเพื่อดีดกีต้าร์

    จิกเข้ากับรอบต่อของพื้นปูนที่แต่ร้าวเพื่อหยุดมัน

    แต่ก็ไม่เป็นผล แรงมันเยอะมากจนเล็บผมฉีกขาดเลือดไหลออก

    ผมหันหน้าไปมองยังจุดที่โดนลากมา มันค่อนข้างไกลนะ..

    แต่ที่จริงแล้วผมมองหาสิ่งศักสิทธิ์ หรืออะไรสักอย่าง

    เผื่อว่าจะมีใครหรืออะไรที่พอจะมาช่วยผมได้

    เพราะผมรู้สึกว่าเลือดลมในตัวของผม ณ ตอนนี้

    เริ่มจะไม่ปกติขึ้นมา และผมก็คงจะหมดสติไปในไม่ช้านี้

    ตอนนี้ผมทั้งเหนื่อย!

    ทั่งเพลีย ทั้งบาดเจ็บ...

    ผมอยากกลับไปบ้าน กลับไปหาเฮีย กับไปหาป๊าม๊าและเจ๊

    ผมไม่อยากตายที่นี่

    ผมไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่

    ได้โปรดช่วยลูกช้างด้วย

    สายตาที่พร่ามัวเห็นเพียงความหวังเล็กที่ห้อยอยู่ที่คอนี้เท่านั้น

    ผมกำสร้อยพระที่พี่ชายให้มา เผื่อเป็นความหวังสุดท้าย

    ก่อนที่สติสะตางผมจะเลือนหายไป...





    [ไรท์เตอร์พูดคุย] : เออหายไปนาน
    ตอนนี้เหมือนจะว่างและปัญหาน้อยลง
    ไรท์ขอโทษนะที่หายไปนาน
    ก็แหม๋...ปัญหาที่โรงเรียน ทั้งเพื่อนทั้งพี่
    ไหนจะงานที่ต้องรีบปั่นส่งอีก
    แล้วยังจะมาปัญหาใหญ่ที่บ้านอีก
    ไรท์เข้าขั้นอาการหนักมากอ่ะ
    แต่ก็ของคุณหรีดเดอร์ที่ยังติดตามอยู่นะครับ
    ถึงคนอ่านจะไม่ค่อยมีแต่ไรท์ก็ขอสัญญาว่า
    ถ้าไรท์ยังไม่ตายไรท์จะพยายามแต่งให้จบครับ
    ขอคุณครับ ตอนนี้ตัวหนังสือปรับแล้วนะ
    เล็กพอป๊าวอ่ะ? พอดีไหม? วรรคถูกป่ะ?
    ย่อหน้าถูกรึเปล่า? ไรท์ไม่ได้แต่งนานลืมล้ะ
    =.= 555 อ่านแล้วก็ช่วยกันติชมหน่อยเน้อ T^T
    ไรท์จะได้มีกำลังใจอัพต่อ ^[]^'

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×