ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ROTS] ????????

    ลำดับตอนที่ #3 : กลับมาจุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 67


    เสียงนกร้องยามเช้า สลับกับเสียงลมพัดหวีดหวิว ภูเขาที่สูงใหญ่ มีร่องรอยของมนุษย์อาศัยอยู่ สิ่งปลูกสร้างใหญ่เล็กกระจัดกระจายไปรอบภูเขา

     

    มีผู้คนมากมายออกจากที่พักเพื่อมารวมตัวกันที่ลานแห่งหนึ่ง พวกเขาเหล่านั้นมีชุดอาภรณ์เหมือนๆกัน จึงรู้ได้ว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน

     

    เวลานี้ที่กลางลานได้มีการต่อสู้กันของสองคนเกิดขึ้น

     

    .

     

    .

     

    .

     

    ด้านในกลางลานมีชายหนุ่มรูปงามกำลังกวัดแกว่งผนึกมือร่ายเวท คิ้วคมเข้มราวกับคมกระบี่ จมูกเป็นสันได้รูป ร่างกายมีกล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยพลัง

     

    ราวกับว่ามันเป็นผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ แน่นอนว่าเขาเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ 

     

    มันได้อยู่ขั้น สูง ของรากฐานวิญญาณแล้ว

     

    อีกเพียงขั้นเดียวก็สามารถเหาะไปบนอากาศได้ แต่ก็เพียงแค่เหาะเท่านั้น ถ้าอยากบินได้คนผู้นั้นต้องอยู่ขั้น ตำหนักวิญญานเสียก่อน

     

    บางคนชั่วชีวิตอาจจะไม่สามารถไปถึงขั้นตำหนักวิญญานเสียด้วยซ้ำ เพราะที่แห่งนี้คือแคว้นจิ๋ว มีผู้ฝึกตนน้อยนิด อยู่ชายขอบของดินแดนตะวันตก

     

    พลังลมปราณและน้ำผุลมปราณแม้แต่หินลมปราณก็ยังขาดแคลน เป็นที่บ้านนอกอย่างแท้จริงจากสถาณที่ที่มันนั้นได้จากมา

     

    ที่นี่คือสำนักไร้นาม เป็นสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นจิ๋วแห่งนี้ มีเจ้าสำนักผู้ก่อตั้ง เป็นผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งในขั้นสุดท้ายของ ก่อตั้งวิญญาน

     

    มันได้สยบท้องฟ้าทั้งแคว้นจิ๋วไว้ด้วยมือข้างเดียว ไม่ว่าจะตระกูลหรือสำนักใดก็ด้อยกว่า ไม่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ทำได้เพียงก้มหัวยอมจำนนต่ออำนาจ

     

    ยังไม่นับรวมผู้อาวุโสและศิษอีกนับหมื่นนับแสน ผู้แข็งแกร่งมากมายปรากฏขึ้นนะที่แห่งนี้

     

    แต่แล้วโชคชะตาไม่ปราณีใครท่านปรมาจารย์ไร้นามก็เช่นกัน ตัวของมันได้ไกล้สิ้นอายุไขลง มันจึงได้ปิดด่านเข้าฌานเพื่อจะผ่านคอขวดไปขั้นถัดไป 

     

    แต่ไม่มีใครรู้เห็นข่าวเกี่ยวกับปรมาจารย์ไร้นามอีกเลย ไม่มีคนรู้ว่าเขาสำเร็จหรือไม่ ข่าวลือได้ถูกแพร่กระจายกันไปทั่วแคว้นว่าปรมาจารย์ไร้นามได้ตกตายลงไปแล้ว

     

    ผ่านมากว่า4ร้อยปี บัดนี้สำนักได้ตกต่ำลงอย่างมาก มีศิษเพียงไม่กี่ร้อยคน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือเจ้าสำนัก อยู่ในขั้นผลึกวิญญานเพียงเท่านั้น

    .

    .

    .

    วันนี้เป็นวันสอบคัดเลือกศิษสายในของสำนัก ทุกคนในสำนักต่างก็มาชมการคัดเลือกนี้อย่างใจจดใจจ่อ ศัตรูของชายรูปงามเป็นบรุษหนุ่มผิวเข้ม ลักษณะเหมือนนักศึกษา

     

    กลิ่นอายโดยรอบเต็มไปด้วยความรู้ เสมือนจอหงวนที่รับราชกาลในราชสำนัก เขาดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เจตนาสังหารที่แผ่ออกมาเป็นของจริง

     

    กระบี่นับร้อยลอยตัวอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่ม พุ่งโจมตีออกไปเต็มกำลัง แต่บรุษรูปงามกลับปัดป้องไปได้สำเร็จ ทว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของชายหนุ่ม มันได้ฉวยโอกาสชักกระบี่ไม้ออกมาฟาดฟันเข้าที่มือของ คู่ต่อสู้ในทันทีโดยไม่ทันระวัง

     

    บรุษรูปงามหน้าเปลี่ยนสีร่ายวิชาเวทอันแข็งแกร่งที่มันมี ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ทันการณ์มือของมันโดนกระบี่ไม้ตัดเฉือน มือที่ใช้ร่ายเวทข้างนั้นทันที

     

    ทุกสิ่งโดยรอบเงียบงัน ศิษที่ตระโกนเชียร์เสียงดังตกตะลึงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสต่างก็เบิกตากว้าง เพราะคนที่โดนตัดมือไปคือ หวังเล่อ ผู้ถูกเลือกแห่งตระกูลหวัง ทายาทของตระกูลอันยิ่งใหญ่ในดินแดนตะวันตก

     

    ถูกตัดมือโดยคู่ต่อสู้ที่ไม่อยู่ในสายตามาก่อน ฮ่าวไป๋ เขาเป็นเพียงคนที่ถูกบดขยี้โดย หวังเล่อ ตอนที่มันเข้าสำนักมาใหม่ๆมันโดนเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นคน ทั้งสองเคยสู้กันครั้งนั้น

     

    แต่เป็นมันที่พ่ายแพ้ราบคาบ ทั้งพลังฝึกตน วิชาเวท อาวุธเวท ต่างก็เทียบกับอีกฝ่ายไม่ติด เขาเกือบจะถูกทำลายพลังฝึกตนไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะหวังเล่อ ต้องการรักษาภาพลักษณ์นายน้อยผู้เมตตา

     

    มันคงไม่ได้มีโอกาสแก้แค้นเช่นในตอนนี้ ในมือของมันคือกระบี่ไม้ที่ได้มาจากโบราณสถาณที่ได้เห็นหวังเล่อไป เขาจึงลอบติดตามมันไปหวังฉวยโอกาสตอนมันต้องจัดการสัตว์อสูรที่หน้าทางเข้า 

     

    เมื่อมันเข้ามาด้านในก็พบศพของสัตว์บางสิ่งที่มีกลิ่นอายของกาลเวลายาวนาน กระบี่ปักเอาไว้เหนือร่างของมัน เขาจึงได้นำกระบี่และผลึกอสูรของสัตว์ตัวนั้นมาและจากไป ภายหลังเขาได้รู้ว่ามันเป็นผลึกของมังกรปีกวารีในสมัยโบราณ

     

    มันได้กลายเป็นผู้สืบทอดและได้รับถ่ายทอดเคล็ดวิชาควบคุมกระบี่นับร้อยได้ เรียกได้ว่าเป็นการปล้นโชคชะตาของหวังเล่อซึ่งหน้าเลยก็ว่าได้

     

    แต่จริงๆแล้วชะตาอาจจะถูกลิขิตมาให้เป็นของมันแต่แรก เพียงแค่ดูเหมือนเป็นมันที่ไปแย่งชิงของมาจาก หวังเล่อ เพียงแค่นั้นเอง

    .

    .

    .

    “นี่สำหรับที่เจ้าทำกับตัวข้า มือข้างนั้นถือเป็นค่าตอบแทนที่ข้าจ่ายคืน ต่อจากนี้เราไม่มีอันใดติดข้างกันอีก”

     

    ฮ่าวไป๋ยืนตรงเก็บกระบี่ กลิ่นอายที่กระจายออกมาเสมือนคนที่ได้เติบโตขึ้น ไม่ใช่ชายหนุ่มแต่เป็นบรุษ ทุกคนที่มองจากรอบนอกได้แต่สูดหายใจด้วยความตกตะลึง

     

    “นี่--”

    “ศิษพี่หวังเล่อแพ้ ?”

    “บ้าน่า มันไม่ใช่เรื่องจริง”

    “ฮ่าวไป๋แข็งแกร่งขนาดนั้นได้เช่นไร”

     

    เสียงตระโกนเซ็งแซ่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนรู้สึกว่าฉากตรงหน้าไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีใครเชื่อแม้แต่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสต่างก็ไม่เชื่อ

    .

    .

    .

    ภายในหวังเล่อกำลังมึนงงอยู่มันมองไปที่มือมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง เบื้องหน้าก็พบเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา เหตุการณ์ที่เหมือนเคยเกิดขึ้นนี้ช่างดูคุ้นเคย

     

    ข้าตกตายจากเงื้อมมือของท่านปรมาจารย์หวัง แล้วเหตุใดจึงมาอยู่ที่แห่งนี้ ที่นี่คือ….

     

    หวังเล่อสับสนไปหมดเขาควรจะตกตายไปแล้วไม่ใช่หรอ แล้วเหตุใดตัวเขาถึงมาอยู่ที่แห่งนี้กัน

     

    แต่แล้วหวังเล่อก็ได้ยินเสียงดังจากผู้ชมรอบข้างเขาจึงได้สติขึ้นมา

     

    เมื่อเขาหันมองไปโดยรอบก็เห็นสิ่งปลูกสร้างผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา โดยเฉพาะคนตรงหน้ามันคือฮ่าวไป๋ที่กำลังยืนตรงจ้องมาที่เขาด้วยสายตาแข็งกระด้างแต่กลับนิ่งสงบ

     

    สถาณะการณ์ตรงหน้าเหมือนกับครานั้นไม่มีผิด บรรยากาศ การแสดงออกของผู้คน เสียงกระหึ่มเซ็งแซ่ และมือที่ถูกตัดขาดของมัน

     

    สติเขาตื่นขึ้นในทันทีตอนนี้รู้แล้วว่า มันไม่ได้ฝันหรือภาพหลอนอันใด แต่มันได้กลับไปในจุดเริ่มต้น เมื่อ3ร้อยปีอันน่าอดสู

     

    “บังอาจจจจจ!!”

     

    ในทันใดนั้นเองขณะที่ทุกสิ่งอย่างกำลังวุ่นวาย ได้มีเสียงตวาดดังกระหึ่มไปทั่วทั้งลาน พื้นฐานฝึกตนอันแข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมา แรงกดดันที่ถูกปล่อยได้มุ่งตรงไปยังกลางลาน 

     

    ฮ่าวไป๋ ที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกหนักไม่สามารถแม้แต่จะขยับได้ สีหน้ามันเริ่มซีดเซียว จ้องมองไปยังที่มาของเสียงนี้ 

     

    คนที่ตวาดออกมามีสีหน้าไม่สู้ดีมันเจือไปด้วย ความเป็นห่วง ความหวาดกลัว ความโกรธ และความต้องการสังหาร ฮ่าวไป๋อย่างโจ่งแจ้งโดยไม่ปิดบัง

     

    มันรีบรุดตัวมุ่งหน้าขึ้นไปบนเวทีหมายที่จะฉีกร่างของ ฮ่าวไป๋ ออกเป็นหมื่นชิ้นเสียเดี๋ยวนี้

     

    “สหายโปรดสงบด้วย อย่าได้ยุ่งเรื่องราวของผู้เยาว์เลย”

     

    เสียงที่ดังออกมาเป็นเสียงของเจ้าสำนัก สีหน้าของมันแม้จะยิ้มอยู่ แต่ภายในใจมันลอบเหงื่อตก เพราะอดกังวลใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้

     

    “เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้ามาสอด นี่คือเรื่องของตระกูลหวังกับเจ้าเด็กนั่น มันบังอาจมาตัดมือของทายาทตระกูลหวัง ถ้าเรื่องนี้ข้าไม่สังหารมันแล้วตระกูลหวังจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

     

    ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของผู้พิทักษ์ตระกูลหวังย่นมากกว่าเดิม ถ้านายน้อยเป็นอะไรขึ้นมามันคงต้องถูกสังหารเป็นแน่ แม้แต่คนในตระกูลของมันก็คงจะถูกสังหารชั่วโคตร ดวงวิญญาณคงถูกทำลายจนไม่อาจกลับมาในวงจรการเกิดใหม่ นั่นเป็นสิ่งที่มันหวาดกลัวและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

     

    แม้เจ้าสำนักจะออกตัวเข้ามาช่วยเหลือแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะผู้พิทักษ์ได้ลอบปล่อยการโจมตีมุ่งไปยังฮ่าวไป๋แล้ว แต่พลังมิได้แข็งแกร่งเท่ากับการโจมตีปกติ ทว่าเพียงเท่านี้ก็พอที่จะสังหารขั้นตำหนักวิญญานจนตกตายไปโดยไม่ทันตอบโต้ได้แล้ว

     

    กระดูกสีขาวหม่นกลายเป็นลำแสงโพยพุ่งไปทางของฮ่าวไป๋ภายในกลางลาน เจ้าสำนักที่พึ่งรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ภายในใจมันเต็มไปด้วยความโศรกเศร้าที่แม้แต่ศิษตรงหน้ามันยังมิอาจปกป้องได้ 

     

    ลำแสงแห่งความตายพุ่งตรงหมายจะปลิดชีวิตของฮ่าวไป๋ให้ตกตายไปโดยไร้หลุม ฮ่าวไป๋ที่เห็นเหตุกาณ์ก็ได้แต่ขบฟันแน่น เวลานี้ร่างกายไม่อาจควบคุมได้ไม่ต้องพูดถึงการโต้กลับเลย เพียงแค่จะใช้ท่าร่างหนีก็ยังทำไม่ได้

     

    ฟุบ 

     

    เสียงหวีดหวิวแหวกฝ่าอากาศทะยานสู่ตัวของฮ่าวไป๋ กลิ่นอายการเน่าเปื่อยผุพังของชีวิตทั้งปวงกระจายออกมา

     

    ขณะที่ทุกอย่างโกลาหลนั้นเองกลับมีการเคลื่อนไหวที่ทุกคนไม่คาดคิด หวังเล่อ ได้ขว้างอาวุธเวทไปบดบังการโจมตีนั้น กระดูกสีขาวแตกกระจายเป็นเถ้าธุลี กลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวจางหายไป

     

    ฮ่าวไป่ที่กำลังเตรียมใจถูกสังหารดวงตาเบิกกว้าง ทุกสิ่งเงียบสงบอีกครั้ง เพราะเรื่องราวมันรวดเร็วเกินไป ไม่ว่าจะศิษโดยรอบหรือผู้พิทักษ์และเจ้าสำนักเองต่างก็ตื่นตะลึงงงงวยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

     

    หวังเล่อมีท่าทีสงบต่างจากตอนแรกที่แสดงน่าตาตื่นตระหนกจนดูน่าสมเพช คราวนี้กลับมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน

     

    ขณะที่ทุกอย่างเงียบสงัดเป็นหวังเล่อเองที่ทำลายความเงียบนั้น

     

    “เจ้าชนะแล้ว”

     

    “พาข้ากลับไปที่จวน”

     

    เมื่อสิ้นเสียงผู้พิทักษ์ที่อยู่นอกลานได้รีบมาตามคำเรียกของหวังเล่อทันที คราวนี้เจ้าสำนักไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด เพียงแค่มองไปที่หวังเล่อด้วยความสงสัย ไม่ใช่แค่เจ้าสำนักทุกคนเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน

     

    ฮ่าวไป๋ก็สงสัยขณะที่มองไปยังหวังเล่อและผู้พิทักษ์ที่ออกจากลานไปด้วยยานบินที่ดูเหมือนลูกบาศน์ ทุกหน้าของลูกบาศน์มีสีของตัวมันเองขณะที่มันลอยจากไปมันก็บิดหมุนไปมา สร้างความปวดหัวแก่ผู้ที่พยายามทำความเข้าใจมั

     

    หวังเล่อไม่รู้สิ่งที่คนอื่นคิดตอนนี้มันแค่ต้องการสถาณที่สงบเงียบ เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×