ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกษาต่อต่างประเทศ

    ลำดับตอนที่ #1 : ก่อนจะตัดสินใจเรียนต่อต่างประเทศ

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 55


     มีผู้คนไม่น้อยที่อยากจะมาศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอย่างระแวกบ้านเรา เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือไม่ว่าจะเป็นประเทศไกลๆ อย่างอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือ อังกฤษ. แต่ก็มีส่วนไม่น้อยที่อยู่ต่างประเทศอยู่แล้วแต่อยากกลับไทย ด้วยสาเหตุมาจากความแตกต่างของสภาพแวดล้อมต่างๆในแต่ละประเทศนั้นๆ และก็แน่นอนว่ามีอีกไม่น้อยเช่นกันที่พยายามจะอยู่ต่อในต่างประเทศ ด้วยสาเหตุอันมาจากความต้องการที่จะทำฝันนั้นให้เป็นจริง. ผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ที่มาด้วยเหตุผลทีต่างกันออกไป เด็กๆอย่างวัยพวกผมก็มาเรียน แต่ถ้ามีอายุหน่อยก็มาทำงาน แต่ก็ไม่น้อยที่พวกผมต้องช่วยทางบ้านโดยการทำงานร้านอาหารเช่นกัน

    ผมคิดทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเวลาถึงเรื่องความผิดพลาดของผมที่ด่วนตัดสินใจมาต่างประเทศ โดยอันมาจากความคิดที่ปราศจากความรอบคอบ และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ์ณนั้นเอง คิดว่าแนวทางของตนที่ตนถืออยู่นั้นดีที่สุด หรือแนวคิดที่ว่าค่อยมาลุยในต่างประเทศด้วยสองมือของตัวเอง แต่ทว่าความคิดเหล่านั้นเกิดความผิดพลาดตรงที่ว่าความรอบคอบนั้นเอง และด้วยความผิดพลาดตรงนี้ผมจะขอลงมาทั้งหมดนี้ รวมถึงผลลัพธ์ที่วัยอย่างพวกผมลืมคำนึงถึงไป นั้นคือ ค่าใช้จ่าย 

    ในทุกๆวันนี้ผมจำเป็นต้องเรียนรู้ชีวิตของผมที่อยู่ตัวคนเดียวในต่างประเทศนี้ไปทำหน้าที่ไปด้วย สิ่งหน่ึงที่ผมไม่ได้คำณวนถึงนั้นคือค่าใช้จ่ายอย่างที่คิดไม่ถึง แต่มันไม่สำคัญที่ราคาแต่มันสำคัญตรงคุณค่าของเงินที่ผมลงทุนไป ถึงแม้ที่บ้านผมจะมอบทุนให้อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากผมไม่คิดคำณวนถึงเรื่องนี้บ้างเลย ก็ไม่มีทางจะเกิดคำว่าคุ้มค่าได้เลยในการลงทุน และนั้นเองทำให้ผมคิดได้ว่า ผมน่าจะไปถามพี่ๆหรือไม่ก็อ่านเรื่องราวของคนที่อยู่ต่างประเทศมาก่อน แต่ทว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่เหมือนผม ตรงที่ว่าเขามาด้วยความพร้อมและมีญาติมีพี่น้องอยู่ที่ๆเขาจะไป หรือไปกับโครงการใดโครงการหนึ่ง และทีสำคัญคือพวกเขามีทุนที่คุ้มค่ากับการลุงทนนั้นคือผลการเรียนที่ดี ไม่เหมือลกับผลการเรียนที่ไม่น่าชมของผม ดังนั้นผมจึงจำเป็นที่ต้องประคองตัวเองให้อยู่ในล่องในลอย ไม่ให้ทางบ้านเสียทุนไปมากกว่านี้ และด้วยเหตุนั้นเองทำให้ชีวิตของผมได้สัมผัสกับชีวิตที่ต่างออกไป...

    ทุกๆวันนี้สองกระเป๋ากางเกงผมมีแค่กระเป๋าตังค์ที่พี่สาวซื้อให้ไว้กับไอพอตที่เก็บจากค่าขนมซื้อเอาและโทรศัพท์รุ่นพ่อขุนรามตีกรุง ที่ใช้มาสองถึงสามปี วันหนึ่งมีเพื่อนผมเดินเข้ามาถามว่า "นี้ทำไมไม่เปลี่ยนโทรศัพท์มาใช้ IPhone4GS ไม่ก็ BB ละ" มีเหตุผลเดียวที่ผมไม่ใช้เงินไปกับของพวกนี้นั้นคือ การลงทุนของทางบ้านผม เพราะที่ผ่านมานั้นเป็นจำนวนเงินไม่น้อย และยังไม่ได้รวมถึงปัจจุบันที่ผมอยู่ต่างประเทศ และในแต่ละวันที่ผมหัวเราะ ผมเดินเตร่ในต่างแดน คุยเล่นกับเพื่อนๆ มองคนนู่นคนนี้ แต่อันที่จริงการที่ผมมานั้นผมถือเสียว่าผมได้แบกถุงเงินขึ้นเขา และผมก็ได้ทำถุงขาดไป นั้นก็แสดงถึงการขาดทุน ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องค้นหาตัวของตัวเอง และทำในสิ่งที่ตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนที่จะก้าวออกไป มิฉะนั้นถุงมันจะขาดได้อีก 

    วันหนึ่งผมนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเพราะเหมือนว่าโลกนี้หมดทางแล้วสำหรับคนอย่างผม เพราะความไม่รอบคอบนั้นเอง แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์และเสียงนั้นเป็นเสียที่ผมคุ้นเคยดี นั้นคือคุณแม่ของผมผู้เป็นพระประจำใจของผม และทุกครั้งทีผมมองในมือสองข้างของผม ผมก็ได้สัมผัสถึงความรักของคุณพ่อและคุณแม่ที่ให้กำเนิดผมมา และยิ่งไปกว่านั้นท่านได้มอบสองมือ สองขา สองตา สองหู หน่ึงปาก หน่ึงจมูก ในการต่อสู้กับความลำบากหรือความแตกต่างภายใต้สังคม เพราะอย่างไรเสียสักวันลูกก็จำเป็นที่ต้องออกจากอ้อมอกจากผู้เป็นพ่อแม่.. ผมจึงลุกขึ้นยืนอีกและผลิกตัวเองอีกรอบในส่ิงๆที่ผู้คนรอบข้างคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคุณพ่อและแม่ นั้นรู้ดีว่าลูกชายของท่านไม่เคยเลยที่จะทำอะไรแบบนี้ อย่างมากก็แค่นั่งร้องไห้ขอความเห็นใจ เมตตาจากท่าน ก็เช่นเดียวกับตอนที่ผมเป็นเด็ก นั่งงอแงร้องไห้กลางสถานที่การค้าเพื่อจะเอาหุ่นยนต์ราคาปาหัวหมาแตก หรือในบางครั้งก็ไม่จำเป็นอย่างนั้นผมก็ได้มันมา และเหตุผลนั้นคือ ท่านทั้งสองไม่อยากให้ลูกท่านเป็นเหมือนท่าน..

    ในทุกวันนี้ผมยังต้องตื่นเช้าไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ..ทุกเช้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมง่วงนอนจากการตื่นนอนที่เช้าตรู่นั้นผมสามารถนอนบนรถได้ หรือแม้ผมจะหิวข้าวก็ยังมีโอกาสได้ทานข้าวก่อนเข้าเรียน และจะมีคนช่วยเสมอไม่ให้ผมถูกทำโทษ แต่แล้วในวันนี้ผมโหยหาคิดถึงเวลาเหล่าน้ัน และแน่นอนผมไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ผมจึงสำนึกและประโยคที่หลุดจากปากผมบ่อยมากที่สุดนั้นคือ "ตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย" หรือ "ถ้าตอนนั้นเราทำแบบนี้ก็ดีนะสิ" และทุกวันๆมีเพลงประจำใจของผมเลยก็ว่าได้นั้นคือ Dear Mama ของ 2Pac เนื้อหาในเพลงแน่นอนว่าเกี่ยวกับผู้เป็นแม่ ถึงแม้ผมจะไม่เป็นเหมือนในเนื้อเพลงไปสะหมด แต่ประโยคที่เขาร้องนั้นแสดงถึงความรู้สึกในใจของคนร้องนั้นเอง 

    ทุกครั้งที่ผมได้ฟังเพลงนั้นผมอยากจะร้องไห้ออกมาสะให้ได้ แต่ก็ด้วยความเป็นลูกผู้ชายก็ต้องกล้ันมันเอาไว้ มีท่อนหน่ึงที่เขาร้องไว้ นั้นคือ "..When I was sick as a little kid, To keep me happy there's no limit to the things you did, Are full of all the sweet things you did for me. And even though I act crazy..." และก็คงไม่ใช่ผู้เป็นแม่ในเพลงเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ เพราะคนเป็นแม่ไม่น้อยที่จะทำอย่างนี้กับลูก หรือมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ก็เช่นเดียวกับเราตอนเด็กๆที่เอาแต่ร้องไห้เพราะความเจ็บปวด งอแงใส่อารมณ์โดยไม่คิดถึงว่าใครจะเป็นอย่างไร หรืออาจเผลอเลอใส่อารมณ์จนพูดจารุนแรงใส่ ทั้งๆที่คนๆนั้นหวังดีเพียงแค่ขอดูตาของเราที่โดนเศษดินกระเด็นใส่... 

    ผู้คนไม่น้อยที่จะมาต่างประเทศ อย่ากลัวที่จะมา และอย่าคิดว่าทำไม่ได้ เพียงแต่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบถึงความสามารถของตัวเอง ถอยสักก้าวเพื่อก้าวที่ดีกว่า อย่าเอาเวลานั้นไปกลับแก้ไขของก้าวที่ผ่านมา.. เราควรที่จะเดินอย่างมั่นคง อย่าไปเสี่ยงถ้าหากไม่ใช่แค่ตัวเราเองที่โดนผลกระทบนั้น.. 
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×