คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทเรียนแรก
บทเรียนแรก
“อัลฟัลก้า” เรย์ท่องเวทย์อย่างเบื่อๆ ได้ประมาณชั่วโมงเศษๆ แล้วที่เขาได้นั่งท่องเวทบทง่ายๆ ที่ตาบอกเพียงว่าเป็นเวทย์ง่ายๆ แต่ตาไม่ได้บอกว่าใช้ยังไง
“อัลฟัลก้า....”
“อัลฟัลก้า....”
“อัลฟัลก้า....”
“อัล......ฟัล....ก้า.....โว้ย” เรย์ตะโกนเวทย์จุดไฟออกมา
“เบื่อจัง เมื่อไรมันจะจุดได้สักที ไม่เห็นมีไรเกิดเลยงะ” เรย์ประท้วงออกมา
“เจ้าก็ใจเย็นๆ หน่อยนิ” เดียร์พูด
“ครั้งแรกมันก็ยังงี้แหละนิ” เดียร์สั่งสอนเจ้าตัวป่วน
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้คิดภาพคาถาที่เราจะใช้แล้วตั้งสมาธิให้ดีๆ และท่องคาถาออกมา ถ้าเจ้าทำได้....”
“เจ้าก็จะสามารถใช้เวทย์มนต์อื่นๆ ได้ง่ายๆ” เรย์ขัดเดียร์
“นายพูดมาแบบนี้ตั้ง 1 2 3 4...โอ๊ะ ตั้ง 9,999 รอบแล้วมั้ง” เรย์บ่นให้กับเดียร์ที่เขามีแต่บ่น บ่น และก็บ่นมาเป็นชั่วโมงแล้ว
“แค่จุดเทียนทำไมมันยากงี้ว่ ะ นี่เดียร์ใช้ไฟแช็คจุดไม่ได้หรอ เหนื่อยนะเนี่ย อีกอย่างตอนนี้นะหิวแล้วด้วย” เสียงที่ประท้วงที่ออกมาจากท้องของเรย์ดังจ๊อกๆ ไม่หยุด
“เออ...จริงด้วยสินิ คือแบบว่าข้าไม่ได้กินข้าวตั้ง 120 ปี ลืมปะนิ” เดียร์ยิ้มอย่างฝืดๆ ให้กับเรย์
“แต่ว่าขอรอบสุดท้ายก่อนไปกินข้าวได้ป่าว เอาจริงๆ นิๆ นะเรย์” เดียร์ขอเรย์ที่กำลังจะก้าวออกไปจากห้อง
“อืม..ก็ได้รอบสุดท้าย เฮ้อ ไฟจงติด อัลฟัลก้า.....”
“...............”
“...............”
“ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้นเลย อัลฟัลก้า ..” เสียงที่เรย์ร่ายมนต์นั้นเปลี่ยนจากเดิมเป็นเสียงที่ทุ่มต่ำๆ ออกมาจากปากของเรย์ แล้วเรย์ก็ก้าวออกไปจากห้องอย่างอารมณ์เสียสุดๆ
“สงสัยจะไม่ได้จริงๆ นิเรย์เนี่ย” เดียร์บ่นให้กับตัวเอง
“พรึบ” เสียงนั้นทำให้เดียร์ต้องหันไปมองอย่างช้าๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“นั่น.....นั่น..มัน” เดียรรองออกมาอย่างเบาๆ ออกไปเมื่อเรย์ปิดประตูแล้ว
“เราต้องบอกอีวาส” เดียรึคิด
แต่ยังไม่ทันไรความคิดที่จะบอกอีวาสก็ต้องหยุดก่อนที่จะทันบอกเพราะสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของเดียร์นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น
“ไม่จริงนิ อีวาส” คุณตาอีวาสก็ปรากฏกายขึ้นมาทันทีที่เดียร์เรียกเขาทางกระแสจิต
“เจ้าจะแหกปากทำไมเจ้าหนังสือนอกคอก ข้ากำลังจะนอนกลางวันอยู่พอดีมาปลุกซะได้ไม่มีมารยาทเลย ถ้ามีเหตุผลไม่พอที่เรียกมานะ เจ้าโดนดีแน่” คุณตาอีวาสบ่นและขู่เดียร์ไปพร้อมกัน
“มีแน่เหตุผลน่ะ เจ้าดูนั่นซะจะได้เข้าใจ” เมื่อเดียรพูดเสร็จ ตาอีวาสก็หันไปมองตามที่เดียร์บอก ซึ่งสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของตาก็คือเทียนเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะที่กำลังมีไฟลุกโชนอยู่บนนั้น โดยตอนนี้กำลังเปลี่ยนสีจากสีแดงส้มไปเป็นสีเขียวสด ซึ่งอีกสักพักก็กลายเป็นสีครามสดที่ดูแล้วสบายตา แล้วก็กลายไปเป็นสีม่วง ซึ่งมีลูกไฟออกมาจากเปลวไฟอีก 4 ลูกซึ่งเป็นสีที่เคยปรากฏออกมาแล้ว และตอนนี้เปลวไฟก็กลายเป็นเปลวไฟสีทองไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้สีหน้าของเดียร์กำลังบอกว่าดีใจสุดๆ แต่คนที่เหงื่อกำลังตกก็คือตาอีวาสที่มีเหงื่อไหลอกมามากผิดปกติ
“เป็นอะไรไปนิอีวาส” เดียร์ถามอย่างเป็นห่วง
“เจ้าต้องดับมันเดียวนี้เลยก่อนที่เรย์จะมาเห็น...เร็วสิ” ตาตะคอกใส่เดียร์
“เจ้าก็ดับเองนิ พอดีข้านิเป็นหนังสือที่ไม่ค่อยถูกกับไฟ นิ” แล้วเดียร์ก็ลอยหายเข้าไปในเขาวงกตหนังสือ
“ก็ได้ไอ้หนังสือนอกคอก” คุณตาอีวาสก็เดินไปที่เทียนเล่มนั้นอย่างยากลำบากมาก ซึ่งเทียนเล่มนั้นกำลังลุกโชนด้วยไฟสีทอง เป็นเวลานานพอสมควรแล้วแต่คุณตาอีวาสก็ยังไม่สามารถดับเทียนได้ ก่อนที่คุณตาอีวาสจะหมดแรงทันใดนั้นเอง
“ตาครับผมตามหาตาซะทั่วเลย ตาไปไหนมาฮะ” เรย์ถามพร้อมกับเปิดประตูเข้ามาคุณตาที่กำลังเหงื่อตกอย่างรุนแรง และเมื่อได้ยินเสียงนั้นตาก็รีบดับไฟต่อทันทีแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะดับได้ซึ่งท่องคาถาดับไฟไปหลายลอบด้วยความตั้งใจอย่างสุด ๆ จนถอดใจ
“เรย์...มานี้สิ” ตาเรียกเรย์อย่างฉุนๆ
“อะไรครับตา” เรย์ถามตาพร้อมกับเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีไฟสีทอง
“ลองดับมันดูสิ” ตาสั่งเรย์ ซึ่งคำสั่งนี้ก็ทำให้เรย์ต้องถึงกับอึ้งอย่างมากเพราะว่าเรย์ยังไม่สามารถจุดไฟได้เลยแล้วจะดับไฟได้อย่างไร
“แต่ตาครับ ขนาดแค่คาถาจุดไฟง่ายๆ ผมยังทำไม่ได้เลย” เรย์เถียง แต่ก็ไม่สามารถเถียงได้เพราะว่าตาทำสายตาอาฆาตมาที่เรย์อย่างรุนแรง
“ก็ได้ครับตา แต่ไม่รับรองว่าผมจะสามารถดับมันได้” เรย์ตอบ ก่อนที่จะเดินไปที่เทียนแล้วโบกมือเข้าหาตัวหนึ่งครั้ง ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดไว้ว่าไม่สามารถดับได้ แต่ก็เกิดสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรย์ คุณตาอีวาส มีนา เดียร์ และเพอร์ซิมัสถึงกับอึ้งอย่างมาก นั้นก็คือ วงกลมสี่สีที่ลอยอยู่รอบๆ เปลวไฟสีทองลอยออกจากกันและลอยไปยังเทียนเล่มอื่นที่เรย์ตั้งไว้เผื่อว่าเขาสามารถจะใช้คาถาจุดไฟได้ และเทียนที่วงกลมทั้งสี่สีนั้นลงไปก็ลุกเป็นเปลวไฟสีต่างๆ ทันที และเทียนทั้งห้าเล่มก็ลอยออกมาจากโต๊ะที่มันเคยตั้งอยู่ มาหมุนอยู่รอบๆ ตัวของเรย์ จากช้าๆ ก็เริ่มเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น จนในที่สุดเรย์ก็เห็นแสงสีต่างๆ ที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวของเขาเอง ในที่สุดแสงพวกนั่นก็เริ่มจางหาย กลายเป็นสีดำสนิททุกด้าน
“เจ้าจงบอกมา ว่าเด็กนั้นอยู่ไหน” เสียงเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมามันเป็นเสียงที่มีพลังอำนาจมากๆ จนทำให้ขนแขนของเรย์ต้องลุกซู่
“เด็กอะไรผะ...ผม..ไม่รู้เรื่อง” เรย์พูดขึ้น พร้อมกับการปรากฏของภาพภาพหนึ่งขึ้นมาข้างหน้าของเรย์ ซึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งกอดกันอยู่ด้านหน้าของชายผู้หนึ่งที่ดูน่าเกรงขาชายผู้นั้นใส่ชุดคลุมสีดำสนิทมือถือไม้เท้าอยู่ในมือ ส่วนมืออีกข้างก็ถือดาบยาวชี้ไปที่ชายหญิงคู่นั้น
“ไม่...ข้าไม่มีวันบอกแกหรอก” ผู้ชายที่นั่งอยู่พูดขึ้น ซึ่งเรย์ก็มองหน้าของผู้ชายคนนั้น และเรย์คิดว่าชายคนนั้นหน้าตาคล้ายเรย์เอามากๆ
“ถึงแม้พวกเราจะตาย...เราจะไม่มีวันบอกแกหรอกว่าลูกเราอยู่ไหน” ผู้หญิงที่นั่งอยู่ซึ่งเรย์คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เรย์เคยเจอมา เธอมีใบหน้าที่สวยเข้ารูปและชุดสีขาวที่เธอใส่มีรอยเลือดเปรอะเต็มไปหมด
“ข้าถามเจ้าดีๆ แล้วนะดอฟฟิน แล้วเจ้าด้วยอาร์มัส ข้าขอถามพวกเจ้าอีกครั้งว่าเด็กนั้นอยู่ไหนก่อนที่ข้าจะใช้มาตรการเด็จขาดของข้า” ชายผู้ที่ใส่เสื้อคลุมสีดำพูด
“และข้าก็จะตอบแกด้วยว่า...ข้าไม่มีวันบอกว่าลูกของเราอยู่ไหน แม้ว่าจะแลกด้วยชีวิต” ชายที่ชื่ออาร์มัสบอกกับชายที่ยืนอยู่อย่างมั่นคง
“งั้นหรอ ถ้างั้นต้อง...”
“เปรี้ยง” พร้อมกับแสงสีฟ้าขาวที่ลอยออกมาจากไม้กายาสิทธิ์ของชายผู้หนึ่งตรงมาสู่ชายที่สวมชุดคลุมสีดำ และหายตัวมาปรากฏอยู่ข้างหน้าดอฟฟิน กับอาร์มัส
“อ่ะฮ้า ลูกน้องของเจ้ามาแนะดอฟฟิน” ชายที่สวมชุดคลุมพูดอย่างสบายๆ ทั้งทั้งที่เขาโดนสายฟ้านั้นอย่างจัง
“เจ้าคิดว่าข้าแค่สายฟ้าธรรมดาๆ อย่างนั้นนะจะทำให้ข้าบาดเจ็บได้งั้นรึ ไม่มีทาง” เมื่อเขาพูดเสร็จก็สะบัดมือออกไปอย่างรำคาญ แต่ก็ไม่ไวพอที่จะปัดพลังเวทย์ที่เขาเสกมาอีกระรอกได้จึงทำให้เขาโดนอีกครั้ง
“จอมมารวูฟ เจ้านะมันชั่วช้ามากเกินไปแล้ว” ชายผู้นั้นบอก
“ขอบใจนะที่ชมข้า รูเบน” จอมมารวูฟยกไม้เท้าขึ้นมาพร้อมกับสะบัดรูเบนออกไปให้พ้นจากอาร์มัส และดอฟฟิน แต่ว่าทั้งคู่ก็ได้ร่ายคาถาเอาไว้เรียนร้อยแล้วพอได้จังหวะที่จอมมารวูฟเผลอก็ซัดพลังใส่ทันที พอจอมมารวูฟโดนเวทย์นั้นเข้าไปก็ร้องอย่างทรมาร
“อ้ากกกกกกกก” จอมมารวูฟร้องอย่างมรมาน แต่ก็ได้จังหวะที่รูเบนเสกคาถาใส่อีกระรอก
“เปรี้ยง” คราวนี้ทำให้จอมมารวูฟถึงกับกระเด็นออกไปหลายวา
“ท่านครับรีบหนีกันเถอะครับท่าน ทางนี้ผมจะจัดการเอง” รูเบนพูด
“ไม่เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยของลูก เราจะต้องกำจัดจอมมารวูฟให้ได้ก่อนที่มันจะเจอลูกของเรา” ดอฟฟินพูด พร้อมกับใช้พลังเวทย์รักษาตัวเอง
“รูเบน เจ้าจงไปเถอะจงดูแลลูกของเราให้ดีที่สุดจงปกป้องลูกของเราให้ดีที่สุด” ดอฟฟินพูดเฉียบขาด
“อารมัสลุกขึ้นเร็วเข้า มันมาแล้ว” เธอหันไปใช้พลังเวทย์รักษาให้กับอาร์มัสแล้วเธอก็ดึงอาร์มัสลุกขึ้น
“จงไปรูเบน เจ้ามีพาระที่ต้องทำอีกมาก ไปซะ” แต่โอลิเวอร์ไม่ต้องการที่จะไปเพราะว่าเขาต้องการที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ที่เป็นเจ้านายของตน
“ไม่ครับผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” แต่มันก็สายไปแล้วที่เขาจะไปไหนได้เพราะว่าจอมมารวูฟก็ได้มาถึงที่ที่พวกเขายืนอยู่เรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าทำให้ข้าโกรธมารู้ไหม” จอมมารพูดด้วยความโกรธที่ไม่สามารถบรรเทาได้
“พวกเจ้าต้องได้รับสิ่งที่ทำกับข้าอย่างสาสม ตายซะ” จอมมารวูฟซัดพลังเวทย์อย่างกระหน่ำเหมือนกับใช้ปืน M16 ยิ่งกราดเข้าใส่พวกของอาร์มัส อย่างไม่ปราณี ซึ่งทั้งสามก็หลบหลีกอย่างชำนาญและปล่อยพลังเวทย์โต้ตอบบ้างเป็นครั้งคราว แต่ว่ารูเบนก็ยังไม่คล้องแคล้วพอที่จะหลบพังเวทย์ได้หมด เลยโดนอย่างจังเข้าที่หน้าอกซึ่งก็นอนลงไปกับพื้น เมื่ออาร์มัสกับดอฟฟินเห็นอย่างนั่นแล้วพวกเขาเลยเสียสมาธิจึงทำให้โดนพลังเวทย์เข้าเหมือนกันแต่ก็ป้องกันได้นิดหน่อย
“ถึงเวลาตายของพวกเจ้าแล้ว” เสียงที่เยือกเย็นของจอมมารวูฟ และไม่เคยปราณีใครมาก่อนทำให้เขาฆ่าคนได้อย่างไม่ลำบาก
“ฉับ” เพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้ทั้งดอฟฟินและอาร์มัสตายในทันที
“ม้ายยยยยยยยยยยยยยย” เรย์ที่ดูเหตุการณ์อย่างใจจดจ่อซึ่งทำให้เรย์ต้องหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเขารู้ว่าพ่อและแม่ของเรย์ตายเพื่อที่จะทำให้เรย์รู้ว่าพ่อกับแม่รักเรย์มากถึงเพียงใด
เมื่อภาพเลือนหายไปความมือก็เริ่มจางแสงสว่างก็เริ่มเข้ามา แต่ภาพเมื่อสักครู่ที่เรย์ได้เห็นนั้นยังอยู่ในหัวของเขาวนไปวนมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก และเรย์ก็ร้องไห้ไม่หยุดเพราะความเสียใจที่เห็นว่าพ่อและแม่ของเรย์เสียสละมากเพียงใดเพื่อให้เรย์อยู่รอดแม้ว่าตัวเองจะตาย
“เรย์เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงของคุณตาอีวาสดังขึ้น และเรย์ก็เงยหน้าที่มีน้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มของเรย์
“ตาครับผมคิดถึงพ่อกับแม่ครับ” เรย์โผ่เข้ากอดตาทันทีและเริ่มร้องไห้ยกใหญ่อีกรอบ
“เรย์ ทำให้ดีที่สุดแล้วกันพ่อกับแม่เขาคงภูมิใจ” คุณตาอีวาสปลอบเรย์
“ผมจะทุกทุกวิถีทางเพื่อที่จะฆ่าจอมมารวูฟให้ได้” เรย์พูด
“ถ้าจะทำแบบนั้นได้นิ ก็...ต้องเรียนอีกเยอะเลยนิ” เดียร์พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเหมือนจะร้องให้
“ตั้งแต่นี้ไปผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” เรย์พูดอย่างหนักแน่น
“งั้นแกก็ต้องไปนอนก่อนแล้วกันวันนี้ฝึกมามากพอแล้ว”
“ครับตา” และเรย์ก็เดินไปยังเตียงของเขาที่อยู่มุมห้อง เมื่อตาเดินออกไปเสร์จและวก็ปิดไฟห้องให้เหลือแต่แสงเทียนของเพอร์ซิมัสที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น
“อัลฟัลก้า” เปลวไฟบนเทียนลุกขึ้นทันที
เช้าวันต่อมา เรย์ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดหน้าต่างที่เขาไม่ได้เปิดมาแล้วสองวันและเขากำลังทบทวนว่าเมื่อคืนนี้ฝันอะไรบ้าง ตั้งแต่ที่หัวถึงหมอนเมื่อคืนนี้มันเป็นฝันที่สำสนเอามากๆ เพราะเขาฝันว่าได้ยืนอยู่บนก้อนเมฆ และมีปีกสีขาวด้านละสามปีก แต่มีความฝันมากกว่านั้นแต่เรย์ก็จำไม่ได้ว่าเมื่อเขาเห็นภาพนั้นและต่อไปเขาจะไปทำอะไรอีก
“ฝันอะไรว-ะ” เรย์พึมพำกับตัวเอง
“วันนี้ฝึกให้หนักเลยดีกว่า” แล้วเรย์ก็เดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเรย์ก็เดินลงไปที่ห้องอาหารเพื่อที่จะพบตา
“ตาฮะ เมื่อคืนนี้ผมฝันแปลกๆ ผมฝันว่าผมมีปีกหกปีก และยืนอยู่บนก้อนเมฆกำลังจะทำอะไรซักอย่างนี้แหละฮะตา” เรย์พูด ขณะที่มีนากำลังทำอาหารให้เรย์ทานและบ่นเรื่องของเพอร์ซิมัสที่ทำงานดึกเมื่อคืนนี้
“เรย์ หลังจากนี้ไปแกต้องฝึกหนักเพิ่มมากขึ้นและภายในเวลาสามเดือนนี้เจ้าต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้เพื่อเข้าโรงเรียนฮัสก้า” ตาหยุดพูดเพื่อรับจานอาหารที่มีนานำมาให้ เพราะว่าถ้าเขาพูดโดยไม่รับจานอาหารจากมีนาแล้วล่ะก็เขาคงไม่อยากจะฟังเสียงบ่นของมีนาแน่ๆ
“เพราะว่าเขามีการสอบที่หฤโหดเอามากๆ และที่นั้นก็เรียนยากมากด้วย” คุณตาขู่
“ผมก็พยายามฝึกอยู่นิตา” เรย์ตอบ
“ใช่ แต่ก็ยังไม่พอ เจ้าต้องฝึกให้หนักกว่านี้หลายเท่า” ตาบอกพร้อมกับตักไข่เจียวเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างอร่อย เรย์ก็เช่นเดียวกัน
ทั้งคู่ไม่คุยกันตั้งแต่ที่ตักอาหารเข้าปากจนหมนจานและเรย์ก็เดินขึ้นห้องไป
“เดียร์ เดียร์ เดียร์อยู่ไหนอะ ออกมานี้ซิ” เรย์เรียกเดียร์และก็เห็นเดียร์กำลังหลับอยู่บนโต๊ะและมีกระดาษเขียนไว้หน้าปกว่า ห้ามรบกวน จะนอน เรย์ส่ายหัวในทันทีและเดินไปอ่านหนังสือที่เพอร์ซิมัสเตรียมไว้ให้ และวันนี้เรย์ก็จะฝึกคาถาที่ต่อจากคาถาจุดไฟ มันเป็นคาถาที่เรยคิดว่าน่าสนใจเอามากๆ เพราะเมื่อเขาคิดว่าเขาฝึกเสร็จเขาคงจะมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ
“เอาละเริ่มอันนี้ดีกว่า บิมด้า” เรย์มองดูคาถาบทนี้แล้วก็รีบเดินไปยังโต๊ะที่เรย์ใช้ฝึกคาถาอยู่ประจำและเริ่มร่ายมนต์ทันที เมื่อเรย์เริ่มฝึกได้สักพักเขาก็ต้องเปลี่ยนหนังสือเล่มใหม่และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งตกเย็นเรย์จึงมานั่งนับว่าวันนี้เขาสามารถฝึกไปได้กี่เล่ม
“ว้าว!...ฝึกได้ตั้งห้าเล่มเลยหรอวันนี้ สุดยอด มันเป็นอย่างที่เดียร์พูดไว้จริงๆ ด้วย แล้วนี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย” เรย์ที่ดีใจจนลืมอาหารเย็นของวันนั้นไปก็ทำให้เขาต้องเดินลงไปหาอาหารกินเองที่ห้องครัวซึ่งก็มีของกินในตู้เหลืองเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
“ว้าเหลือแต่แอบเปิ้ล เหรอเนี่ย” เรย์ทำใจที่จะเอามันออกมาจากตู้เย็นในครัวและจัดการกับลูกแอบเปิ้ลภายในไม่กี่นาทีแล้วเรย์ก็เข้านอน และก่อนนอนเรย์ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เขาจะออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหารกับตุณตาสักหน่อยและซื้ออะไรเผื่อไว้กินตอนกลางคืนบ้าง
เมื่อเรย์ตื่นเช้าขึ้นมาก็พบกับอาหารที่อยู่ข้างเตียงโดยมีโน้ตจากตาเขียนไว้ว่า “เรย์วันนี้ตาต้องไปทำธุระข้างนอกอาจกลับมาตอนเย็นๆ หรือไม่ก็ตอนค่ำ หาอะไรกินเอาเองนะ และอย่าลืมว่าห้ามแสดงเวทมนต์ต่อหน้าผู้คนเป็นอันเด็ดขาด” และเมื่อเขาอ่านโน้ตนั้นเสร็จเขาก็ดีใจว่าวันนี้เขาจะได้ออกไปซื้ออะไรกินเล่นๆ ก่อนที่จะฝึกในวันนี้ แต่ก่อนอื่นเขาต้องจัดการกับอาหารและอาบน้ำเสียก่อนที่จะออกไปข้างนอก
“เดียร์ วันนี้จะออกไปข้างนอกนะจะไปด้วยกันมั้ย” เรย์ถามเดียร์ และเจ้าหนังสือก็ลอยลงมาจากห้องอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหนนิ” เดียร์ถามอย่างตื่นเต้น
“กะว่าจะไปซื้ออะไรกินตอนดึกๆ นะเผื่อว่าวันไหนฝึกเพลินๆ ก็จะได้มีอะไรกิน” เรย์พูด
“งั้นฉันไปด้วยนิ จะได้เที่ยวบ้างนิอยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อนิ” เดียร์พูดและลอยเข้าไปในกระเป๋าที่เรย์แบกไปด้วย
เมื่อจัดการกับอาหารและอาน้ำเรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากบ้านโดยที่ไม่ลืมร่ายคาถาล็อกบ้านและล็อกบ้านแบบธรรมดาไว้(ซึ่งทำให้เดียร์ต้องแปลกใจเอามากๆ)
“เรย์ข้านิรู้สึกว่าเจ้าก้าวหน้ามากขึ้นเลยนิตั้งแต่เจ้าฝึก อัลฟาก้า สำเร็จนิ” เดียร์พูดด้วยความชื่นชมในตัวเรย์ที่เขาสามารถฝึกเวทได้ด้วยตัวเอง
“นี่ถ้าเจ้าไม่เงียบนะข้าจะเผาเจ้าทิ้งซะ ไม่งั้นเราจะตกเป็นเป้าสายตา” เรย์บ่นให้กับเดียร์ที่ไม่ยอมเงียบสักทีเพราะว่าตั้งแต่ที่เดินออกจากบ้านมาเขารู้สึกว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่ตลอดทางไม่ว่าจะเดินไปไหน
เมื่อเรย์เดินมาถึงสวนสาธารณะพร้อมกับรายการที่เข้าไปซื้ออาหารเพื่อเอาไว้ในตอนดึกและอาหารสำหรับมื้อเย็นเต็มสองมือเรย์ก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในสวนสาธารณะ
“เรย์ที่นี้ที่ไหนนิ” เดียร์ถาม
“สวนสาธารณะน่ะ” เรย์ตอบ พร้อมกับดูดน้ำจากขวดที่เพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านมา
เปาะ......เรย์ก็หันหน้าไปทางเสียงทันที ซึ่งในหัวก็คิดว่าจะเป็นอะไรแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมีเพียงแค่ชายคนหนึ่งที่เดินผ่านไป ซึ่งเรย์คิดว่าชายคนนี้มีท่าเดินแปลกๆ ซึ่งท่าเดินของเขานั้นเหมือนกับเด็กที่เพิ่งหัดเดินได้เพียงแค่เดือนสองเดือน
“คงไม่มีอะไรหรอกมั่ง” เรย์พูด
“อย่างเพิ่งคิดอย่างนั้นสิเจ้าหนู” เรย์หันไปหาเจ้าของเสียงนั้นทันทีและลุกพรวดขึ้นเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ถ้าชายคนนี้ทำอะไรเขา
“เฮ้ ๆ ฉันมาดีเจ้าหนู มาดี” ชายในชุดดำพูดแล้วยกมือขึ้นที่หมายความว่ามาดีแน่ ๆ
“เธอคงจะเป็น เรย์ มาร์แชง สินะ ฉัน อาจารย์เน้ปป้า จากโรงเรียนฮัสก้า”
“โรงเรียนเวทย์ฮัสก้า ที่ที่ผมจะไปเรียนใช่มั้ยฮะ” เรย์ถาม
“ใช่ โรงเรียนเวทย์ฮัสก้าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งเลยล่ะ” อาจารย์เน้ปป้าบอก
“แต่คุณรู้ได้ไงว่าผมมาที่นี้ แล้วตามผมถูกได้ยังไง” เรย์ถามเขาพร้อมกับชวนชายคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้สวนสาธารณะ
“นี้เธอคงยังไม่รู้สินะว่ามีเวทย์มนต์ ฮึ เด็กที่ถูกเลี้ยงแบบมนุษย์ก็งี้” อาจารย์เน้ปป้าบ่น
“อ๋อใช่ เวทย์ตามหาสินะครับอาจารย์” เรย์ตอบอย่างเขิน ๆ ใส่อาจารย์เน้ปป้าที่กำลังแสดงท่าทีที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรที่เขาเพิ่งถามคำถามที่โง่ ๆ ออกไป
“ฮ่ะ เพิ่งจะคิดได้รึนิ ข้าอุตสาห์ให้เจ้าใช้ข้าประกอบเลยนะนิ” เดียร์ที่ขัดขึ้นมาทำให้อาจารย์เน้ปป้าสนใจทันที และเมื่อเดียร์ออกมาจากกระเป๋าก็ยิ่งทำให้อาจารย์เน้ปป้าต้องถึงกับตะลึง
“นี่...นี่...มัน.....” อาจารย์เน้ปป้าพูดตะกุกตะกักแต่ก่อนที่เขาจะพูดเขาก็เงียบทันทีและดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในมนต์สะกดที่ไม่สามารถถอนออกได้แต่เขาก็มีสติคิดขึ้นมาได้ทันทีที่เรย์ถามออกมาว่าอาจารย์เป็นอะไรรึเปล่า
“เรย์ ฉันมีข่าวจากโรงเรียนฮัสก้ามาให้กับเธอแนะ” คราวนี้ลักษณะการพูดของอาจารย์ก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนหน้าที่เดียร์จะโผล่ออกมา แล้วอาจารย์ก็ล่วงเอาอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกับกุญแจสีทองมันวาว แต่ว่ามันมีอยู่ทั้งหมดสามหัวและมีตัวกุญแจที่เป็นรูปไม้ล้อมรอบปราสาททรงพีรามิดและมีอะไรเหมือกับใยแมงมุมเป็นทางเชื่อมระหว่างต้นไม้แต่ละต้น และหัวกุญแจแต่ละหัวก็มีรูปร่างแตกต่างกัน โดยหัวตรงกลางจะเป็นรูปพายุ ส่วนหัวบนจะเป็นรูปหนังสือ และส่วนล่างจะเป็นรูปหมอน
“เรย์ จำไว้นะว่ากุญแจแต่ละตัวจะเป็นกุญแจพาเธอเข้าสู่โรงเรียนและกลับบ้าน โดยรูปพายุจะเป็นตัวที่พาเธอกลับบ้านและเข้าโรงเรียนแต่จะเข้าโรงเรียนได้เฉพาะที่เธออยู่ข้างนอกโรงเรียนและจะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อทางโรงเรียนอนุญาต ส่วนรูปหนังสือจะพาเธอไปที่หน้าประตูห้องเรียนเพื่อเข้าเรียนและความสะดวก และส่วนสุดท้ายเธอคงจะรู้นะว่ามันจะพาเธอไปไหน”
“ครับอาจารย์เพราะว่ามันจะพาผมไปที่หอนอนใช่มั้ยฮะ” เรย์ตอบอย่างมั่นใจ แต่อาจารย์เน้ปป้าดูเหมือนจะไม่ได้ฟังเรย์พูดแต่เรย์คิดว่ามันคงจะใช่ และอาจารย์เน้ปป้าก็ได้ยื่นซองจดหมายให้กับเรย์ แต่เมื่อเรย์กำลังจะเปิดมันอาจารย์ก็ห้ามเรย์ให้เปิดมัน
“อย่าเพิ่งเปิดนะ ต้องไปเปิดที่บ้านของเธิซึ่งฉันกะว่าจะไปรอเธอที่บ้านแต่มันไม่ยอมให้ฉันเข้าไปซึ่งฉันคิดว่าน่าจะเป็นมนต์ล็อกบ้านของเธอใช่รึเปล่าที่เธอเสกขึ้น” อาจารย์ถาม
“ใช่ฮะ เพราะตระกูลมาร์แชงมีกฏว่าจะต้องสอนให้ลูกและหลานรู้คาถาเบื้องต้นก่อนที่จะเข้าโรงเรียนเวทย์นะครับและตอนนี้ผมคิดว่าผมรู้คาถาประมาณสิบกว่าคาถาได้มั่งครับ”
“ดีจังนะ ที่สอนลูกก่อนที่จะเข้าเรียน แต่ฉันว่าเราน่าจะกลับบ้านกันก่อนนะเพราะเราจะต้องเปิดจดหมายก่อนที่มันจะบินมาฆ่าฉันซะก่อน” อาจารย์พูดแบบขำ ๆ แต่ก็อาจไม่เป็นโจ๊กที่ทำให้หัวเราะจนท้องแข็งเหมือนกับเพื่อนที่โรงเรียนประถมก็ได้ เรย์จึงขว้าเอาของที่วางไว้และกระเป๋าที่ใส่เดียร์ที่กำลังนอนรับลมอยู่ข้างนอก แล้วเดินกลับบ้านพร้อมกับอาจารย์เน้ปป้าที่กำลังพูดถึงเรื่องรถของโรงแรมที่ทำให้เขาต้องกระโดดหลบขึ้นมาบนฟุตบาทไปสุดทางและเขาก็ยังบอกอีกว่าจะสาปให้รถคันนั้นพังอย่างไม่มีชิ้นดีเลย และเมื่อถึงบ้านเรย์ก็แตะที่ประตูแล้วก็ร่ายมนต์เพียงแค่คำสองคำเขาก็สามารถเปิดประตูได้ทันที
“นี่รู้ไหมว่าการแก้มนต์แต่ละมนต์ที่ไม่ใช่คนร่ายนะมันยากกว่าที่คนที่ร่ายแก้อีกนะ” อาจารย์เน้ปป้าอธิบาย
“ยังไงครับอาจารย์ แล้วจะต้องใช้วิธีอะไรในการแก้หรอครับ” เรย์ถามอย่าใคร่รู้ในขณะที่เขากำลังยัดของกินใส่ลงในตู้เย็นที่บ้านอย่างล้วก ๆ เพื่อจะได้ฟังอาจารย์พูดถึงเรืองการแก้มนต์ของคนอื่น
“มันเป็นวิธีที่ยากมากซึ่งจะต้องใช้น้ำยาที่ทำขึ้นพร้อมกับร่ายคาถาที่ยาวเหยียดพร้อมกับทำน้ำยา และน้ำยาบางตัวนะทำนานเป็นวันวันเชียวล่ะ เธอจะได้เรียนเรื่องน้ำยาวิเศษกับการแก้มนตราผู้อื่นกับฉันตอนที่เธออยู่ปีสองขึ้นไปและจำไว้ว่าถ้าไม่ชอบหรือไปไม่ได้เธอก็จะไม่สามารถแก้คาถาที่ตัวเองทำขึ้นมาและจำคาถาแก้ไม่ได้นะสิ แต่ที่สำคัญกว่านั้นนะถ้าเธอถูกสาปเธอก็จะไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นเหมือนเดิมได้ แต่คำสาปบางตัวก็ไม่จำเป็นในการแก้หรอกนะ ว่าแต่ว่าเธอควรจะเปิดจดหมายจากทางโรงเรียนได้แล้ว” พออาจารย์พูดขึ้นก็ทำให้เรย์นึกขึ้นได้ว่าเขาจะต้องเปิดจดหมายไม่งั้นอาจารย์ต้องโดนจดหมายฆ่าแน่ ๆ (โง่จริงๆ..จาก...คนเขียน) เรย์จึงดึงเอาซองจดหมายแล้วเปิดมันออกมาและดึงกระดาษออกมาและกำลังจะคลี่ออกมาอ่านเรย์ก็ต้องสะดุ้งจนจดหมายหลุดมือ
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันเดี่ยวนี้นะไม่งั้นเจอดีแน่ ๆ” จดหมายร้องตะโกนขู่ เจ้าจดหมายตัวดีก็ลอยขึ้นพร้อมกับตะโกนดังลั่นไปทั่วบ้าน
“ตามประกาศของโรงเรียนเวทย์ฮัสก้าว่าด้วยเรื่องของการเปิดรับนักเรียนในปีการศึกษาหน้าทางโรงเรียนเวทย์ฮัสก้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้คุณเรย์ มาร์แชง ซึ่งเป็นบุตรของ มาสเตอร์ อาร์มัส มาร์แชง และมานิสเตอร์ ดอฟฟิน มาร์แชง ทราบว่า คุณ เรย์ มาร์แชงได้รับสิทธิพิเศษตามระเบียบของทางโรงเรียนที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดที่เป็นบุตรของมาสเตอร์ หรือ มานิสเตอร์ หรือเป็นทั้งบุตรของมาสเตอร์และมานิสเตอร์ หรือเป็นบุตรของผู้ที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าเป็นผู้มีเกียรติของโลกเวทมนตร์มีสิทธิเข้าศึกษาในโรงเรียนโดยไม่ต้องทำการทดสอบ” โดยทางโรงเรียนเวทย์ฮัสก้าต้องการให้คุณ เรย์ มาร์แชง ซื้อของตามรายการที่โรงเรียนได้จัดไว้ให้และอนุญาติให้คุณ เรย์ มาร์แชง นำของใช้ที่จำเป็นสำหรับตัวเองมาด้วยได้ ทางโรงเรียนไม่อนุญาติให้นำสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงในบริเวณโรงเรียนหากนำสัตว์เลี้ยงมาทางโรงเรียนขอให้คุณ เรย์ มาร์แชงนำสัตว์เลี้ยงไปยังโรงเลี้ยงทันทีที่ถึงโรงเรียนทางโรงเรียนต้องขอกล่าวคำขอบคุณที่คุณ เรย์ มาร์แชงจะปฏิบัติตามกฏระเบียบของทางโรงเรียนอย่างเคร่งครัด และโรงเรียนจะเปิดวันที่ 17 มิถุนายน ขอให้พักผ่อนให้สนุกสนานกับหน้าร้อนนี้ ลงชื่อ มาสเตอร์ รูเบน ดิฟฟอรัส อาจารย์ใหญ่โรงเรียนเวทย์ฮัสก้า” เมื่อเจ้าจดหมายประกาศเสร็จก็ม้วนตัวเองแล้วตกลงมายังพื้นโต๊ะทันที
“สวัสดี ฉันพลาดอะไรสำคัญ ๆ รึเปล่าเนี่ย” คุณตาอีวาสเดินลงมาจากบันไดชั้นบนพร้อมกับใส่เสื้อแจ็คเกตตัวที่ก่อนออกจากบ้านไป
“อ้าสวัสดี อาจารย์เน้ปป้า จากโรงเรียนเวทย์ฮัสก้าสินะ” คุณตาเดินมาทักทายกับอาจารย์ก่อนที่จะเดินมาคลี่กระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านอย่างรวดเร็วและม้วนเก็บใส่กระเป๋าหน้าของเสื้อตัวเอง
“ตาไปไหนมาฮะ” เรย์ถาม
“ฉันจะไปทำธุระก็ต้องรายงานแกด้วยหรอเจ้าหนู” ตาตอบแล้วมองเรย์ผ่านสายตาที่ขบขัน
“ครับตา ผมจำเป็นต้องรู้เผื่อว่า..”
“เผื่อว่าฉันจะเกิดอันตรายสินะ อย่าคิดเฉียวหลานรักแม้ว่าตาจะแก่มากแล้วแต่ก็สามารถล้มเธอได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสนะไอ้หนู” ตาเดินมาหาเรย์แล้วชี้นิ้วออกมาทำท่าจะแตะเรย์แต่เสียงไอของอาจารย์เน้ปป้าก็ช่วยชีวิตของเรย์เอาไว้ก่อนที่ตาจะทำมันจริง ๆ
“เออ...ท่านอีวาสครับ ผมต้องบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องพาเรย์ไปซื้อของใช้นะครับแล้วผมจะมาแวะรับเรย์ไปซื้อของนะครับท่าน งั้นผมขอตัวนะครับ” อาจารย์เน้ปป้ากำลังจะเดินออกไปจากบ้านแต่ตาก็รีบบอกกับอาจารย์เน้ปป้าว่า
“พรุ่งนี้ฉันจะไปด้วยเผื่อจะได้ทำโทษเจ้าเด็กจอมแก่นคนนี้” ตาตบบ่าของเรย์อย่างแรงจนทำให้ตัวของเรย์เซไปข้างหน้านิดหน่อย แล้วอาจารย์เน้ปป้าก็ก้มหัวเล็กน้อยให้คุณตาแล้วเดินออกไป
“เรย์อีกไม่กี่วันหลานก็จะไปโรงเรียนแล้วตาอยากให้หลังจากวันที่เราไปซื้อของกลับมาแล้วหลานจะต้องได้คาถาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะเรย์” ตาบอกแล้วตาก็ขึ้นไปยังห้องของตัวเองทันทีซึ่งทิ้งให้เรย์กลุ้มใจว่าเขาจะทำได้มากเท่าที่ตาต้องการรึเปล่า และเรย์ก็เดินขึ้นห้องตัวเองเพื่อทบทวนตำราอย่างที่ตาว่า
“เรย์ เรย์ ตื่นได้แล้วนิอาจารย์เน้ปป้ามาแล้วนิเรย์” เสียงที่คุ้นๆ ที่ฟังมาตลอดทั้งคืนที่บ่นไป ๆ มา ๆ ว่าทำไมจะทำไม่ได้ก็แค่นี้ ก็แค่ทำยังงี้ก็เรียบร้อยแล้ว หรือจะบ่นว่าต้องทำอย่างนี้สิถึงจะถูก
“อะไรนะ อาจารย์เน้ปป้ามาแล้วหรอ ฉันบอกว่าให้ปลุกตั้งแต่สองโมงเช้าทำไม” เรย์ยกนาฬิกาตั้งโต๊ะขึ้นมาดูแล้วพบว่าเวลาในตอนนี้คือโมงครึ่ง
“แล้วอย่ามาว่าข้าปลุกเจ้าเช้าแล้วกันนิข้าไม่เกี่ยว ตาของเจ้าต่างหากนิที่บอกให้ข้าปลุกเจ้าตอนนี้ ถ้าจะมาว่าฉันแล้วล่ะก็นะไปว่าตาของเธอก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบเดียร์ก็ลอยหนีไปยังชั้นหนังสือที่ตนเองอยู่เป็นประจำ ส่วนเรย์พอรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไรเขาก็เริ่มหงุดหงิดแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาก็ได้ตื่นแล้วแต่ว่าตอนนี้เขาต้องไปอาบน้ำเพื่อลงไปหาตาและอาจารย์เน้ปป้าเพื่อที่จะได้ไปซื้อของใช้ของโรงเรียนของตนเอง
“สวัสดีฮะอาจารย์ สวัสดีฮะตา” เรย์ทักทายด้วยอาการง่วงเนื่องจากนอนไม่พอ
“มากินอาหารเช้าก่อนสิจะได้รีบไปกัน เพราะว่าตอนนี้ก็สายมากแล้วรีบ ๆ กินเข้าสิ” ตาบอกด้วยความรำคาญเพราะว่าตาได้สั่งให้เดียร์ไปปลุกเรย์ตั้งแต่หนึ่งโมงแต่ว่าเจ้าเดียร์ก็ดันไปปลุกซะโมงครึ่ง
“ครับตา” เรย์ตอบพร้อมกับรีบตักอาหารคำใหญ่เข้าปากก่อนที่ตาจะทำอะไรกับอาหารขึ้นมา เมื่อเรย์จัดการกับอาหารตรงหน้าของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเขาทั้งสามคนก็เดินออกจากบ้านไปโดยเรย์ไม่ลืมที่จะเอาเดียร์ติดตัวไปด้วยเพราะว่าตั้งแต่ที่เขารู้ว่าตัวเองเป็นพ่อมดเรย์ก็ไม่เคยที่จะห่างจากเดียร์เลยซักนิดเผื่อเวลาที่เขาต้องการให้คนช่วยเดียร์ก็จะได้ช่วยให้เขาสามารถต่อสู้กับอันตรายได้
“แล้วเราจะไปซื้อของที่ไหนกันหรอครับ เพราะว่าผมไม่เคยเห็นร้านที่ขายของพวกนั้นมาก่อนเลย” เรย์ถามแต่ก็ไม่มีใครตอบเรย์สักคนและไม่มีใครพูดอะไรอีกเลยตั้งแต่ออกมาจากบ้าน แต่เมื่อมาถึงแยกหนึ่งซึ่งทั้งสามก็เดินเข้าไปซอย ๆ ที่สามารถบอกได้เลยว่ารํฐบาลไม่เตยรับผิดชอบตรอกนี้แน่ ๆ แถมยังเป็นทางตันอีกต่างหาก
“ถึงแล้วล่ะ เรย์เราขอต้อนรับตระกูลมาร์แชงเข้าสู่ย่านร้านสะดวกซื้ออุปกรณ์และสิ่งต่าง ๆ แห่งมนตรา ย่านมนตราควีนัส ของต้อนรับตระกูลมาร์แชงที่สูงส่ง” อาจารย์เน้ปป้าพูดด้วยสีหน้าสดใส
“รู้ไหมว่าเสื้อผ้าพวกนี้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก ๆ เพราะว่าช่วงล้างมันไม่โล่งเอาเสียเลย” อาจารย์เน้ปป้าพูดและเอามือไปแตะที่ต้นขาของเขาเอง
“นี่เน้ปป้าถ้าคุณใส่เสื้อผ้าที่เป็นโล่ง ๆ แถนี้และล่ะก็ เฮอะ พวกนั้นก็จะเรียกคุณว่าพวกอ่ะน่ะ” คุณตาพูดแหย่อาจารย์เน้ปป้า เมื่อทั้งสองสนทนากันเสร็จเรียบร้อยแล้วอาจารย์เน้ปป้าก็เดินไปยังกำแพงที่ปิดซอยไว้และเขาก็ทะลุเข้าไปในกำแพงอิฐที่หนา ๆ นั้น
“เรย์ เธอฝึกคาถาทะลุทะลวงยัง” ตาถาม
“ยังฮะตา แต่ก็ว่าจะเริ่มฝึกวันนี้แหละฮะ” เรย์กำลังเก็บอาการที่เขาเพิ่งเห็นอาจารย์เน้ปป้าเดินเข้าไปในอิฐอย่างไม่กลัวและไม่ชนกับอิฐพวกนั้น
“งั้นจับมือตานะ” ตาบอกและเรย์ก็ทำตามเพราะว่าเขายังไม่รู้ว่าเขาจะเข้าไปในนั้นได้ยังไงถ้าไม่ใช้คาถาทะลุทะลวงที่ตาบอก
เมื่อเรย์เข้าไปในย่านมนตราควีนัสแล้วเรย์ก็ตะลึงกับผู้คนที่เดินไปมาทั้งวัยรุ่นที่เดินกันเป็นกลุ่มบ้างเดินเป็นครอบครัวบ้างเดินเป็นคู่รักกันบ้างหรือจะมีเดินอยู่คนเดี่ยวพร้อมกับของที่มากมายอยู่บนมือทั้งสองข้างหรือบางคนก็ใช้พรหมในการบรรทุกของที่มากมายเหล่านั้น
“เข้าไปร้านตัดชุดก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปร้านหนังสือ แล้วไปร้านอุปกรณ์เวทย์นะ” ตาบอกแล้วก็เอาเงินให้หนึ่งถุงแล้วเดินจากไป เรย์เดินเข้าไปที่ร้านตัดชุดแห่งหนึ่งที่ตาบอกที่มีชื่อร้านว่าคราม่าตัดชุดเวทย์
“สวัสดีครับขอต้อนรับท่านเข้าสู่ร้านคราม่าตัดชุดเวทย์ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นร้านที่ท่านผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ ให้ความสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของย่านมนตราวีนัส” เสียงเครื่องต้อนรับที่มาจากที่ไหนสักแห่งในร้านนี้แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเสียงของภูตจิ๋วตัวเล็กสีเขียวใสหมวกสีแดงที่ทำขึ้นด้วยผ้าไหมอย่างดีและสวมเสื้อแขนยาวรัดรูปและกางรัดรูปเกงที่เป็นสีน้ำตาลกำลังเดินมาหาเรย์อย่างรวดเร็ว
“ขอต้อนรับขอรับนายท่าน” เมื่อภูติจิ๋วพูดเสร็จก็โค้งคำนับเหมือนเพิ่งทำการแสดงเสร็จ
“นายท่านมาจากโรงเรียนอะไรรึนายท่าน”
“ผมมาจากโรงเรียนเวทย์ฮัสก้าครับ” เรย์พูด
“โอ้ว? ฮัสก้าคนแรกของวันนี้ เฮ้...พีชตัดชุดนักเรียนฮัสก้าด้วยนะ” พอภูติจิ๋วพูดเสร็จก็เดินออกไปก่อนจะมีภูติจิ๋วอีกตัวเดินออกมาพร้อมกับสายวัดตัวและบัดไดที่เดินตามภูติจิ๋วตัวนั้นออกมา
“สวัสดีเจ้าค่ะนายท่าน ดิฉันมีนามว่าพีชเจ้าค่ะ” พีชเป็นภูติจิ๋วหญิง พีชใสชุดที่ทำด้วยผ้าธรรมดาสีแดงและไม่มีหมวกซึ่งทำให้รู้ว่าเจ้าภูติจิ๋วที่มาต้อนรับนั้นอาจจะเป็นเจ้าของร้าน เมื่อพีชทำการวัดตัวของเรย์เสร็จแล้วก็บอกให้เรย์คอยสักพักก็ได้ชุดที่สั่งตัดซึ่งมีทั้งหมดหกชุด
“ชุดที่ตัดนะค่ะมีทั้งหมดหกชุด โดยมีชุดคลุม 2 ตัวและชุดเรียนอีก 4 ตัวค่ะทั้งหมดก็1,200 บาทค่ะ” เรย์ก็ล่วงเอาเงินจากถุงที่ตาเอาให้และนับเงินออกมา 1,200 บาท และพีชก็พาเรย์ออกจากร้านทันที
ต่อไปเรย์ก็เดินไปที่ร้านหนังสือและได้หนังสือตามที่โรงเรียนได้ประกาศมาว่าต้องซื้อหนังสือตำราเวทมนต์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยการใช้พลังเริ่มแรก , ตำราเวทมนต์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยวิชาการต่อสู้ด้วยเวทมนต์, ตำราเวทมนต์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยวิชาคาถา, ตำราเวทมนต์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยวิชาการรักษา, ตำราเวทมนต์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยวิชาเวทศักดิ์สิทธิ์ และตำราเวทมนต์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยวิชาภาษาเวทย์ พอเรย์จัดการซื้อหนังสือเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินไปยังร้านโคเวอร์แลนด์ซึ่งเป็นร้านที่ขายอุปกรณ์เวทย์ทุกชนิด เมื่อเรย์เดินเข้าไปในร้านก็พบกับบรรยากาศที่วังเวงซึ่งเรย์คิดว่ามันเป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่าพอเข้ามาแล้วต้องรีบ ๆ ซื้อของแล้วออกไปไม่งั้นฉันโดนดีแน่ ๆ
“ขอต้อนรับครับ” ชายรูปร่างสูงโปร่งอายุประมาณ 60 ปีเดินมาหาเรย์
“ต้องการอะไรรึครับ” ชายแก่ถาม
“ผมต้องเข้าโรงเรียนและโรงเรียนก็บอกว่าให้ซื้ออาวุธมา 2 อย่างครับ” เรย์บอก
“จากโรงเรียนอะไรล่ะ” ชายแก่ถาม
“ฮัสก้าครับ” เรย์ตอบ
“ฮัสก้ารึ” ชายแก่ถาม แล้วทำหน้าคิดว่าจะทำอะไรต่อไปดีหรือว่าจะลืมทำอะไรรึเปล่า
“งั้นตามผมมา” ชายแก่ตอบ
“ฉัน มาดากัส โคเวอร์ ผู้ทำกิจการขายอุปกรณ์เวทย์แห่งนี้ แล้วเธอล่ะชื่ออะไร” คราวนี้มาดากัสเดินไปยังโต๊ะของเขาที่มีทั้งดาบและไม้ที่ยาวมากไปจนถึงสั้นมากประมาณ 5 นิ้วกองอยู่ข้า ๆ โต๊ะของเขาแต่ตรงกลางโต๊ะนั้นเป็นลูกแก้วสีขาวขุ่นลูกใหญ่
“รู้ไหมตั้งแต่ที่จอมมารวูฟโผล่ออกมากิจการฉันมันก็ไม่สู้ดีเท่าไรนัก เอ้ามานั่งเก้าอี้นี้สิเจ้าหนู่” มาดากัสเรียกเรย์ให้ไปนั่งบนเก้าอี้ที่มีงาของช้างอยู่ข้าง ๆ ตัวเก้าอี้ด้านละ 3 อันและเรย์คิดว่ามันจะสวยมาถ้าทำความสะอาด
“เออใช่ ฉันยังไม่รู้จักชื่อของเธอเลยน่ะ” มาดากัสพูด เมื่อเรย์นั่งลงบนเก้าอี้อย่างระมัดระวังแล้วแรย์ก็บอกชื่อของเรย์ไป
“ผมชื่อเรย์ เรย์ มาร์แชงครับ” เมื่อเรย์บอกชื่อของเขาไปแล้วมาดากัสก็หยุดทำอะไรสักอย่างที่ใต้โต๊ะแล้วลุกขึ้นทันทีซึ่งทำให้เรย์ตกใจสุดขีดจึงทำให้แขนของเรย์ไปโดนกับงาช้างเป็นแผลทางยาวให้กับแขนของเขา
“มาร์แชง งั้นรึ” มาดากัสพูด และเขาก็เห็นแขนที่มีเลือดเป็นทางยาว
“ไม่นะ” เมื่อมาดากัสูดเสร็จเขาก็เดินอ้อมโต๊ะไปยังที่เรย์นั่งอยู่และจับแขนของเรย์ยกขึ้นและร่ายคาถาสองสามคำพร้อมกับล้างเก้าอี้ที่มีเลือดของเรย์อยู่ทันที พอเขาทำเสร็จแล้วเขาก็เดินไปเดินมารอบ ๆ ร้านประมาณสองรอบก่อนที่เขาจะมานั่งเก้าอี้ของเขาเหมือนเดิม
“เรย์ มาร์แชงจริงนะ” มาดากัสเปิดฉากถามขึ้นมาทันที
“ครับผมเรย์ มาร์แชง” เรย์ตอบคำถามนั้นอย่างมั่นใจเพราะว่าเขาคงจะไม่มีชื่ออื่นอีกหรอกมั่งเพราะตั้งแต่เกิดมาเขาก็ใช้ชื่อว่าเรย์ มาร์แชง
เมื่อมาดากัสมั่นใจแล้วว่านี้คงจัเป็นเรย์ มาร์แชงตัวจริง
“งั้นก็มาเริ่มกันเลย”
“เริ่มอะไรครับ” เรย์เริ่มกลัวนิด ๆ แต่เขาก็บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอกมั่ง
“เริ่มการวัดพลังไงละ การเรียนที่โรงเรียนเขาจะมีอาวุธอยู่ทั้งหมด 4 ชนิดแต่มีอยู่ 5 แบบ คือไม้กายสิทธิ์ ไม้เท้า คฑา กายาสิทธิ์ และดาบเวทย์ที่จะต้องใช้ไม้เท้าเป็นอาวุธ และเธอจะต้องมีดาบประจำกายด้วยคนละ 1 เล่มซึ่งเมื่อวัดพลังด้วยลูกแก้วนี้เรสก็จะได้รู้ว่าเจ้าจะอยู่สาขาใด” เมื่อมาดากัสพูดเสร็จเขาก็บอกให้เรย์ยื่นมือออกมาวางไว้ที่ลูกแก้ว ทันทีที่มือของเรย์แตะกับลูกแก้วก็เกิดแสงสว่างออกมาจากลูกแก้วคลุมตัวเรย์
เมื่อมือของเรย์สัมผัสกับลูกแก้ว ก็เกิดแสออกมาจากลูกแก้วทำให้เขาต้องหลับตาแต่ว่าเขาก็ไม่สามารถที่จะหลับตาได้ เขาพยายามอย่างสุดฤทธิ์ทั้งพยายามร่ายเวทย์ป้องกันหรือไม่ว่าจะร่ายเวทย์อะไรก็ตามแต่ก็ไม่ได้ผลเลยสักอย่าง แต่เรย์ก็ต้องท้อกับสิ่งที่ทำไป เมื่อเรย์เลิกร่ายเวทย์ที่ตนคิดออก
เมื่อเรย์เลิกร่ายเวทย์เสร็จแสงสว่างที่คลุมร่างกายของเรย์ก็เลือนหายไปกลายเป็นกลุ่มหมอกสีน้ำตาลอยู่ด้านหน้าเรย์ แล้วก็กลายเป็นรูปไม้เท้าและตัวอักษรใต้รูปนั้นว่า “ดาบเวทย์”
เมื่อทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้วพวกของเรย์ก็กลับมาบ้าน ส่วนอาจารย์เน้ปป้าก็ขอตัวกลับก่อนตั้งแต่อยู่ที่ย่านควีนัสแล้ว
“เรย์อย่าลืมนะอีกสามเดือนก็จะเปิดเทอมแล้ว ทำให้ได้มากที่สุด” คุณตาอีวาสบอกกับเรย์อย่างหนักแน่น
ความคิดเห็น