คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : part 3 ทำไมถึงเป็นเขา...ไม่ใช่ฉัน
0.00 น. วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550 แสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ทางปีกซ้ายของคฤหาสน์หลังงาม ดึดดูดให้ผมที่เพิ่งกลับจากการทำงานให้บริการแก่สาว ๆ ต้องมาดูให้รู้ ว่าเพราะเหตุไฟในห้องนี่จึงยังไม่ดับลงทั้งที่มันเลยเวลามาตั้งนานแล้ว
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก ... คุณชาย ครับ คุณชาย” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนภายในห้อง แม้ผมจะแนบหูเข้ากับประตูแล้วก็ตาม
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก...คุณชาย ครับ คุณชาย อยู่หรือเปล่าครับ” ผมรองเคาะประตูดูอีกครั้งในขณะที่แนบหูไว้ตลอด แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณชายคงคุยกับคนสำคัญจนเพลิน” ผมพยามบอกกับตัวเอง เพื่อไม่ให้ห่วงคนข้างในมากไปนัก แต่ทันใดนั้นประตูที่มันควรปิดสนิทกลับแง้มออกทั้งที่ไม่มีใครเปิดมัน ผมลังเลอยู่ไม่กี่นาทีก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปให้ห้องโดยที่เจ้าของไม่อนุญาต
แสงไฟที่สว่างทำให้ผมเห็นทุกอย่างที่อยู่ข้างใน รวมทั้งรูปมากมายที่เรียงรายติดอยู่บนผนัง นับรวมกันคงไม่ต่ำกว่า 2 ร้อยใบ แต่ไม่ว่ามันจะมากมายเป็นร้อยเป็นพัน มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรเท่ากับมันเป็นรูปของคน ๆ เดียวกันทั้งหมด แล้วบทสนทนาครั้งที่ผมไปรับคุณชายสนามบินพุดขึ้นมาในหัวบทสนทนาที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้นมันก่อน บทสนทนาที่ไม่รู้มาก่อนว่ามันจบด้วยความเจ็บปวดของผมเป็นครั้งที่สอง
ผมพารถเบนซ์สีดำขลับที่เคลื่อนตัวออกจากสนามบิน โดยแอบลอบมองร่างบางที่มองไปนอกหน้าต่างเหมือนกำลังใช่ความคิดอยู่ที่เบาะหลังเป็นระยะ ๆ
“ครั้งนี้คุณชายไปนานจังนะครับ ปกติแค่อาทิตย์ 2 อาทิตย์ ก็กลับแล้ว”
“มีเรื่องไม่ขาดคิดนะ” ร่างบางหันหน้ากลับเข้ามาในรถพูดเพียงสั้น ๆ แต่มีรอยยิ่มบาง ๆ เกิดขึ้น
“การเจรจามีปัญหารึครับ แต่..คงจะไม่ใช่ ผมเห็นคุณชายยิ้ม น่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่า ”
“ไม่รู้ซินะ นายว่าได้เจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ มันดีเปล่าละ”
“มันอยู่ที่คุณชายอยากเจอเขาหรือเปล่า”
“มันก็ทั้งไม่อยากเจอและก็อยากเจอ”
“เขาเป็นใครกันครับ”
“เอริค”
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดด ผมเหยียบเบรกอย่างกระทันหัน
“นายเบรกทำไม”
“ขอโทษครับ” ผมพารถเคลื่อนออกไปใหม่ “แต่ตอนนั้นพี่เอริค...” และแทนที่จะเงียบผมก็ดันพูดต่อ ไม่รู้จะพูดให้ตัวเองเจ็บขึ้นมาอีกทำไม
“ฉันเป็นฝ่ายไปหาเอริคเอง”
“มิน่าละคุณชายถึงไปอยู่นาน ปรับความเข้าใจกันแล้วซินะครับ”
ผมในขณะนั้นพยายามปรับเสียง ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติมากที่สุด แม้ประโยคนั้นจะเหมือนฆ้อนที่ตอกตะปูที่ฝังอยู่กลางใจผมให้ลึกขึ้นไปอีก เจ็บที่รู้ว่าไม่มีทางชนะผู้ชายคนนั้น เจ็บที่ไม่สามารถเป็นอะไรได้มากกว่าน้องชายของคน ๆ นี้ แม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม และไม่เคยคิดว่าจะมีเขาชนะผู้ชายที่ชื่อเอริค ได้
“ชุงแจ นายว่าระหว่างหน้าที่กับความรักอันไหนสำคัญมากกว่ากัน”
“ไม่ใช่จะต้องไปควบคู่กันหรอกเหรอครับ คุณชายเคยพูดไว้แบบนั้น”
“หน้าที่และศักดิ์ศรีของฉันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะทิ้งมันเพื่อความรัก ฉันก็เคยพูดไว้แบบนี้ด้วยใช่ไหม”
“ครับ ทำไมคุณชายถึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา”
“เขาทำให้ความคิดฉันเปลี่ยนไป”
“พี่เอริค”
“ไม่ใช่ เลขา ฯของเอริค”
หลังจากนั้นเรื่องราวเลขาสาวของพี่เอริค ก็ถูกถ่ายทอดผ่านริมฝีปากบาง ๆ ของคนที่ผมรัก ด้วยใบหน้าและรอยยิ้มที่ความสุขมากกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผมเคยเห็นมาตลอดเส้นทาง ทั้งที่ผมไม่ได้อยากฟังมันแม้แต่นิดเดียว ไม่อยากรับรู้ว่าผู้หญิงเป็นใคร ชื่ออะไร สวยมากน้อยแค่ไหนหรือว่าจะน่ารักปานใด อยากจะเอามือขึ้นมาปิดหูแต่เพราะทำไม่ได้เลยจำต้องทนฟังให้คำพูดเหล่าทิ้มแทงหัวใจตัวเองเล่น และแทบจะดิ้นขาดใจตาย เมื่อคนที่คุณชายพูดถึงมาทั้งหมด เป็นผู้ชายเหมือนกับผม แล้วทำไมถึงเขาไม่ใช่ผม
“นายทำยังไงกันนะ” ผมเฝ้าถามคนที่กำลังยิ้มสดใสอยู่ในรูปด้วยอิริยาบถต่าง ๆ มากมาย ตลอดทางที่เดินผ่านมา
และก็เพราะมันเป็นแค่รูปก็เลยตอมคำถามผมไม่ได้ สิ่งที่อยากรู้จึงต้องปล่อยให้มันค้างคาใจอยู่ต่อไป หรือคิดหาคำตอบด้วยเอง
“แอนดี้” ผมเรียกชื่อคนในรูปด้วยความรู้สึกอิจฉา มองพินิจพิจารณารูปแต่ละใบ ไม่อยากจะคิดเลยว่า
“นี้หรือคือหน้าตาของคนที่คุณชายบอกว่ารัก”
“นี้หรือ คือ คนที่คุณชายผู้ยิ่งในศักดิ์ศรี และถือหน้าที่ของการสืบทอดวงศ์ตระกูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด มอบหัวใจให้”
“นี้หรือ คือ คนที่เอริค มุน ต้องผายแพ้”
“นอกจากน่าตาที่จัดว่าน่ารักแบบสุด ๆ ร่าเริงสดใส ท่าที่ดูเป็นมิตรกับทุกคน อ่อนโยน อบอุ่น หมอนี้ดีแค่นี้เองนะเหรอ”
ขาผมที่ก้าวออกไปกับใจที่นึกหาข้อดีของคนในรูป ข้อดีที่เหนือกว่าผู้ชายที่ชื่อเอริค มุน คนที่ผมยอมหลีกทางให้ โดยไม่ทันได้มองที่พื้น เท้าใหญ่ ๆ ของผมจึงเหยียบเข้ากับเศษอะไรวักอย่าง มันคือ
“โทรศัพท์มือถือ” ผมเดาเอาจากเศษชิ้นส่วนบางส่วนของโทรศัพท์ที่ติดมากับเท้า แล้วพอมองไปที่พื้นก็ยังมีเศษเล็กเศษน้อยอีกจำนวนมากกระจายเกลื่อน
สภาพมันบอกได้เลยว่า มันคงไปทำให้เจ้าของโมโหเลยถูกจับดิ่งพสุธาจนสัญญาณชีพดับ แต่ก็ยังคงไม่สาแก่ใจละมั้งเลยตามมากระทืบซ้ำจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปส่งโรงพยาบาล
“คุณชายครับ” ผมเรียกเจ้าของห้องเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังยืนพิงประตูระเบียงไม่รับรู้ถึงการมาของผม ซึ่งพอได้ยินเสียงร่างบางก็เพียงแค่หันหน้ามองมายังผม แล้วก็หันกลับทีเดิม แต่แค่แว๊บเดี่ยวก็รู้แล้วว่าอารมณ์ไม่ดีอย่างแน่นอน
“ขอโทษครับ ที่ถือวิสาสะเขามา ผมเห็นไฟยังเปิดอยู่ก็เลยเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไหร่ นายมาก็ดีแล้ว งานเลี้ยงวันเกิดฉันพรุ่งนี้ ยกเลิกให้ด้วยนะ”
“ครับ แต่ว่า.....คุณชาย”
“ไม่ต้องถามมาก แค่ทำตามคำสั่งก็พอ
“ครับ”
“พรุ่งนี้นายไปเช็คให้ด้วยว่าเอริคจะบินมาที่นี้กี่โมง แล้วก็มากับใคร ไปได้แล้ว ฉันจะนอน”
“ครับคุณชาย” ถึงอยากจะขัดคำสั่งแค่ไหน แต่คนที่เป็นลูกจ้างจะทำอะไรได้นอกจากฟังคำสั่งเจ้านายแล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
------------------
แอ๊ดด ประตูบานขาวเปิดออกด้วยแรงกระฉากจากคนในห้อง
“พี่มินอู”
“แอนดี้” ผมยิ้มจนตาหยี เมื่อเห็นคนมาเปิดประตู แต่ว่า พระเจ้า !?! นายอยู่กับคนหน้าด้านอย่างเจ้าเอริคนานเกินไปแล้ว
แอนดี้ที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า สวมกางเกงที่ไม่ได้ติดกระดุมและรูดซิปให้เรียบร้อย แล้วเม็ดเหงื่อใส ใส ที่ผุดขึ้นตามผิวกายและใบหน้าเนียน ทำเอาบาทหลวงอย่างผมจะกลายเป็นโจรโรคจิตข่มขืนผู้ชายไปซะแล้ว
“เฮ้ย! จะยืนอยู่อีกนานไหม ?” เพราะมั่วแต่ตะลึงให้กับสภาพอันแสนยั่วยวนของคนตัวเล็ก เลยไม่ทันสังเกตว่าร่างขาว ๆ ตรงหน้าเปลี่ยนเป็นร่างเข้ม ๆ ของเจ้าของห้องอีกคนไปแล้ว
“อ๊ะ !?! โทษที่ นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ แล้วแอนดี้ละ” ผมถามขณะที่เดินตามเจ้าของห้องคนใหม่ที่เชื้อเชิญให้เข้ามานั่งในห้องด้วยใบหน้าที่ไม่คอยเต็มใจนัก
“นายจะเอาคำถามไหนก่อน แก่ไม่เคยเห็นแอนดี้แบบนี้เหรอไง” หน้าตาคนถามกวนประสาทอย่าบอกใครเชียว ผมก็เลยตอบไปแบบกวนประสาททั้งที่รู้ว่ามันผิดก็เถอะ แต่ที่โกหกไปทั้งหมดเพราะไม่อยากให้เอริคมันได้ใจไปมากกว่านี้
“ฉันนะเหรอจะไม่เคยเห็น นายลืมไปแล้วหรือไง ว่าตอนที่ฉันเป็นแฟนกับแอนดี้ เราอยู่ด้วยกันแค่ 2 คน แอนดี้มีไฝฝาตรงไหนบางฉันรู้หมดนั้นแหละ” ท่าทางที่ผมพูดจะได้ผล เอริคถึงกับหน้างิก แต่คนอย่างเอริคก็หน้าด้านเหลือรับประทาน
“ตรงนั้นของแอนดี้ไวมากเลย นายว่าไหม แค่สัมผัสเบา ๆ หมอนั้นก็...........” เอริคพูดท่าทางชวนคิดลึก และน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด จนผมอดจะสวนกลับไปไม่ได้
.
.
สองหนุ่มนั่งฝาดเนตรใส่กัน ปากก็อวดอ้างถึงเรื่องบนเตียงกับคนร่างเล็กแบบไม่มีใครยอมใคร ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริง แอนดี้ที่เดินออกมาได้ยินก็แทบจะแทรกแผนหนีเป็นขอมดำดินเสียให้ได้ ถ้าไม่ติดว่าห้องเขาอยู่ตั้งชั้นที่ 38 คงช็อกตายซะก่อนจะถึงดิน จึงได้แต่กระแอมเบา ๆ เพื่อให้สองหนุ่มรู้ถึงการมีตัวตนของคนที่ถูกดึงไปอยู่ในบทสนทนาแบบไม่เต็มใจ
มินอู เมื่อได้ยินเสียงคนตัวเล้กกระแอม ก็ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ก็เรื่องที่พูดไปมันโกหกทั้งนั้น ตอนเป็นแฟนกันอย่าว่าแต่เรื่องบนเตียงเลย แค่จะกอดหรือหอมแก้มซักครั้งก็ต้องหลอกล่อกันแทบเป็นแทบตาย ผิดกับคนตัวใหญ่ที่ลุกขึ้นยืนเดินลอยหน้าลอยตาเข้าไปหาคนตัวเล็กไม่มีสีหน้าละอายสักนิดทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ได้แอ้มเขาเหมือนกัน
“อาบน้ำเร็วจังนะแอนดี้ หอมเชียว” เอริคทำจมูกฟุดฟิด เข้าไปใกล้พวกแก้มที่ขึ้นสี “ว่าคุยกับมินอูเสร็จแล้วจะตามไปอาบด้วยซะหน่อย จะได้ต่อจากเมื่อกี้ให้เสร็จ” อยู่กันใกล้แค่นี้แต่ก็แกล้งพูดดังให้คนที่นั่งไกลได้ยิน
“งั้นก็ดีแล้วฮะ ที่ผมอาบน้ำเร็ว”
“ฮึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มินอูหัวเราะชอบใจกับคำตอบของคนตัวเล็ก ส่วนเอริคก็มีอาการเสียหน้าเล็กน้อยเมื่อคนตัวเล็กไม่เล่นด้วย แต่คนอย่างเอริคเสียหน้าแล้วก็ต้องมีกู้คืน
“แอนดี้ ยกมือขึ้นซิ”
“ยกทำไมฮะ ?”
“ให้ยกก็ยกเถอะน่า~ ยกสูง ๆ ด้วย” แอนดี้ผู้หลงกลทำตามทั้งที่ยังสงสัย
“พลืด” มือใหญ่ของเอริคดึงเอาเสือสวิเตอร์คอเต่าหลุดออกจากร่างคนตัวเล็กง่ายดาย แอนดี้รีบหุบมือกลับมาปิดร่างไว้ แต่ก็เห็นรอยรักที่เอริคฝากเอาไว้
“พี่เอริค เอาเสื้อผมคืนมา” แอนดี้กระโดดไคว่คว้าเสื้อสวิตเตอร์จากมือของเอริคที่อาศัยความเหนือกว่าทางด้านความสูง และความไวชูเสื้อไว้ไม่ให้แอนดี้คว้าได้ง่าย ๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มหมดแรง เอริคจึงพูดข้อเสนอให้
“อยากได้คืนนายก็จูบฉันที่ตรงนี้ซิ” เอริคพูดพร้อมกับชี้นิ้ว ไปที่ปากของตัวเอง “มาจูบซะดี ๆ แล้วจะคืนเสื้อให้
“พี่มินอูฮะ ช่วยหน่อยซิฮะ” แอนดี้หันไปออดอ้อนอีกคนให้ช่วย ใครจะไปกล้าจูบพี่ต่อหน้าคนอื่นกันเล่า
“มินอู มันเตี้ยกว่านายอีก ช่วยนายไม่ได้หลอกจริงไหม มินอู” เอริคหันพูดมินอูด้วยสายตาขมขู่ กล้าก็ลุมมาซิ
“พี่เล่นพูดคัดอย่างนี้ใครจะกล้ามาช่วยผมละ ไม่ให้ ผมไปเอาตัวใหม่ก็ได้” แอนดี้แก้มพองเป็นปลาทองเดินตับ ตับ จะไปเอาเสื้อตัวใหม่
“นายไปเอาตัวใหม่ฉันก็จะแย่งนายอีก จนกว่านายจะจูบ ฉันละ”
“เสื้อตั้งเยอะแยะ พี่จะถือหมดเหรอไง”
“ถือไม่หมดฉันก็จะให้มินอูช่วยถือ นายเต็มใจช่วยเพื่อนรักอย่างฉันอยู่แล้วใช่ไหมละ” เอริคหันไปขอความร่วมมือจากมินอูเชิงบังคับทางสายตาอีกครั้ง
“อืม” มินอูก็รับปากทั้งที่ไม่อยากช่วย
“อะ อะ ผมยอมจูบก็ได้ฮะ แต่พี่มินอูต้องหันไปทางอื่นก่อนนะ”
“เฮ้ย ได้ยินเปล่ามินอู หันไปทางอื่นก่อนแล้วอยากแอบดูละ”
“จุ๊บ” แอนดี้ยื่นริมฝีปากตัวเองไปจูบกับริมฝีปากของเอริคอย่างรวดเร็ว จนคนถูกจูบยังไม่ทันจะรู้สึกด้วยซ้ำ ครั้นจะท้วงให้จูบใหม่ ก็เห็นคนตัวเล็กลงไปนั่งปิดหน้า เขินจนตัวแดงไปทั้งตัว เลยยอมส่งเสื้อคืนไปให้
“ก็เท่านั้นแหละ อะเสื้อ นายนั่งคุยกับมินอูไปก่อนนะ แล้วอยากลืมเอาเอกสารให้ไปด้วยละ เดี่ยวที่นายนั่งทำมาทั้งคืนจนปวดหลังจะเสียเปล่า”
เมื่อเอริคเดินไปเข้าห้องน้ำ แอนดี้จึงลุกขึ้นมาใส่เสื้อ เดินไปหยิบเอกสารสำคัญไปให้มินอู
“ขอโทษ นะฮะ”
“ฮึ ไม่เป็นไหร่หรอกฉันก็รู้อยู่แล้ว ว่าเอริคมันหน้าด้าน นึกอยากจะทำอะไรก็ทำเคยอายใครที่ไหน นายอยู่กับมันมาก ๆ ก็อย่าไปติดความหน้าด้านของมันมาซะละ”
“ฮะพี่มินอู” รอยยิ้มของมินอูทำให้แอนดี้รู้สึกสบายใจขึ้น “อันนี้เป็นเอกสารที่จะฝากให้เพื่อนของพี่เอริคที่จะมาจากญี่ปุ่นนะฮะ” พอเข้าเรื่องงานเรื่องการแอนดี้ก็จริงจังขึ้นมาได้
“เป็นคนญี่ปุ่นเหรอ” มินอูรับเอกสารขึ้นมาดู
“เปล่าหรอกฮะ เป็นเกาหลีนี้แหละฮะ แต่ไปติดอกติดใจอาหารญี่ปุ่นจนไม่ยอมทำงานทำการ”
“แบบนี้จะไว้ใจได้เหรอแอนดี้”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฮะ เขาก็เป็นเจ้าของบริษัทคนหนึ่งเหมือนกัน ถือหุ้นร่วมกับพี่เอริค”
“เขาจะมาเมื่อไหร่ แล้วก็ชื่ออะไร พี่จะได้ไม่ส่งให้ผิดคน”
“คงอีกซะ 2 อาทิตย์ละฮะ เข้ามาถึงเมื่อไหร่แล้วจะไปหาพี่ที่โบสถ์เอง ส่วนชื่อเห็นพี่เอริคเรียกว่า ลุง ลุง ราเม็ง อะไรนี้แหละ หน้าตาเป็นไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รูปที่พี่เอริคให้ดูไม่เป็นรูปที่โพล่มาแค่ครึ่งหน้า ก็เป็นรูปหันข้าง”
“ไม่เป็นไร งั้นฉันกลับก่อนเลยละนะ”
“พี่มินอูไม่ไปส่งพวกเราที่สนามบินก่อนเหรอฮะ”
“ไม่ละ ช่วงบ่ายฉันนัดเด็ก ๆ เรียนไว้ นายไปถึงโน้นแล้วก็โทรมาแล้วกัน มีเรื่องอะไรโทรหาฉันได้ตลอดนะ”
“ฮะ... พี่มินอู...รักษาสุขภาพด้วยนะฮะ”
“นายก็เหมือนกันละ ดูแลเองดี ๆ ไม่ที่นู้นฉันคงตามไปดูแลนายไม่ได้อีก”
“พี่มินอูฮะ พี่ไม่อยากถามผมเหรอว่าทำไมผมแต่งงานกับพี่เอริค”
“อยากซิ แต่นายจำฉันถามผมว่าทำไมถึงเป็นพี่เอริค ไม่ใช่พี่ ได้มั้ย”
“จำได้ฮะ”
“นายตอบฉันว่าขอโทษ มันไม่ตรงกับคำถามเลยนะ ฉันก็เลยไม่อยากได้คำตอบนี้อีก”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่คำตอบนั้นละฮะ แต่คำตอบมันเปลี่ยนไปแล้ว”
“ฉันก็ไม่อยากรู้แล้วละ แค่เห็นนายมีความสุขฉันก็พอใจแล้ว”
แอนดี้มองตามมินอูที่เดินหายเข้าไปในลิฟ “เพราะผมมันโง่ไงฮะ”
...............................................................................ket_dd / ket2d.........................................................................................
ความคิดเห็น