คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ภาระอันหนักอึ้งของสิ่งมีชีวิต
The burden
เหตุการณ์ที่ผ่านไปเราเรียนรู้และเรียกมันว่า “อดีต” เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ถูกเรียกว่า “ปัจจุบัน”
แล้วเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด เราควรเรียกมันว่าอะไร “อนาคต” หรือ “โศกนาฎกรรม”
.............
ปราศจากเสียงพลิกหน้ากระดาษปึกหน้า...ไร้ซึ่งเสียงแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดหรือเครื่องพิมพ์งานใด ๆ...เหตุใดกันออฟฟิตที่คราคลั่งไปด้วยพนักงานแห่งนี้ถึงเงียบสนิทราวป่าช้าก็ไม่ปาน
สายตาเรียวเล็กสอดส่ายดวงตาพินิจไปทั่ว ดุจพญาเหยี่ยวสอดสายตามองหาเหยื่ออันโอชะ แต่ทว่าทุกอย่างก็ดูเป็นไปตามปกติ มีพนักงานส่วนหนึ่งกำลังรอและถ่ายเอกสาร อีกส่วนหนึ่งขะมักขะเม้นกับงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์...และก็มีอีกส่วนที่ดูเหมือนกำลังประชุมงานกันย่อย ๆ
สิ่งที่พบเจอบังเกิดเป็นความสงสัย ระคนแปลกใจ จวบจนดวงตาเรียวเล็กคู่เดิมเห็นหลังไว ๆ ของใครบ้างคนหายเข้าไปในห้องที่ถูกกันด้วยกระจกหนาใส
เสียงสนทนา กับเสียงการทำงานก็ดัง ประหนึ่งจะแข่งขันกันเอารางวัล
“อ้อ~เป็นแบบนี้นี่เอง” เจ้าของดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นส่ายหัว ก่อนเดิมตามร่างที่เห็นเมื่อครู่นั้นไป
“ไง พ่อเจ้าชายน้ำแข็ง จะทั้งเย็น ทั้งชาไปถึงไหนกัน รู้บ้างรึเปล่าว่าแม้แต่เครื่องพิมพ์กับเครื่องถ่ายเอกสารมันกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง”
“แล้วไงฮะ” ผู้ถูกตั้งคำถามตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองผู้เปิดบทสนทนา
“แล้วไง! นายจะไม่ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรหน่อยเหรอแอนดี้”
“อะไรละฮะที่พี่อยากให้ผม ปรับปรุง...เปลี่ยนแปลง” เน้นเสียงที่ 2 คำหลังเป็นพิเศษ
“นายก็รู้ แล้วยังจะแกล้งถาม”
“ถ้างั้น ก็ไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง...และปรับปรุง” ยังคงเน้นเสียงที่ 2 คำหลังเช่นเดิม
“เฮ้อ ~”
“ถอนใจทำไมฮะ”
“ช่างฉันเถอะ”
“ก็ดีฮะ”
“นายนี่นะ พูดด้วยแล้วหงุดหงิดชะมัด”
“ก็แล้วลมอะไร มันหอบผู้บริหารใหญ่มาพูดกับผมถึงนี่ได้กันละฮะ” ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากตอนแรก
“ลมคิดถึงไง เชื่อมั้ยละ” ทิ้งก้นลงบนเก้าอี้แรง ๆ ยิ้มจนตาหยี เรียกความสนใจได้ดี
น้องชายตัวดีละสายตาออกจากเอกสาร
“เก็บไว้บอกผู้จัดการฝ่ายบุคคลของพี่ดีกว่ามั้ยฮะ” แถมยิ้มเล็ก ๆ เป็นการล้อเลียน
“พี่คิดถึงจริง ๆ นะถึงได้มาหา” สีหน้าจริงจังเหมือนคำพูด
“พี่ว่าธุระของพี่มาดีกว่า ส่วนเรื่องคิดถึง ผมจะพยายามเชื่อ โอเคมั้ยฮะ”
“นายเชื่อ แล้วก็คิดแบบนั้นจะให้พี่พูดอะไรได้....เอ่อ...เย็นนี้ นายจะไปคุยกับลูกค้าคนนั้นใช่มั้ย”
“ฮะ พี่ถามทำมั้ย”
“กลางวันนี้นายคงว่างซินะ ไปกินข้าวด้วยกันหน่อยซิ พี่กับดงวานมีอะไรจะคุยด้วย”
“คุย หรือว่าถามกันแน่ฮะ” สายตาคิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า
“ก็ทั้งสองอย่างนั้นแหละ ไม่มีปัญหาใช่มั้ย”
“ผมนะไม่มีปัญหาหรอกฮะ แต่พี่สองคนนะมี...เพราะผมไม่ว่าง วางแผนไว้แล้วนะฮะว่าไปดูตัวอาคารกับภาพแวดล้อม ก่อนจะจะเข้าไปคุยกับเขา”
“ไปตอนบ่ายไม่ได้เหรอ มันไม่ได้ไกลจากที่นี้มากมายอะไร 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้วนิ กินข้าวกันก่อนแล้วคอยไปเถอะ”
“ไม่ละฮะ ผมไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากแผนที่วางไว้”
“จะให้พี่อกแตกตายกันก่อนก็เอา” ประชด
“ถ้าพี่มีอะไรจะถามก็ถามมาตรงนี้เถอะฮะ ผมตอบได้ก็จะตอบ ”
“นายตอบได้อยู่แล้วละ ถ้านายอยากจะตอบนะ แต่ดงวานเขาอยากฟังด้วย”
“งั้นเดี๋ยวผมโทรตามให้”
แอนดี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหมายจะต่อสายถึงคนที่อ้างถึงเมื่อครู แต่ถูกพี่ชายห้ามไว้
“ทำไมฮะ เปลี่ยนใจแล้วเหรอ”
“ดงวานไปประชุมที่กระทรวง อีกอย่างถึงใครฟังก็ไม่ต่างกันหรอก”
“ตามใจ ถึงเวลา อย่าตามผมไปช่วยง้อก็แล้วกัน”
“ถึงเวลาช่วยได้ซะนักนิ”
“ที่ผ่านๆ มา ผมไม่อยากช่วยตั้งหากละ”
“เออ! พี่ว่าพี่เข้าเรื่องดีกว่า นายกับ...ยูรินะ...ทำไมถึงเลิกกันซะละ กำลังไปกันได้ดีไม่ใช่เหรอ” พี่ชายคนนี้ทั้งกังวลและเป็นห่วงน้องชาย
“เพราะผมมันเลวไงฮะ ไม่จริงจัง ไม่จริงใจกับเธอ พี่ก็รู้ผมมีผู้หญิงอีก”
“พี่ว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้น ยูริขี้หึงแบบไม่ลืมหูลืมตาเสียเมื่อไหร่กัน เธอดูจะเข้าอกเข้าใจนายไม่งั้นนายจะรักเธอ และลดความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นเพื่อแต่งงานกับเธอเหรอ จริงมั้ย”
“ถ้างั้นผมคง เย็นชา ตายด้าน แล้วก็ไร้หัวใจเกินไปละมั้ง เธอก็เลย...เธอก็เลยไปคบคนอื่น”
“แอนดี้! หยุดพูดเล่นเฉไฉไปทางอื่นเถอะ ยูริรักนายออกขนานนั้น นายหันหน้ามาตอบดี ๆ เพราะเป็นห่วงนะถึงได้ถาม”
“ผมรู้ แต่พี่ก็เปลี่ยนคำถามได้ไหมละ”
“สรุปคือแก ไม่อยากตอบ”
ได้คำตอบเป็นความเงียบ คนถามเลยมีอันต้องเปลี่ยนคำถาม
“ยูริ เป็นไงบ้าง”
“ไม่รู้ฮะ”
“นี่ คิดก่อนตอบรึเปล่า”
“ผมกับเธอเพิ่งเลิกกันวันสองวันนี้เมื่อไหร่ละ”
“แล้วมันจะนานซักเท่าไหร่ พี่เพิ่งจะได้ข่าวมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง”
“3 เดือน” แววตาไม่มีโกหกเลยซักนิด
“ห๊า! นานขนานนั้น พี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“วัน ๆ นอกจากสุดที่รัก พี่เคยสนใจใครที่ไหน”
“
” คนถามเถียงไม่ออก เจอน้องพูดเรื่องจริง
“พี่มีเรื่องจะถามผมแค่นี้ใช่ไหม” ลุกขึ้นเก็บแฟ้มเอกสาร
“จะไปไหนละยังถามไม่หมดเลย”
“ก็จะไปคุยกับคนนั้นไง ขี้เกียจอยู่ตอบคำถาม” พร้อมออกจากห้องแล้ว
“เฮ้ย! เดี๋ยวแอนดี้ ตอนนี้เธอคบอยู่กับใครนายรู้รึเปล่า”
“ไม่ฮะ มันไม่จำเป็น”
“งั้นก็อย่าไปเลย เดี่ยวฉันกับดงวานไปแทนเอง”
“พี่กับพี่ดงวาน! ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเกี่ยวอะไรด้วยฮะ ผมไปนะถูกแล้วส่วนพี่ก็รอเซ็นต์สัญญาแล้วกัน ไปละ”
“แอนดี้! พี่ขอสั่งนายไม่ให้ไป”
“พี่ว่าไงนะ” แอนดี้ชะงักมือ ที่เกือบจะสัมผัสที่จับประตู เหล่ตามอง รอให้ทวนคำถามนั้นอีกครั้ง ซึ่งมีเพียงความเงียบ
นั้นเพราะคนถามไม่ต้องการพูดซ้ำอีก ด้วยความจริงที่เขาไม่มีสิทธิ์ที่พูดประโยคเมื่อครู่ตั้งแต่แรก จึงต้องปล่อยให้แอนดี้เปิดประตูเดินออกไป ใจจังหวะเดียวกันนั้นเอง บุคคลที่สามก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
“อ้าว!แอนดี้ จะไปไหนละกินข้าวด้วยกันพี่ก่อนซิ”
“ไปดูงานฮะ คิดว่าสองสามวันจะกลับ มีไรสงสัย ถามพี่มินอูได้เลย” พูดจบก็เดินเบี่ยงตัวหลบออกไป ไม่ใส่ใจว่าจะมีใครเรียกอยู่ข้างหลัง
..
“...มินอู”
.
“...มินอู!...มินอู!”
“ฮี! มีอะไรเหรอ ด..ดงวาน”
“ยืนเหม่อคิดอะไรอยู่ เรียกนานแล้วนะนายก็ไม่ได้ยิน แล้วนี่คุยโทรศัพท์กับใคร”
“คุย! อ๋อ~ เปล่าหรอก คิดถึงแอนดี้เลยโทรหา แต่เขาไม่รับสาย”
“แค่นั้นเหรอ สีหน้านาย ดูเป็นกังวล ไม่สบายใจนะ หรือแอนดี้เป็นอะไร”
“ไม่หรอก เขาสบายดี แล้วก็ต้องสบายดีมาก ๆ ด้วย เพราะมีคนคอยดูแลและก็เอาใจตลอดเวลาเลยละ”
“งั้นแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นละ”
“แค่..กำลัง..นึกอยูนะ”
“นึก! นายนึกถึงอะไร ถึงทำหน้าไม่สบายใจแบบนี้” ถ้าวันนั้น...ฉันสั่งเขาจริงจังกว่านี้ ตอนนี้เราคงยังอยู่ด้วยกันนะ” ฟื้นยิ้มเศร้า ๆ ที่คนโง่ยังดูออก
“อย่าคิดมากเลย ถึงฉันจะไม่คอยเห็นด้วยกับนายตั้งแต่ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเป็นความผิดของนายหรอก สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันก็มีเหตุของมันเองทั้งนั้น จมอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ไปก็ ไม่ช่วยอะไรหรอก สู่เราไปรีบนอน พักผ่อนเพียงพอ เราก็มีแรง มีสมองเคลียร์ทำงานให้เสร็จ แล้วเราก็ไปรับแอนดี้กลับ แค่นี้นายก็จะได้อยู่กับน้องอย่างที่นายอยาก”
“ขอบใจนะดงวาน” มินอูมองใบหน้าของดงวานด้วยความซาบซึ้ง คงมีเพียงคน ๆ นี้ คนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจเขาโดยไม่ต้องพูดอะไร ก่อนจุมพิตที่หน้ากว้างเป็นรางวัลสำหรับการปลอบใจ
“ความคิดนายดีนะ ดีมากเลย แต่รู้อะไรมั้ยดงวานว่าถ้าจะให้ดีมาก...ต้องทำยังไง”
“ทำไง” คนถูกถามทำหน้าฉงน
“ก็มาออกกำลังกายกันก่อนนอนไงละ”
“ออกกำลังกาย ตอนตีสามเนี้ยนะ” ยิ่งฉงนเข้าไปอีก เป็นหน้าที่ให้มินอูต้องรีบแก้ความฉงนเสีย
“ เฮ้ย! มินอู ไม่เอา...อย่าน่า~ อย่า~ มินอู...มินอู..อืม อื้ม~...”
.
รุ่งอรุณฟ้าสาง
ห้อง ICU โรงพยาบาลเอกชนคังนัม
“แวะมาแต่เช้าเลยนะครับรุ่นพี่” ร่างสูง ทอดตามองร่างเล็กนอนเยียดยาวอยู่บนเตียงผู้ป่วยผ่านกระจกใสพร้อมกับทักทายญาติผู้ป่วยซึ่งอยู่ในความดูแลของตนด้วยเช่นกัน
“นายยังไม่ออกเวรไปผักผ่อนเหรอ” ร่างใหญ่ บนใบหน้ามีรอยเขียวช้ำ และมีผ้าพันแผลพันรอบศรีษะ
ตาสองคู่ยังมองร่างบนเตียง
“ก็ว่ากำลังจะออก แต่พอดีมีคนอยากเจอรุ่นพี่นะ”
“ใคร?”
“ตำรวจ เขามาขอสอบปากคำรุ่นพี่เรื่องอุบัติเหตุเมื่อคืนก่อน”
“พวกเขาอยู่ไหนละ”
“ผมให้เขาไปรออยู่ที่ห้องพัก”
“อืม ขอบใจนะที่มาบอก นายกลับไปพักผ่อนเถอะชีวอน นายเหนื่อยมาสองวันแล้ว”
“ครับ แต่ก่อนไป ผมถามอะไรรุ่นพี่หน่อย...รุ่นพี่เอริคจะบอกกับตำรวจว่ายังไง”
ชีวอนละสายตาจากร่างบนเตียงหัน มองรุ่นพี่ และก่อนจะได้ยินคำตอบอะไร รุ่นพี่ก็หันมามองชีวอนเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ได้คิดจะพูดอะไรให้ตัวเองต้องติดคุกหรอ สบายใจเถอะ” พูดจบเอริคก็หันเดินออกจากห้อง
“แล้วเขาละครับ...” ชีวอนก็รั้งเอริคไว้ด้วยคำถาม ก็จะกลับหันหลังมองเอริคที่ยืนนิ่นหันหลังให้
“รุ่นพี่จะบอกกับตำรวจว่าเขาเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกัน แล้วพี่กับเขาขับรถขึ้นเขาไปทำอะไรกันตอนกลางคืน”
“เขาชื่อ อี ซอน โฮ...
...มาจากอเมริกาครับ พ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว ญาติพี่น้องคนอื่นก็ไม่มี ไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากผมที่เป็นเพื่อน เมื่อวานเขาบอกผมว่าอยากพิสูจน์ว่ารถมันแรงแค่ไหน ผมเลยพาเขาไปลองที่นั้นเพราะรถแถวนั้นน้อย แต่จู่ ๆ ฝนก็เกิดตกหนัก ลมแรง ถนนลื่นก็เลยเกิดอุบัติเหตุครับคุณตำรวจ
“คุณกับคุณอี ซอน โฮ รู้จักกันได้ยังไครับ”
“ตอนผมไปเรียนที่อเมริกาครับ ซอนโฮ เขาเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ที่โบสถ์ First Presbyterian Church ที่พักของผมก็อยู่แถวนั้น ทุกวันอาทิตย์ที่ไปโบสถ์ก็จะได้เจอกับเขาที่เล่นเปียโนอยู่ที่นั้น เราเลยรู้จักกันแล้วก็เริ่มเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนนั้น”
“แค่เพื่อนธรรมดาเหรอครับ”
“ครับ มีอะไรแปลกครับ”
“คุณเอริคครับ ตามจริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางเราก็คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุธรรมดา เพียงแต่...เราได้ภาพพวกนี้มา” ตำรวจยื่นภาพถ่ายหลายใบให้กับเอริค เขาเปิดดูมันผ่าน ๆ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เขานัดให้ผมไปรับตรงนั้น”
“แต่คุณก็ขับเลยไปจนต้องวนรถกลับใหม่เนี้ยนะครับ ดูเหมือนคุณจะกำลังโมโห ไม่ทราบว่าเป็นเพราะคุณไม่คิดว่าเขาจะอยู่กับคนอื่นรึเปล่า” ภาพอีกสองใบถูกโยนเบา ๆ ลงบนโต๊ะ
“ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีใครรู้จักเขา แล้วคนในรูปนี้เป็นใครครับคุณเอ-ริค”
“ผ...ผมไม่ทราบ ผมไม่เห็นหน้า”
“งั้นคุณหมอชีวอน รบกวนคุณหมอดูให้หน่อย ว่ารู้จักคนในรูปรึเปล่า คุณหมอสนิทกับคุณเอริคอาจจะเคยเห็นบ้าง ”
ชีวอนหันมองรุ่นพี่ ก่อนตัดสินใจเดินไปรับรูปจากตำรวจมาดู สักพักชีวอนก็ส่งคืนให้แล้วส่ายหัว
“นอกจากคนไข้ของผมแล้ว อีกคนผมไม่รู้จัก เสียใจด้วยนะครับที่ช่วยอะไรคุณตำรวจไม่ได้”
“ไม่เป็นไรครับคุณหมอ แต่วันไหนคุณหมอนึกออกก็ช่วยติดต่อบอกทางเราด้วยแล้วกัน”
“คงไม่หรอกครับ จากรูปดูแล้วน่าเป็นคนรู้จักของคุณอี ซอน โฮ ผมเพิ่งจะรู้จักกับเขาไม่กี่วันเอง”
“ถ้างั้นทางตำรวจคงต้องฝากคุณเอริคให้ช่วยนึก และถ้าคุณอี ซอน โฮ ฟื้นเมื่อไร แจ้งให้ทราบด้วยนะครับผมจะได้มาสอบปากคำเขา”
“ครับ ถ้าหมอของเขาอนุญาต นายนะจะว่าไงละชีวอน”
“ครับถ้าเขาฟื้น และมีสภาพที่พร้อม แต่คงต้องอาศัยเวลาพอสมควร”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อให้สำนวนมันครบทวนจนสามารถสรุปคดีได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เรายินดีจะรอ พวกผมขอตัวละครับ”
“เดี๋ยวครับ! คุณตำรวจ จากนี้คุณจะสืบต่อรึเปล่าว่าคนในรูปอีกคนเป็นใคร”
“ไม่ทราบหรอกครับคุณเอริค ขึ้นอยู่กับผู้บังคบบัญชาจะให้สืบต่อหรือรอคุณอี ซอน โฮฟื้น ว่าแต่คุณเอริคถามไปทำไมครับ”
“ผมก็อยากรู้ว่าเป็นใคร”
“ถ้าสืบต่อแล้วทราบว่าเป็นใคร เราจะรีบแจ้งให้คุณทราบ ขอตัวอีกครั้งนะครับ”
“เชิญครับ” เอริคลุกขึ้นส่งตำรวจจนออกไปครบทุกคน จึงกลับลงนั่งอย่างเก่า ขณะที่คุณหมอเดินตามไปส่งตำรวจถึงประตู และกดล็อคก่อนกลับเข้ามา
“รุ่นพี่คิดดีแล้วเหรอที่โกหก” เสียงไม่พอใจ
“แล้วนายจะให้พี่บอกกับตำรวจ เหมือนที่บอกกับนายเหรอ นายก็รู้นิว่าไม่ได้ พี่กำลังจะแต่งงาน” เอริคถอนหายใจ กุมศีรษะ
“แต่มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับคุณอี ซอน โฮ มันไม่ใช่ความผิดของเขา”
“ใช่ซิ มันเป็นความผิดของเขาชีวอน ถ้าเขาไม่...” เอริคเงยหน้าตวาดเสียงดัง แต่เมื่อเห็นสายตาของชีวอนดวงตาแข็งกร้าวคอย ๆ อ่อนลง “ชั่งเถอะ นายอย่ารู้มากกว่านี้เลยดีกว่า”
“รุ่นพี่ยิ่งพูด ผมก็ยิ่งสงสัย ว่าคุณอี ซอน โฮ เป็นใครและเป็นอะไรกับรุ่นพี่กันแน่ เขาไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างที่รุ่นพี่บอกกับตำรวจ และก็คงไม่ใช่อดีตคนรักอย่างที่พี่บอกผม”
เงียบ~
“รุ่นพี่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ของผม พูดความจริงมาเถอะครับ ไม่ว่าจะเป็นไง ผมก็เกลียดพี่ไม่ได้ และยินดีที่จะช่วยพี่ชายของผม”
“ชีวอน..พี่คงขอให้นายเชื่อคำพูดของพี่ทั้งหมดไม่ได้” เอริคทิ้งช่วงประโยคไปพักใหญ่ เหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่บอกอะไรเพื่อเรียกความเชื่อถือในตัวเขากลับคืนมา “พี่แค่ขอให้นายฟังให้จบ หลังจากนั้นนายจะไปบอกตำรวจ หรือจะทำตามที่พี่ขอไว้ก่อนหน้านี้ต่อก็ตามใจ”
..............................................................................TBC
ความคิดเห็น